FB on August 19, 2013, 08:30:34 AM








« Last Edit: March 14, 2014, 03:06:06 PM by FB »

FB on March 06, 2014, 02:52:02 PM







FB on March 14, 2014, 03:02:07 PM




« Last Edit: March 14, 2014, 03:04:50 PM by FB »

FB on March 22, 2014, 06:15:48 PM
บทสรุปแห่งอภิมหาสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 : ยุทธหัตถี” 29 พฤษภาคมนี้










   
          สู่บทสรุปของ “ศึกยุทธหัตถี” อภิมหาสงครามครั้งสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ของสยามประเทศ ที่ท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ทรงทุ่มเทแรงกายใจ พร้อมเหล่านักแสดง และทีมงานนับพันชีวิต โดย พร้อมมิตรโปรดักชั่น และ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ประกาศดีเดย์แล้วว่า “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 : ยุทธหัตถี” เข้าฉาย 29 พฤษภาคมนี้ แน่นอนทั่วประเทศ

          กับเรื่องราวที่ดำเนินต่อซึ่งเต็มไปด้วยความเข้มข้นอย่างถึงขีดสุดที่เกิดขึ้นกับทั้งสองแผ่นดิน ทั้งฝั่ง อโยธยา และหงสาวดี อันนำไปสู่มหาศึกยุทธหัตถี หลากหลายชะตากรรม ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทุกตัวละคร กับภาพยนตร์แอ็คชั่นอิงประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นที่สุด ครบทุกอารมณ์ พร้อมการถ่ายทอดการแสดงสุดเยี่ยม ของเหล่านักแสดงระดับตำนานทั่วฟ้าเมืองไทยไม่ว่าจะเป็น “สมเด็จพระมหาธรรมราชา” (พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรฯ) จากพระเอกตลอดกาล ฉัตรชัย เปล่งพานิช, โศกนาฎกรรมอันน่าเศร้าใจที่เกิดขึ้นกับ “สมเด็จพระสุพรรณกัลยา” การแสดงระดับขึ้นหิ้งของ เกรซ มหาดำรงค์กุล (พระพี่นางของสมเด็จพระนเรศวรฯ ซึ่งตกเป็นองค์ประกันแทนพระองค์), ชะตากรรมที่ดำเนินต่อของ “พระราชมนู หรือ บุญทิ้ง” โดย ปีเตอร์ นพชัย (พระสหายคู่ใจที่ร่วมกรำศึกใหญ่น้อยเคียงบ่าเคียงไหล่สมเด็จพระนเรศวรมาทั้งชีวิตหลังถูกจับเป็นเชลยในศึกนันทบุเรง)

          ที่มาของ เจ้าพระยาไชยานุภาพ (เจ้าพระยาปราบหงสาวดี) ช้างทรงศึกยุทธหัตถี ของสมเด็จพระนเรศวรพร้อมกับบทสรุปของ “ไอ้ขาม” ขีดสุดพลังการแสดง ต๊อก ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ (ชายบ้าใบ้ที่ได้เข้ามารับใช้ถวายงานเป็น “คชบาล” ร่วมกรำศึกแห่งประวัติศาสตร์), “พระเจ้านันทบุเรง” จากการแสดงแบบทุ่มสุดตัวของ จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ ความฮึกเหิมอย่างถึงขีดสุดเพื่อต้องการเอาชนะศึก และหมายพิชิตอโยธยา “พระมหาอุปราชา” บทท้าทายทางด้านการแสดงโดย ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม ถึงขนาดยกทัพและเกณฑ์ไพร่พลนับแสนจากหงสาวดีมาถล่มอโยธยา, “พระมหาเถรคันฉ่อง” กับการแสดงไร้ที่ติของพระเอกตลอดกาล สรพงษ์ ชาตรี (ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะพระอาจารย์ผู้ให้ความรู้คำปรึกษาทั้งกลยุทธ์การศึกสงคราม ตลอดจนทัศนคติมุมมองในการดำรงตนในฐานะกษัตริย์นักรบผู้ดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรมและเป็นที่รักของประชาราษฎร์เสมอมา), พัฒนาการแห่งสายสัมพันธ์ที่ดำเนินไปของ “มณีจันทร์” กับความงดงามสุดลงตัวโดย ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (พระสหายคู่ใจหญิงอันเป็นที่รักของกษัตริย์ผู้หาญกล้าแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย จนท้ายที่สุดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีคู่ชีวิตที่อยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรฯ)

          แน่นอนว่าใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 : ยุทธหัตถี” เราจะยังคงได้เห็นพระปรีชาสามารถในการกรำศึก คิดค้นยุทธวิธีในการรบ ตลอดจนทักษะความสามารถการคิดอ่านเป็นเลิศในกลเกมวางแผนการรบ รวมไปถึงอัจฉริยภาพ และความเด็ดเดี่ยวในฐานะกษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชนที่เต็มไปด้วยความเสียสละพาประเทศผ่านพ้นภัยสงครามธำรงไว้ซึ่งผืนแผ่นดินความเป็นไทยตราบจนถึงทุกวันนี้ รวมไปถึงสายใยความรักความผูกพันและด้านความอ่อนโยนของพระองค์ ที่ทรงมีต่อพระราชบิดา, พระพี่นาง ตลอดจนพระสหาย และไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์และผืนแผ่นดิน ในบทบาทที่เรียกได้ว่าท้าทายที่สุดในชีวิตทางด้านการแสดงของ ผู้พันเบิร์ด วันชนะ สวัสดี

          “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 : ยุทธหัตถี” เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ ท่านมุ้ยมจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์และยังเป็นภาพยนตร์ไทยในระบบสตูดิโอที่ถ่ายทำ และบันทึกภาพด้วยฟิล์มภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเมืองไทย

          29 พ.ค.นี้พร้อมฉายให้คนไทยรักชาติทุกคนได้ดูทุกโรงภาพยนตร์ทั้งประเทศ

FB on March 22, 2014, 06:17:31 PM
MOVIE GUIDE: ตัวอย่าง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 ยุทธหัตถี”

ตัวอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 ยุทธหัตถี (Official Tr. [HD])
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=ZKubjjhLlKc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=ZKubjjhLlKc</a>

29 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

FB on April 04, 2014, 01:35:44 PM
แบกภาระอันหนักอึ้งเพื่อรับมือกับศึกใหญ่ที่จะมาถึง แอฟ ทักษอร ทึ่งสวมมงกุฎจริงถ่ายทำฉาก “พระนเรศวรขึ้นครองราชย์ ฯ” ท่านมุ้ยจำลอง “พระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาท” ระดมนักแสดงคับคั่งวิจิตรอลังการยิ่งใหญ่สมจริง


 










          เป็นอีกหนึ่งฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการของ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี และเป็นฉากที่มีความสำคัญกับทั้งภาพยนตร์ในภาคนี้อันนำมาซึ่งเหตุการณ์พลิกผันของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและแผ่นดินอโยธยารวมทั้งเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เหล่านักแสดงนับร้อยและทีมงานทุกๆ ด้านในส่วนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังรวมแล้วนับพันชีวิตร่วมกันถ่ายทอดออกมาพร้อมกับสอดแทรกผ่านการแสดงของผู้พันเบิร์ดพันโทวันชนะ สวัสดีซึ่งรับบทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในการถ่ายทำฉากพระบรมราชาภิเษกขององค์สมเด็จพระนเรศวรเพื่อขึ้นครองราชย์เป็นองค์พระมหากษัตริย์แห่งอโยธยาพร้อมกับทรงแต่งตั้งให้มณีจันทร์ขึ้นเป็นพระมเหสีอย่างสมบูรณ์พร้อมกับสื่อสารให้ผู้ชมภาพยนตร์ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความรู้สึกของพระนเรศวรที่ต้องแบกภาระอันยิ่งใหญ่ที่ท่านจะต้องทรงรับไว้หลังจากที่พระบิดา (พระมหาธรรมราชา) ทรงสิ้นพระชนม์ก่อนที่ศึกครั้งใหญ่ระหว่างหงสาและอโยธยาจะปะทุขึ้นอีกครั้ง

          “สำหรับฉากสถาปนาขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในภาพยนตร์นะครับทางด้านความสำคัญจริงๆ ทางประวัติศาสตร์เราจะเห็นได้ว่าในขณะที่บ้านเมืองยังมีศึกสงครามอยู่เรามีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเราไม่รู้หรอกว่ามีใครมีความประสงค์ที่จะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์บ้างนอกเหนือจากพระนเรศวรที่เป็นลูกของพระมหาธรรมราชา ไม่ว่าจะเป็นพวกขุนนางอำมาตย์ รวมไปถึงเชื้อสกุลต่างๆ เพราะฉะนั้นความสำคัญตรงนี้อาจเกิดการแย่งบัลลังก์ได้ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อบ้านเมืองกำลังมีเหตุการณ์ศึกสงครามแบบนิ้จะเป็นสิ่งที่คู่ศึกสงครามจะฉวยเอาโอกาสนี้มาตีบ้านเมืองเราเพื่อที่จะเราไปเป็นเมืองขึ้นเขาในความระส่ำระสายในการขึ้นครองราชย์ในการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน อันนี้คือความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจุดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น และในขณะเดียวกันเราก็เล่าว่าทางฝั่งของหงสาวดีก็เริ่มมีการผลัดเปลี่ยนคล้ายๆ กัน แต่บริบทแวดล้อมของทั้งสองเมืองอาจจะไม่เหมือนกัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขึ้นมาด้วยความเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มากจริงๆ และภายใต้ความขัดแย้งของการรบในสภาวะศึกสงครามหลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้วไม่ได้เป็นการขึ้นครองราชย์เพื่อเสวยสุข แต่เป็นการขึ้นครองราชย์เพื่อจะรับศึกใหญ่ที่กำลังจะกลับมายังอโยธยาอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นการขึ้นครองราชย์ในครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยความสุขเพราะทรงเพิ่งสูญเสียพ่อไป พระมหากษัตริย์องค์ที่แล้วเพิ่งเสียไป แต่เป็นการขึ้นครองราชย์พร้อมกับความทุกข์ที่กำลังจะมาถึงด้วย”

          นอกเหนือจากเรื่องราวความสำคัญในทางประวัติศาสตร์แล้ว ท่านมุ้ยยังทรงให้ความสำคัญและพิถีพิถันในทุกรายละเอียดของฉากนี้ตั้งแต่ในส่วนของโปรดักชั่นงานสร้างโดยได้ให้ทีมงานสร้างพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทขึ้นโดยจำลองทุกรายละเอียดขึ้นจากสถานที่จริง ไปจนถึงการวางเฟรมภาพและมุมกล้องในการถ่ายทำโดยได้ 2 ผู้กำกับภาพอย่าง อานุภาพ บัวจันทร์ และ Stanislav Dorsic ชาวเชคที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้กำกับภาพที่จัดแสงสวยมากซึ่งผ่านการทำงานร่วมกันมาตั้งแต่สุริโยไทและตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช:องค์ประกันหงสาให้งานทางด้านภาพถ่ายทอดงานสร้างออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจง และเต็มไปด้วยมนต์ขลัง เมื่อเหล่านักแสดงหลักและบรรดานักแสดงสมทบนับร้อยๆ ชีวิตของตัวละครในฝั่งอโยธยาเข้าฉากร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงทั้งตัวละครฝั่งไทย, มอญ, แขก, ญี่ปุ่น, โปรตุเกสซึ่งมีตั้งแต่ผู้พันเบิร์ดในบทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, แอฟ-ทักษอรในบทมณีจันทร์, ปีเตอร์ นพชัย, ทราย เจริญปุระ, พันเอกวินธัย (ผู้พันต๊อด) ปราบต์ปฏล, ปวีณา ชารีฟสกุล ฯลฯ นั่งเต็มสรรเพชรมหาปราสาทที่สร้างขึ้นโดยท่านมุ้ยทรงให้ความสำคัญถ่ายทำยึดถือตามขั้นตอนต่างๆ ตามขนบธรรมเนียมประเพณีในการพระบรมราชาภิเษกจริงไม่ว่าจะเป็นการที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมอบใบมะตูมและมงกุฎให้กับมณีจันทร์ ท่านมุ้ยทรงถ่ายทำและถ่ายทอดออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจง และเต็มไปด้วยมนต์ขลังชนิดที่ว่านางเอกสาวสวยที่รับบทมณีจันทร์ อย่างแอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์) ยังรู้สึกทึ่งชื่นชมและภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทำในฉากนี้ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาในการถ่ายทำอย่างอย่างนานกว่าจะได้ภาพตรงตามความตั้งใจของท่านมุ้ยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่ามงกุฎที่สวมใส่เข้าฉากคือมงกุฎจริงที่ท่านขออนุญาติมาจากพิพิธภัณฑ์เลยทีเดียว

          “โอ้โห จำได้ว่าเราถ่ายทำฉากนี้กันตั้งแต่บ่ายๆ เย็นจนถึงเกือบเช้าเลยคะฉากนี้ เพราะว่าเนื่องจากหนึ่งมันมีในเรื่องของขั้นตอนในพระราชพิธีที่เราจะต้องทำให้ถูกต้องแล้วก็สองเรื่องของตัวแสดงซึ่งเยอะมากเท่ากับว่าถ้าเป็นในเรื่องตามจริงก็คือทุกคนที่มีหน้าที่อยู่ในวัง คือทุกคนที่รับราชการอยู่จะต้องมาอยู่ในท้องพระโรงอยู่ในพิธีด้วยเพราะฉะนั้นนักแสดงก็เยอะมากที่จะต้องเข้าซีนร่วมกันและอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งแอฟคิดว่ามันเลยใช้เวลามากคือในเรื่องของแอ็คติ้งเรื่องของอารมณ์ที่จะต้องถ่ายทอดออกมาในฉากนี้ หรือแม้กระทั่งตัวมงกุฏเองจำได้ว่าตัวมงกุฏเองก็ได้รับการส่งตามมาหลังจากที่เริ่มต้นถ่ายทำในส่วนอื่นๆ ของฉากนี้ไปแล้วตอนแรกแอฟก็ถามว่าเอ๊ะ?ทำไมถึงไม่ได้มารอพร้อมเลยก็เพิ่งมาทราบว่าเพราะมันไม่ใช่เครื่องประดับที่เราทำเลียนแบบขึ้นมาอันที่ใช้ถ่ายทำในฉากนี้หม่อมกมลา (โปรดิวเซอร์) ขออนุญาติจากพิพิธภัณฑ์คือเป็นของจริงที่มาถ่ายทำเพราะฉะนั้นทุกอย่างก็จะมีเรื่องของกำหนดการการขออนุญาตเอาออกมาก็เลยเข้าใจแล้วว่าอ๋อทำไมจะต้องคอยสิ่งนี้เพราะว่าเป็นของจริงคะแล้วพอแอฟได้มีโอกาสสวมลงไปก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากจริงๆ คะ แล้วก็รู้เลยว่ายากจริงๆ นะคะ ที่เราจะได้มีโอกาสมีประสบการณ์แบบนี้คะ ก็อยากให้ติดตามกันนะคะ ในแง่ของความสำคัญของฉากนี้ที่ถือได้ว่าเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้คนดูรู้ว่าตอนนี้กำลังเปลี่ยนอำนาจ ก็คือตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียกว่าหน้าที่ที่มาพร้อมความกดดัน พร้อมภาระทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้แผ่นดินไทยรอดมาอยู่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเต็มๆ แล้วแต่ในส่วนของมณีจันทร์ก็คือเป็นอีกคนหนึ่งที่จะนั่งอยู่เคียงข้างพระองค์อีกเช่นกันค่ะ”

          พบกับอีกหนึ่งความอลังการที่เต็มไปด้วยความวิจิตรบรรจงเข้มข้นทุกๆ ฉากของ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ยิ่งใหญ่สมกับที่ทุกคนรอคอย 29 พ.ค.นี้ประจักษ์ทุกสายตาทุกโรงภาพยนตร์
« Last Edit: April 04, 2014, 02:29:32 PM by FB »

FB on April 10, 2014, 01:52:38 PM
จาก “สุริโยไทถึงยุทธหัตถี” จับตาดูฉากสำคัญ “พระมหาธรรมราชถ่ายทอดความในใจกับพระนเรศวร” “ผู้พันเบิร์ด” ยกนิ้วกับการแสดงขั้นสุดยอดของ “ฉัตรชัย เปล่งพานิช”










 
          นอกจากไฮไลท์ศึกยุทธหัตถีอภิมหาสงครามชี้ความอยู่รอดของชาวอโยธยาว่าจะมีชัยเหนือหงสาหรือไม่นั้น แน่นอนว่าคำตอบของคำถามที่ทุกคนรอคอยรออยู่ใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”ให้ทุกคนได้ประจักษ์สายตาในวันที่29พ.ค.นี้อย่างแน่นอน แต่ความเข้มข้นของเรื่องราวและชะตากรรมอันนำมาซึ่งเป็นจุดพลิกผันสำคัญที่จะเกิดขึ้นกับหลากหลายตัวละครที่อยู่รายล้อมรอบตัวพระนเรศวรอันนำไปสู่มหาศึกครั้งสำคัญรวมไปถึงต้นสายปลายเหตุทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯภาคนี้เต็มไปด้วยหลากหลายเหตุการณ์ที่ทุกคนพลาดไม่ได้ โดยเฉพาะฉากพระมหาธรรมราชาถ่ายทอดความในใจที่มีต่อพระราชโอรสสมเด็จพระนเรศวรก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์อันนำมาซึ่งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของอโยธยาโดยได้นักแสดง2รุ่นศิษย์เอกของท่านมุ้ยมจ.ชาตรีเฉลิม ยุคลประกบบทบาทในฉากที่พูดได้ว่าเข้มข้นที่สุดโชว์ฝีไม้ลายมือทางด้านการแสดงระดับสุดยอดของพระเอกตลอดกาลอย่างฉัตรชัย เปล่งพานิชในบทพระมหาธรรมราชาถึงขนาดผู้พันเบิร์ดพันโทวันชนะ สวัสดีที่รับบทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้าฉากคู่กันปลาบปลื้มแบบสุดๆที่ได้เข้าฉากร่วมกันนอกจากจะยกนิ้วให้พระเอกตลอดกาลแล้วยังยกให้เป็นฉากจุกอกเป็น1ในฉากประทับใจที่สุดฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว

          “ซีนนี้ทั้งตอนที่ถ่ายทำและที่ได้ชมหลังการตัดต่อแล้วโอ้โหจุกอกเลยครับจริงๆในภาคยุทธหัตถีมีฉากจุกอกอยู่หลายซีน แต่สำหรับฉากที่พี่นกฉัตรชัยซึ่งพี่เขาแสดงเป็นพระมหาธรรมราชาเป็นพ่อของผมพี่นกเก่งมาก ถ้าคุณผู้ชมได้ชมนะครับจะรู้ว่าบทยาวจริงๆมันเป็นบทที่สำคัญมากๆบทหนึ่งเลยที่พี่นกแสดงออกมาในฉากนี้ที่จะสรุปความเป็นมาเป็นไปทุกๆอย่างใครที่ดูตำนานสมเด็จพระนเรศวรมาตั้งแต่ภาคแรกจนถึงปัจจุบันหรือย้อนไปตั้งแต่สุริโยไทโน่นเลยฉากนี้แหละครับจะเป็นข้อสรุปที่สุดในความเป็นตัวตนของความเป็นพระมหาธรรมราชาของความเป็นพระนเรศวรของความเป็นพ่อกับลูกความไม่เข้าใจความเข้าใจทุกอย่างความเป็นสยามประเทศความเป็นราษฎรประชาราษฎร์ พี่นกถ่ายทอดฉากนี้ได้อย่างสุดยอดมากๆครับ แล้วถ้าใครตัดฉากนี้ออกไปนะผมโกรธมากเลย(หัวเราะ)จำได้ว่าเบื้องหลังตอนที่ถ่ายทำฉากนี้เป็นช่วงที่พี่นกไม่สบายจริงๆด้วยครับ เราอาจจะเคยได้ยินข่าวว่าพี่นกป่วยอยู่ช่วงหนึ่งแล้วการถ่ายทำท่านมุ้ยจะถ่ายทุกคนให้หมดก่อนแล้วปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านเหลือถ่ายกับพี่นกสองคน แล้วท่านก็ไปนั่งอยู่ข้างกล้องเลยครับ แต่ผมนะแอบอยู่ผมนะอยู่ด้วยคือผมอยากดูคืออยู่เป็นอายไลน์ให้พี่นกด้วย แล้วผมก็ได้เห็นโอ้โหพี่นกสุดยอด น้ำตานี่ซึมเลยแล้วพี่นกน้ำตาไหลจริงไหลฟึ้ดแล้วตอนแกลุกขึ้นมาน้ำตาแกหยดเลยคือต้องถือว่าในบรรดานักแสดงด้วยกันผมโชคดีที่สุดได้เล่นกับพี่นกฉัตรชัย และนักแสดงท่านอื่นอย่างพี่เอกสรพงษ์ แล้วฉากนี้คือพี่นกโอ้โหเล่นขนาดนี้เลยคือผมเข้าใจเลยว่านักแสดงสมัยก่อนที่เขาเรียกว่านักแสดงมืออาชีพนะเป็นอย่างนี้จริงๆ ฉากนี้ได้สั่งเสียทุกอย่างแล้วก็เป็นฉากสุดท้ายที่พระมหาธรรมราชาจะสวรรคตจะสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะฉะนั้นฉากนี้ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์หนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ผมอยากให้ทุกคนได้ไปดูว่าพี่นกแกจำบทได้ไงไม่รู้บทยาวมากโอ้โหคือถือว่าเป็นสุดยอดมากแล้วการถ่ายทำมีมาตั้งแต่กลางวันแล้วก็มาต่อกลางคืน ฉากนั้นกลางคืน แล้วพี่นกก็ไม่ทำให้ผิดหวัง”

          นอกเหนือไปจากเบื้องหลังการถ่ายทำและการแสดงในระดับสุดยอดแล้วในแง่ความสำคัญของภาพยนตร์ในฉากนี้จะเป็นอีกหนึ่งฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความลึกซึ้งที่สะท้อนถึงความรักความผูกผันที่พ่อลูกมีต่อกันที่องค์มหากษัตริย์มีต่อแผ่นดินที่ท่านมุ้ยมจ.ชาตรีเฉลิม ยุคลตั้งใจถ่ายทอดออกมาเพื่อตอกย้ำถึงความเข้มข้นของเรื่องราวที่ถือได้ว่าถึงขีดสุดในภาคยุทธหัตถีอย่างแท้จริง

          “เราจะได้เห็นถึงความรักที่พ่อมีต่อลูกพระมหาธรรมราชาเองพระองค์ที่มีประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ในภาค2ที่ประกาศอิสรภาพที่เมืองแครงจำได้ว่ากลับมาโดนพ่อด่าเลยก็เพราะพ่อรู้สึกว่าสิ่งที่ลูกทำไปจะสร้างปัญหาให้กับอโยธยา แต่จริงๆที่ตั้งของพระมหาธรรมราชาคืออโยธยาจะต้องอยู่อย่างมีเอกราชต้องอยู่อย่างมีความสุขประชาชนของพระองค์ต้องอยู่อย่างมีความสุขซึ่งนั่นคือหน้าที่อย่างหนึ่งของพระเจ้าแผ่นดินนะครับ พอมาภาคนี้เราจะได้เห็นสิ่งที่พระนเรศวรได้ทำเราจะได้เห็นสิ่งที่พระมหาธรรมราชาได้พูดคุยกับพระนเรศวรได้เห็นความรักที่พ่อมีต่อลูกเห็นความรักที่มีต่อประชาชนของพระองค์และได้ฝากฝั่งอะไรในขณะเดียวกันจะได้เห็นความรักของพระมหาธรรมราชาที่มีต่อพระสุพรรณกัลยาในภาคที่ผ่านมาเราอาจสงสัยว่าทำไมพระมหาธรรมราชาถึงส่งลูกสาวไปเป็นองค์ประกันที่หงสา แต่ภาคนี้จะเป็นการไขปัญหาเลยว่าพ่อนะรักลูกจริงๆเป็นช่วงเวลาของช็อตที่เต็มไปด้วยความประทับใจจริงๆเลยทันทีที่พี่นก-ฉัตรชัย.....แหมไม่อยากบอกเลยไปดูในหนังดีกว่าครับ”
« Last Edit: April 10, 2014, 01:54:10 PM by FB »

FB on April 17, 2014, 10:10:00 AM
บทสัมภาษณ์ “แอฟ ทักษอร กับบทบาท มณีจันทร์ ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”









          “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คือประสบการณ์ คือการเรียนรู้
          คือความภาคภูมิใจเสมอในทุกครั้งที่เราพูดว่าเราได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้”

          กับประสบการณ์ตลอด 1 ทศวรรษที่กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
          1 ใน 3 ของชีวิตที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของ
          แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์) กับบทบาท มณีจันทร์
          หญิงสาวผู้เป็นคู่คิดและคู่ชีวิตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

          Q: เมื่อเอ่ยชื่อท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคลผู้กำกับที่เรียกได้ว่าเป็นครูใหญ่ของวงการภาพยนตร์ไทยและเป็นหม่อมเจ้าผู้มีสายเลือดนักทำหนังผู้มีอาชีพเป็นผู้กำกับภาพยนตร์มาทั้งชีวิตในมุมมองของเราเป็นอย่างไรบ้าง
          A: เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะคะ(หัวเราะ) เจอท่านตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ก็สัก13หรือ 14ปีนี่ละค่ะ คือให้นึกถึงท่านภาพแรกที่นึกถึงเลย คือตอนที่แอฟได้มีโอกาสเข้าไปพบท่าน ตอนแรกก็จินตนาการไปต่างๆนานา ด้วยความที่ตอนนั้นเราก็เด็กประสบการณ์ในวงการบันเทิงเราก็น้อย แม้กระทั่งในวงการหนัง หรือว่าการมาเจอผู้กำกับที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ได้ เราก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา บวกกับจินตนาการไปว่าท่านต้องดุ ต้องเข้มแน่เลย ปรากฏว่าเจอวันแรกแปลกใจมาก กลับไปถึงบอกกับที่บ้านว่าท่านไม่ได้เป็นเหมือนที่เราจินตนาการไว้เลย คือท่านให้ความเมตตาในทุกๆด้านในความเป็นกันเอง ทั้งๆที่เราคิดว่าเราเป็นเด็กคนหนึ่งไม่ได้เป็นใครมาจากไหน คือท่านไม่จำเป็นต้องให้เวลา หรือว่าให้ความสำคัญในการอธิบายใน สิ่งต่างๆด้วยตัวเอง จริงๆให้ทีมงานอธิบายก็ได้ ตอนแรกยังคิดว่าท่านคงเรียกมาดูหน้าดูๆแล้วก็ไปๆ ปรากฏว่าเจอครั้งแรกก็เลยรู้สึกประทับใจมาก ที่ท่านให้โอกาสเราพูดคุย แล้วก็อธิบายถึงบทที่ท่านสนใจอยากจะให้มารับ บทนี้เป็นยังไงท่านก็เล่า หลังจากนั้นก็เลยเรียนรู้เรื่อยมาว่าท่านมีลักษณะของความเป็นครูค่ะ คือมีความสุขในการที่จะสอนไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นเล็กขนาดไหน ท่านก็ไม่ถือ คือหนึ่งท่านเป็นเจ้า สองท่านเป็นผู้กำกับใหญ่อีกอย่างท่านก็ไม่เคยคิดว่าจะเสียเวลาที่จะสอนเด็กรุ่นหลัง แม้ว่าแอฟในวันนั้นเป็นเด็กคนหนึ่งใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยไปประทับใจที่สุด ถือว่าท่านเป็นครูทางด้านภาพยนตร์คนแรกในชีวิตเลยคะ

          Q: มาถึงตรงนี้ 10 ปีแล้วพูดได้มั้ยว่า ได้อะไรจากท่านมุ้ยบ้าง
          A: ได้ทุกอย่างเลยค่ะทั้งเรื่องในแง่เทคนิคการแสดง ในการถ่ายทำภาพยนตร์ นอกจากนั้นเรายังได้ในแง่ของหลักการทำงานความทุ่มเทในการทำงาน คือสำหรับท่านแล้วแอฟมองว่าท่านไม่เคยแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวเลยคือท่านมองว่า งานคือชีวิตชีวิตคืองานอย่างนั้นเลยค่ะ คือเป็นบุคคลที่ทุ่มเทให้กับการทำงานมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตเลย ซึ่งท่านทำอย่างนั้นได้เพราะว่าท่านรัก และภาพยนตร์คือชีวิตของท่านจริงๆเพราะฉะนั้นท่านจึงไม่รู้สึกว่านี่คือการทำงาน หรือโอ้โห..เราต้องทำงานจนถึงกี่โมงแต่ว่าคือทุกๆนาทีที่ผ่านไปท่านมีความสุข ท่านก็เลยไม่ได้รู้สึกว่านี่เราทำงานมาเป็น10ชั่วโมงแล้วนะ เพราะว่าในทุกๆนาทีที่ท่านมุ้ยทำอยู่อันนั้นมันคือความสุขของท่าน สำหรับแอฟแล้วประทับใจมากที่ท่านมุ้ยให้โอกาสค่ะ

          Q: ตอนนี้อยากให้แอฟอัพเดทชีวิต และผลงานในปัจจุบัน
          A:สำหรับตอนนี้ก็รับงานทางด้านบันเทิงลดน้อยลงนะคะอะไรที่เป็นงานระยะยาวก็จะไม่ได้รับค่ะเพราะว่าตั้งแต่แต่งงานมาก็ มาช่วยทำธุรกิจกับสามีก็เลยเปลี่ยนทิศทางในด้านการทำงานนิดหนึ่ง แล้วก็อาจจะมีวางแผน ครอบครัวจะมีลูกประมาณนี้คะก็เลยยังไม่ได้รับงานอะไรที่เป็นระยะยาว

          Q: ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ถือได้ว่าได้ทำอะไรในวงการบันเทิงมาเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นละคร ,ถ่ายแบบโฆษณา, พรีเซนเตอร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์,มิวสิควิดีโอ เรียกได้ว่าทำอะไรมาจนจะครบหมดแล้ว
          A: ในส่วนของงานบันเทิงก็เป็นชีวิตแอฟเลยละค่ะ จนถึงทุกวันนี้ก็ทำงานมาประมาณ 12 ปี เริ่มจากสมัยก่อน เหมือนเด็กทั่วๆไปก็จะเป็นถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบทำมาหมดแล้วทุกอย่าง โดยที่งานหลักของแอฟก็คืองานละคร งานภาพยนตร์ที่รับบทเต็มตัว ก็จะมีตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เรื่องเดียวเท่านั้นค่ะ

          Q: เมื่อพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในความรู้สึกของเราที่มีต่อท่านเป็นอย่างไรบ้าง
          A: ในภาพความคิดของแอฟคือจะรู้สึกว่า สมเด็จพระนเรศวรฯ ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์สำคัญที่ทำให้ คนไทยมีแผ่นดินไทยอยู่จนถึงทุกวันนี้ ทุกคนรู้จักท่านในแง่การมียุทธหัตถี เป็นศึกใหญ่ครั้งสำคัญของคนไทย แล้วก็คนจะรู้สึกว่าท่านเก่งในด้านของวิชาการรบ ยุทธวิธีในการรบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรบแบบกองโจร แล้วก็ท่านมีความรัก และห่วงใยใกล้ชิดในประชาชนของท่าน

          Q: พูดถึงโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ที่ว่ากันว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างภาพยนตร์ของไทย สมกับชื่อ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกันบ้าง เมื่อเอ่ยชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
          A: ครั้งแรกที่ได้ยินโปรเจ็คต์นี้ก็ทราบอยู่แล้วน่าจะเป็นโปรเจ็คต์ที่ใหญ่ สำหรับในวงการภาพยนตร์ไทย แต่ว่าก็ต้อง ยอมรับว่าไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะใหญ่ขนาดนี้ หมายถึงในแง่ของความยิ่งใหญ่นะคะ แล้วแอฟก็ยังมั่นใจว่าคงไม่มี ใครที่จะสร้างภาพยนตร์ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินทุนเพียงอย่างเดียวอันนี้แอฟมั่นใจ เลยมันเป็นเรื่องของความทุ่มเทของผู้นำซึ่งผู้นำของกอง ก็คือท่านมุ้ยนั่นเองนะคะแล้วบวกกับทีมงานทุกๆคนที่ทำให้มีทุกวันนี้ค่ะ

          Q.ในตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านมาพูดได้ว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวของแอฟ ทักษอร เลย และเป็นที่จดจำของคนไทยทั้งประเทศ กับบทบาทมณีจันทร์ อยากให้แอฟพูดถึงตัวละครตัวนี้กับบทบาทที่เราได้รับ
          A: ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ แอฟก็ได้รับโอกาสจากท่านมุ้ยนะคะให้มารับบท มณีจันทร์ ผู้ที่อยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับบุคลิกของตัวละครเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ส่วนใหญ่แล้วที่ผ่านมาแอฟมักจะได้รับบทบาท ที่เป็นแบบแข็งนอกอ่อนใน ประมาณนี้นะคะ แต่สำหรับบทมณีจันทร์จะมีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ แต่ทางด้านร่างกายคือด้วยความเป็นผู้หญิงสมัยก่อนด้วย ก็จะเป็นคนนุ่มนวล อ่อนหวาน แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราได้รับการเลี้ยงดูจากพระสุพรรณกัลยาด้วย จริงๆแล้วมณีจันทร์เองเติบโตมากับ สมเด็จพระนเรศวรฯ แล้วก็ไอ้ทิ้ง โตมาจากในวัด ก็จะไม่ได้มีใครอบรมทางด้านกิริยามารยาท จนกระทั่งได้มาอยู่กับพระสุพรรณกัลยานี่แหละค่ะ ถึงได้เป็นกุลสตรีขึ้นมาจนโตเลย ทำให้ทุกอย่างหล่อหลอมขึ้นมา ให้เป็นบุคลิกของสาวชาววังขึ้นมาจนได้แต่ว่าภายในจิตใจข้างใน เป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะสู้รบเมื่อยาม คับขัน ยามจำเป็นเราก็จับดาบได้

          Q:ในการที่จะต้องรับบทสาวชาววัง และต้องมีสู้ศึกจับดาบด้วย มีการเตรียมตัวเพื่อถ่ายทอดตัวละครมณีจันทร์อย่างไรบ้าง
          A: ก็จะมีช่วงแรกๆของการถ่ายทำแอฟก็จะเหมือนนักแสดงคนอื่นๆค่ะ คือจะต้อง ผ่านการเวิร์คช็อปประมาณปีหนึ่งมั้งคะ แต่เป็นปีหนึ่งเมื่อ12ปีที่แล้ว(หัวเราะ) เวิร์คช็อปให้เรามีทักษะ ในทุกๆด้านเพราะว่ามณีจันทร์เองก็ยังหนีไม่พ้น จะต้องมีฉากสู้รบ และท่านมุ้ยก็อยากให้นักแสดงทุกคนต้องมีพื้นฐานทางด้านการฟันดาบการขี่ม้า ขี่ช้างทุกๆคนจะต้องเรียนเหมือนกันหมด ตอนแรกก็พยายามขอแล้วว่า“มณีจันทร์ ไม่ต้องรบขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ”(หัวเราะ) แต่ว่าเพื่อความสะดวกในการถ่ายทำก็ดีด้วย เราจะได้เรียนรู้และเวลา เราแสดงเราจะได้เข้าถึงบทบาทอย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้นเราก็จะมีเวิร์คช็อปตรงนั้นส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวกัน มณีจันทร์ก็ต้องเป็นสาวชาววังช่วงแรกนะคะ ก็จะมีการเรียนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่องมารยาท แม้กระทั่งเรื่องการกราบแบบนี้นะคะ เพราะว่าบางทีเราก็หลงลืมข้ามขั้นตอนไปบ้าง หรือบางอย่างที่เราอาจจะไม่ได้ทำบ่อยนัก ก็จะมีการเรียนรู้ตรงนั้นคะ

          Q: การเวิร์คช็อปสำหรับนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีความเข้มข้นฝึกฝนเรียนรู้กันอย่างจริงจังมากๆ ถึงขนาดมีการจัดตารางเวลาเลยว่า เช้า สาย บ่า ยเย็น ต้องเรียนรู้อะไร
          A: เป็นช่วงยากของแอฟเลยละค่ะโดยทางบริษัทจะจัดตารางมาให้คือทั้งเดือนนี้มีเวิร์คช็อปวันไหนบ้าง ลงตารางมาเลย เรียนพร้อมใครพร้อมใคร แล้วตอนถึงเวลาก็จะมีระบุว่าวันนี้เริ่มตั้งแต่ กี่โมง สมมติเรียนฟันดาบ 8โมง-10โมง,10โมง-เที่ยง ขี่ม้า,พักเที่ยง-บ่ายโมง,บ่ายโมง-บ่ายสามเรียนฟันดาบ อีกรอบหนึ่งแล้วก็ 4โมงเย็น- 6โมงเย็น ขี่ช้างอะไรประมาณนี้คะ คือทุกอย่างจะเป๊ะเป๊ะเป๊ะ คือเหนื่อยมากโดยเฉพาะอย่างแอฟไม่ได้มีพื้นฐานในการออกกำลังขนาดนั้น แล้วเราก็ฝึกกับพี่ๆก็จะมีหลายๆคน คอยช่วยแอฟ อย่าง ทราย ก็จะคอยช่วยไหวมั้ย หรือวิ่งรอบสนามฟุตบอลเรียนฟันดาบ ก็จะคอยเป็นห่วงถามตลอดก็น่ารักมากคอยถามไหวมั้ย (หัวเราะ)

          Q: ด้วยหน้าที่ และบทบาทสำคัญๆมากในหลากหลายเหตุการณ์ ฉะนั้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของตัวละครมณีจันทร์ เองน่าจะมีความน่าสนใจไม่น้อย
          A. มณีจันทร์เองก็มีหลากหลายสถานะหลากหลายบทบาทไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความละ เอียดอ่อน
          ความเป็นกุลสตรี หรือแม้กระทั่งได้มีโอกาสออกไปรบซึ่งตรงนี้เองตอนถ่ายทำจริงๆ อาจจะมีบ้างที่การรบการถ่ายทำมันก็น่ากลัวนะ เหนื่อยนะ ก็มีแอบบ่นแ แต่ว่าให้มานึกย้อนตอนนี้ก็รู้สึกดีใจนะคะที่ท่าน ให้โอกาสที่ท่านเชื่อมั่นในตัวเราและทำให้เราได้มีโอกาสได้รับบทนี้ซึ่ งมีในหลายๆบทบาททั้งได้ใส่ผ้าไทยสวยงามทั้ง ได้ออกไปรบ คือในแง่ของการแต่งกายเราก็แน่นอนเป็นสาาวชาววัง ก็ได้แต่งกายสวยงามตามแบบฉบับกุลสตรี อยู่แล้วก็จะมีหม่อมบี๋(หม่อมกมลา ยุคลโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์)นะคะที่จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องผ้า และการแต่งกายมากๆเลยค่ะ ผ้าของตัวละครทุกตัวจะผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว แม้กระทั่งทุกวันนี้ แอฟก็ยังเชื่อว่ายังเก็บอยู่เป็นอย่างดีเลยค่ะ แล้วท่านก็จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าต้องตรงตามประวัติศาสตร์ ในเวลายุคนั้นว่าเขาใส่กันแบบไหน ตั้งแต่ตัวเนื้อผ้าเองที่เลือกมา อย่างของแอฟก็จะเป็นลักษณะของชาวมอญเป็นสาวมอญที่มาอยู่ในประเทศไทย ก็ยังคงแต่งแบบมอญ อยู่แบบมอญก็ใส่ผ้าถุงแบบจีบหน้านางก็จีบสดนะคะ ทุกครั้งคือเป็นแค่ผ้าดิบผืนเดียว แล้วก็พับสด เย็บสด ทุกครั้งเพื่อความสมจริง ในภาพยนตร์ที่ทุกท่านได้เห็นอยู่ ไม่มีใครทราบว่าเราถ่ายหนังมาเป็นสิบกว่าปี แต่ทุกครั้งที่เห็นผ้าของตัวละครทุกตัวที่ใส่หมายความว่านักแสดงไปเข้าห้องน้ำที ก็คือเลาะออกนะคะ แล้วเย็บใหม่เป็นเวลาสิบกว่าปีคือคนอาจจะนึกว่าเหมือนสมมติว่าเราถ่ายอย่างอื่น งานอื่นๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดขนาดนี้ เพื่อความสมจริงในภาพยนตร์ทุกคนก็ทุ่มเท

          Q: แต่ละครั้งในการสวมคาแรคเตอร์เป็นมณีจันทร์ใช้เวลาในการแต่งตัวนานแค่ไหนอย่างไร
          A: นานค่ะ(หัวเราะ)ใช้เวลาในการแต่งตัวไม่ว่าจะเป็นชุดสาวชาววังหรือว่าชุดเกราะนานหมดเลยค่ะ
          ชุดเกราะนี่ก็จริงๆแล้วคือมันเป็นหลายชิ้นส่วนต่อกัน แล้วก็น้ำหนักของมันด้วย ร้อนด้วย แล้วก็ทุกอย่าง อย่างที่บอกค่ะ ก็คือต้องเย็บสดค่ะ

          Q:มีชุดเกราะของตัวเองด้วย
          A. (หัวเราะ)ใช่ค่ะ ชุดเกราะนี่ก็ถือเป็นเกียรติแล้วก็รู้สึกภูมิใจมาก ที่ได้มีโอกาสร่วมรบเพราะ
          ตอนแรก คิดว่าจะติดสอยห้อยตามไป แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ออกไปรบไหม หรือแม้กระทั่ง อุ้ย! เราจะได้มีชุดเป็นของเราเอง ชุดท่านก็ช่วยโมดิฟายหลายอย่าง(หัวเราะ) เพราะว่าตัวเล็ก ตอนแรกก็ว่าจะเป็นแบบไหนดีที่ยังถูกต้องตามประเพณีสมัยก่อนแต่ก็เหมาะกับเราด้วย

          Q: ในความรู้สึกของแอฟ มองว่าเสน่ห์ของมณีจันทร์ อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
          A: ต้องบอกก่อนว่าสำหรับแอฟแล้ว บทนี้เป็นบทที่มีพลังคือมีความเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งซึ่งอาจไม่ได้หาได้ง่ายๆทั่วไป ถ้าให้แอฟตอบในความเป็น มณีจันทร์ คือเป็นผู้หญิงมั่นใจ ว่าชีวิตนี้ตายได้เพื่อคู่ชีวิตตายได้เพื่อแผ่นดินนี้ ทั้งๆที่มณีจันทร์จริงๆแล้วไม่ใช่คนไทย แต่ด้วยความที่ได้เติบโตมากับสมเด็จพระนเรศวรฯ เติบโตมากับ พระราชมนู แล้วก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระสุพรรณกัลยา แม้กระทั่งการที่มณีจันทร์ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระมหาเถรคันฉ่อง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมณีจันทร์หล่อหลอมขึ้นมา ทำให้มีส่วนผสมของทั้งความเข้มแข็งความเด็ดเดี่ยว และความอ่อนโยนมาจากพระสุพรรณกัลยา เรียนรู้เรื่องรบด้วย เรื่องการครองเรือนด้วย รวมไปถึงการมีส่วนมีบทบาทการตัดสินใจในบางเรื่อง โดยมีรูปแบบ และวิธีที่จะจัดการหรือรับมือในแบบผู้หญิงอย่างมณีจันทร์ ซึ่งอาจจะไม่ได้แสดงออกมาแบบผู้หญิงสมัยใหม่ ที่มีความเห็นแบบนี้แล้วก็พูดออกไป แต่จะเป็นในแง่ของการให้กำลังใจ แอบผลักดัน ส่งเสริม และคอยอยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรฯตลอดไม่ว่าจะอยูในสถานการณ์ใดค่ะ

          Q: สำหรับภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ศึกยุทธหัตถี ที่แฟนๆจะได้เห็นเรื่องราวที่ดำเนินไปในส่วนของตัวมณีจันทร์มีเหตุการณ์สำคัญๆอะไรเกิดขึ้นบ้าง
          A: ในแง่ของความสัมพันธ์ต่างๆของตัวละครที่เกิดขึ้น ทั้งตัวมณีจันทร์ เองกับสมเด็จพระนเรศวรฯนะคะ ก็จะมีความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เราผ่านศึกต่างๆมาด้วยกัน มณีจันทร์ก็ยังคงอยู่เคียงข้าง จนกระทั่งถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นจังหวะเวลา ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ขึ้นครองราชย์ ในพระราชพิธีราชาภิเษก มณีจันทร์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสี จำได้ว่าในส่วนตรงนี้ตอนถ่ายทำก็มีความรู้สึกขนลุกมากนะคะ เราไม่ค่อยได้เคยเห็นภาพแบบนี้ แล้วเเราได้มีโอกาสไปอยู่ เป็นหนึ่งในนั้น ได้อยู่ในพิธีนี้ก็รู้สึกขนลุกจริงๆค่ะ ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะถ่ายทำนานแล้ว แต่ก็ยังจำภาพเหตุการณ์ระหว่างถ่ายทำได้อยู่จนทุกวันนี้เลยค่ะ เพราะในฉากนี้แค่ในแง่ของความสำคัญของฉากนี้ก็คงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนดูรู้ว่า ตอนนี้กำลังเปลี่ยนอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียกว่าหน้าที่ ที่มาพร้อมความกดดัน พร้อมภาระทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้แผ่นดินไทยรอดมาอยู่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯเต็มๆแล้ว แต่ในส่วนของมณีจันทร์ก็คือเป็นอีกคนหนึ่งที่จะนั่งอยู่เคียงข้างอีกเช่นกัน

FB on April 17, 2014, 10:10:41 AM
         Q: ในส่วนของเบื้องหลังการถ่ายทำเป็นเห็นว่าเป็นฉากที่ใหญ่มากๆ นักแสดงฝั่งไทยเข้าร่วมฉากกันหมด แถมการถ่ายทำท่านมุ้ยพิถีพิถันมากๆ ทั้งการถ่ายทำยึดตามหลักของราชประเพณีด้วย
          A: ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เลยนะคะ ว่าจริงๆแล้วรายละเอียดของพิธีเป็นอย่างไรบ้าง ทราบในตอนถ่ายทำ แม้กระทั่งตัวมงกุฏเองจำได้ว่าก็ได้รับการส่งตามมาทีหลัง ตอนแรกแอฟก็ถามว่าเอ๊ะ?ทำไมทำไมถึงไม่ได้มารอพร้อมถ่ายเลย ก็เพิ่งมาทราบว่าเพราะมันไม่ใช่เครื่องประดับที่เราทำเลียนแบบขึ้นมา อันที่ใช้ในการถ่ายทำนั้น คือ หม่อมกมลา ยุคล(โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์) ขออนุญาตจากพิพิธภัณฑ์ คือเป็นของจริงที่มาถ่ายทำ เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็จะมีเรื่องของกำหนดการ เรื่องการขออนุญาตเอาออกมา เพราะฉะนั้นก็เลยเข้าใจแล้วว่าทำไมจะต้องคอยสิ่งนี้เพราะว่าเป็นของจริงคะ แล้วก็พอได้มีโอกาสสวมลงไปก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากจริงๆค่ะ แล้วก็รู้ว่ามันยากจริงๆที่เราจะได้มีโอกาสมีประสบการณ์แบบนี้ค่ะ

          Q: ใช้เวลาในการถ่ายทำฉากนี้นานแค่ไหน
          A: ตั้งแต่บ่ายๆเย็นจนถึงเกือบเช้าเลยคะสำหรับฉากนี้ เนื่องจากหนึ่งเรื่องของขั้นตอนในพระราชพิธี ที่เราจะต้องทำให้ถูกต้อง สองเรื่องของตัวแสดงซึ่งเยอะมาก เท่ากับว่าถ้าเป็นในเรื่องตามจริงก็คือ ทุกคนที่มีหน้าที่อยู่ในวัง คือทุกคนที่รับราชการอยู่ในนั้น จะต้องมาอยู่ในท้องพระโรงอยู่ในพิธีด้วย ต้องเข้าซีนร่วมกัน และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดซึ่ งแอฟคิดว่ามันเลยใช้เวลามากคือในเรื่อง ของแอ็คติ้งเรื่องของอารมณ์ค่ะ

          Q: เราจะได้เห็นแอฟ ทักษอรเข้าฉากโรแมนติคซีนเป็นครั้งแรก ในภาพยนตร์ด้วย
          A. (หัวเราะ)ตอนแรกๆที่ท่านบอกว่าจะมีฉากถวายตัว แอฟก็จริงหรอคะท่าน ขอดูบทก่อนได้มั้ยคะ
(หัวเราะ) คือเราก็อยากทราบว่าเอ๊ะ?สมัยก่อนแล้ว ถ้าจะเป็นเลิฟซีนเล็กๆของหนังจะเป็นยังไง ท่านก็บอกไม่รู้ไม่บอกอะไรแบบนี้ค่ะ(หัวเราะ) ท่านก็แกล้ง คือก็รู้ว่าแอฟก็ต้องแอบเขินนะคะ แต่จริงๆแล้วการเข้าฉากกับพี่เบิร์ด คือพูดได้เลยว่าคือด้วยความที่เราไว้ใจกัน ในแง่ของความเป็นนักแสดงด้วยกัน แล้วก็ในแง่ที่ว่าแอฟเองก็รู้สึกเหมือนพี่เบิร์ดเป็นพี่ชายค่ะ เพราะรู้จักกันมา 10 กว่าปี จริงๆแก็ไม่ได้เขินพี่เบิร์ดหรอกค่ะ(หัวเราะ) คุ้นเคยกันจนไม่เขินแล้วนะคะ แต่ว่าตอนนั้นก็จะแค่กลัวว่าจะทำได้ดีไหมจะเป็นอย่างที่ท่านต้องการไหม
          สำหรับฉากถวายตัวคือนอกจากความสวยงามที่คนดูจะได้เห็นแล้ว ก็จะได้เห็นถึงความรักของสมเด็จพระนเรศวรฯ ที่มีต่อมณีจันทร์ความรู้สึกที่มณีจันทร์ มีต่อพระนเรศวรฯ ที่มีมากกว่าความรัก คือความภักดีความผูกพันซึ่งมีมานานเพราะว่าเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต เรารักด้วยความภักดีมาตลอด อย่างที่บอกว่าตายแทนได้แน่นอนที่สุดแล้วก็ความเสียสละ และความภักดีตรงนี้ที่ทำให้สมเด็จพระนเรศวรฯเห็น ความดีโดยเฉพาะความจงรักภักดีของมณีจันทร์มาโดยตลอด จึงเป็นความรักที่เกิดขึ้นคะ

          Q: เป็นอีกฉากที่ใช้เวลาถ่ายนานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดแสงแต่ภาพที่ออกมาก็สวยมากๆเช่นกัน
          A: ถ่ายนานมากค่ะ เพราะจัดไฟนานด้วย เนื่องจากท่านก็พิถีพิถันในฉากนี้มากๆ อยากให้เป็นฉากหนึ่ง ซึ่งไม่อยากให้คนดูคิดว่ามันเป็นแค่เลิฟซีน แต่อยากให้คนดูรู้สึกว่าเป็นความสวยงาม จริงๆไม่ใช่เฉพาะแค่ตัวแสดงสองตัวกับแอ็คติ้งที่จะเกิดขึ้น แต่ว่าโดยรอบแล้ว เนื่องจากเป็นฉากโรแมนติกเพราะฉะนั้นเรื่องของแสงเทียนทั้งหลายมันจะต้องสวยงามมากๆ คือฉากนี้จำได้ว่าโอ้โห คือจัดพร็อบ แล้วก็จัดไฟกว่าจะได้มะรำมะเรืองสวยโรแมนติกขนาดนี้ใช้เวลานานมากค่ะ ส่วนที่เหลือความนานอยู่ที่แอฟเอง(หัวเราะ) กว่าจะแอ็คติ้งได้คือเราไม่ได้อายพี่เบิร์ดนะคะ แต่ว่าแค่ทำตัวไม่ถูกเพราะปกติมันก็ไม่ได้เล่นแนวนี้ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเอ๊ะ?ท่านต้องการอะไรยังไง บวกกับด้วยความที่ในบทมณีจันทร์ ก็จะคือเป็นกุลสตรี เราก็ไม่แน่ใจว่าเรายังไงได้ขนาดไหน ก็เลยแอบกระซิบพี่เบิร์ดว่า “พี่เบิร์ดเล่นเอาละกันนะ เดี๋ยวแอฟรีแอ็คเอาประมาณนี้ค่ะ”(หัวเราะ)

          Q: จริงมั้ยที่ว่าผู้พันเบิร์ดฟิตหุ่นเปี้ยะมากโดยเฉพาะมัดกล้ามั
          A: (หัวเราะ)ใช่ค่ะโอ้โห ช่วงนั้นพี่เบิร์ดฟิตมากจริงๆ ตลอดการถ่ายทำ(หัวเราะ) มีอยู่แค่สองอย่าง คือฟิตมากๆกับฟิต เพราะพี่เบิร์ดไม่เคยไม่ฟิตค่ะตั้งแต่รู้จักกันมา

          Q: ด้วยระยะเวลานับ10ปีทำให้กลุ่มนักแสดงที่ร่วมงานกัน สนิทสนมกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้พันเบิร์ดที่ถือว่าใหม่สุด ในบรรดานักแสดงด้วยกัน และเห็นว่าทุกครั้งเวลาที่มีฉากสำคัญๆแต่ละคนก็จะคอยให้กำลังใจกันโดยตลอด
          A: ค่ะว่าอย่างที่บอกว่าพวกเราร่วมงานกันมานาน และก็สนิทกันมาก ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยุทธหัตถี ก็จะมีอีกหนึ่งฉากใหญ่ในภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ในทุกๆด้าน และในเรื่องของนักแสดงที่เข้าร่วมฉาก ความสำคัญของไดอะล็อค แม้กระทั่งตอนถ่ายทำเองทุกคนก็จะรอดูว่า เวลาพี่เบิร์ดแสดง จะเป็นยังไงเวลาที่มีฉากสำคัญๆเหล่านี้ค่ะ คนอื่นๆก็ตื่นเต้นเพราะว่าเวลาพี่เบิร์ดแสดง มันจะรู้สึกถึงพลัง คือด้วยตัวไดอะล็อคเอง ด้วยความรู้สึก เราเชื่อว่าพี่เบิร์ด เป็นสมเด็จพระนเรศวรฯด้วย ทุกอย่างมารวมกันแล้วบวกกับบรรยากาศสิ่งแวดล้อมในฉาก มันยิ่งทำให้เราเชื่อมาก แล้วก็ขนลุกค่ะ ยิ่งเวลาที่พี่เบิร์ดพูดปลุกระดม ให้ทหารมีกำลังใจ ให้มีความฮึกเหิม ซึ่งนอกจากความฮึกเหิมที่เกิดขึ้น มันเหมือนเรามีอีกความรู้สึกหนึ่งแทรกเข้ามาคือความรู้สึกซาบซึ้ง ว่าคนสมัยก่อน เขาจะต้องเสียสละขนาดไหน หรือแม้กระทั่งทหารทุกคน แน่นอนใจลึกๆต้องแอบมีความกลัว ผู้นำนี่ล่ะที่จะปลุกทุกคนให้ฮึกเหิมขึ้นมา ทุกคนต้องเสียสละแม้กระทั่งคนที่ปลุกระดมแอฟก็คิดว่าเขาก็ต้องเสียสละอยู่ลึกๆด้วยเหมือนกัน กลัวในที่นี้สมเด็จพระนเรศวรฯอาจไม่ได้กลัวที่ว่ากลัวชีวิตตัวเองจะสิ้นไป แต่ว่ากลัวชาติเรานี่แหละที่จะสิ้นอะไรประมาณนี้ค่ะ

          Q: นอกจากคนดูจะได้เห็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฯ ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นมุมมองความรัก และห่วงใยไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์เช่นกัน
          A: ถ้าใครจำได้ว่าตั้งแต่ องค์ประกันหงสา พระนเรศวรฯ ทรงเติบโตมาพร้อมกับพระสหาย คือมณีจันทร์และบุญทิ้ง แล้วในยุทธหัตถีจะเห็นมุมมอง และความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อสหายอย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฉากที่พระนเรศวรฯกับมณีจันทร์ ได้กลับไปเยี่ยมบุญทิ้ง(พระราชมนู)ก็เป็นความซาบซึ้งอีกอย่างหนึ่งค่ะ ในฐานะที่เราเป็นตัวละครมณีจันทร์ ไอ้ทิ้งหรือบุญทิ้งก็เป็นเพื่อนรักของเราด้วยเราเองก็มีความรัก และเป็นห่วงบุญทิ้งอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่ซาบซึ้งที่สุด คือคนดูจะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ มีความรักความห่วงใยในตัวบุญทิ้งมาก ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์กับทหารรับใช้ แต่เป็นความรักความห่วงใยระหว่างเพื่อน ไดอะล็อคแอฟก็จำไม่ได้เป๊ะๆนะคะ แต่เราฟังแล้วเราก็ยังซึ้ง แล้วก็เชื่อจริงๆ ว่าตัวละครทั้งสอง บวกมณีจันทร์เข้าไปอีกคนหนึ่งมีความรัก ความผูกพันซึ่งกันและกันจริงๆ แอฟว่าคนดูจะรู้สึกมากกับการที่สมเด็จพระนเรศวรมีความห่วงใยในตัวบุญทิ้งค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะคิดว่ามันก็เป็นหน้าที่ถูกมั้ยคะแต่ท่านมองเข้าไปถึงจิตใจว่าบุญทิ้งมีจิตใจที่จงรักภักดีจริงๆ แล้วทำทุกอย่างได้เพื่อท่าน แล้วการแสดงของพี่เบิร์ดกับพี่ปีเตอร์ ทำให้แอฟรู้สึกซาบซึ้งสำหรับฉากนี้ นอกจากฉากนี้แล้วอยากให้ติดตามกันค่ะ จากภาคที่แล้ว จะมีอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่เข้ามามีบทบาทนั่นคือ ไอ้ขาม ชายบ้าใบ้ ในภาคนี้จะเหมือนเป็น การเฉลยว่าความสำคัญของไอ้ขาม มีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์ แล้วก็เป็นอีกครั้งหนี่งที่ตัวมณีจันทร์เองก็ ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ คือเป็นคนที่เห็นแววของไอ้ขามจำได้ในประโยคที่ว่า“ไอ้ขามคนบ้าใบ้นี้”คืออยากให้โอกาสคนๆนี้ และเชื่อว่าต่อไปจะเป็นคนที่มีความสามารถ และมีความจงรักภักดีต่อท่าน ซึ่งต่อมาไอ้ขามก็ได้เป็นคนคุมช้างพลายภูเขาทอง ที่จะได้ออกร่วมรบซึ่งเป็นช้างคู่ศึกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยคะ

          Q: ความทรงจำตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านมา ที่แอฟมีส่วนรวมในภาพยนตร์กว่าจะเกิดเป็นหนังเรื่องนี้ หรือกว่าจะได้แต่ละคัทแต่ละซีนมันยากขนาดไหน อย่างไร
          A: จริงๆน่าจะ 12 ปีที่ผ่านมา คือด้วยความใจรักในภาพยนตร์ และ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างของท่านมุ้ย ที่จะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของคนไทยที่ดีที่สุด ในแง่ของการผลิตหรือในแง่ของการที่จะมีคุณค่าที่จะสอนลูกหลานต่อๆไป ความตั้งใจเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นมาตรฐานของท่านขึ้นมา ก็เลยนำมาซึ่งเวลาถ่ายทำที่ถ้าไม่ถึงมาตรฐาน ก็ไม่ให้ผ่าน มันก็เลยค่อนข้างใช้เวลา บางฉากก็เป็นวันบางฉากก็เป็นสัปดาห์ บางฉากถ่ายไปแล้วเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วก็รื้อกลับมาถ่ายใหม่ คือจะบอกว่าในกองตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอค่ะ บางฉากถ่ายเมื่อปีที่แล้ว ณตอนนี้ท่านก็อธิบายบทที่ได้รับไปคือฉากนี้เป็นอย่างนี้นะ นักแสดงก็จะมีหน้าที่ถามท่านว่า ฉากนี้มีความเป็น มาอย่างไร เพราะว่าทุกคนจะไม่ได้บทเหมือนเรื่องทั่วๆไป ที่จะได้รับบททั้งเรื่องมาเป็นเล่ม คือได้มาเป็น ตอนๆเรามีหน้าที่จะต้องถามว่าตอนนี้มันมาจากไหน คือที่มาที่ไปคืออะไรแบบนี้ค่ะ คือเราก็ต้องคอนทินิวท์อารมณ์ให้ได้ถ้าจำไม่ได้ก็ ถามท่านเพราะทุกอย่างจะอยู่ในหัวท่านหมด ท่านเป็นทุกอย่างเป็นคอมพิวเตอร์ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์พม่ามีหมด อยู่ในหัวท่านค่ะ เราถามท่านได้เสมอ แต่ละวันบางคนไม่ทราบว่าฉากหนึ่งจะถ่ายทำให้เสร็จวันหนึงบางทียากมาก บางทีวันนึงได้ไม่กี่คัท เพราะหนึ่งฉากอาจจะมี 10 คัทหรือ 15คัท ก็แล้วแต่วันนึงอาจจะได้ 5 คัท 7 คัทแบบนี้ก็มีค่ะ แล้วแต่ความสำคัญ และความยาก ความยิ่งใหญ่ของแต่ละตอนแต่ละฉากนั้นๆ

          Q: ที่ผ่านมาเคยใช้เวลาถ่ายทำต่อเนื่องนานที่สุดกี่วัน
          A: นานที่สุดของการถ่ายทำคือถ่ายทำถึงเช้าวันหนึ่ง แปลว่าจะต้องถูกเรียกมาตอน ตี4 ตี5 เพื่อแต่งหน้าทำผม แล้ว 6-7 โมงเราก็จะเริ่มซ้อมคิว เพราะฉะนั้นก็คือถึงหน้ากองประมาณนี้ค่ะ ตี4 ตี4ครึ่งถ่ายทำจนถึงของแอฟนะคะ มากสุดคือ11โมงครึ่งของอีกวันหนึ่ง โดยที่ก็อยู่ในหน้าผมชุดนั้นตลอด มาราธอนที่สุดของแอฟแล้ว แต่ก็จะมีบางช่วงที่เบลอ บางช่วงวืดๆไปท่านก็จะคอยช่วยค่ะ สำหรับแอฟคือให้อยู่ทุกคนอยู่เราก็อยู่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราก็อาจจะมีกังวลเดี๋ยวเราจะแอ็คติ้งไม่ได้เต็มที่ ประมาณนี้ค่ะ แต่ว่าถ้าถามดูแล้ว เแอฟคิดว่านักแสดงเป็นส่วนที่ไม่ใช่คนที่เหนื่อยมากที่สุดนะคะ ทีมงานค่ะ เพราะว่าในฉากใหญ่ๆเราเป็นคนที่แสดงอยู่อย่างฉากเรือ คือเราก็มีหน้าที่อยู่ในเรือ แล้วเราก็แอ็คติ้ง แต่ถ้าเกิดการถ่ายทำใหม่ เราไม่ใช่คนที่จะต้องไปขนเรือลากเรือกลับมาที่เดิม วนทุกอย่างเหมือนเดิม พายเรือมาให้ได้จุดมาร์คกิ้งเดิม แล้วถ่ายใหม่เขาเหนื่อยกว่าเรา คือไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือว่าเอ็กซ์ตร้าที่เป็นตัวประกอบแอฟ คิดว่าคนเหล่านั้นเหนื่อยกว่านักแสดงเมน หรือถ้าเหนื่อยสุดนะคะต้องเป็นคนแบกเสลี่ยง(หัวเราะ) อันนี้เหนื่อยสุดค่ะ เพราะว่าคือสมมติเราเกิดมีอะไรผิดพลาดด้วยมุมกล้องด้วยจังหวะหรือนักแสดงพูดผิดหรืออะไรทั้งขบวนถอยกลับ ใหม่

          Q: ทราบมาว่าแต่ละคนก็จะมีร่องรอยแห่งประสบการณ์ เป็นความทรงจำที่ฝากไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มๆเพราะต้องมีฉากแอ็คชั่นสงคราม แล้วนางเอกอย่างมณีจันทร์เจอกับอุปสรรคหรือบาดเจ็บอะไรบ้างไหม
          A: เคยตกม้าครั้งเดียวค่ะ(หัวเราะ) แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วคะ อันนี้ก็หลายปีแล้วนะคะ เป็นอีกหนึ่งฉาก ที่มณีจันทร์ได้ออกร่วมรบ เกือบจะไม่ได้ตกค่ะ แต่ด้วยความมีมาตรฐานของท่านมุ้ย ก็ขออีกเทคๆ จน กระทั่งก็ตก เทคนั้นก็เลยเป็นเทคสุดท้ายก็พอดีหมดเวลาด้วยค่ะ ก็คือเย็นแล้ว จำได้เลยว่าคืนนั้นจะขึ้นเครื่องจะไปต่างประเทศ มันเป็นฉากขี่ม้ากันหลายๆคน แล้วก็ทางเป็นเนินเลยลื่น คือตอนตกหลุดนอกเฟรมไปแล้วนะคะท่านมุ้ยก็เล่าให้ฟังว่า ไม่เห็นแต่ได้ยินเสียงแอฟร้อง คือเสียงไปถึงมอนิเตอร์เลยค่ะ คือตกใจ แต่จริงๆแล้วแอฟถือว่าคือเขาเรียกว่าบาดเจ็บแบบเล็กน้อยแล้ว คนอื่นมีวีรกรรมเยอะแยะ อย่างทรายนี้คือตกม้าแบบหนักๆแรงๆ เยอะกว่าแอฟมาก หรือจะเป็นนักแสดงผู้ชายคนอื่น คือ เขาผ่านทั้งขี้ม้าลุยไฟคือหนักกว่าแอฟเยอะของแอฟนี่คือท่านมุ้ยยังเมตตา(หัวเราะ)

          Q: มาจนถึงวันนี้แล้วพอบอกได้มั้ยว่าหนังเรื่องนี้มีความสำคัญกับชีวิตแอฟมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
          A: ก็เป็นช่วงเวลาถึงหนึ่งในสาม ของชีวิตแอฟแล้วนะคะ(หัวเราะ )เพราะฉะนั้นก็คือเป็นทุกอย่างค่ะเป็นทั้งที่ที่เราเติบโตทั้งในด้านของการทำงานทั้งในด้านของการเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับทั้งจากการถ่ายทำทั้งจากที่ได้เรียนรู้จากบทที่เราได้รับ ทั้งการเรียนรู้ในแง่ของประวัติศาสตร์ คือแอฟได้เรียนรู้หลายๆด้านหลายๆแง่เยอะมากๆเลยค่ะ คือแอฟก็คงไม่ต่างจากนักแสดงทุกคนที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ คือทุกคนรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งถึงแม้ว่าเราจะเป็นส่วนเล็กๆในภาพยนตร์

          Q:ท้ายนี้อยาจะฝากอะไรถึงแฟนๆ
          A: จริงๆแล้วแปลกไหมคะ ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ แม้ว่าจะห่างหายไปสักพักหนึ่งแล้ว แต่ทุกวันนี้ แอฟไปไหนก็ยังมีแต่คนถามคะว่า“เมื่อไหร่จะฉายเมื่อไหร่จะฉาย”คือพูดจริงๆบางคนก็จำไม่ได้แต่ทุกคนดูทุกภาค ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ไปจนถึงรุ่นเด็กทุกคนดูแล้วรู็จักแม้กระทั่งเด็กๆ “ไอ้ทิ้ง” แบบนี้คืออาจจะจำชื่ออย่างเป็นทางการไม่ได้ แต่แอฟเลยรู้สึกว่ามันเป็นภาพยนตร์ของคนไทยไปแล้วนะคะ คือความบันเทิงในแง่ของภาพยนตร์เป็นส่วนหนึ่ง แต่มาดูเพื่อให้เรียนรู้ถึงรากเง้าความเป็นมาของเราว่าที่เรามีทุกวันนี้ได้ บรรพบุรุษเราผ่านอะไรมากันมาบ้าง และที่เราเคยเรียนเราก็จินตนาการภาพกันไป แต่ภาพที่ใกล้เคียงประวัติศาสตร์มากที่สุดอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถามว่าใครไม่อยากรู้ว่าศึกยุทธหัตถีที่เราเคยเรียนหรือที่เรารอตั้งแต่ภาคแรกๆจะเป็นอย่างไรทุกคนอยากเห็นแม้กระทั่งแอฟเอง ยังตื่นเต้นเพราะเราไม่ได้ถ่ายทำฉากนี้ด้วยแอฟคิดว่าภาคนี้รับรองไม่มีคนไทยคนไหนอยากจะพลาดอยู่แล้วค่ะ ต้องมาดูถึงความยิ่งใหญ่ในความเป็นคนไทยยิ่งใหญ่ในความเสียสละของคนไท ยแล้วก็แน่นอนที่สุดคือความยิ่งใหญ่ ของภาพยนตร์ไทย ตอนนี้เนี่ยเรามีภาพยนตร์ตัวอย่างแล้วนะคะก็ติดตามชมกันได้คะในเฟสบุ๊คของ สหมงคลฟิล์ม นะคะ

FB on April 18, 2014, 03:30:06 PM
“เกรซ” ชีวิตเปลี่ยนหลังรับบท “พระสุพรรณกัลยา” ทุ่มสุดตัวเล่น “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” ยอมรับหลงรักการแสดง ยกย่องท่านมุ้ยคือ สุดยอดผู้กำกับ




 
          เป็นสาวสวยมากความสามารถอีกคนหนึ่งที่โดดเด่นทั้งในแวดวงสังคม และวงการบันเทิงทั้ งในฐานะพิธีกรสาว,นางแบบ, แบรนด์แอมบาสเดอร์ จนกระทั่งได้เข้ามามีส่วนร่วมในฐานะนักแสดงแบบเต็มๆ ตัวของ ท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล สำหรับ เกรซ มหาดำรงค์กุล ได้รับบทบาท “พระสุพรรณกัลยา” องค์พระธิดาในสมเด็จพระมหาธรรมราชา และทรงเป็นพระพี่นางของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ สมเด็จพระเอกาทศรถ ที่ตลอดทั้งชีวิตต้องตกเป็นองค์ประกันให้กับหงสาวดี ซึ่งใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” นอกเหนือจากไฮไลท์สำคัญกับฉากมหาศึกยุทธหัตถี อภิมหาสงครามที่จะตัดสินชะตากรรมถึงความเป็นไปของกรุงศรีอยุธยาที่จะปรากฎสู่สายตาผู้คนเป็นครั้งแรกในโลก เราจะได้เห็นบทบาทและเรื่องราวต่างๆที่ดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้นกับทุกชะตากรรมของแต่ละตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าใจที่เกิดขึ้นกับ “สมเด็จพระสุพรรณกัลยา” พระพี่นางของพระนเรศวรหลังจากชีวิตต้องตกเป็นองค์ประกันของแผ่นดินแทนพระนเรศวร และต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของ นันทบุเรง (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) ที่สืบสานราชบัลลังก์ต่อจาก บุเรงนอง (สมภพ เบญจาธิกุล) ผู้พ่อ ที่บัดนี้กลายเป็นกษัตริย์พม่าที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมและเกรี้ยวกราด หมายที่จะบุกเข้าตีและยึดครองอโยธยาให้ราบเป็นหน้ากลองให้จงได้

          การทุ่มสุดตัวกับการถ่ายทอดการแสดงในระดับที่เรียกได้ว่าที่สุดในชีวิตของ สาวเกรซ เพราะทุกฉากทุกซีนล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่เข้มข้น ถึงขนาดยอมรับว่าทำให้หลงรักในศาสตร์การแสดงจากการได้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้

          “แน่นอนว่าสำหรับโปรเจ็คต์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เปลี่ยนชีวิตเกรซ จากที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง คนทั่วไปอาจจะรู้จักเกรซในบทบาทของพิธีกรหรือว่าถ่ายแบบ เป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าบ้าง แต่ว่าถ้าพูดถึงในเรื่องของการแสดงนี้ก็เป็นจุดพลิกที่ทำให้คนรู้จักเยอะขึ้นนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับบทเป็นพระสุพรรณกัลยา พอหนังเรื่องนี้ปรากฎออกไปครั้งแรก เกรซก็ได้รับของที่เกี่ยวกับพระสุพรรณกัลยาเยอะมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นภาพ ล็อกเก็ต หรือเป็นบทสวด มีคนเอามาให้เกรซเต็มเลยค่ะเยอะมาก แล้วก็มีภาพภาพหนึ่งเขาฝากมาทางคุณปีเตอร์ นพชัยนะค่ะ มาจากพม่า ก็คือเป็นภาพพระสุพรรณฯที่เป็นตัวเกรซใส่ชุดไทยนะคะ แล้วก็ประดับด้วยพลอยทั้งภาพเลย แล้วก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเป็นใครก็ต้องขอบคุณด้วยนะคะที่ส่งมาให้ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตก็คือ เรื่องการแสดงจากที่ตอนแรกไม่เคยรับเลยแล้ว เราก็ไม่คิดที่จะทำด้วยก็กลายเป็นว่าเปิดโลกทัศน์ให้เกรซเยอะมากค่ะ รู้สึกว่าการแสดงเป็นศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส แต่พอได้สัมผัสเลยรู้ว่าการแสดงมันมีเสน่ห์ มีความรู้สึกว่าถ้ามีเรื่องต่อไปที่เราเหมาะก็อยากจะทำ อยากจะแสดงขึ้นมาทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่างานแสดงกับเรานี้จะไปด้วยกันได้”

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับครูอย่างท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล

          “ท่านมุ้ยเป็นสุดยอดผู้กำกับ มีความละเอียดในการทำงาน และเป็นคนที่น่ารัก และคอยเอาใจใส่นักแสดงทุกคน มีอยู่วันหนึ่งในการถ่ายทำที่เมืองกาญจนบุรีอากาศร้อนมาก เราถ่ายทำกันในโรงถ่ายที่เราเซ็ทขึ้นมาเป็นห้องบรรทมของพระสุพรรณฯ ซึ่งแน่นอนว่าก็จะไม่มีแอร์อยู่แล้วเพราะต้องเก็บเสียง แล้วในการถ่ายทำก็จะมีควันมีเอฟเฟ็คต์ อากาศร้อนมาก มีทีมงานอยู่กันเป็นร้อยชีวิต หายใจกันไม่ค่อยออก ออกมานี่เหงื่อท่วมตัวไปหมดเลยค่ะ เมคอัพคือหลุดไปเลย วันนั้นเกรซร้อนแล้วรู้สึกเหนื่อย เพราะว่าไม่ได้นอนมาหลายวัน เราถ่ายทำถึงเช้าตลอด แล้วท่านก็อยากมาให้กำลังใจ ท่านก็เดินมาลงนั่งแบบขัดสมาธิข้างกล้องค่ะ ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวฉันจะกำกับเธอจากตรงนี้แหละ แล้วเกรซก็บอกว่าถ้าท่านมานั่งตรงนี้เกรซยิ่งไม่กล้าใหญ่เลย ท่านก็พูดว่า อ้าวจริงเหรอ ปกตินักแสดงถ้าผู้กำกับเข้ามาแล้วจะรู้สึกเหมือนให้กำลังใจ ท่านก็พยายามช่วยทุกวิถีทางค่ะเพื่อให้นักแสดงเล่นไปได้ ด้วยความน่ารักของท่านเราก็มีกำลังใจขึ้น แล้ววันนั้นซีนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ แล้วมีอีกหลายๆ ซีนค่ะ ที่ต้องใช้อารมณ์”

          ติดตามอีกหนึ่งความสามารถทางด้านการแสดงแบบทุ่มสุดตัวในทุกๆ ฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความเข้มข้นของ เกรซ มหาดำรงค์กุล ในบทบาทของ พระสุพรรณกัลยา ผู้ที่เต็มไปด้วยความเสียสละเพื่อแผ่นดินใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี 29 พ.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์

FB on April 21, 2014, 10:58:07 AM






« Last Edit: April 28, 2014, 03:27:42 PM by FB »

FB on April 21, 2014, 11:43:52 PM
ภาพคาแรคเตอร์ ฝ่ายไทย ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี








   
          ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี

          พร้อมมิตร โปรดักชั่น และ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล สู่บทสรุปของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอ็คชั่นอิงประวัติศาสตร์เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสยามประเทศจาก “องค์ประกันหงสา” ปฐมบทของตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สู่ “ยุทธหัตถี” มหาศึกแห่งประวัติศาสตร์ เนรมิตโปรดักชั่นงานสร้างสุดอลังการถ่ายทอดตำนานการศึกสงครามกู้ชาติและปกป้องผืนแผ่นดินในประวัติศาสตร์ชาติไทยของ “องค์ดำ-สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” กษัตริย์นักรบที่คนไทยเคารพรักและศรัทธามากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล

          ในปีพ.ศ.2129 พระเจ้านันทบุเรงทรงแค้นเคืองที่ต้องปราชั¬ยต่อสมเด็จพระนเรศฯอย่างย่อยยับ ทั้งต้องเสียไพร่พลและพระสิริโฉม จึงระบายความแค้นนั้นไปที่องค์พระสุพรรณกั¬ลยา เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาทราบค¬วามก็ให้โทมนัสด้วยสำนึกว่าชะตากรรมของพระ¬ราชธิดาและแผ่นดินอยุธยาที่ถูกกระทำการย่ำ¬ยีก็ด้วยเพราะพระองค์ทรงแปรพักตร์ไปเข้าข้¬างศัตรู จนตรอมพระทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศฯจึงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติค-รองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากพระราชบิดา

          ข่าวการผลัดแผ่นดินของอยุธยารู้ไปถึงพระเจ้านันทบุเรง พระองค์สำคัญว่าราชอาณาจักรสยามจะไม่เป็นป¬กติสุขเป็นช่องชวนชิงเชิงจึงโปรดให้มังสาม¬เกียดอุปราชเจ้าวังหน้ากรีฑาทัพไปตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ ข้างสมเด็จพระนเรศฯทรงโปรดให้พระราชมนูแต่¬งพลเป็นทัพหน้าขึ้นไปดูกำลังข้าศึกถึงหนอง¬สาหร่าย ทัพหน้าพระราชมนูปะทะเข้ากับทัพพม่าถึงขั้¬นตะลุมบอน แต่กำลังข้างพระราชมนูน้อยกว่าจึงแตกพ่ายถ¬อยลงมาเป็นอลหม่าน สมเด็จพระนเรศฯทราบความจึงออกอุบายให้ทัพข้าศึกไล่เตลิดลงมาจนเสียกระบวนแล้วจึงทรงนำกำลังออกยอทัพข้าศึก ครั้งนั้นช้างทรงของสมเด็จพระนเรศฯ นามเจ้าพระยาไชยานุภาพ และช้างทรงของสมเด็จพระเอกาทศรถคือเจ้าพระ¬ยาปราบไตรจักรต่างตกน้ำมัน วิ่งร่าเบกพลฝ่าเข้าไปในทัพพม่ารามัญกลางว¬งล้อมข้าศึกและหยุดอยู่หน้าช้างพระมหาอุปร¬าชา สมเด็จพระนเรศฯ จึงประกาศท้าพระมหาอุปราชแ¬ห่งหงสาให้ออกกระทำยุทธหัตถีเป็นพระเกียรติยศแก่แผ่นดิน ด้วยขัตติยมานะพระมหาอุปราชาก็ไสพระคชาธาร¬ออกทำคชยุทธด้วยสมเด็จพระนเรศฯ ขณะที่มังจาปะโร พระพี่เลี้ยงองค์สมเด็จพระมหาอุปราชได้ออก¬ทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระเอกาทศรถสัประยุทธ์กันเป็นสองคู่ สู่มหาศึกคชยุทธ์ที่มีแผ่นดินเป็นเดิมพัน

          ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี พร้อมประจักษ์ทุกสายตาผองไทยทั้งปฐพี 29 พฤษภาคม 2557 นี้

          สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พันโทวันชนะ สวัสดี)
          “ข้าจะสู้ศึกหงสาวดี จนกว่าอริราชศัตรูจะพ่ายสิ้น ข้าจะไม่ยอมให้พม่ารามัญคืนความเป็นใหญ่เหนืออโยธยาอีกเป็นอันขาด”
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้แสดงพระปรีชาสามารถจนเป็นที่ประจักษ์มากที่สุดในศึกครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะความสามารถการคิดอ่านเป็นเลิศในกลเกมวางแผนการรบ รวมไปถึงอัจฉริยภาพและความเด็ดเดี่ยวในฐานะผู้นำที่ปกครองบริหารแผ่นดินให้คงความเป็นไทยเสมอมา ในขณะเดียวกันก็จะได้เห็นสายใยความผูกพันของพระนเรศวรกับสหายศึกที่เติบโตมาด้วยกันอย่างพระราชมนู และความรักที่มีต่อพระมเหสีอย่างมณีจันทร์
          กล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษกับการถ่ายทอดชีวิตและตัวตนของกษัตริย์นักรบไทยอันเป็นที่รักอย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงยากที่จะหานักแสดงคนใดที่จะลบภาพของ ผู้พันเบิร์ด - พันโทวันชนะ สวัสดี ไปได้ ผู้ทำหน้าที่ถ่ายทอดการแสดงที่สมบทบาท และการสื่อให้ทุกคนได้รู้จักอีกแง่มุมหนึ่งของสมเด็จพระนเรศวรได้อย่างสนิทใจ

          มณีจันทร์ (ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ)
          สตรีผู้เป็นดั่งดวงแก้วของพระนเรศวร ผู้อยู่เคียงข้างและคอยดูแลพระองค์เสมอมา แม้กระทั่งในยามสุขและยามศึก จนเรียกได้ว่าเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีอิทธิพลต่อพระราชดำริของพระนเรศวรมากกว่าผู้ใด ภายหลังการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มณีจันทร์ ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นพระมเหสี
          แอฟ - ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ ถ่ายทอดความเป็นพระมเหสีของกษัตริย์ผู้หาญกล้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งกิริยาอันอ่อนหวานและเต็มไปด้วยความงดงามเสมือนหนึ่งเจ้านางชั้นสูงที่มีชีวิตอยู่จริงในครั้งนั้น

          พระราชมนู หรือ บุญทิ้ง (นพชัย ชัยนาม)
          “นับแต่ชาตินี้และทุกชาติไป ไอ้ทิ้งจะขอเกิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร จะพลีกายถวายตัวเป็นข้าใต้เบื้องพระยุคลบาททุกชาติภพ”
ชะตากรรมที่ดำเนินต่อของพระสหายคู่ใจที่ร่วมกรำศึกใหญ่น้อยเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมเด็จพระนเรศวรมาทั้งชีวิต หลังจากพลาดท่าเสียทีถูกพม่าข้าศึกจับไปเป็นเชลยในภาคที่แล้ว ก่อนจะกลับมาออกรบในฐานะทหารเอกได้อีกครั้ง สะท้อนถึงการแสดงออกของความจงรักภักดี อันเต็มไปด้วยความเสียสละและทุ่มเทชีวิตให้กับพระนเรศวรอย่างหาผู้ใดเทียบได้
          ปีเตอร์ - นพชัย ชัยนาม กลับมาพร้อมกับการแสดงอันลุ่มลึก แต่เต็มไปด้วยพลัง ทั้งฉากรบและฉากอารมณ์ ซึ่งถือเป็นตัวละครสำคัญที่สร้างเสน่ห์ให้กับภาพยนตร์และทำให้ผู้ชมหลงรักมากที่สุดตัวละครหนึ่งทีเดียว

          เลอขิ่น (ทราย เจริญปุระ)
          เธอทุ่มเทชีวิตและหัวใจให้กับการรบดุจดั่งชายอกสามศอก แม้กายจะเป็นหญิง แต่เลือดนักสู้ของ เลอขิ่น หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใดในสนามรบ ทั้งความภักดีที่มีต่อสมเด็จพระนเรศวร และความรักที่มีต่อพระราชมนูที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ถึงขนาดลักลอบเข้าไปยังค่ายหงสาเพื่อสืบหาว่าพระราชมนูจะเป็นตายร้ายดีเยี่ยงใด
          อีกหนึ่งตัวละครที่สร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ จากการแสดงแบบทุ่มสุดตัวของนักแสดงหญิงมากฝีมืออย่าง ทราย เจริญปุระ ทั้งฉากแอคชั่นท่ามกลางศึกสงคราม จับดาบฟาดฟันศัตรูยิงธนูขี่ม้า รวมไปถึงฉากที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกด้านความรักอย่างเข้มข้น

FB on April 22, 2014, 02:40:03 PM
ยุทธหัตถีสุดเข้มข้นได้ ผู้พันเบิร์ด, แอฟ, ปีเตอร์, ทราย ร่วมถ่ายทอดความรักความผูกผันของสมเด็จพระนเรศวรที่มีต่อสหายศึกพระราชมนู








 
           นอกจากฉากมหาศึกยุทธหัตถี ที่จะปรากฎสู่สายตาผู้ชมอย่างเต็มรูปแบบหลังจากเฝ้ารอคอย กันมาใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” ท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ยังคงให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดของเรื่องราว และตัวละครที่ดำเนินสืบเนื่องต่อไป ตามชะตากรรมของทุกตัวละครสำคัญในภาพยนตร์ พร้อมกับทรงให้น้ำหนักให้เห็นแง่มุมของอารมณ์ และความรู้สึก ตลอดจนความผูกผันที่แต่ละตัวละครมีต่อกัน อันเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญนำไปสู่เหตุการณ์ที่เป็นจุดพลิกผัน และไคล์แม็กซ์ของเรื่องราวที่ผู้ชมจะได้เต็มอิ่มกับความเป็นภาพยนตร์ที่มีความครบทุกรสชาติ และสมบูรณ์ที่สุด

          และอีกหนึ่งฉากสำคัญของภาพยนตร์ ที่ท่านมุ้ยทรงตั้งใจถ่ายทอดให้ผู้ชมได้รับรู้ และสัมผัสถึงความรักความผูกผันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีต่อพระสหายที่เติบโต และร่วมศึกสงครามเคียงข้างกันมา ขณะเดียวกันก็จะได้เห็นความรักความผูกผันของทหารเอกคู่ใจ ที่เทิดทูนพระนเรศวรเหนือสิ่งอื่นใด และพร้อมยอมที่จะเสียสละชีวิตเพื่อพระองค์ โดยมี4นักแสดงหลักของภาพยนตร์ อย่าง ผู้พันเบิร์ด วันชนะ สวัสดี, แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์), ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม และทราย เจริญปุระเข้าฉากร่วมกัน และแน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่งฉากที่ไม่เพียงทำให้ผู้พันเบิร์ดที่รับบทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจุกอกและยกให้เป็นอีกหนึ่งฉากประทับใจแต่นักแสดงทุกคนที่เข้าฉากร่วมกันต่างรู้สึกตื้นตันไปกับเหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฉากนี้และต่างร่วมกันถ่ายทอดการแสดงออกมาได้อย่างซาบซึ้งและกินใจเลยทีเดียว

          “กับอีกฉากๆ หนึ่งนะครับ เป็นฉากที่ผมจะพูดถึงนักแสดงท่านหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามีฝีไม้ลายมือในการเล่นถือได้ว่าเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยเลยในปัจจุบัน หลายคนอาจคิดไม่ถึงเขา เพราะเขาไม่ค่อยได้เล่นหนังเยอะมาก คนๆ นี้แหละถ้าในใจผมนะที่ 1 ของประเทศไทยเลย เชื่อผม การันตีเลยคุณนพชัยที่เล่นเป็นไอ้บุญทิ้งนะครับ ฉากๆ นี้เราจะได้เห็นอีกมุมๆ หนึ่งของพระนเรศวรที่เป็นคนธรรมดา เป็นฉากที่ท่านตั้งใจถ่ายทอดความรักของเพื่อนสนิทที่เคยเป็นเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก เคยร่วมเป็นร่วมตายเคยเสียสละชีวิตของมันเพื่อเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราแลกกับมันได้ คืออะไรรู้ไหมครับ คือชีวิตของเรา เราให้กันด้วยชีวิต ให้กันด้วยจิตใจ ภายใต้ความเป็นเพื่อนและความเป็นนักรบ ผมเชื่อว่านักรบมีความเป็นสุภาพบุรุษ พอเราแลกกันด้วยชีวิตแล้ว ฉากนี้ภาพยนตร์พยายามที่จะแสดงออกให้คนดูได้เห็นถึงความเป็นคนธรรมดาของพระนเรศวร ความเป็นตัวตนของคนธรรมดาคนหนึ่งเพื่อไปหาบุญทิ้ง แต่ความจงรักภักดีที่บุญทิ้งมีต่อพระมหากษัตริย์ไม่แปรเปลี่ยน ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน พระนเรศวรเป็นคนธรรมดามาหาบุญทิ้ง แต่บุญทิ้งไม่แสดงความเป็นเพื่อนเลยนะ บุญทิ้งคือสหายคือเพื่อนสนิท แต่ความจงรักภักดีที่บุญทิ้งมีให้ต่อพระนเรศวร คือความเป็นข้ารองบาทที่แสดงออกแบบบ่าวรับใช้ที่พร้อมจะพลีกาย แล้วในขณะเดียวเราก็จะได้เห็นมุมมองของเลอขิ่นซึ่งเป็นคนรักของบุญทิ้ง ทั้ง 2 คนคุยกันเลอขิ่นบอกว่าสมแล้วที่เลอขิ่นกับพระราชมนูได้ถวายชีวิตให้กับพระนเรศวร ซึ่งจริงๆ แล้วเลอขิ่นไม่ได้เป็นคนไทยด้วยซ้ำ แต่ก็ซาบซึ้งและเห็นในความรักที่พระนเรศวรมีต่อประชาชนของท่าน เห็นความรักความเทิดทูนของบุญทิ้งที่มีต่อพระองค์ เราก็จะได้เห็นเลอขิ่นร่วมรบเคียงข้างกับบุญทิ้งในภาคนี้อีกเช่นกัน”

          และเชื่อว่าเมื่อผสมผสานกับสีหน้าแววตาน้ำเสียงของทั้ง 4 นักแสดงพร้อมไดอาล็อคสำคัญๆ ในฉากนี้มั่นใจว่าคนไทยรักชาติทุกคนต้องเกิดอาการจุกอกอย่างแน่นอนเตรียมพบกับความเข้มข้นของตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี 29 พ.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์

FB on April 27, 2014, 03:24:47 PM
ที่สุดแห่งความภาคภูมิใจ “ปีเตอร์” ยืนยัน “บุญทิ้ง” พร้อมคืนชีพกลับมาร่วมศึกใน “ยุทธหัตถี”




 
          เป็นตัวละครที่คนดูรักและชื่นชอบเป็นอย่างมากสำหรับ “บุญทิ้ง” หรือ “ออกพระราชมนู” จากการสวมชีวิต และถ่ายทอดการแสดงของพระเอกหนุ่ม “ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดคำถามค้างคาใจว่าตกลง “บุญทิ้งตายมั้ย?” สำหรับคนที่ลุกออกจากโรงภาพยนตร์ก่อนเครดิตช่วงท้ายของ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร 4 ศึกนันทบุเรง” จะขึ้นมาล้วนต่างเข้าใจเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้วมีการเฉลยอยู่กลายๆ หลังชื่อเครดิตทีมงานนักแสดง

          จนถึง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” ออกพระราชมนูสหายคู่ใจ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะกลับมาอีกครั้งเพื่อร่วมเป็นกำลังสำคัญในการรบ โดยในภาคนี้นอกจากจะฟื้นคืนชีพแล้ว เราจะได้เห็นความรักความผูกผัน และความเสียสละแบบถวายหัว ที่บุญทิ้งมีต่อพระนเรศวร และเห็นมุมมองความรู้สึกตลอดจนความรักความห่วงใย ที่พระองค์มีต่อพระสหายที่เติบโต และร่วมศึกกันมาทั้งชีวิตโดยงานนี้ปีเตอร์พระเอกหนุ่มของเราที่ยอมรับว่ารักและผูกผันในตัวละครตัวนี้ ที่มีโอกาสได้ถ่ายทอด และอยู่คู่กันมาตลอดกว่า 10 ปีจนรู้สึกว่านี่คือบทบาทที่ไม่เพียงยาก และท้าทาย แต่เป็นบทบาทที่รู้สึกภูมิใจมากที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว

          “สำหรับปีนี้ปีที่ 10 แล้วสำหรับบทออกพระราชมนู จากครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปฝึกซ้อมอะไรต่างๆ จนกระทั่งได้เห็นบทของตัวละครนี้ ที่มีความจงรักภักดีร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์ท่าน รู้สึกบทนี้มันน่าสนใจดีแต่ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะมีโอกาสได้รับบทนี้ ก็ดีใจมากที่เราจะได้เป็นผู้ช่วยพระองค์ดำ ออกไปร่วมรบนะครับ สำหรับเรื่องความผูกพันกับตัวละครออกพระราชมนู ผมและเพื่อนๆ นักแสดงได้มีโอกาสทำการฝึกซ้อมต่างๆ แล้วก็ทำความเข้าใจกับบทกับตัวละคร โดยเฉพาะกับบทบุญทิ้ง หรือออกพระราชมนู ซึ่งต้องบอกว่าไม่เหมือนบทอื่นๆ คือตัวผมจะรู้สึกตลอดว่าเวลาเราแสดงบทไหน ก็จะมีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวใช่มั้ยครับ แต่สำหรับบทนี้ ด้วยความที่ตัวละครตัวนี้มีความรักพระนเรศด้วย มีความรักชาติด้วย ทำให้ตัวละครตัวนี้แตกต่างมากๆ แล้วเราก็อยู่กับมันมานานแล้ว เราก็รู้สึกว่ามันมีประสบการณ์ร่วมกับตัวละครเยอะ ในฉากยากๆ ต่างๆ นะครับ ที่เราต้องอาศัยกำลังใจเยอะ ทั้งฉากที่เราทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วก็เวลาที่เราพักถ่ายเราก็ยังคิดถึงตัวละครตัวนี้ แล้วก็ตัวละครอื่นๆ ด้วยนะ แล้วผมยังเชื่อมั่นว่าคงหาภาพยนตร์ที่ทำให้ได้แบบนี้ยาก ทั้งในแง่ของความยากในการถ่ายทำ และการตีความอะไรต่างๆ เป็นเป็นภาพยนตร์ และเป็นตัวละครที่ผมภูมิใจมาก”

          29 พฤษภาคมนี้ ร่วมภูมิใจไปกับ ปีเตอร์ นพชัย พร้อมให้กำลังใจให้กับ “บุญทิ้ง” ร่วมศึกครั้งสำคัญเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ทุกโรงภาพยนตร์”

FB on April 29, 2014, 03:57:28 PM
ท่านมุ้ยพร้อมทีมนักแสดงร่วมพิธีวางพวงมาลาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชคล้ายวันสวรรคตทำ “ยุทธหัตถี” เกาะติดประวัติศาสตร์สุดอลังการหนังไทยเรื่องสุดท้ายถ่ายทำด้วยฟิล์ม




 
          อีกเพียง 1 เดือนข้างหน้านี้แล้วที่คนไทยทั้งประเทศจะได้สัมผัสกับที่สุดแห่งภาพยนตร์อภิมหากาพย์สงครามอิงประวัติศาสตร์ที่ทุกคนรอคอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทสรุปของศึกคชยุทธ์ ที่สะท้อนถึงวีรกรรมอันหาญกล้า ระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระมหาอุปราชาใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” หลังจากที่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และ พร้อมมิตรโปรดักชั่น ร่วมกันนำเสนอภาพเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์นักรบผู้หาญกล้าอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยเปิดกล้องบวงสรวง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช องค์ประกันหงสา” ปรากฎสู่สายตาในรูปแบบภาพยนตร์เป็นครั้งแรก และเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของ

           “องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล อัจฉริยผู้กำกับที่ได้รับการยอมรับ และยกย่องมากที่สุดในวงการภาพยนตร์ผู้เปรียบได้กับครูใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ไทย และคุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการ บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมด้วยคุณากร เศรษฐี ผู้อำนวยการสร้าง และนักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี อาทิ พันโท วันชนะ สวัสดี, นพชัย ชัยนาม, ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ, เกรซ มหาดำรงค์กุล, นภัสกร มิตรเอม, พันเอก วินธัย สุวารี, ชลัฏ ณ สงขลา, นท.จงเจต วัชรานันท์ เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา และถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงช้างยุทธหัตถี ณ กองบัญาชาการ กองทัพไทย ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ท่านมุ้ยทรงควบคุมดูแลในส่วนขั้นตอนสุดท้ายของภาพยนตร์ ในกระบวนการทางด้านโพสต์โปรดักชั่น หลังการถ่ายทำด้วยตัวท่านเอง โดยงานนี้ท่านมุ้ยได้เปิดโอกาสให้เหล่าสื่อมวลชนได้พูดคุยสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกในการมาร่วมงานในวันนี้รวมไปถึงการทำงาน และรายละเอียดความน่าสนใจของเรื่องราวภาพยนตร์ที่แฟนๆ จะได้ชมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี จะกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ถายทำในรูปแบบฟิล์มภาพยนตร์

          “วันนี้ก็เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ท่านครับ เราก็เลยมาสักการะครับ ก็มากันทั้งหมดนะครับ กับภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ตั้งแต่ผู้พันเบิร์ดอยู่ร้อยเอกจนกระทั่งตอนนี้กลายเป็นพันโทไปแล้วครับ หรืออย่างคุณแอฟนี่ก็ตั้งแต่ใส่ชุดนิสิตทีแรกนึกว่าผูกคอซองมา (หัวเราะ) จนใส่ชุดเจ้าสาวแล้ว ที่นานหรือช้าเพราะเราเจอปัญหาในส่วนของ CG ที่ทำไปแล้วโดนไฟไหม้หมดเลยนะครับ ทำให้เราต้องเริ่มจากศูนย์ ก็ต้องไปตามหาช็อตที่ถ่ายทำไปแล้วมาทำ CG ใหม่ ต้องบอกว่าเราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นในช่วงรอยต่อทางเทคโนโลยีนั่นคือเราถ่ายทำด้วยระบบฟิล์ม เพราะฉะนั้นถ้าถึงตรงนี้นะครับ หนังเรื่องนเรศวรที่เราจะได้ดูกันนี่ก็คือ หนังเรื่องสุดท้ายอาจจะเป็นของโลกเลยก็ว่าได้นะครับ ที่ใช้ฟิล์มในการถ่ายทำ ความน่าสนใจที่หลายคนเฝ้าติดตามคือ เราจะได้เห็นศึกยุทธหัตถีบนจอภาพยนตร์ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมาก สามเดือนที่เราถ่ายทำนี่ที่คุณเบิร์ด คุณตั๊ก คุณต๊อด ต้องขึ้นช้างถ่ายเฉพาะชนช้างอย่างเดียวนะครับ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงเลย เอาแต่ชนช้างอย่างเดียว คือมันไม่ใช่ของง่ายๆ นะครับ มันยากจริงๆ พอเราได้ทำแล้วเราเลยความรู้สึกตรงนี้เลยว่าว โอ้โห สมเด็จพระนเรศวรนี่ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะว่าท่านไม่ได้เอาช้างธรรมดา ท่านเอาช้างตกมันเลยนะครับ ถ้าใครที่คุ้นเคยหรือผ่านการทำงานกับช้างจะรู้เลยว่าช้างตกมันนี่ยากที่จะควบคุมนะครับ ส่วนฉากอื่นที่น่าสนใจนอกจากยุทธหัตถีแล้ว ก็จะมีฉากที่พระนเรศวรไปโจมตีค่ายของนันทบุเรงนะครับ ซึ่งจะอยู่ในตอนนี้ ร่วมกับชนช้าง ซึ่งพระนเรศวรท่านคุมกองทัพเรือทั้งหมดนะครับ ทั้งของไทยของเทศ เข้ามาโจมตีค่ายของนันทบุเรงซึ่งมีกำลังหนุนสามแสนก็เป็นฉากรบใหญ่ๆ อีกที่จะได้ดูกัน ก็จากจุดเริ่มต้นที่เราเรียกว่าตำนานเพราะว่าการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มักจะมีข้อโต้แย้งได้มากนะครับ แต่จริงๆ แล้วในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เราพยายามจะติดตาม ศึกษาค้นคว้าอ้างอิงจากข้อมูลหลักฐานในพงศาวดารให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ไปเขียนอะไรเพิ่มเติมมากเกินไป เพราะฉะนั้นคาแรคเตอร์ที่เราเห็นในภาพยนตร์แต่ละตัวมีตัวตนจริงๆ อย่างบทที่คุณปีเตอร์ถ่ายทอดออกมาเป็น พระราชมนูหลายคนไม่รู้มีตัวตนจริงนะครับ ไม่ใช่ว่าเป็นตัวที่เราใส่เข้าไปซึ่งก็เป็นมือขวาของพระนเรศวรนะครับ ก็คงจะพูดได้ว่าการทำภาพยนตร์เรื่องนี้คือความพยายามที่จะเกาะติดประวัติศาสตร์ออกมาให้มากที่สุดครับ”

          29 พฤษภาคม นี้สิ้นสุดการรอคอยสำหรับคนไทยรักชาติกับภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ของกษัตริย์นักรบอันเป็นที่รักของคนไทย “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” ทุกโรงภาพยนตร์