FB on April 30, 2014, 02:46:59 PM
ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่คู่กับการดำเนินชีวิตของผมเกือบทั้งชีวิต 11 ปี มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นี่ ผู้พันเบิร์ด-พันโทวันชนะ สวัสดี “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”
 




          Q. ช่วยอัพเดทสถานภาพปัจจุบันของผู้พันเบิร์ดให้เราฟังกันก่อน
          A. สวัสดีครับ พันโทวันชนะ สวัสดี หรือผู้พันเบิร์ดนะครับ ผลงานปัจจุบันนี้ก็มีภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี รวมถึงละครเรื่องพันท้ายนรสิงห์ก็เล่นเป็นพระเจ้าเสือ ก็คือเป็นกษัตริย์ของอีกยุคหนึ่งนั้นเอง เพราะว่าผมรู้ที่มาที่ไปของอยุธยาตั้งแต่พระนเรศวรแล้ว เพราะฉะนั้นผมไปเล่นเป็นพระเจ้าเสือนี่รู้เลยว่าบรรพบุรุษทำอะไรกันมาบ้าง มีอะไรเป็นมายังไง นี่คืองานทางด้านการแสดง งานแสดงบันเทิงอีกหนึ่งคือติดตามผมได้จากพิธีกรตามรายการต่างๆ ก็จะมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ส่วนเรื่องงานทางการทหารซึ่งผมบอกเสมอครับว่าอาชีพทหารนี่เหมาะกับผมมากกว่าในงานบันเทิง ตอนนี้ผมเป็นผู้บังคับกองพันนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก ซึ่งมีหน้าที่ในการปลูกฝังอุดมการณ์ให้กับนักเรียนนายร้อยที่จะจบไปเป็นนายทหารในอนาคต มีหน้าที่ที่จะนำประสบการณ์จากการทำงานทั้งหมดของผมไม่ว่าจะประสบการณ์จากงานบันเทิง จากปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประชาชน การทำงานให้กับกองทัพบกของภารกิจต่างๆ ที่ตอบสนองให้กับประเทศชาติในการปราบปรามยาเสพติด ต่อต้านการก่อการร้ายข้ามชาติ ต่อสู้ภัยพิบัติอันเนื่องมาจากธรรมชาติ ฯลฯ เอาประสบการณ์เหล่านี้ไปสอนให้น้องๆนักเรียนนายร้อยเรียนจบออกมาเป็นนายทหารที่มีคุณภาพ

          Q. ในมุมมองของผู้พันเบิร์ด เมื่อเอ่ยชื่อท่านมุ้ยมจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ศิลปินแห่งชาติ ผู้กำกับระดับครูซึ่งเป็นที่ยอมรับและคร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มากว่า5ทศวรรษ
          A. ผมน่าจะรู้สึกไม่ได้แตกต่างจากคนไทยทั่วไป คือถ้าเอ่ยชื่อท่านมุ้ยทุกคนจะนึกถึงความละเอียดในการทำงานนึกถึงความพิถีพิถันในการถ่ายทำ รวมถึงรายละเอียดของการทำข้อมูลก่อนที่จะมาถ่ายทำภาพยนตร์ ส่วนตัวเองต้องบอกว่าเคยเห็นผลงานของท่านมุ้ยน้อย แต่พอได้มาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้จึงกลับไปดูผลงานของท่านมากขึ้นและเก็บรายละเอียดในการถ่ายทำของท่านมากขึ้น ผมเชื่อว่าผกก.แต่ละคนก็จะมีสไตล์และวิธีการถ่ายทำของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน ของท่านก็มีสไตล์ของท่านโดยเฉพาะเจาะจงด้วยมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวท่านส่วนหนึ่ง

          Q.พูดถึง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” อภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย
          A. ในแต่ละภาคก็จะมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันก็ จะมีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการตามพงศาวดารประวัติศาสตร์ เรื่องนี้ผมว่าผกก.ต้องการจะถ่ายทอดเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ควบคู่กับการทำภาพยนตร์คือต้องการให้ได้ทั้งความรู้ทางประวัติ ศาสตร์ด้วย และให้ได้อรรถรสของความเป็นภาพยนตร์ด้วยคือครบรส คือมีทั้งรัก โกรธ มีแอ็คชั่น มีดราม่า มีความหวงแหน มีทุกๆอารมณ์ ซึ่งต้องการที่จะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เขาเรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของประเทศชาติของเรา และในส่วนที่หายไปในประวัติศาสตร์เป็นช่องว่าง แต่สิ่งที่แทรกเข้าไปนั้นเป็นข้อสันนิษฐานที่มีเหตุผลรองรับซึ่ งวันหนึ่งข้างหน้าผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อีก 100 ปีข้างหน้า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทย

          Q. การเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทุกคนกล่าวถึงรับบทบาทสำคัญอย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตอย่างไรบ้าง
          A. พอเรามายืนจุดนี้แล้วมองย้อนกลับไปเมื่อเทียบกับชีวิตก่อนแสดงภาพยนตร์ชีวิตเปลี่ยนไปมาก แต่เปลี่ยนไปมากแบบค่อยๆ ทั้ง 2 อาชีพนี้มีข้อที่เหมือนกัน นั่นก็คือความมีระเบียบวินัย มันจะช่วยให้ประสบความสำเร็จ คือปกติถ้าผมเป็นทหารโดยทั่วไปก็จะมีสื่อที่ตามผมที่เป็นสื่อสายการเมือง สื่อในสายทหาร แต่เมื่อเป็นนักแสดงแล้วก็จะมีสื่อบันเทิงตามส่วนหนึ่ง ก็จะมีโอกาสที่จะนำเรื่องราวของกองทัพได้บอกกล่าวกับอีกสื่อหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นข้อเสริมในการทำงานของผม แล้วก็ถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่คู่กับดำเนินชีวิตของผมเกือบทั้งชีวิต เพราะว่าพอเริ่มต้นทำงานได้สัก 5 ปี ชีวิตก็เริ่มดำเนินมาคู่กันกับการทำงานทางด้านทหารและการทำงานทางด้านการแสดงภาพยนตร์มาอีก 10 ปี เริ่มแต่งงานก็ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีลูกก็อยู่ในช่วงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ปัจจุบันลูกชายก็อายุ 8 เดือน ก็ยังโชคดีนะครับที่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

          Q. ช่วงเวลากว่า 1 ทศวรรษที่ผ่านไปกับภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากตรงนี้ และคิดว่าประสบการณ์จากการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ให้อะไรกับเราบ้าง
          A. จริงๆผมถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นทำให้เราได้มีความสนิทสนมกับทีมงาน เราเรียกได้ว่าทีมงานเป็นครอบครัวใหญ่ โดยมี มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ้ย เป็นหัวหน้าครับ อาจจะมีปัญหาหลายๆ อย่างเกิดขึ้นมากมายตลอด 11 ปี ท่านก็เป็นผู้ที่แก้ไขทุกปัญหา อีกส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญเหมือนกันก็คือหม่อมบี๋ (หม่อมกมลา ยุคลฯ โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์) ภรรยาของท่านมุ้ยก็ช่วยแก้ปัญหาหลายๆ อย่างให้มันเสร็จสิ้น ให้มันลุล่วงไปด้วยดี หลายๆคนทั้งตัวประกอบหรือทีมงานอื่นๆ นักแสดงอื่นๆ เกิดขึ้นที่นี่ แต่งงานที่นี่ มีลูกที่นี่ ผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเป็นชีวิต 11 ปีถ้าเปรียบเทียบกับเด็กคนหนึ่ง ก็เกือบจะจบประถมแล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องมีเรื่องราวเรื่องเล่ามากมาย ผมก็จะมีหน้าที่ในการที่จะไปเป็น สแตนด์อินก็คือไปเป็นเหมือนกับอายไลน์ ให้กับนักแสดงคนอื่นๆ ผมเชื่อว่าท่านมีกุศโลบายในการถ่ายทำได้เก่งมากๆ เพื่อให้ผมได้ชินกับกอง ชินกับไฟ ชินกับกล้อง ไปยืนอ่านบทคนอื่น ท่องให้เขาได้ต่อบทกัน เหมือนเป็นผู้ช่วยนักแสดงนะครับ เพื่อให้เกิดความชิน 2 ปี การถ่ายทำของท่านไม่ได้เรียงตามเรื่อง คือผมเป็นนักแสดงใหม่ ฉากแรกที่เข้าอาจจะไม่ค่อยคล่อง ท่านเอาฉากท้ายๆ ก่อนแต่พอผมเริ่มดีขึ้นบางส่วนแล้วจะมาอยู่ตรงหัวต้นเรื่อง ทุกคนเชื่อแล้วก็จะดูกลมกลืนกันไป ผมคิดว่าท่านใช้เทคนิคแบบนี้ในการกำกับในการถ่ายทำภาพยนตร์ นักแสดงมีปัญหากันเราก็ช่วยกันแก้ปัญหานะครับ

          Q. ในการที่จะต้องถ่ายทอดการแสดงในบทบาทของกษัตริย์นักรบ อย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้มีการพูดคุยหรือหารือกับท่านมุ้ยถึงแนวทางในการค้นหาบุคคลิกคาแรคเตอร์ตัวตนของท่านที่เราจะถ่ายทอดออกมาอย่างไรบ้าง
          A. คือท่านมุ้ย กับผมได้คุยกันว่าคาแรคเตอร์ที่เป็นหลักของพระองค์ที่เราทิ้งไม่ได้ เช่น พระองค์มีความเสียสละ พระองค์มีความกล้าหาญ พระองค์มีความเป็นผู้นำสูงในการที่จะนำกองทัพ ทหารไทยกลัวพระนเรศวรมากกว่ากลัวตาย พระองค์เป็นคนดุด้วย เด็ดขาด กล้าหาญ เสียสละ อันนี้เป็นบุคลิก ลักษณะของคนคนหนึ่งที่เราทิ้งไม่ได้ แต่ในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนั้นมันจะซ้อนไปด้วยความเป็นชีวิตจริงของคนที่เราละเลยไม่ได้ด้วย พระนเรศวรเป็นเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาในช่วงที่น้าเสียชีวิต ลุงเสียบัลลังก์ พ่อถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎไปเข้ากับบุเรงนอง พี่สาวก็ถูกเอาไปเป็นตัวประกัน สภาวะแวดล้อมของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เกิดมาแล้วตัวเองก็เคยถูกไปเป็นตัวประกันด้วย นี่คือความกดดันที่เกิดขึ้น เขาจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร แล้วพระองค์มีความเมตตา แต่บางครั้งต้องมีความเด็ดขาดพระองค์ไม่ยอมสูญเสียเอกราชอีก
พอมีความรักกับ มณีจันทร์การแสดงความรักภายใต้ความเด็ดเดี่ยว ต้องเก็บความรู้สึก แต่ต้องพยายามแสดงให้คนรักของเราได้รู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร แต่ก็รักเขามากที่สุดหัวใจเหมือนกัน คือคาแรคเตอร์ที่พยายามสอดแทรกเข้าไป แต่สิ่งหนึ่งที่ละเลยไม่ได้เลยก็คือความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา มีโกรธมีเสียใจมีร้องไห้แล้วก็มีเรื่องของความใจอ่อน มันก็เกิดขึ้นได้ มณีจันทร์ก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นทั้งกำลังใจให้กับพระนเรศวร เป็นทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของพระนเรศวร

          Q. ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยุทธหัตถีคนดูจะได้สัมผัสกับเรื่องราวและเหตุการณ์อะไรในภาคนี้
          A. ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะถ่ายทอดความรักให้คนดูได้เห็นว่า ความรัก และความเมตตา ที่นักรบมีให้แก่กันมันแลกกันด้วยใจ พระองค์นั้นมีความรักให้กับทุกคน แต่วัตถุประสงค์เดียวเลยคือต้องการให้อยุธยาเป็นเอกราช และพระองค์เองนึกอยู่เสมอว่าประเทศอยู่ได้ตัวเราอยู่ได้ ความรักในฐานะพระมหากษัตริย์ที่มีต่อไพร่ฟ้าประชาชน สหายคู่ศึก ซึ่งเราจะเห็นความรักความเป็นเพื่อนที่พระนเรศวร มีต่อพระราชมนูเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก เคยร่วมเป็นร่วมตายเคยเสียสละชีวิตของเค้าเองเพื่อพระนเรศวร ภาคนี้เราเราจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของพระนเรศวรที่เป็นคนธรรมดา เพราะฉะนั้นสิ่งที่แลกกับมันได้คือชีวิต ให้กันด้วยจิตใจ ภายใต้ความเป็นเพื่อนและความเป็นนักรบ แต่ด้วยความจงรักภักดีที่บุญทิ้งมีต่อพระมหากษัตริย์ไม่แปรเปลี่ยน ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน คือความเป็นข้ารองบาทที่แสดงออกแบบบ่าวรับใช้ที่พร้อมจะพลีกาย การเป็นเพื่อนเป็นคู่คิดระหว่างพระนเรศวรที่มีต่อมณีจันทร์ ความรักระหว่างพระราชมนูกับเลอขิ่น ความรักระหว่างครอบครัวก็เกิดขึ้น เราจะเห็นความเป็นพ่อของพระมหาธรรมราชาที่มีต่อลูกก็คือพระนเรศวร และความรักของลูกที่มีให้กับพ่อ ในส่วนของหงสาวดีเราจะเห็นพระมหาอุปราชามีความรักและเทิดทูนนันทบุเรง ขณะเดียวกันนันทบุเรงก็จะเป็นพ่อแบบที่อยากให้ลูกมีความเข้มแข็ง เพียงแต่ว่ามีวิธีการแสดงออกที่ออกมาเป็นแบบนั้น เราก็จะได้เห็นถึงความจงรักภักดีที่ทหารทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองนะครับ หงสาวดีก็ทำหน้าที่ของหงสาวดี อโยธยาก็ทำหน้าที่ของเรา ในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีใครเป็นพระเอกไม่มีใครเป็นผู้ร้าย เพียงแต่ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้นเอง

FB on April 30, 2014, 02:48:01 PM
          Q. ภาคนี้นอกจากศึกใหญ่อย่างยุทธหัตถีที่ทุกคนรอคอย ก็ยังมีความเข้มข้นของเรื่องราวและชะตากรรมต่างที่เกิดขึ้นกับแต่ละตัวละครที่ดำเนินสืบไป
          A. เราจะได้เห็นถึงความรักที่พ่อมีต่อลูก ที่ตั้งของพระมหาธรรมราชาคืออโยธยาจะต้องอยู่อย่างมีเอกราช ประชาชนของพระองค์ต้องอยู่อย่างมีความสุข ซึ่งนั่นก็คือหน้าที่อย่างหนึ่งของพระเจ้าแผ่นดินนะครับ ความรักของพระมหาธรรมราชาที่มีต่อพระสุพรรณกัลยา (รับบทโดยเกรซ มหาดำรงค์กุล) ผมประทับใจมากเลย ในภาคที่ผ่านมาเราอาจจะสงสัยว่าทำไมพระมหาธรรมราชาถึงส่งลูกสาวไปเป็นองค์ประกันที่หงสา ภาคนี้เราจะได้เห็นจริงๆยังไม่อยากบอกไปดูในหนังดีกว่าซีนนี้ผมดูแล้วโอ้โหจุกครับ ความรักที่พระสุพรรณกัลยามีให้กับอโยธยาให้กับพระนเรศ พระสุพรรณกัลยามีความเชื่อมั่นในสมเด็จพระนเรศวรพระองค์จะนำมาซึ่งความเป็นเอกราช พร้อมที่จะออกหน้ารับแทนน้องทุกอย่างในขณะที่ตัวเอง ต้องยอมถูกกดดันทุกอย่างจากอีกฝั่งหนึ่ง ยอมทั้งพลีกาย ยอมทั้งถวายหัวใจให้ได้มาซึ่งความสุขของสยาม ในฝั่งของหงสาวดีก็ทำเพื่อหงสาวดี ถือว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีภูมิหลังที่ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากพระนเรศวรเลย แถมยังต้องไปอยู่ในเมืองของศัตรูที่เขาพยายามที่จะกดเมืองของตนเองให้อยู่ภายใต้การปกครองของเขาตลอดเวลา ในภาคนี้ก็จะได้เห็นบทบาทของพระสุพรรณกัลยามากพอสมควรครับ

          Q. เราจะได้เห็นถึงรายละเอียดในความผูกผันของผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่มีความสำคัญ
          A. เราก็จะมีการถ่ายทอดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคนกับสัตว์ หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่สมประกอบทางด้านร่างกายคือเป็นใบ้ และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องรบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือเป็นคนที่ร่างกายไม่ครบ 32 ก็ต้องสู้ และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญอีกที่เราต้องกล่าวถึง ละเลยไม่ได้เลยคือพระมหาเถรคันฉ่องซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระนเรศวร นอกจากกำลังใจที่ได้จากภรรยาแล้ว ความมั่นใจอีกอย่างหนึ่งคือในเรื่องการศึกการยุทธก็จะต้องไปถามพระอาจารย์ พระมหาเถรคันฉ่องจะมีความรักที่ให้กับพระนเรศวรเปรียบเหมือนกับพระนเรศวรเป็นลูก ผมก็คิดว่าพระนเรศวรก็รักพระมหาเถรเหมือนเป็นพ่อ และอีกบทบาทหนึ่งก็เป็นอาจารย์ก็จะไปขอคำปรึกษา แล้วพระมหาเถรก็จะให้คำปรึกษาที่ให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวังก็ต้องให้คนมีสติ

          Q.รู้สึกอย่างไรที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นศิษย์เอกของท่านมุ้ยอีกคนต่อจากพี่เอก-สรพงษ์, พี่นก-ฉัตรชัย มาจนถึงผู้พันบิร์ด-พันโทวันชนะ สวัสดี
          A. ถือว่าได้รับเกียรติจริงๆ ครับ มีคนเคยพูดครับว่าพี่เอก-สรพงษ์ พี่นก-ฉัตรชัย แล้วก็มาผู้พันเบิร์ดถือว่าเป็นศิษย์ของท่านมุ้ย ผมก็ไม่อยากปฏิเสธไมตรีที่ทุกคนมอบให้ แต่ก็ยังอายกับความรู้สึกนั้น ผมรู้สึกภูมิใจที่เราได้เป็นคนหนึ่งที่เป็นเหมือนลูกท่านมุ้ยที่เป็นผกก.ที่มีขีดความสามารถสูง เป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นอาจารย์ของหลายๆ คนในวงการบันเทิง ผมเองเมื่อมีโอกาสได้เล่นกับบุคคลเหล่านี้ เป็นเกียรติกับชีวิตของผม ทั้ง พี่เอก-สรพงษ์ พี่นก-ฉัตรชัย พี่ตั้ว-ศรัณยู พี่แอ๊ว-อำภา ภูษิต นักแสดงสมัยก่อนฝีมือเด็ดขาดมาก พี่ต้น-จักรกฤษณ์ พอเป็นภาพยนตร์แกละเอียดยิบเลย บทก็ยาวนะแต่เล่นถึง พี่ต้อย-เศรษฐา อาสีเทา

          Q. ในภาคยุทธหัตถี จะได้เห็นแง่มุมมองทางอารมณ์ความรู้สึกโดยเฉพาะทางด้านความรักความผูกผันที่พระองค์มีต่อคนรักอย่างมณีจันทร์ และพระสหายที่เติบโตมาด้วยกันอย่างบุญทิ้งด้วย และที่สำคัญจะได้เห็นผู้พันเบิร์ดเข้าฉากรักโรแมนติคกับน้องแอฟทักษอรด้วย
          A. พูดถึงฉากถวายตัวของมณีจันทร์ก่อน เราจะได้เห็นถึงความพิถีพิถันของท่านมุ้ยมากๆ เราถ่ายทำกันเป็นฉากกลางคืนแล้วเราก็ถ่ายทำกันในห้องพระบรรทมของสมเด็จพระนเรศวร ท่านมุ้ยได้จำลองห้องพระบรรทมจากสถานที่จริง ท่านพาผมไปดูของจริง ใส่ทุกอย่างลงไปในภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ ฉากนี้ผมต้องฟิตร่างกาย คือท่านบอกผมว่าจะถ่ายทำฉากถวายตัว คุณต้องถอดเสื้อ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของภายในที่เราอยู่ในห้อง เป็นห้องนอนของมณีจันทร์ การถวายตัวซึ่งเป็นฉากเลิฟซีนที่ผมคิดว่าเป็นฉากเลิฟซีนแรกของผม ผมไม่เคยถ่ายแบบนี้มาก่อน ซึ่งใช้เวลาถ่ายทำไม่นาน ทุกคนก็ใช้สมาธิ เราก็เขินๆบ้าง แต่ด้วยความที่แอฟกับผมทำงานกันมานานตอนถ่ายทำตอนซ้อมเรามีความสนิทสนมกัน ผมก็มองว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่งที่น่าเอ็นดู เวลาถ่ายทำเรารู้สึกได้ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่เสียสละตัวมาจากแผ่นดินอันห่างเพื่อที่จะมาเป็นคู่คิด ละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อมาอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งเรารักผู้หญิงคนนี้ คนดุจะแสดงออกซึ่งความรักแบบไหน ผมต้องมีความทะนุถนอมผู้หญิงคนหนึ่งไม่ให้เขาบอบช้ำ จะดูแลปกป้องชีวิตเขา ด้วยชีวิตของเรา ก็ถ่ายหลายวันหน่อย เพราะว่าเป็นฉากที่สวย เราต้องจัดแสงจัดเทียนจัดอะไรบางทีถ่ายคืนเดียวไม่เสร็จ เพราะว่าเวลามันเปลี่ยนภาพเปลี่ยนมุมกล้องก็ต้องจัดแสงใหม่ ความพิถีพิถันในส่วนของการจัดแสงก็สวย พร็อพประกอบต่างๆ ก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่ามันสมจริงสมจัง สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราจะบอกในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือเรื่องของการเป็นกษัตริย์ชาตินักรบของสมเด็จพระนเรศวร พระองค์ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เพียงแค่บางอย่างที่มันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาพระองค์ก็ทำตามนั้น

          Q.นอกจากศึกยุทธหัตถีแล้ว ภาคนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญๆทางประวัติศาสตร์ ที่เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ด้วยกัน
          A. จะมีอีกหนึ่งสงครามศึกที่ดำเนินต่อจากภาคที่แล้ว ที่พระเจ้านันทบุเรงบุกเข้ามาปิดล้อมอโยธยาและฉากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขึ้นครองราชย์หลังจากที่พระมหาธรรมราชาสวรรคต เราจะเห็นช่วงปลายของศึกนันทบุเรง ซึ่งเป็นศึกที่ใหญ่มาก ขนาดที่ว่าทัพหลวงโดยทัพกษัตริย์ยกมาเอง มีการรวบรวมไพร่พลจากเมืองขึ้นทุกเมืองขึ้น ศึกครั้งนี้มีความสำคัญมากที่สุดของพม่าครั้งหนึ่ง เพราะต้องการที่จะเอาอยุธยาให้กลับไปเป็นเมืองขึ้นให้ได้ เพราะฉะนั้นศึกครั้งนี้มีความสำคัญ และยกมาล้อมอยุธยาเป็นเกือบครึ่งปี เราจะเห็นถึงการใช้ยุทธวิธีในการรบที่แยบยลของพระนเรศวรในการที่จะต้องเอาชนะกำลังที่มีมากกว่า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในการถ่ายเราใช้เวลาถ่ายทำเกือบ 2 เดือน เฉพาะฉากนี้ฉากเดียวในภาพยนตร์จะต้องมีเหตุการณ์ไฟไหม้ซึ่งปรากฎว่าตอนถ่ายทำไฟไหม้จริงๆด้วย ขณะที่กล้องมันยังอยู่ในนั้น มันเกิดเหตุการณ์โกลาหล คือ หิ้วกล้องหนีออกมาแล้วปล่อยให้เครนถูกไฟไหม้ไปเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ปล่อยให้โอกาสนั้นเสียไปตั้งกล้องถ่ายเลย ภาพที่เราเห็นในหนังนั้นมันเป็นไฟไหม้จริงที่ท่านเอามาเสริมไป คือความยากในเบื้องหลังการถ่ายทำ แล้วก็จังหวะที่มันต้องพอดีกัน

          Q. ไฮไลท์สำคัญที่ทุกคนรอคอย เมื่อพูดถึงตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นั่นคืออภิมหาสงครามศึกยุทธหัตถี กำลังจะปรากฎสู่สายตาเป็นครั้งแรก
          A. ความน่าสนใจที่เราจะได้เห็นในศึกยุทธหัตถีที่เป็นช้างชนกันแบบมันส์ๆ เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิกที่เขียนขึ้นมาผสมกับการถ่ายทำที่เป็นของจริงบนแผ่นฟิล์ม และก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายของประเทศไทยที่ออกโรงภาพยนตร์ใหญ่ขนาดนี้ ฉากยุทธหัตถีเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คือพอทันทีที่จะเริ่มต้นโปรเจ็คต์ ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวคุณต้องขี่ช้างนะ ผมต้องไปเรียนคือนั่งเก้าอี้แล้วก็ถือง้าวแล้วก็ซ้อมคิวฟันกันก่อนครั้งแรกเลย และเป็นความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศที่อยากเห็นการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ของการที่มีช้างชนกันลงบนแผ่นฟิล์มซะที การมาซึ่งการศึกในครั้งนี้ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่พระมหากษัตริย์ก็ไม่ได้มาเอง แต่เป็นการยุทธ์ของสุภาพบุรุษ เป็นการยุทธ์ที่ถ้าใครได้ชัยชนะในครั้งนี้จะเป็นการตอกย้ำชัยชนะต่อไป ถ้าพระนเรศวรรบชนะพระอุปราชาในศึกครั้งนี้ จะเป็นการตอกย้ำความเป็นเอกราชที่มันจะยืนยาวต่อไป ความสำคัญของยุทธหัตถีอยู่ที่ตรงนี้ครับ การยุทธที่ใช้ช้างชนกัน การบังคับช้างของควาญช้าง ความเป็นสุภาพบุรุษในการรบของขุนศึกคนอื่นๆ ที่ปล่อยให้พระมหากษัตริย์สองพระองค์รบกัน ผมเชื่อว่าทุกคนรอคอยที่จะชมฉากศึกยุทธหัตถีตั้งแต่เริ่มฉายภาคหนึ่งเป็นต้นมาทุกคนรอคอยที่จะชมฉากยุทธหัตถี เพราะฉะนั้นก็เชิญชวนให้ทุกคนได้ไปชมฉากยุทธหัตถีที่เราได้พยายามสรรค์สร้าง ได้พยายามใช้ความสามารถในการถ่ายทำ ใช้ความสามารถของนักแสดงที่เราซ้อมกันมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว แล้วก็ซ้อมกันมาเรื่อยๆ ความที่เรามีความเชี่ยวชาญ บังคับช้างจริง ผมจึงอยากฝากไว้ว่า ตัวผมไม่เคยลืมภาพยนตร์เรื่องนี้เลย

          Q. ในภาพยนตร์ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราว และรายละเอียดปลีกย่อย ทั้งเสื้อผ้า ไปจนถึงความเชื่อต่างๆที่มีการสืบทอดกันมา
          A. ฉากยุทธหัตถี ชุดเกราะของผมถ้าใครจำได้ในภาคที่ผ่านๆมา ลายของชุดเกราะของผมเป็นรูปนรสิงห์ แต่พอหลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขึ้นครองราชย์แล้ว ชุดเกราะที่ผมต้องสวมจะถูกเปลี่ยนเป็นรูปนารายณ์ทรงสุบรรณ เพราะมันมีคติความเชื่อและมีเรื่องของสัญลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง คติความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์คือพระนารายณ์ ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนลายชุดเกราะเป็นพระนารายณ์นะครับ ถ่ายทำฉากนี้ผมต้องเรียนอาวุธยาวบนหลังช้าง ฝึกบนพื้นดินการเคลื่อนไหวบนพื้นดิน แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้มันต้องเกิดจากการเคลื่อนไหวใช้เท้าด้วย นักแสดงท่านอื่นๆก็ต้องฝึกอย่างนี้เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นผมก็ไปฝึกขี่ช้าง พอฝึกขี่ช้างเสร็จแล้วอุปสรรคที่ตามมามันก็คือชุดเกราะที่ผมใส่ หมวกที่ใส่ก็บังหน้า หรือในบางจังหวะบางทีที่ช้างมันเงิบขึ้นมาหรือมันฮุบลงไป ตัวผมไหลตกลงไปก็มี หรือพอเวลาเราหลบไปครั้งหลังก็ไปชนสัปคับ(ที่สำหรับนั่งจะผูกติดกับหลังช้าง)ข้างหลังอีก คนที่ยากอีกสองคนก็คือ 1.คนที่นั่งอยู่บนสัปคับข้างหลัง ยิ่งพอช้างมันโยกก็นั่งยากด้วยนะครับเพราะนั่งแล้วมือเขาต้องถือหางนกยูงที่โบกแล้วนั่งคุกเข่า ผมยังไม่ยากเท่าไหร่นี่นั่งยิ่งยากกว่า และกว่าจะได้เป็นฉากนี้ทีแรกเราเอาช้างสองเชือกที่เป็นช้างจริงๆมาชนกัน ช้างชนหนักจริงๆ ผมร่วงเลยครับ และมันช้า เขาก็เลยต้องไปหาวิธีการ บางวันเราถ่ายทำได้แค่คัทเดียว เพราะว่าเวลาถ่ายไปแล้วแล้วเอาไปแม็ทช์กับคอมพิวเตอร์กราฟฟิกมุมมันไม่ได้ครับ ต้องมาถ่ายใหม่ครับ ฉากยุทธหัตถีมันใช้ความพิถีพิถัน และมีองค์ประกอบเยอะมากเฉพาะคอมพิวเตอร์กราฟฟิกของช็อตนี้ช็อตเดียว ผมว่าไม่ต่ำกว่า 300
ผมก่อนที่จะใช้ง้าวบนหลังช้างได้ ต้องมีอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญมาบวงสรวงและสอนรำง้าวให้ ผมจะต้องรำง้าวให้ถูกต้องตามประเพณีโบราณ ระหว่างผมรำอยู่เขาเอาช้าง10กว่าเชือก ผมต้องรำต่อหน้าช้างและจุดธูป ทุกคนต้องแต่งกายจริงแต่งชุดในหนังเลย ช้าง ควาญช้างแต่งชุดหมด ผม พี่ตั๊ก(นภัสกร) พี่ต๊อก(ศุภกรณ์) หนึ่ง(ชลัฏ) 4 คนที่ต้องทำยุทธหัตถีกัน รำบวงสรวง รำง้าวคือทำจริง เพื่อต้องการให้ถูกต้องตามประเพณี และต้องการให้เกิดความปลอดภัยในการถ่ายทำ ต้องการให้สมพระเกียรติของทั้ง 4 พระองค์ที่เกิดขึ้น

          Q. ความโดดเด่นมากๆอีกอย่างหนึ่งของภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มองข้ามไปไม่ได้เลยคืองานทางด้านการกำกับภาพ และแสง
          A. เรามีช่างภาพอยู่ 3 คน คนแรกนี้เมื่อพูดถึงผู้กำกับภาพระดับแถวหน้าของเมืองไทย 2 คนก็คือ น้ากล้วย-ณัฐวุฒิ กิตติคุณ คนที่สองอาเปี๊ยก-อานุภาพ บัวจันทร์ อีกคนหนึ่งเป็นฝรั่งชื่อสตาโน่ (Stanislav Dorsic) ครับ อย่างน้ากล้วยกับอาเปี๊ยกนี่ผมว่าเชี่ยวชาญแน่นอน เป็นคนหนึ่งที่ผมเชื่อว่าใช้เครนมากที่สุดในประเทศไทยถ่ายทำแบบนี้ สตาโน่จะคอยทำหน้าที่จัดแสงด้วย แล้วก็ถ่ายทำเองด้วย อาเปี๊ยกกับผมนี่เหมือนลิงค์รู้กัน น้ากล้วยลิงค์กับผมรู้กันว่าผมมักมีลักษณะนิสัยของการควบม้าแบบนี้ แกจะจับได้ตามได้ครับ

          Q. คงไม่มีคู่พระเอกนางเอกคู่ไหนที่ผ่านการทำงานในโปรเจ็คต์เดียวกัน รู้จักกันร่วมงานกันตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันได้ยาวนานขนาดนี้ ผู้พันเบิร์ดช่วยพูดถึงนางเอกอย่างน้องแอฟ ทักษอรบ้าง
          A. นี่เป็นคนที่เราสนิทเพราะว่าเราเริ่มต้นเรียนการแสดงกันในห้องเรียน เราเริ่มขี่ม้าด้วยกันที่จังหวัดกาญจนบุรี เรารู้สึกว่าแอฟนี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ลุยตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกก็คือแอฟเป็นคนพูดช้า “สวัสดีค่ะ พี่เบิร์ด”(ทำเลียนแบบเสียงช้าๆ) เราก็จะล้อกันในกอง เขานิ่มมากครับ แต่เขาลุยนะ อย่างฉากข้ามแม่น้ำสะโตงนี่เราให้เขาขี่ม้าแล้วระเบิดไล่หลัง แอฟเอา ระเบิดตูมๆๆ ม้าก็เร่งขึ้นเรื่อยๆ พอระเบิดทีหนึ่งม้าก็เร่งขึ้นอีก เราใช้วิธีการแอฟไม่ต้องกลัว แอฟสบายใจได้ว่าพี่ขี่ม้าข้างหลังนี่พี่ไม่เหยียบแอฟแน่ ขอให้แอฟมั่นใจ 2 คือแอฟไม่ต้องกลัว เราเอาม้าที่แอฟขี่อยู่น ให้เพื่อนของมันทั้งหมดจะไปอยู่อีกฝั่งของสะพาน ม้ามันติดฝูง เพราะฉะนั้นเมื่อมันตะเลิดไปแล้วมันจะเข้าไปหาฝูงแน่นอน ขอให้แอฟนั่งไปกับม้าให้ได้ อย่าร่วง มันจะกลับไปที่ฝูงทันที นี่คือฉาก Action ของเขา แต่ผมเชื่อว่าแอฟถนัดฉากอารมณ์มากกว่าแล้วเขาก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี เพราะว่าเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพจริงๆนะครับ แล้วมันก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเราอยากที่จะเล่นให้ดีมากๆ ให้สมกับที่เขาทุ่มสุดตัว

          Q.ตลอดระยะเวลา 10 ปีตั้งแต่ ศรีษะจรดปลายเท้าของผู้พันเบิร์ด มีร่องรอยบาดแผลประทับเป็นความทรงจำในส่วนไหนของร่างกายบ้าง
          A. สิ่งที่ผมจำได้เลยคือเอ็นหัวเข่าข้างขวาผมขาด ก็ส่งผลถึงปัจจุบันด้วยนะ แต่ผมก็มีความภาคภูมิใจกับเอ็นขาดข้างนี้ คือผมถือว่าเราบวงสรวงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในการถ่ายทำทุกวัน บวงสรวงฉากใหญ่ ประกาศอิสรภาพ ฉากยุทธหัตถี ฉากขึ้นครองราชย์ ผมเลยถือว่าการบาดเจ็บของผมมันเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ ผมยอมฟันบิ่นคาบดาบ คือเวลาโคลสอัพใกล้ๆนี่ต้องกัดดาบที่เป็นเหล็กจริง ส่วนการบาดเจ็บอื่นๆที่ถูกดาบถูกอะไรตอนช่วงระหว่างซ้อมระหว่างไรก็ถือเป็นเรื่องปกติที่หนังแอ็คชั่นต้องเกิดขึ้น ตกม้า ผมว่าก็ตกทุกคนนะ ผมเองนี้ตกเยอะที่สุดในกองถ่ายเลย ผมแข็งแรงพอที่จะตกและกลิ้งได้ คือไม่อยากที่จะอยู่บนหลังม้าแล้วปล่อยให้ม้าวิ่งไปและเราตกใจ ผมเลยเลือกที่จะร่วงคือไหลลงไปทุกอย่าง ม้าก็จะหยุดทุกครั้ง
อากาศมันร้อนมากที่กาญจนบุรี บ้างครั้งที่เราซ้อมแล้วช้างเตลิด มีอยู่วันหนึ่งตากแดดนี่แหละกำลังขี่ช้างเพลินๆ ควาญก็อยู่ข้างล่าง เขาระเบิดเพื่อที่จะทำคูหน้ากำแพงหงสา ช้างร้องแป๊น วิ่งตูมๆๆๆ พี่ควาญเกาะไว้ๆๆๆ ป่าพุทรานี่มันลุยแบบตัวผมถลอกปอกเปิกหมด หมวกปลิวกระจายเลย

          Q. ตัวภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เองไม่ได้ถ่ายเทน้ำหนักหรือให้ความสำคัญในแค่ฝั่งอโยธยาเท่านั้น แต่ในส่วนของหงสาวดีเองก็จะมีรายละเอียดที่ดำเนินไปโดย
          A. ครับ น้ำหนักมันถูกแบ่ง ในส่วนของหงสาวดี เขามีความเก่งกาจสามารถแค่ไหน ความเกรียงไกรยิ่งใหญ่ของอยุธยาไม่มาทางเกิดขึ้นได้ พระเจ้านันทบุเรงกับพระมหาอุปราชา สองคนนี้เป็นตัวดำเนินเรื่องของหงสาวดีแล้วมีความสำคัญ มันมีจุดเปลี่ยนผันของหนังเรื่องนี้จากนันทบุเรงที่เกิดเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเรื่องเลย การแสดงของพี่ต้น เป็นตัวดำเนินเรื่องที่มีความน่าสนใจในเรื่องนี้ลักษณะของการเป็นพ่อ ที่ถูกพ่อของตัวเองครอบงำมาตลอด ทุกคนนึกถึงบุเรงนอง แกต้องพยายามประกาศเอกราช หรือความมีศักยภาพของตัวเอง ต่อให้ หงสาวดีรบชนะมองโกล ต่อให้รบชนะจีน ไม่มีความหมายเท่ากับหงสาวดีรบชนะอยุธยา เพื่อศักดิ์ศรี ความเป็นพ่อ ถามว่ารักลูกไหม เราจะรู้ได้เลยว่านันทบุเรงรักลูกขนาดเมื่อพูดถึงลูกก็คือมังสามเกียด ที่เราบอกว่ามังสามเกียดไม่ค่อยเอาไหนนะไม่ใช่เลย แกคือนักรบคนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี ที่เราอาจจะรู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้เรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นถึงความที่เป็นกษัตริย์ชาตินักรบ เป็นลูกกษัตริย์ชาตินักรบที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร มิได้แพ้บุเรงนอง มิได้แพ้นันทบุเรงเลย มังสามเกียดถือเป็นนักรบที่เราต้องให้เครดิตพระองค์เหมือนกับให้พระนเรศวรเพราะสู้กันอย่างชายชาติทหาร ชายชาตินักรบ และพี่ตั๊ก(นภัสกร) แสดงมีฉากหนึ่งนี่ต้องพูดถึงคือฉากที่พี่ตั๊กอุ้มพี่ต้น-จักรกฤษณ์ ฉากนั้นนี่ทีมงานฝ่ายเมคอัพแต่งเอ็ฟเฟ็คต์พี่ต้นโดยใส่ยางที่เป็นแผล และชุดที่พี่ต้นใส่เข้าไปอีกน้ำหนักพี่ต้นนี่เกือบ 100 กิโล พี่ตั๊กยกพี่ต้นฉากนั้นนะครับ กล้องไม่เทกเลยนะยกขึ้นแล้วก็เดิน บนบัลลังก์ที่มีเตียง พี่ตั๊กเดินสะดุดบันไดเหมือนจะล้มทีหนึ่งมันธรรมชาติจริงๆ ผมรู้สึกว่าพี่ตั๊กทุ่มสุดตัว แล้วฉากพ่อลูกทะเลาะกันซึ่งได้อารมณ์มากคือลูกรักพ่อนะ แต่พ่อไม่เข้าใจเลย เป็นนักแสดงที่เราต้องพูดถึง ซึ่งเขาเป็นตัวดำเนินเรื่องที่ดีมากๆเลยครับควบคู่ไปกับฝั่งอยุธยา

          Q. ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ผู้ชมจะได้สัมผัสกับความเข้มข้นในเรื่องของอารมณ์ของตัวละครไม่แพ้กัน
          A. คือที่ผ่านมาเรารู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงการรบ เพราะนั้นฉาก Action เราให้ความสำคัญ แต่ผมอยากจะบอกว่าฉากที่ยากเลยคือฉากดราม่า ฉากอารมณ์ที่ดำเนินเรื่องเพื่อให้เติมเต็มความเป็น action ให้เข้มข้นมากขึ้น มันมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และผมเชื่อเลยครับว่าหนังภาคนี้มันเป็นดราม่าแอ็คชั่นคือมีความเป็นดราม่านำมาก่อน แล้วก็ไปดูวิธีการเล่นของนักแสดงแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น พี่ต้น-จักรกฤษณ์ พี่ตั๊ก-นภัสกร พี่นก-ฉัตรชัย พี่เอก-สรพงษ์ แอฟ-ทักษอร ปีเตอร์-นพชัย หรือแม้กระทั่ง พี่ต๊อก- ศุภกรณ์ มันดราม่าที่แบบจะบอกว่ามันมีความเข้มข้นไม่แพ้ฉากแอคชั่นเลยทีเดียว

          Q.อยากฝากอะไรถึงผู้ชมที่รอชมภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี
          A. ภาพยนตร์เรื่องนี้ผมอยากให้ทุกคนได้ไปดู ผมเชื่อว่าเราจะได้ได้ฟังภาษาที่ไพเราะ คำพูดที่มีคติสอนในการดำเนินชีวิต คติพจน์เหล่านั้นยังคงใช้ได้กับในปัจจุบัน และสิ่งที่ได้ก็คือขนบประเพณีที่ท่านมุ้ยต้องการจะแทรกเข้าไปในหนังตั้งแต่ภาค 1 ถึงภาคสุดท้าย เก็บไว้ได้ ดูเท่าไหร่ก็จะไม่เบื่อ ดูรอบหนึ่งได้ข้อคิดตรงนี้ ดูรอบหนึ่งได้ข้อคิดตรงนี้ และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างขึ้นมาพร้อมกับได้องค์ความรู้ใหม่ๆ และการก้าวข้ามเทคโนโลยีการถ่ายทำแบบใหม่ แล้วทีมงานเกิดองค์ความรู้และกระจายไปสู่หนังเรื่องอื่น คือทำหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวครบวงจร หนังสือหลายเล่มก็เขียนถึงประวัติของพระนเรศวร การท่องเที่ยวหลายที่ก็บูมขึ้นมาเพื่อจะไปเที่ยวหงสาวดีไปเที่ยวพม่าไปเที่ยวอยุธยา เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนได้ไปดูแล้วมันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของภาพยนตร์ไทย กลายเป็นเรื่องเล่าใหม่ของประวัติ ศาสตร์ของคนไทย เสริม จากศิลปะบนใบปิดสะท้อนภาพประวัติศาสตร์ถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มผ่านมุมมองภาพยนตร์โดย ผู้พันเบิร์ด พันโทวันชนะ สวัสดีผู้ถ่ายทอดบทบาทของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์นักรบผู้นำพาอิสรภาพสู่แผ่นดินไทย
“เราจะไม่เคยเห็นชุดเกราะพม่าชุดนี้มาก่อน สวยจริงๆผมเองยังชอบชุดเกราะพี่ตั๊กเลย คือมันสวยครับ คือหัวที่ใส่มันมีความหมายหมดเลยครับ เป็นรูปสัตว์ และก็ชุดเกราะแบบที่เห็นเป็นเกล็ดปลานี่อาจจะได้อิทธิพลมาจากทางจีน เราจะเห็นหนังจีนที่เขาใช้ชุดเกราะแบบนี้กัน และเราจะเห็นความวิจิตรบรรจงความยิ่งใหญ่ของหงสาวดี เมื่อก่อนหงสาวดีนี้คือประเทศที่เป็นหนึ่งในอุษาคเนย์(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)คือบริเวณภูมิภาคนี่ เขาใหญ่มาก ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ในขณะเดียวกันจะเห็นถึงความเรียบง่ายของฝั่งไทยนะครับ เป็นเกราะเหล็ก เห็นว่าช้างทรงเขาอันนี้เกล็ดสวยเป็นทอง ของเราเป็นผ้าปักดิ้นทอง ชุดพระนเรศวรเป็นแบบเรียบง่าย ความพอเพียงที่เราเห็นในส่วนนี้เพราะอะไรรู้มั้ยครับ เราเป็นประเทศที่เป็นเมืองขึ้นเขา เราเป็นประเทศที่ต้องอยู่ด้วยความขาดแคลน เราเป็นประเทศที่ช้างของเราถูกส่งไปเป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีมาหลายปีแล้ว เพราะฉะนั้นตัวเลือกของช้างที่เราเห็นนี่ช้างเราตัวเล็ก เราไม่มีโอกาสเลือกช้างตัวใหญ่ เพราะช้างที่ได้รับการฝึกแล้วเราส่งส่วยไปให้หงสาวดีแล้ว เพราะฉะนั้นเขามีโอกาสเลือกช้างที่ใหญ่ เรารบภายใต้ความขาดแคลน เรารบภายใต้ที่ช้างเราตัวเล็ก นี่แหละคือความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ต้องการจะบอกว่าเล็กพริกขี้หนู แล้วความสวยงามจะเห็นได้ว่าเขาเป็นประเทศพัฒนามาก่อน มีความยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นตอนนี้คิดได้อย่างหนึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันเราอาจมีความจริญรุดหน้ากว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เรามีความเจริญกว่า นั่นเพราะว่าผู้นำประเทศของเรามีความใส่ใจในการที่จะพัฒนาประเทศมาโดยตลอด จากครั้งหนึ่งที่เราเคยรบกันแบบนี้เราด้อยกว่าเขาเยอะ แต่ปัจจุบันเราแซงหน้าเขา ผมอยากจะบอกว่าผู้นำของประเทศเราที่พยายามให้ประโยชน์กลับสู่ส่วนรวมเป็นความสำคัญ ทำให้เรายืนอยู่ได้โดยไม่อายใคร ณ ปัจจุบัน”

FB on May 09, 2014, 12:44:00 AM
คลิป “ย้อนรอยภาพยนตร์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก่อนชม ยุทธหัตถี”



ย้อนรอยภาพยนตร์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก่อนชม "ยุทธหัตถี"
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=mVoXzPPWJf4" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=mVoXzPPWJf4</a>

ภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ดำเนินเรื่องสืบมาจนถึง ศึกยุทธหัตถี
มหาสงครามครั้งสำคัญที่มีผลตัดสินชะตากรรม¬ของ 2 แผ่นดิน
มาชมเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนศึกใหญ่ที่กำลังจะอุบัติ
ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 ยุทธหัตถี

ร่วมประกาศชัยในสมรภูมิสุดท้ายพร้อมกัน
29 พฤษภาคม 57 ในโรงภาพยนตร์

FB on May 09, 2014, 12:46:17 AM
บทสัมภาษณ์ “ตั๊ก-นภัสกร จาก ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมาหาราช ยุทธหัตถี





           “คือถ้าท่านเป็นคนไทย เรื่องนี้ตอบคำถามได้ว่าแผ่นดินถิ่นเกิดของท่านเป็นชาติไทยมาได้ยังไงหนังเรื่องนี้ที่ต้องดูเพราะผมเชื่อว่าคุณจะไม่ได้เห็นการทำงานที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ในอีกสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี หรืออาจจะตลอดช่วงชีวิตของผม”
          ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม รับบท พระมหาอุปราชา ใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”

          Q. กำลังมีผลงานที่เรียกได้ว่าได้รับบทบาทสำคัญมากในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ยุทธหัตถี กับบทที่หลายคนบอกว่า เป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ของคุณตั๊ก
          A: ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงจากงานละครเมื่ออายุ 22 ครับ เล่นละครเวทีถ้านับเป็นรอบๆ ก็เป็นพันๆ รอบ หลายเรื่อง หลายรอบ บางเรื่องก็เล่นเป็นปี จากนั้นก็มาเล่นละคร รับบทตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย จนกระทั่งเป็นตัวสำคัญ.ตัวดีบ้างตัวร้ายบ้าง แล้วค่อยมาถึงภาพยนตร์ ทุกวันนี้ก็ถือว่าทั้ง3 ศาสตร์นี้ผมผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังอยากผ่านอีก และยังมีส่วนที่ทำรายการอีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์จากการที่ได้เรียนมา หรือรายการอาหารอย่าง ถึงพริกถึงขิงผมยังทำอยู่ ทุกวันนี้ผมยังแฮปปี้ ยังอยากทำรายการอย่างนี้ต่อไป รายการเกมส์โชว์ เป็นพิธีกรในอนาคตที่มีเพิ่มมาอีกรายการหนึ่งแล้วครับ ช่อง HD เราก็จะทำละครป้อนช่อง อันนี้เป็นการหุ้นกัน แล้วจะบอกข่าวความคืบหน้าต่อไปนะครับ อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากทำในชีวิตคือภาพยนตร์ขอแค่เรื่องเดียวสักครั้งหนึ่ง เป็นเป้าหมายในชีวิตในโอกาสต่อไปครับ ผลงานล่าสุด คือ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครับ
          Q.ถ้าพูดถึงท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ในมุมมองที่เรามีต่อผู้กำกับ ภาพจำที่เรามีต่อผู้กำกับที่เรียกได้ว่าเป็นครูใหญ่ในวงการภาพยนตร์ไทย
          A. ความจริงผมไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แม้ว่าผมอยู่ในวงการตั้งแต่เด็กจนโต ถึงเคยดูภาพยนตร์แต่ก็ไม่รู้จักรู้จักแต่พระเอกนางเอกที่เราดูในสมัยก่อน จนกระทั่งโตขึ้น เราก็ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงก็ตื่นเต้นนะ อย่างเมื่อก่อนที่ผมชอบก็มี พี่เอก-สรพงษ์ ชาตรี น้าแอ๊ด-สมบัติ เมทะนี จตุพล ภูอภิรมย์ อาหนิง-นิรุตติ์ ศิริจรรยา ตอนเด็กๆ ชอบดูหนังของพี่จตุพล ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วนะครับ “พรุ่งนี้ก็สายเกินไป” เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก แล้วก็ ป๋าส. อาสนจินดา และอีกหลายท่านเลยครับที่ อย่าง อุกาฟ้าเหลือง ก็เป็นอีกเรื่องที่ชอบ โดยไม่ทราบหรอกว่าท่านมุ้ยกำกับ แต่วันหนึ่งก่อนที่จะได้มาพบท่านมุ้ย – ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เอ๊ะ..ผมเคยได้ยินชื่อท่านครั้งแรกเลยคือสุริโยไท จนกระทั่งมีโอกาสไปถ่ายละครเรื่อง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งพี่นก-ฉัตรชัย เป็นพระเจ้าตาก ผมเป็นพระยาพิชัย แล้วก็มีทีมงานมาคุยกับพี่นก คนหนึ่งถามว่าอยากทำงานกับท่านมุ้ยมั้ย ผมก็ตอบตรงๆ ฮึ้มม.. (ส่ายหน้า) คือเราไม่ได้คิดอะไรนะแต่รู้สึกว่า ไม่รู้จะวางตัวยังไงด้วย แล้วท่านจะอะไรเราหรือเปล่า อย่าเลยไม่เอาดีกว่าครับ คือดูแล้วไกลตัวมาก หลังจากนั้นไปก็มีข่าวว่าท่านทำต่อจากสุริโยไท เป็นตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนนั้นผมทำร้านอาหารหุ้นกับพี่นก-ฉัตรชัย และพี่ๆอีกหลายคน อย่างไก่-วรายุทธ พี่ถั่วแระ พี่ทองขาว พี่เกม-สันติ พี่หมึก-อภิชาติ ชูสกุล ซึ่งปัจจุบันพี่หมึกก็จากเราไปแล้ว แต่เวลาพูดถึงท่านทุกคนก็จะบอก เฮ้ย ตั๊กไปลองเล่นมั้ย ได้ข่าวว่าท่านจะบวงสรวง แล้ววันที่ท่านบวงสรวงผมอยู่ที่ร้านอาหาร ก็ไม่ได้ไปครับ สุดท้ายทุกคนก็มาเล่าอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น โอ้โห...มีความสุขจังเลย
ผ่านไปสองปีกว่าร้านอาหารเราเลิกทำแล้วตอนนั้น ผมกลับไปร่วมงานกับครูเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน เป็นครูผม ท่านทำละครเวทีเรื่องร่ายพระไตรปิฎกซึ่งเป็นโปรดักชั่นที่เกี่ยวกับกลอง และผมเป็นคนตีกลอง ยืนหันหลัง เรื่องนั้นเป็นที่นิยมมากของชาวตะวันตกที่มาประเทศไทย แล้วมีผู้ช่วยผู้กำกับของท่านมุ้ยไปดูกันสองคน พอจบปุ๊บก็มาดักเจอเราข้างนอก บอกว่าต้องการหาคนแสดงการตีกลองรบในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เขาเห็นเราตีกลองแล้วก็คิดว่าจะเอาคนนี้แหละ แล้วก็มาคุยกัน..ถามว่าไปตีกลองมั้ย ผมก็บอกได้เลยครับสบาย ฉากรบเหรอ คุยไปคุยมา ไม่เอาตีกลองแล้ว คือจะเอาเธอไปทำอย่างอื่น ก็ไปเจอท่านมุ้ยวันแรกก็เถียงกันใหญ่เลยครับว่าจะให้เป็นอะไร..เป็นลักไวทำมู..เป็นอะไร คือพูดตรงๆ ถ้าชื่ออย่างพระมหาอุปราชาเราพอจำได้ สมัยเด็กๆเรารู้เรื่องพระนเรศวรอยู่บ้าง รู้ว่าท่านทำยุทธหัตถี แต่ไม่ค่อยรู้ลึกรู้มากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ตอนเด็กๆคุณพ่อคุณแม่ให้ห้อยเหรียญสมเด็จพระนเรศวรฯ เราก็ชอบอยู่แล้ว เพลงพี่แอ๊ดนี่มันก็ตราตรึงอยู่ในหัวเราอยู่แล้วใช่มั้ยครับ “เอาช้าง มาชนกับช้าง”(ร้องเพลง) เราชอบปลุกใจรักชาติ เราเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ เราเชื่อว่าท่านปกครองแผ่นดินนี้แล้วท่านเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ทีนี้เมื่อถึงตรงนั้นความรู้สึกก็หลั่งไหลพรั่งพรูนึกในใจคือยืนลุ้นเงียบๆเลยนะว่าจะได้เล่นเป็นอะไร เขาก็เถียงกันไม่หยุด..เอางี้กลับบ้านไปก่อนแล้วกัน แต่มันก็แปลก..คือก่อนที่พี่ๆ เขาจะไปหาผมที่นั่นเป็นช่วงต้นปี.. ปีนั้นพอดีละครทีวีจบหมด ผมไม่ได้ทำอะไร ก็เล่นแต่ละครเวทีอยู่เกือบปีกว่านะครับ โดยไม่ได้เล่นละครทีวีเลยซักช่องเดียว รู้สึกว่าอยากเข้าไปร่วมกับโปรดักชั่นนี้มากๆเลย คือทุกคนพูดว่าอย่างน้อยได้มีส่วนสักนิดหนึ่งก็ถือว่าอยู่ในหนังประวัติศาสตร์เรื่องนี้ กลับบ้านจุดธูป 15ดอก แล้วก็สวดทุกอย่างที่สวดเป็นครับ คือบูชาท่านแล้วก็ตั้งจิตว่าขอผมเล่นสักตัวหนึ่งครับ.. ตัวไหนก็ได้ แล้วก็กราบท่าน ผมสวดอย่างนี้ทุกวัน จนครบสักสิบห้าวันพี่ๆ เขามาเจอผมที่โรงละคร เราก็ยกมือท่วมหัว ..วันนี้เราได้เจอท่านมุ้ย แล้วผมก็ไปแต่งตัวเป็นชุดนู้นชุดนี้ชุดเกราะบ้างเขาก็ยังไม่บอกผมนะ
ในที่สุดก็มาบอกว่า ตั๊ก..ตกลงท่านให้เป็นมังสามเกียดนะ..เริ่มคุ้นๆหูนะเขาถามรู้จักไหม มังกะยอชวา ก็ที่ชนช้างไง อ๋อ!!(ตบเข่า)โถ...กลวงจริงๆเลย ค่อยๆซึมเข้ามาๆค่อยๆค้นหาประวัติศาสตร์กันครับ..แล้วก็ไม่ได้เจอท่านมุ้ยอีกเลย คือไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับท่านนัก จนกระทั่งไปกาญจนบุรี วันแรกเขาให้แต่งตัวก่อน..ไปถึงก็โอ้โห..กองใหญ่โตมโหฬาร เข้าไปมีสิงห์สองตรงทางเข้า อลังการ ข้างในจะเป็นอย่างไรใจนี่เต้นตุบๆๆเลยนะ เข้าไปแต่งตัวเราก็นิ่งๆนะครับทำฟอร์มไว้ก่อน ขรึมๆ ไม่ค่อยรู้จักใคร ผู้คนมากมายเต็มไปหมด แต่งหน้าแต่งตัวเรียบร้อยเสร็จก็ไปที่เซ็ต ระหว่างที่เดินไปเจอท่านนี่เห็นกล้องเห็นคนเต็มเลย มีทหารมีม้าวิ่ง...เราชอบม้าอยู่แล้วเพราะถ่ายพระเจ้าตากมา เราเป็นพระยาพิชัย ก็มองม้ามองอะไรไป อ้าว..เจอตากล้องสมัยนั้นเป็นน้ากล้วย (ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผู้กำกับภาพโหมโรง,จันดารา,นางนาก ฯลฯ) เราก็..“หวัดดีน้ากล้วย น้ากล้วยเป็นไงมั่ง” ตะโกนลั่นเลยด้วยความที่คุ้นเคยกัน ไม่เห็นหรอกครับว่าใครบางคนนั่งอยู่ที่มอนิเตอร์ทางขวา พอเรา”น้ากล้วยเป็นไงมั่ง” ก็มีเสียงตอบมา เราก็หันขวับ..โอ้ย...สวัสดีครับ โห...คำแรกที่ทักกัน นั่นแหละครับคำแรกที่ผมได้จากท่านในวันที่ผมเดินเข้ากองภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช...ขอบคุณครับท่าน(ยกมือไหว้) เป็นคำแรกที่ผมจะไม่มีวันลืมเลยนะฮะ..เป็นความประทับใจแรกที่เจอท่านครับ
          Q.นั่นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากเข้ากองถ่ายตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นครั้งแรก แต่พอได้สัมผัสตัวตนและได้ร่วมงานกับท่านจริงๆแล้วท่านมุ้ยเป็นอย่างไรบ้าง
          A.ท่านเป็นกันเองในการพูดคุยมาก ท่านให้ความรู้สึกเหมือนกับผู้ใหญ่ เหมือนเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ใหญ่ที่แบบ “เฮ้ย งี้ๆแล้วเอ็งคิดว่าไง” ก็จะมีอย่างนี้ครับท่าน..จะเป็นลักษณะแบบนี้ .เราจะตอบยังไงท่านจะแชร์ทุกอย่าง แต่ท่านจะบอกเหตุผลก่อน ท่านจะบอกข้อมูลก่อนคือจะทำการบ้านมามีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว ผมเห็นหนังสือท่านเป็นตั้งๆๆเวลาท่านนั่งในรถโอบี ท่านจะเรียกนักแสดงทุกคนเข้ามาแล้วท่านก็จะ มาดูนี่แล้วท่านก็หยิบหนังสือมา เราก็มอง (ทำท่าแสดงจำนวนหนังสือ) ท่านก็เลือกมาให้ คือท่านจำได้(หัวเราะ) ยิ่งกว่าตำราเรียนนะครับ สิ่งที่ท่านค้นหาอยู่นี่มันเป็นกองๆเราก็รู้สึกน่าทึ่งมาก แต่นั่นยังไม่เท่าวันที่ผมรู้สึกว่าท่านได้ใจผมไปเต็มๆ คือวันที่ถ่ายฉากมวยปล้ำ เราเริ่มกันตอนหกโมงเย็นโดยประมาณ แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด จริงๆแล้วมันไม่มีบทมวยปล้ำ พวกพี่ๆ ผู้ช่วยผู้กำกับก็บอก ‘เฮ้ยมันมีฉากแบบรูปนี้มาว่ะ’ เขาก็ให้ดูรูปโบราณเป็นการเล่นแบบมวยปล้ำแต่เป็นภาพนะ เป็นภาพโพสต์ต่างๆประมาณ 3 ท่า ‘อันนี้พี่ขายท่านไปแล้ว’ คนโบราณเขาเล่นเหรอ..เราก็เพิ่งทราบ จริง!เขาเล่นอย่างนี้ๆ ก็เลย..หนึ่ง-ชลัฎ มาน้อง เดี๋ยวเรามาคิวบู๊กันดีกว่า ทำกันเองนั่นแหละครับตรงนั้นเลยสดๆ หุ่นเหิ่นก็ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนะพี่นะ คือมาถึงก็ทำเลยจัดการแต่งตัวติดสติ๊กเกอร์ใส่ผ้าเตี่ยวสองชั่วโมง คือเป็นความรู้สึกตื่นเต้นแต่ว่าประเด็นสำคัญคือเมื่อเล่นไปแล้วเราต้องโดนพ่อตบ ก็ถ่ายไปได้ถึงประมาณตีสอง พี่ต้น-จักรกฤษณ์ ต้องมาตบหน้าเรา ปรากฏว่าท่านมุ้ยป่วย...ต้องมีพยาบาลมาฉีดอินซูลินแล้วท่านต้องหลับตีสาม...น้ำตาผมค้างอยู่แบบนี้บอกทุกคนอย่าแตะอย่าแตะผม อารมณ์เราต้องอยู่ รอท่านหลับตีสี่กว่าท่านตื่น..ผมนึกในใจว่าท่านจะไปไหนต่อ...ถ่ายต่อ! เราก็ถ่ายจนเลิกแปดโมงเช้า คือถ้าฟังอย่างนี้อาจจะเฉยๆนะ แต่กับผู้ชายคนหนึ่งที่อายุมากกว่าเรากว่าเท่าตัวแล้ว ใจเขาไปถึงไหน..แล้วเขาฉีดอินซูลิน..เขาหลับอยู่ตรงนั้น..เขาไม่ได้ไปไหนเลย..เขาอยู่ตรงนั้น เราอยู่ตรงนี้.. ผมคิดอย่างนี้จริงๆ พรุ่งนี้เราเสร็จก็กลับบ้าน แต่เขาอยู่..แล้วเขาก็สู้อยู่ตรงนั้น แล้วอีกกี่วันที่เขายังต้องอยู่...นั่นแหละท่านได้ใจผมวันนั้น ซึ่งได้เห็นฉากนั้นกันไปแล้วในภาคก่อน..ที่เล่นมวยปล้ำแล้วโดนตบหน้า ซึ่งพี่ต้นบอกว่าพี่ต้นไม่เคยผิดคิวเลย และวันนั้นพี่ต้นก็โดนครับ..ไม่ผิด..ถูกเผง(หัวเราะ)
          Q.สรุปภาพของท้านมุ้ยในมุมมองของพี่ตั๊กคือ
          A- ท่านเป็นคนที่ทำการบ้านมาก ท่านค้นคว้าหาข้อมูลมากมายก่อนที่จะมาทำโปรดักชั่นนี้หลายปีเลย ทั้งเรื่องเสื้อผ้าเรื่องเอกสารอ้างอิง ทั้งประวัติศาสตร์ทั้งพงศาวดาร ไม่ใช่แค่ของไทย แต่รวมถึงของพม่าและประเทศอื่นๆด้วยเพราะว่ามันก็มีข้อมูลที่ขัดแย้งกัน บางประเทศก็อาจจะบอกว่าอันนั้นไม่มีอันนี้มี ของเรามี ของเขาไม่มี แต่ที่แน่ๆท่านหาข้อมูลมาแล้วท่านบอกว่าเอาอันนี้ๆ ท่านเป็นผู้กำกับท่านต้องบอกเราดังนั้นสิ่งที่ท่านทำก็คือสิ่งที่ท่านเตรียมไว้ให้เราแล้ว ผมมีหน้าที่อย่าเดียวคือฟังท่าน วันแรกเรื่องของคาแรคเตอร์สำคัญที่สุด บุคลิกของนักแสดง..ผมไม่รู้จักมังสามเกียด...ท่านครับพระมหาอุปราชาเป็นยังไงครับ ท่านก็บอก และให้ข้อคิดว่าลองดูreferenceอย่างหนังฝรั่ง ให้ดูเรื่องเบรฟฮาร์ทที่วิลเลี่ยมเขาต้องสู้กับคิงเอ็ดเวิร์ด แต่ลูกชายของคิงเอ็ดเวิร์ดนิสัยแย่มาก ท่านให้ดูนิสัยลูกชายคนนี้ไว้ ลักษณะประมาณนี้นะแต่ไม่ได้บอกให้เลียนแบบนะ แค่ให้ดูแนว นั่นคือลักษณะของคาแรคเตอร์ พอดูแล้วเราก็เข้าใจครับ ท่านก็บอกว่า คือทุกสงครามที่พระมหาอุปราชาได้รบ พระมหาอุปราชาไม่เคยชนะ..ผมก็..อ๋อ จับประเด็นคำนี้ได้ว่าทุกอย่างในหัวใจของผู้ชายคนนี้เริ่มจากความพ่ายแพ้..นั่นคือสิ่งที่ท่านให้ผม คำแรกในหัวผมคือผู้ชายคนนี้เริ่มจากความพ่ายแพ้แก่พระนเรศฯมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นพระมหาอุปราชาจึงมีความพ่ายแพ้ปรากฎอยู่ในหัวใจตลอดเวลาที่มองหน้าพระนเรศฯ จากตรงนี้ถ้าจะพูดว่าผมเป็นนักแสดงมีหน้าที่ตีบทตีความจากเนื้อเรื่องจากสิ่งที่ผู้กำกับมอบให้
          Q.แล้วถ้าพูดถึง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์นักรบซึ่งอันเป็นที่รักของคนไทย ในมุมมองของตั๊กนภัสกร เป็นอย่างไร
          A. ตอบยากมาก แต่ถ้าให้ง่ายที่สุดสำหรับผมคือ..คุณลองนึกดูว่าแผ่นดินที่เราเหยียบเราเดินแต่ละก้าวนี้ ถ้าไม่มีพระองค์ท่านคุณจะยืนอยู่ในฐานะอะไร
          Q. มาถึงบทบาทล่าสุดที่เรียกได้ว่าเข้มข้นทั้งในส่วนของดราม่า และแอ็คชั่นท้าทาย และน่าจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่แฟนๆจะได้ชมกัน
          A. ผมรับบทเป็นมังสามเกียดนะครับ และมีหลายชื่อครับ เมงเยสวา หรือมังกะยอชวา ส่วนพระมหาอุปราชา หรือมหาอุปราชเป็นชื่อที่ฝั่งไทยเราเรียก ในส่วนของคาแรคเตอร์ได้มาจากการพูดคุยจากการศึกษาข้อมูลของท่านมุ้ยและคุยกันในมุมของจิตวิทยาครอบครัวด้วย แล้วให้ผมไปตีความ-ทำความเข้าใจ คาแรคเตอร์ของมังสามเกียดจึงออกมาในเชิงของบุคคลที่มีความเก็บกด ในอารมณ์ของความสูญเสีย ทั้งชัยชนะ ทั้งความมั่นใจที่มีต่อพระนเรศวร โดยเห็นได้จากการปูพื้นมาตั้งแต่ตอนต้นภาคหนึ่งภาคสองแพ้มาตลอด ไม่ว่าจะชนไก่หรือศึกสามทัพสามเจ้าฟ้าตีเมืองคัง ก็พ่ายแพ้มาโดยตลอด จึงต้องการที่จะเอาชนะอย่างไรก็ได้ เคียดแค้นชิงชังพระนเรศวร ในขณะเดียวกันปมที่ไม่มีใครไว้เนื้อเชื่อใจ จึงต้องการสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ให้คนอื่นเห็นว่าทำได้ เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วอยากแก้ตัวให้พ่อให้แม่เห็น แต่พ่อแม่ไม่เคยเห็นเลยไม่เคยให้โอกาส มีแต่ทับถม ในที่สุดก็ไม่มีกำลังใจให้ตัวเอง จึงเป็นคนขี้น้อยใจและพยายามที่จะเปิดออกอีกด้านหนึ่ง ผมก็เชื่อว่าว่านี่เป็นลักษณะของครอบครัวแบบหนึ่ง ดังนั้นทั้งสองเหตุผลนี้คือด้านครอบครัวและด้านส่วนตัวที่มีต่อพระนเรศฯ ประกอบกับอีโก้ ที่ตัวเองเป็นเจ้าชายรัชทายาท ทุกสิ่งทุกอย่างจึงถาโถมเข้ามาทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นอย่างที่เห็น ในการศึกไม่ว่าในสมัยไหนผมเชื่อว่าทุกที่ก็ยึดถือสิ่งเหล่านี้ เราเองก็ต้องการฤกษ์งามยามดี ในส่วนของผมเองก็มีความเชื่อที่คิดว่ามหาอุปราชอาจไม่ได้กลัวก็ได้ แต่เขาต้องการความมั่นใจเต็มที่เพื่อออกไปรบกับพระนเรศวรให้รู้แพ้รู้ชนะ เขาเองก็ฮึกเหิมพอที่จะแสดงให้พ่อรู้ว่า พ่อ!ผมทำได้ แต่คำพูดของพ่อไม่ตรงใจนัก..ทำไมต้องทำอย่างนั้น นี่คือวิธีการของพ่อซึ่งไม่สนใจว่าลูกคิดอะไร นี่คือปัญหาครอบครัวและสุดท้ายปัญหานี้ไม่ได้ถูกแก้ไข เป็นจุดเปราะบางเล็กๆ
          Q. ต้องมารับหน้าที่ถ่ายทอดตัวละครที่มีบทบาทสำคัญทั้งในประวัติศาสตร์ และในภาพยนตร์มีความยากง่ายในการที่จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
          A.มันยากไปหมดเลยครับ จะเดินเหินอย่างไรยังกังวลเลย แต่ด้วยความที่เป็นนักเรียนนาฏศิลป์ได้สัมผัสกับครูบาอาจารย์มาบ้างก็ขออนุญาตเอากริยาท่าทางของอาจารย์มาใช้บ้าง คือความนิ่งความเชื่องช้าความเป็นมารยาท ไม่วอกแวกมากนัก เป็นอากัปกิริยาจากอารมณ์ความเก็บกด ความนิ่งของเจ้าชายของความเป็นราชวงศ์ในส่วนหนึ่ง แต่ส่วนข้างในผมเชื่อว่าทุกคนมีเหมือนกันนั่นคือความรู้สึก ฉะนั้นจะมีมุมมองที่แตกต่างกันอีก คือดุดัน เย่อหยิ่ง จองหอง มากกว่าเพราะต้องการอยู่เหนือพระนเรศฯ ความคิดความรู้สึกนี้ต้องอยู่ในใจของเมงเยสวา หรือ มหาอุปราชตลอดเวลา นั่นคือแรงกดดัน จะด้วยวิธีใดก็ตาม นี่คือวิธีคิดของมหาอุปราชในแง่มุมหนึ่งที่ผมมอง การรับบทนี้ต้องเตรียมตัวอย่างจริงจัง ทั้งอากัปกิริยา ภาษาพูด และวิธีการมอง ผมมองว่าพระมหาอุปราชาความคิดที่เจ้าเล่ห์พอสมควร เพราะหนึ่งอาจจะได้รับการสนับสนุนจากหลายๆฝ่าย อย่างลักไวทำมู-ยอดฝีมือผู้เป็นอาจารย์ หรือมังจาปะโรที่เป็นคู่หูของเรา คือเหมือนคอยเสี้ยมสอน และส่งเสริมกันมาตลอดเวลา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเขาน่าจะมีบุคลิกลักษณะที่เจ้าเล่ห์เพื่อให้เกิดความเหนือกว่า แต่ด้วยความที่พ่ายแพ้มาตลอดนี่ ผมเชื่อว่ามหาอุปราชย่อมมีความยำเกรงพระนเรศวร ถ้าจะปะทะกันโดยตรง เพราฉะนั้นท่วงท่าอากัปกิริยาหนึ่งข้าไม่กลัว แต่ข้างในก็..เฮ้ยไม่แน่เหมือนกัน ต้องมีดูเชิงกัน แต่ปากอาจจะเก่งไปก่อนด้วยความที่ข้าต้องเหนือกว่าเอ็ง สิ่งเหล่านี้มันก็เลยผนวกกันทำให้บุคลิกลักษณะของเขา มีโอ่บ้าง ในแง่ของการศึกสงครามเพื่อให้เกิดความมั่นใจ วิธีการพูดกับสายตาผมไม่เชื่อว่าจะนิ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เมงเยสวาพูด..ความคิดและสายตามันทำงานอยู่ตลอดเวลา มหาอุปราชอาจไม่ได้คิดว่าต้องเหยียบคนนั้นเหยียบคนนี้ แต่มีเป้าหมายว่าต้องไปให้สูงที่สุดเพื่อกดหัวพระนเรศฯให้จมลงไปให้ได้
          Q.เห็นว่านอกจากแอ็คติ้งทางด้านอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครและการแสดงแล้ว ยังต้องเตรียมตัวในส่วนของแอ็คชั่นเพราะต้องมีฉากการทำยุทธหัตถีต่อสู้บนหลังช้างด้วย
          A.นั่นคือสุดยอด…ตอนที่มาเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ผมใช้ดาบสองมือเป็นแล้ว อย่างง้าวนี่ผมไม่เคยจับนะครับ ที่นี่ฝึกขี่ม้าทุกเช้า ผู้พันเบิร์ดช่วยได้มาก ต้องบอกว่าเป็นบุคคลที่น่ารัก ไม่เคยปิดบัง...ช่วยแนะนำเสมอ สงสัยผมอะไรถามเขาได้หมด...อย่างนี้กินได้มั้ย ออกกำลังกายอย่างนี้ถูกมั้ย. แม้กระทั่งขี่ม้า เขาจะสอนให้ด้วยนอกจาก ทีมไรเดอร์(ผู้ฝึกสอนและซ้อมขี่ม้า) แล้วก็มี ผู้พันเบิร์ด กับพี่ต๊อด สิ่งที่เราได้รับจากตรงนี้คือความอบอุ่น แต่ละคนก็เอาวิชามาใส่ๆ ในคาแรคเตอร์ตามที่ได้รับ เป็นเรื่องของความรู้ที่ทุกคนมอบให้เราด้วยความรักความเอ็นดูเป็นแบบพี่น้องกันนะครับ ทุกวันนี้ยังอยากจะกลับไปอยู่ตรงนั้นอยู่เลย กลับไปขี่ม้าตก เย็นนั่งทานข้าวกัน แล้วเบิร์ดจะแนะนำวิธีการเบิร์น ให้เตรียมพร้อมกับการซ้อมต่อไปเพื่อจะรบเพื่อจะฝึก กลางแดดครับ เราถึงดำกันขึ้นเรื่อยๆ ตอนภาคสองนี้หน้ายังขาวอยู่นะ ทาแป้งขาวก็ขาว พอภาคสามภาคสี่ทาแป้งขาวแต่อุปราชเริ่มไม่ขาวแล้ว(หัวเราะ) อย่างชุดเกราะมหาอุปราช ถ้ารวมง้าวด้วยนี่น้ำหนักก็ประมาณ 30 กิโลได้ครับ ใส่ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่ถอดครับ เราใส่กันเป็นเสื้อยืดเลย เทคนิคของผมคือถ้าเจอชุดหนักๆอย่าใส่แบบหลวม เพราะถ้าหลวมจะไปกดอยู่ที่ไหล่ ให้รัดทุกอย่างให้กระชับเหมือนชุดโขนครับ ต้องให้น้ำหนักกระจายทั้งตัว คือให้อก และหลังช่วยรับน้ำหนักด้วย ถ้าถอดปุ๊บจะไม่อยากใส่อีก จำได้ว่าตอนยุทธหัตถีนั่นใส่ชุดเกราะวิ่งได้แล้วนะ ชินกับน้ำหนักแล้ว ถอดแล้วตัวเบามาก ส่วนง้าวนี้ขอกลับบ้านเลยไปควงเล่นฝึกให้ชินมือ เพราะง้าวของผมหนักกว่าของเบิร์ดเท่าหนึ่ง ด้วยความที่ลวดลายเขาแต่งเยอะ ไม่งั้นก็ไม่วิจิตรตามแบบฉบับของหงสาฯ มีการเตรียมพื้นที่ เตรียมเวลาในการฝึกซ้อมด้วย ตัวผมเองก็ต้องไปฝึกกับอาจารย์ที่มาหลายๆคนก็ดี กลับไปบ้านต้องฝึกเองด้วย ทุกวันไม่ขาด วินัยตรงนี้ทิ้งไม่ได้เลย
          Q.เห็นชุดที่สวมใส่อลังการมากๆ อย่างนี้แต่ละครั้งในการสวมชุดต้องเผื่อและใช้ระยะเวลาในการแต่งตัวนานแค่ไหนอย่างไร
          A. ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ช่วงหลังแค่สิบนาทีเสร็จแล้ว พอจะรู้แล้วครับว่าส่วนไหนแค่นี้พอ ทุกส่วนรู้กัน เวลาขี่ช้างหรือขี่ม้าต้องมีตัวโกลนที่มันจะไปบาดได้ก็ต้องกันไว้ เขามีคนมานั่งผูกเรียบร้อย ทีมงานน่ารักทุกคนพอใส่ปุ๊บข้างหลังก็จะผูกมัดเย็บๆๆ เรื่องสำคัญต้องไหว้ครับ ครั้งแรกที่ผมเข้ากองถ่าย พอเท้าเหยียบท้องพระโรงหงสาฯ ปั๊บไฟดับหมดเลยท่านมุ้ยเปิดประตูเข้ามาง่ายๆเลยครับ ตั๊กไปจุดธูป..เป็นอันว่ารู้กัน...นี่เรื่องจริงครับ เพราะว่าผมไม่ได้มาบวงสรวงวันที่สมเด็จพระราชินีท่านเสด็จมาบวงสรวง และเปิดกล้อง
          Q. ภาพช้างที่กำลังทำศึกยุทธหัตถีโดยมีพระมหาอุปราชาใส่ชุดเกราะเต็มยศ กำลังเงี้อง้าวฟันกับพระนเรศวรที่อยู่บนหลังช้าง ต้องมีเครื่องทรงทั้งคนและช้าง แต่สังเกตว่าดูเหมือนทางฝั่งพม่าจะดูวิจิตรอลังการกว่า
          A. ไทยจะเป็นรองในเรื่องนั้นจริงๆ เพราะท่านบอกว่าตั้งแต่สมัยบุเรงนอง ทรัพย์สินของหงสาฯมหาศาลอยู่แล้วครับ ชุดแบบนี้ เฉพาะเสื้อบางส่วน เป็นเหมือนสังกะสีกับเรซิ่นผสมกัน เวลาเดินมันจะดังคร่อกๆๆ แล้วก็หนักมาก กระบวนการหลายขั้นตอน แต่งทีละชิ้น โดย ใส่สนับเพลาเอง แล้วมีคนมาช่วยแต่ง นุ่งผ้า แล้วก็ใส่ชุดเกราะทับแล้วคนหนึ่งผูก ที่เหลือก็จะมาใส่ข้างนั้นข้างนี้แล้วผูกอีกด้านหลังเย็บ แค่แขนก็ต้องดึงเย็บผูกแน่นกันข้างละคน ยังมีกรองคออีกนะครับที่ต้องมานั่งเย็บกันอีกหลายชั้น แล้วก็มาหัวแต่ใหม่ๆนี่บาดนะ แล้วหูผมไม่ได้เจาะนะสังเกตดีๆใช้ตุ้มหูหนีบ ติดกาวครับ ทุกครั้งที่เล่นเสร็จกลับบ้านนี่หูผมห้อเลือดทุกครั้งเลยนะเพราะบีบแน่นสุดๆแล้วเอากาวติดครับ บางทีถลอกเลือดออกก็เป็นเรื่องปกติ น้ำหนักรวมแล้วทั้งหมด 30 กิโลโดยประมาณ ก็ต้องบอกว่าโอ้..สุดยอดแล้ว

FB on May 09, 2014, 12:47:16 AM
          Q. กว่าจะเริ่มต้นถ่ายทำฉากยุทธหัตถีได้ ต้องมีกระบวนขั้นตอนในรายละเอียดต่างๆเยอะมาก ที่ทั้งนักแสดง และทีมงานต้องเกี่ยวข้อง ทราบมาว่าตั้งแต่เริ่มต้นพิธีบวงสรวงเลย
          A. การบวงสรวงสำหรับเตรียมถ่ายฉากนี้ก็มี 3 คน คือผู้พันเบิร์ด ผม และเสธ.ต๊อด (พันเอกวินธัย สุวารี)ครับ โดยมีครูจากกรมศิลปากรมาเป็นผู้ทำพิธีคือครูไพฑูรย์ เข้มแข็ง กับครูจุลชาติ อรัณยะนาค สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สอนต่อท่ารำบนหลังช้าง ได้ข้อมูลว่าท่ารำเดิมที่บวงสรวงบนหลังช้าง มีในสมัยรัชกาลที่ห้าเป็นครั้งสุดท้าย แล้วท่านก็เก็บไว้จากครูอาคม สายาคม(ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนาฏศิลป์ กองการสังคีต กรมศิลปากร) เป็นทางนาฏศิลป์โดยแท้ที่มาต่อให้วันนั้น เป็นท่ารำพื้นฐานที่ไม่ยากมาก บวงสรวงแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งผมไปขอเรียนกลองชัยมงคลหรือกลองชัย* ที่ทางเหนือ ก็ไปปรึกษาพ่อครูพันหรือพ่อครูมานพ** ว่าทางเหนือนี้เขาใช้ง้าวกันใช่มั้ย เพราะว่าง้าวมาจากจีนก็สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากทางเหนือด้วย ท่านก็บอกว่าใช่ เพราะยุทธหัตถีส่วนใหญ่ใช้ง้าวกัน พ่อขุนสามชนสมัยพระร่วงก็ใช้ง้าวในการชนช้าง เพราะฉะนั้นง้าวนี้ใช้กันมานานแล้ว ผมกลับไปขอให้ท่านสอน แต่ท่านบอกว่าครูสอนให้ไม่ได้เพราะผิดขนบ คนไหนก็ตามที่ไม่ได้รับมอบหมายจะมาจับง้าวไม่ได้ ผมบอกผมได้รับมอบหมายให้เล่นแล้ว งั้นผมขออนุญาต พ่อบอกได้แค่ว่า ไปดูในท่ารำของกลองชัยมงคลนี้แหละ ที่มีฟ้อนสาวบุ้งสาวไหมมีท่าต่างๆ เราก็ไปนั่งดู ตอนบวงสรวงก็มีท่าพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนท่าไหว้ครูก็จะมีแบบแทงง้าวไปเรื่อย ชูขึ้นแล้ววาดง้าวลดลง ถ้าของไทยมีแบบนี้ แต่ของพม่าเราไม่มี เราไม่รู้ ต้องมาประยุกต์วิชาเอาเอง การใช้ง้าว ต้องอย่าลืมสังเกตว่าด้านหลังมีสัปคับ ถ้าเงื้อเต็มข้างหลังตายนะครับ แล้วติดด้วยครับ แล้วผมก็คุยกันต่อกับครูของกรมศิลป์ เมื่อได้แนวคิดเรื่องของการบังคับง้าว แล้วก็เรียนท่านมุ้ยประสานกับทางทีมงานทุกคนก็เห็นดีด้วย ผมก็เชิญครูสราชัย*** ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมเคารพมากมาเป็นประธาน ช่วยออกแบบท่าทางทั้งหมดกับน้องอีกคนหนึ่ง พี่เอ็ม(สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ผู้ช่วยผู้กำกับ) มานั่งดู และบอกว่าท่านอยากให้ออกมาเป็นยังไง เอาข้อมูลมาบอกว่าอยากได้อย่างนี้ๆๆ ต้องการภาพประมาณนี้ๆ ทางครูและทีมงานก็ช่วยกันทำทั้งหมดแล้วไปเสนอท่าน แบบไหนที่เห็นดีเห็นงามด้วย แบบไหนต้องแก้ต้องปรับอะไรก็ว่าไป เบิร์ดก็มาช่วยกันด้วย
(*เป็นกลองเก่าแก่ดั้งเดิมของล้านนาปรากฏชื่อในคัมภีร์ธรรมล้านนา เป็นต้นแบบที่พัฒนาไปสู่กลองปู่จาและกลองสะบัดชัยในปัจจุบัน
** ครูมานพ ยาระณะ ศิลปินแห่งชาติ ปี2548 สาขาศิลปะการแสดง ศึกษาศิลปะการต่อสู้ ศิลปการแสดง ดนตรี ตลอดจนศิลปะการตีกลองล้านนาชนิดต่าง ๆ จากครูผู้เชี่ยวชาญ จนมีฝีมือเป็นที่เลื่องลือ อาทิ ศิลปะการชกมวย การฟ้อนเจิง ฟ้อนเจิงสาวไหม ฟ้อนหอก ฟ้อนผางประทีป ตลอดจนศิลปะการตีกลอง ปู่จา กลองสะบัดชัยแบบโบราณ กลองมองเซิง กลองปูเจ่ หรือศิลปะการแสดงอื่นๆอีกมากมาย และมุ่งมั่นทำการสอนคนรุ่นใหม่จากรุ่นสู่รุ่นรุ่นแล้วรุ่นเล่ามาตลอดระยะ เวลาที่ผ่านมาร่วม 50 ปี
***ครูสราชัย ทรัพย์แสนดี เป็นครูสอนกระบี่กระบอง การต่อสู้ฟันดาบ ขวาน เคยได้รางวัลมากมาย ปัจจุบันยังสอนอยู่ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (วิทยาลัยนาฏศิลป์) ศาลายา)
          Q.นี่แค่การเตรียมการ ค้นคว้าข้อมูลศึกษาถึงแค่วิธีการที่จะใช้อาวุธในสมัยนั้นอย่างง้าว
          A. ที่เล่ามาเป็นแค่การศึกษา แต่การถ่ายทำจริงยิ่งยากกว่า ง้าวเป็นศาสตร์ที่ใช้ เมื่ออยู่บนหลังช้าง และไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆก็เงื้อฟันจ้วงได้ เมื่อไปอยู่บนหลังช้างแล้วถึงจะเข้าใจ ผมโชคดีที่รู้จักอาจารย์จักรพันธุ์ (โปษยกฤต) ที่บ้านท่านทำหุ่นกระบอกเรื่องตะเลงพ่าย เราก็มีโอกาสเข้าชมซึ่งมีฉากยุทธหัตถีด้วย ได้คุยกับอาจารย์ต๋อง (วัลภิศร์ สดประเสริฐ) ที่ทำหุ่นกับอาจารย์จักรพันธุ์ ก็ถามถึงแนวคิดเพราะท่านมี ท่าสุดท้ายคือสะพายแล่ง(ลักษณะการฟันขาดเฉียงบ่า) คือมีข้อถกเถียงกันเยอะมาก ว่าจะสะพายแล่งอย่างไร หลังจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่าพระมาลาเบี่ยงลักษณะแหว่งแบบนี้ คือเบี่ยงขวา เราก็เริ่มจากจุดนั้น อาจารย์จักรพันธุ์ก็บอกว่าเป็นไปได้ว่าฟันลงมาแล้วย้อนเกล็ด..คือชุดเกราะของพระมหาอุปราชาเป็นแบบเกล็ดนกยูง ต้องฟันย้อนขึ้นถึงจะเข้าเกราะได้.. ผมก็ว่ามีเหตุผล แต่เมื่อนึกต่อว่าฟันยังไงเพราะดูจากลักษณะนี้ถ้าฟันย้อนเกล็ดคงติดแน่ ถ้าลงไปต้องติดงาหรือติดงวงช้างสักอย่างหนึ่ง ก็ศึกษาหารูปแบบและวิธีการกันเพิ่ม สุดท้ายสรุปกันว่าน่าจะย้อนเกล็ด..แล้วค่อยฟันลงมา น่าจะเป็นท่านี้..ก็นั่งคิดกันว่าจะเป็นไปได้มั้ย แล้วก็กลับมาเริ่มเลย
          Q.ฟังๆดูแล้วไม่ง่ายเลยนี่เพียงแค่นักแสดงกับวิธีการที่จะต้องใช้อาวุธ แต่นี่ยังไม่รวมถึงการที่ต้องทำงานกับสัตว์ใหญ่ๆอย่างช้าง
          A.ไม่ง่ายเลยครับ ข้อมูลก็ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อมาปฏิบัติจริงก็มีส่วนที่ต้องปรับอีกเยอะเลย อย่างช้างนี่เป็นปัจจัยสำคัญ ช้างไม่เป็นไปตามที่เราอยากได้ ควาญช้างไม่สามารถทำให้ช้างทำอย่างที่เราคิดได้ ไม่เหมือนม้า ซึ่งเราดึงเองได้ ผมจะบอกว่านี่แหละโชคชะตา หลังจากที่ชนช้างกับเบิร์ดแสดงกันได้พักหนึ่ง ผมนั่งคิดว่าเราพยายามกันหลายเที่ยวมากกับช้างจริงๆ เพื่อจะให้เขากลับหรือให้เข้าจังหวะช่วงที่บุกนั้นถ้าห่างกันเกินไปเราจะฟันกันไม่ถึง เพราะช้างเราบังคับกันไม่ได้ คือให้อยู่ในระยะได้ แต่จะให้เป๊ะเหมือนที่เท้าเราก้าวไม่ได้ นี่คือปัญหาหลัก แล้วปัญหานี้แก้ยากมากจริงๆ แค่แทงไม่ถึงนี่ก็ต้องคัทแล้ว ต้องกลับมาเริ่มใหม่จนกว่าช้างจะเข้าที่ แค่ก้าวหนึ่งของเขาก็ต้องใช้เวลาขยับกันนานพอประมาณเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือทำยังไงให้จังหวะเราลงได้กับท่า แล้วท่าต้องปรับยังไงให้มันได้กับจังหวะช้าง กว่าจะลงตัวกันได้ทั้งหมด จำได้ว่าผมถ่ายทุกวันยกมือ แล้วยกมืออีกขอแรงให้ลูก..ขอแรงให้ลูกอีกที ตอนนั้นคือมันมองอะไรก็สีเพี้ยนไปหมดเพราะเหนื่อยมาก แล้วเหงื่อเข้าตาด้วย นั่นคือหลักๆ 2 คนเท่านั้น กองทัพไม่เกี่ยว ทัพเดินหน้าปะทะกันยังไม่เกี่ยว เมื่อเราทำงานกับช้างเราถึงได้รู้ว่า ช้างของพระองค์ท่านที่เสียหลักเพลี่ยงพล้ำกับจังหวะที่เหยียบยันต้นพุทราเล็กๆนั้น ทำให้สถานะของประเทศชาติเปลี่ยนได้อย่างไร...ถึงบอกว่าชะตาฟ้าลิขิต องค์ประกอบทุกอย่างส่งให้ท่านได้รับชัยชนะ ส่งให้เราเป็นไทจริงๆ ผมขนลุกนะ การทำงานในฉากยุทธหัตถีต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก และหนักมากๆ นอกจากท่านมุ้ยให้มาแล้ว เราก็ต้องไปหาเองด้วยเพราะเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ ความคล่องตัวทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับการทำการบ้านของเรา ไปฝึกฝนไปหาข้อมูลจากครูบาอาจารย์หลายๆคนจากหลายๆที่มาประยุกต์ผสมผสานกัน การทรงตัวอยู่บนคอช้างไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าขี่ม้าเรามีโกลนเหยียบ ช้างก็มีโกลนคล้ายๆกัน ทำเป็นถุงผ้า ถ้าสังเกตให้ดีในเรื่องพระมหาอุปราช พระนเรศจะมีคล้ายเหมือนโกลนม้าสำหรับเหยียบ และสามารถยืนที่คอช้างได้จริงๆเหมือนกัน ซึ่งท่านมุ้ยท่านได้researchไว้แล้ว ก็ทำขึ้นมาเป็นเทคนิคของการยืนบนคอช้าง ซึ่งปกติถ้าเราไปยืนบนหลังช้างหรือคอช้างที่ไหนก็ตามที่เขาให้ขี่ช้างเราจะไม่เห็นของสิ่งนี้ เพราะควาญช้างทั่วไปเข้าไม่ต้องใช้ แต่ในศึกนี้เราใช้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ที่อยากให้สังเกตจริงๆ สามารถยืนแล้วเงื้อง้าวไปข้างหน้าในการฟันได้
          Q: รวมไปถึงพวกเครื่องทรงช้างวิจิตรมาก
          A: เครื่องทรงช้างนี้วิจิตรมากครับ แค่ชุดเกราะนกยูงของผมนี่ก็ใช้เวลานานกว่าจะเย็บทีละแผ่นให้เป็นชุด ช้างก็เช่นกัน ต้องเย็บทีละแผ่น ทุกครั้งที่เข้าฉากก็ร่วงทีละชิ้น ต้องเอาไปเย็บซ่อมอีก เพราะบางทีมันโดนอาวุธโดนเกี่ยวจริงๆ เสียงที่เกิดขึ้นจากการกระทบจริง อาวุธก็หักได้เหมือนกัน ถึงเวลาต้องให้ช้างพักต้องมีเวลาไปกินข้าวไปอาบน้ำให้หายหงุดหงิด เพราะโอกาสที่เราจะพลาดกับช้างมีเยอะมากนะครับ เขาเป็นสัตว์ที่แสนรู้ ฉลาด เราจับเขาๆรู้แล้วว่าเรากลัวหรือไม่กลัวเขา อันนี้คุณหมอบอกไว้ว่าเรามีชีพจรที่มือ เมื่อเราจับหูช้างถ้าเรากลัวเขาเขาจะท้าทายได้เลย
          Q .ประสบการณ์การทำงานกับช้างที่ต้องเกี่ยวพันตลอด
          A. คือถ้าใครไม่ทราบก็จะ ช้างน่ารักตลอดเวลา ก็คงใช่ครับถ้าเขาอารมณ์ดี และอยู่ใกล้ควาญที่คุมเขาได้จริงๆ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดีกรุณาถอยออกให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำไมช้างถึงกระทืบคนตาย ตัวใหญ่จริงแต่เขาเหยียบแม้กระทั่งไม้แห้งๆได้เงียบมาก เขามีวิธีการระวังตัวดีมาก การเคลื่อนไหวของเขาก็เร็วมากเช่นเดียวกัน วันหนึ่งผมจะขึ้นคอช้างเพื่อซ้อมก่อน มีเด็กกลุ่มหนึ่งประมาณ 5 คน อายุประมาณ 6-10 ขวบ เป็นลูกเจ้าหน้าที่แถวค่ายสุรสีห์ละครับ คนหนึ่งพูดว่า “เฮ้ย! ช้างโว้ย” ช้างอยู่จากผมห่างออกไประยะไม่ถึงสิบเมตร สักพักหนึ่งเขาก็ถอยหลังไปไกลพอสมควร ควาญก็เดินไปนั่งพัก เด็กกลุ่มนี้ปีนขึ้นต้นไม้แล้วก็เเลบลิ้นยักคิ้วหลิ่วตา อีกคนขึ้นมาเรียกไอ้ช้างโว้ย..สารพัดสารเพ ผมหันไปมองอีกทีไม่อยากเชื่อภาพที่เห็นเลย จากที่ห่างกันสิบกว่าเมตร ช้างพุ่งเข้ามาถึงหน้าเด็กเลยครับ งวงเขาอยู่ตรงหัวแล้ว พร้อมที่จะทำร้ายได้ทันทีแต่เขาไม่ทำนะ เขายกงวงขึ้นมาแล้วก็มองแล้วก็ถอยหลังส่ายงวงไปมา แล้วเขาก็ถอยหลังกลับ ช้างมีกล้ามเนื้อเป็นหมื่นมัดตรงงวง แล้วมีพยานยืนยันหลักฐานได้ว่า เขาฟาดคนทีเดียวตายแน่นอน
          Q: คุณตั๊กมีตกช้างบ้างไหม
          A: เคยช้างที่ผมขี่ทุกเชือกค่อนข้างมารยาทดีครับ ท่านมุ้ยก็เป็นห่วงนะ บางทีร้อนจัดๆช้างก็จะหงุดหงิดมาก แล้วมีประวัติว่า เคยเขวี้ยงควาญลงจากคอ คงเป็นควาญคนละคนกัน แล้วมาขี่แทน เท่าที่ถามผู้เห็นเหตุการณ์ยืนยันว่าเขาแค่เอางวงขึ้นไปแล้วคว้าลงมา แล้วก็ไล่ตามไปกระทืบ แต่โชคดีที่ควาญคนนั้นลงน้ำไปก่อนแล้วโผล่อีกฝั่งหนึ่ง คือรู้ทันกันนะ แต่ฟังแล้วก็กดดันเลย(หัวเราะ) เวลาทำงานเรารู้ว่าเขาร้อน เราก็ร้อน เพราะฉะนั้นเมื่อเราสามารถแบ่งปันความเย็นให้เขาได้ก็จะทำ เช่นเมื่อคนส่งน้ำโยนขึ้นมาเป็นแก้วเล็กๆ แล้วผมก็เจาะรูหรือทำให้ไหลตรงหัวเขาบ้างแล้วก็ลูบๆก็ต้องชะโลมบ้าง ใช้เทคนิคนิดๆหน่อยๆ อะไรก็ได้ให้เขาเย็น หรือไม่ก็แตะเบาๆให้เขารู้ว่าร้อนด้วยกันนะ จากประสบการณ์จากระยะเวลาที่เราทำงานมายาวนาน ส่วนใหญ่ก็ต้องมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆ เวลาเราทำงาน กับสัตว์ก็ทำให้รู้ว่าเขารู้เรื่อง เข้าใจเราได้ อย่างในเรื่องAvatar ม้าสามารถเชื่อมจิตใจกับคนได้จริงๆ ตอนไปดูยังคิดเลยว่าคนทำภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องรู้จักม้า ต้องเคยขี่ม้าเพราะถ้าเรายิ่งคุ้นเคยกับเขา เขาจะสามารถเข้าใจจิตใจเราได้ดีมากจนเกือบจะเป็นคนๆเดียวกันที่พูดกันรู้เรื่องทุกวันได้เลย แทบจะไม่ได้สั่งอะไรเขาก็ไปให้แล้ว อย่างตอนช้างกับม้าเจอกันผมอยู่บนหลังม้า เมื่อเขาเจอช้างก็ไม่แสดงอาการหวาดกลัวอะไรเลยเพราะเรานิ่ง ในขณะที่ม้าคนอื่นไปแล้ว..เขานิ่งตามเราได้จริงๆด้วย ธรรมชาติของสัตว์เขารู้และรู้สึกได้ครับ
          Q.กว่าจะเกิดเป็นภาพที่ปรากฏบนจอภาพยนตร์ให้เราได้ชมกันสำหรับ ฉากยุทธหัตถีต้องผ่านขั้นตอนในการถ่ายทำกันอีกนับไม่ถ้วน รวมไปถึงขั้นตอนทางด้านเทคนิคหลังการถ่ายทำ รวมไปถึงงานทางคอมพิวเตอร์กราฟฟิคต่างๆ
          A. การทำ CG เป็นส่วนที่ผมแตะต้องไม่ถึงครับ แต่เชื่อว่ายากมากแน่ๆ เพราะลำพังแค่ช้างนี่ก็ไม่ได้มีแต่ช้างจริงในตอนถ่ายทำเท่านั้น ยังต้องมีช้าง CG อีกเพื่อให้ภาพออกมาสมบูรณ์ แต่ต้องใช้คนอีกเท่าไหร่ที่จะขยับกันเป็นหุ่นเป็น ครั้งแรกที่ผมเห็นเหมือนช้างหุ่นเชิด แล้วก็ขยับแล้วก็อยู่บนช้างแล้วก็สู้กันแต่อันนี้ตัวเราค่อนข้างขยับได้ถนัด แต่ข้างล่างเหนื่อยมาก หรือยังต้องมีถ่ายฉากทำสงครามกองทัพทหารทั้งสองฝั่งที่บุกปะทะกันอีกเอา มานั่งคุยกันคัท..เทค...เพราะข้างหลังไม่สมบูรณ์ ...ย้อนกลับไปทั้งหมดเป็นร้อยเป็นพันคน แค่หนึ่งร้อยคนถอยหลังกลับไปตั้งฉากใหม่นะใช้เวลาเท่าไหร่ ถ้าพลาดขึ้นมาแค่คนเดียว..เทค
          Q.ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยังมีหลายๆฉากสำคัญที่ทั้งยิ่งใหญ่ในแง่งานสร้าง และการถ่ายทำรวมไปถึงมีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ไม่แพ้ฉากยุทธหัตถีเช่นกัน
          A. ศึกใหญ่ๆที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ก็มีศึกที่บุเรงนองยกมา และที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน คือศึกนันทบุเรง ที่เกิดขึ้นก่อนถึงศึกยุทธหัตถี โดยศึกนันทบุเรงลูกของบุเรงนองนี้ พม่ายกทัพมาเป็นเรือนแสนเช่นเดียวกัน มาล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่หลายเดือน ทางเรือก็มีด้วยนะครับ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องยกทัพกลับ นับเป็นฉากใหญ่อีกฉากหนึ่งในภาคนี้ด้วย เบื้องหลังการถ่ายทำก็ต้องบอกว่าเซ็ทกันหฤโหดพอสมควรทั้งควัน และไฟเพราะนันทบุเรงโดนไฟลวก ซึ่งเป็นจุดพลิกอีกฉากหนึ่ง ที่ทำให้ชีวิตของมหาอุปราชต้องเปลี่ยน มันเป็นฉากรบที่ฝั่งกรุงศรียิงปืนใหญ่เข้ามา โดนเต็มๆเลย นันทบุเรง-พระบิดาต้องพระแสงปืนใหญ่ ฉากนี้ร้อนจริงๆนะ ตอนที่วิ่งเข้าไปอุ้มพระบิดาบนเชิงเทิน ก็ทุลักทุเลกันแล้วยังต้องวิ่งผ่านไฟตามเต็นท์ต่างๆในค่ายอีก อันนั้นร้อนจริงนะครับ มีบางสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนพวกเราจริงๆด้วย อย่างหนึ่ง-ชลัฏ ที่วิ่งตามหลังมาเสื้อไหม้เลย ต้องไปดับกันนอกฉาก..สุดยอด เขม่าเต็มๆ ทั้งไฟปะทุ ทั้งอากาศร้อนสุดๆ แค่วิ่งผ่านเฉยๆก็ระอุมากแล้ว ยังต้องวิ่งโดยมีพระบิดาถูกห่ออยู่ในเสื่อ ที่เราอุ้มกันไว้หกคน ก็วิ่งพร้อมกันสุดชีวิตได้จริงๆ..ทั้งความร้อนทั้งกลิ่นควันไม่ธรรมดาเลย..กลับบ้านล้างเขม่าออกจมูกเป็นก้อนๆเป็นแผ่นๆ

          Q.เห็นว่าต้องมีถ่ายทำฉากที่คุณตั๊กต้องยก คุณต้น จักรกฤษณ์ที่ถูกไม้ทับในกองเพลิงด้วย
          A รู้สึกว่ามันก็คือเซ็ทฉากขึ้นมาก็ยังไม่หนักเท่าไหร่ แต่พี่ต้น-จักรกฤษณ์ที่เป็นพระบิดานี่หนักแน่ ที่สำคัญคือฉากนี้เราต้องมีการแสดงทั้งท่าทางและความรู้สึกทางสีหน้าอารมณ์ทุกอย่างต้องได้ด้วย การเซ็ทฉากทำเสมือนจริง ไฟไหม้จริง ฉากพังจริง ไฟไหม้ไม่เหลือจริงๆกล้องเสียไปหนึ่งตัวครับ ผมเชื่อว่าท่านคงไม่ได้ตั้งใจหรอก..แต่มันเกิดขึ้นแล้ว
          Q. ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นการเนรมิตท้องพระโรงในการว่าราชการของทางฝั่งหงสาที่ว่ากันว่าเต็มไปด้วยความวิจิตรอลังการไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉากรบฉากสงครามเลยทีเดียว
          A. ฉากนี้ถ่ายทำในท้องพระโรงจำลอง โดยท่านจำลองได้เหมือนมาก ย่อสเกลมาได้สวยมาก..เป็นงานฝีมือจริงๆ.. ต้องชมฝ่ายศิลป์สุดยอด..เป็นงานวิจิตรศิลป์-ประณีตศิลป์ เหมือนนั่งดูโขน ฉากสำคัญนี้เป็นฉากอารมณ์ ที่สะท้อนแง่มุมของความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อกับลูก..นันทบุเรงกับพระมหาอุปราชา แม่ทัพทั้งหมดทุกคนมาเข้าเฝ้านันทบุเร งเมื่อกลับจากศึกที่พระเจ้านันทบุเรงโดนไฟลวกทั้งตัว พันแผลเป็นมัมมี่กันเลยทีเดียว....พี่ต้น-จักรกฤษณ์ต้องแสดงความเจ็บปวด คลุ้มคลั่งเสียสติทุกอย่างอารมณ์ทุกอย่างล้นหลาม แล้วสุดท้ายมาประดังที่ลูกซึ่งต้องมารองรับอารมณ์ของพ่อ โดนต่อว่าปรามาสดูถูกเหยียดยาม แต่กระนั้นอุปราชก็ยังรักพ่อ และเคารพยิ่ง บุคคลที่เราต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงหัวใจของนักรบ..พิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชาย เพื่อพระบิดาจะได้เข้าใจได้ทรงเห็น มหาอุปราชาก็ยังแสดงความรักต่อพระบิดาได้อย่างหนักแน่น โดยการก้มลงไปเอาหน้าแนบพระบาทให้รู้ว่านี้คือเหนือหัวของเขา ด้วยน้ำตาที่นองหน้า ฉากนี้มังสามกียดต้องอุ้มนันทบุเรงจากพื้นไว้ในอ้อมกอ ดด้วยความเศร้าสลดใจ ท้อแท้ เสียใจ เพื่อขึ้นแท่นบรรทม แต่กระนั้นก็ยังคงรักพระบิดาอย่างเต็มเปี่ยม เป็นความเจ็บปวดกับความขัดแย้งในท่าทีเป็นอย่างมาก ฉากนี้เป็น long take นะครับตั้งแต่อุ้มไปจนถึงแท่นบรรทม ไม่มีตัดไม่มีคัท แปลกที่ว่าตอนที่ผมแสดงนั้นไม่รู้สึกว่าพี่ต้นหนักเลยแม้แต่น้อยครับ ความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ตอนนั้นมันมันสามารถมีอยู่เหนือร่างกายจริงๆ
          Q.แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆในการแสดงของคุณตั๊กในฉากนี้เห็นคุณต้น จักรกฤษณ์บอกว่าพอจบเทกท่านมุ้ย บอกให้ทุกคนปรบมือเลย
          A. ท่านให้เกียรติมากครับ พอจบปุ๊บท่านสั่งให้ทุกคนปรบมือ ลั่นอยู่ตรงท้องพระโรงนั่นเลย เราก็ดีใจนะ มันผ่านมาได้ด้วยความสวยงาม และอารมณ์ที่เต็มท่วมท้นไปหมดเลย..รู้สึกดีมากครับ
          Q.เป็นโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ที่กินระยะเวลายาวนานถึง10ปี “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”ถือได้ว่ามีความสำคัญกับชีวิตของเรามากน้อยแค่ไหนอย่างไรในช่วงเวลาที่ผ่านมา
          A: เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผมได้เจอกับคนเยอะแยะที่ดี..เป็นความผูกพันที่ดี กับคนทำงานหลายๆคนที่มีจิตใจที่ดีทุ่มเทให้กับงาน บางคนอาจจะเหนื่อย แต่เขาก็ไม่ท้อ หรือถอดใจ เพราะมันนานมาก คือมีทั้งสุขและทุกข์ เหมือนผู้พันเบิร์ดกับผมก็เข้าใจกัน คืออย่างที่เห็นว่าบางคนแต่งงานกันที่นี่ บางคนรักกันที่นี่ มีลูกด้วยกันที่นี่ หรือบางคนก็เจ็บป่วยจนล้มหายตายจากไปก็มี เป็นความเศร้าที่เขาจากไปแต่ว่ายังเป็นความทรงจำที่ดี ที่เราเคยเห็นเขาทำงานกับเรา และเห็นเขาทุ่มเทกับงานที่เป็นประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่เราจะเก็บจารึกไว้ว่านี่คือหนังประวัติศาสตร์ เขาอยู่ในนั้นด้วยนะ อย่างเสธ.ต้นนี่เขาอยู่ตรงนั้น เขาทุ่มเทกับงานแค่ไหน
          Q.ความท้าทายในฐานะนักแสดงตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คิดว่าจะมีโปรเจ็คต์แห่งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้อีกมั้ย
          A: แค่เริ่มคิดผมเชื่อว่าหลายๆคนก็ไม่เอาแล้วครับ โปรดักชั่นใหญ่ขนาดนี้ ความคิดอาจจะคิดได้แต่จะไปเอากำลังมาจากไหน ถ้าบุคคลนั้นไม่มีบารมีพอที่จะสามารถรวบรวมคน เพื่อนำความคิดต่างๆมาถ่ายทอดให้เกิดเป็นทีมงานที่พร้อมจะเข้ามาทำงาน มันต้องใช้หลายภาคส่วนมากนะ เอาแค่ research อย่างเดียวนี่ผมก็ว่าไม่น้อยแล้ว เท่าที่ผมทราบมาท่านทำ researchไม่ต่ำกว่าเจ็ดปีนะ ก่อนจะเป็นสุริโยไทเรื่อยมาถึงพระนเรศวรฯ ต้องทุ่มเทขนาดไหน.ยังไม่พูดถึงขั้น Pre-Production ต่อจากจุดเริ่มต้นอีก researchได้แล้วต้องสร้างอะไรบ้าง ต้องdesignอะไรบ้างจากหลักฐานทางประวิติศาสตร์ที่ค้นคว้ามาได้ ต้องอ้างอิงและหาข้อมูลเพื่อโต้แย้งอย่างไร แล้วถึงมาสรุปเป็นแนวทางที่จะทำ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วนะแต่ท่านไม่เห็นเหนื่อยเลย
          Q: ความรู้สึกของคุณตั๊กเองกับการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องนี้
          A. แม้เราเป็นเมล็ดถั่วเล็กๆที่เป็นตัวขับเคลื่อนในกลไกของภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้ ผมก็ภูมิใจที่ได้สัมผัส อย่างที่บอกว่าผมจุดธูปขอบทอะไรก็ได้จริงๆ แค่ขอเข้าไปเล่นสักบทหนึ่ง ตัวละครหนึ่งแล้วก็กราบขอพรท่านเท่านี้แหละครับ นั่นคือสิ่งที่ผมขอ ผมไม่คาดฝันว่าจะได้เป็นตัวเด่นๆหรือใหญ่ๆอะไรเลย และเราก็รู้สึกว่าถ้าได้เล่นก็ภูมิใจแล้ว ผมพร้อมจะภูมิใจว่าเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในฟันเฟือง ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้ภาพยนตร์แห่งประวัติศาสตร์ของชาติไทยเรื่องนี้สำเร็จ
          Q.ทำไม “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ถึงเป็นภาพยนตร์ที่ “ต้องดู”
          A: ผมเชื่อว่าคุณจะไม่ได้เห็นการทำงานที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ในอีก 10-20-30 ปี หรือในช่วงชีวิตของผม สิ่งที่คุณควรจะดู คือสิ่งที่คุณอาจจะอยากเห็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์นั้นคือหลักใหญ่ เรื่องราวแห่งวีรกรรมที่บรรพบุรุษไทยก่อนหน้าคุณท่านสร้างไว้ให้ เรื่องนี้ถ่ายทอดอะไร มาจากการค้นคว้าที่เราเห็นจากท่าน..จากสิ่งที่นักวิชาการเห็น..มาถ่ายทอดกัน ปรึกษาถกเถียงกัน แล้วนำมาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ประวัติศาสตร์มีอยู่แล้วสิ่งที่แน่ๆคือถ้าท่านเป็นคนไทย เรื่องนี้ตอบคำถามได้ว่าแผ่นดินถิ่นเกิดของท่านเป็นชาติไทยได้มาได้ยังไง แล้วอีกอย่างหนึ่งคือโปรดักชั่นใหญ่ๆแบบนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีนักแสดงและทีมงานที่มีคุณภาพมารวมกันได้มากขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายศิลป์ ฝ่ายเสียง ฝ่ายแสง แม้กระทั่งสตั๊นท์ และมีทหารมาร่วมอีกหลายหมื่น ไม่รู้กี่ผลัดต่อกี่ผลัดในสิบปีที่ถ่ายทำกัน นักแสดงกิตติมศักดิ์กี่ท่านได้มาเข้าร่วม ที่บอกว่าล้มหายตายจากไปแล้วก็มี ยังรำลึกถึงพวกท่านเหล่านั้นเสมอ และรุ่นใหม่ที่ตามเข้ามาอีก ซึ่งอนาคตก็จะเป็นประวัติศาสตร์ของพวกเขาด้วย ยากมากที่จะกลับมาทำแบบนี้ได้อีกครับ

FB on May 09, 2014, 04:28:56 PM
บทสัมภาษณ์ “เกรซ จากตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”







          “สิ่งที่เกรซสังเกตและมักเจออยู่เสมอเวลาที่เราเข้าไปในบ้านของชาวต่างจังหวัดที่อยู่ลึกตามตะเข็บ ชายแดน คือภาพในหลวงรัชกาลที่9ของเรา ภาพในหลวงรัชกาลที่5 ภาพพระนเรศวร แล้วก็จะเป็นภาพพระสุพรรณกัลยา”
          พระสุพรรณกัลยา
          บทบาทที่ท้าทายความสามารถทางการแสดงมากที่สุดในชีวิต
          ของ.......เกรซ มหาดำรงค์กุล
          “จากที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่เคยรับแล้วก็ไม่คิดที่จะทำด้วย พอได้สัมผัสเลยรู้ว่าการแสดงมันมีเสนห์ เป็นศาสตร์ที่เราไม่เคยได้สัมผัส กลายเป็นว่าการแสดงเปิดโลกทัศน์ให้เราเยอะมากค่ะ”
          “ส่วนเรื่องที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตกับเกรซมากที่สุดก็คือการได้พบกับสามีของเกรซในกองถ่าย ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชค่ะ”
          Q. กว่า 5 ทศวรรษของท่านมุ้ย มจ. ชาตรีเฉลิม ยุคล ท่านคือหม่อมเจ้าผู้มีสายเลือดนักทำหนัง-ผู้มีอาชีพคือเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ไทยมาตลอดชีวิต เป็นศิลปินแห่งชาติและได้รับการยกย่องถึงอัจฉริยภาพในฐานะผู้กำกับหนังไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย เมื่อเอ่ยชื่อท่านมุ้ยภาพของท่านในความคิดของคุณเกรซเป็นอย่างไร
          A. เกรซได้ยินชื่อและผลงานของท่านมุ้ยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทองพูน โคกโพธิ์ (ราษฎรเต็มขั้น), คนเลี้ยงช้าง และอีกมากมายค่ะ แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเราจะมีโอกาสได้ร่วมงาน เคยพบและคุยกับท่านในงานต่างๆ ก็ได้แต่ชื่นชมและคิดว่าเป็นผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินค่ะ เคยไปที่กอง “สุริโยไท” กับคุณพ่อแล้วรู้สึกประทับใจมาก ไปถ่ายรูปเบื้องหลังเพราะคุณพ่อชอบถ่ายรูป ช่วงพักทานข้าวเกรซก็ขับรถออกมาในเมืองกับคุณพ่อ ฝนตกหนักมากเลยนะคะก็เลยคิดว่าในกองเขาไม่ถ่ายต่อหรอกเพราะฝนก็คงจะตกเหมือนที่นี่ จึงโทรเข้าไปหาเพื่อนที่อยู่ในกอง เพื่อนบอกว่าที่นี่ไม่มีปัญหาเลย ถ่ายต่อได้ พอเราแล่นรถเข้าไปในบริเวณที่กองถ่ายซึ่งอยู่กลางทุ่งนาก็เห็นเลยว่าฟ้าเปิดที่เดียวตรงจุดที่ถ่ายทำกัน คือรอบข้างนี่มืดหมดเลย พอท่านถ่ายเสร็จแล้วสั่งเลิกกอง..ฝนตกเลย เป็นอะไรที่เราประทับใจมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วชื่อของท่านมุ้ยนี่ก็ดังก้องอยู่ในหัวตลอด
          Q.พูดถึงกษัตริย์นักรบอันเป็นที่เคารพรักและศรัทธามากที่สุดพระองค์หนึ่งของคนไทย “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช”ในความรู้สึกของเราที่มีต่อพระเองค์ท่านเป็นอย่างไร
          A.สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นกษัตริย์ที่ทรงเสียสละมากมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ตลอดพระชนม์ชีพของท่านจะเกี่ยวข้องอยู่กับการเมืองและการรบในสมรภูมิอยู่ตลอดเวลา เหมือนฟ้าลิขิตมาว่าท่านมีภารกิจที่ต้องทำอย่างนี้ตั้งแต่เด็กเลย โตขึ้นมาด้วยกันกับพระสุพรรณกัลยาก็ไปสมรภูมิรบด้วยกัน แล้วก็ไปอยู่ที่พม่าด้วยกัน ก็มีความรู้สึกว่าท่านเป็นกษัตริย์ที่น่ายกย่องและมีน้ำใจที่ประเสริฐ แล้วในหนังนี่จะเห็นเลยนะคะว่าท่านมีเพื่อนก็คือบุญทิ้ง มีความรักคือมณีจันทร์ แล้วก็ความรักที่ท่านมีให้กับทหารของท่าน ความรักที่ท่านมีให้กับบ้านเมือง และความรักที่มีให้กับตัวท่านเองกับบุคคลรอบข้างค่ะ
          Q.และถ้าให้พูดถึงอภิมหาโปรเจคต์ภาพยนตร์ไทยเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”ในความรู้สึกของเกรซ ที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้
          A- ถ้าจะพูดถึงอภิมหาภาพยนตร์ก็ต้องพูดถึงตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้วล่ะค่ะ เพราะถ่ายทำกันมายาวนานมาก เริ่มตั้งแต่วันแคสต์มาจนถึงปัจจุบันก็สิบปีแล้วแน่ๆ เมื่อก่อนนี้เคยคิดเล่นๆ คุยกันเล่นๆ ว่าหนังเรื่องนี้จะถึงสิบปีหรือเปล่า... ปรากฏว่าวันนี้สิบปีจริงๆ ถ้าเป็นเด็กก็โตมากับหนังเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ
          Q.แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยชื่อ “เกรซ มหาดำรงค์กุล” หลายคนคงนึกภาพลักษณ์ในความเป็นสาวสังคมที่ดูดี สวยเก่งและมากความสามารถแต่เชื่อว่าในช่วง10ปีที่ผ่านมาหลายคนคงคุ้นชินกับภาพความเป็นนักแสดงและการที่เข้ามามีบทบาทที่หลากหลายขึ้นในวงการบันเทิงรวมไปถึงในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ผลิตภัณฑ์ความสวยความงาม อยากให้คุณเกรซเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่ผ่านมาและบทบาทล่าสุดในปัจจุบัน
          A. ชีวิตที่ผ่านมานี้ก็ทำงานอยู่ 2 อย่างนะคะ ทำงานออฟฟิศเหมือนกับที่คนอื่นเขาทำกัน และก็มีโอกาสทำงานอย่างอื่นด้วยคืองานด้านบันเทิง เป็นพิธีกรรายการทีวี พิธีกรงานอีเว้นท์ แล้วก็เล่นมิวสิควีดีโอบ้างถ่ายแบบบ้าง จิ๊บๆจ้อยๆไปเรื่อยค่ะ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กก็มีคนชวนไปเล่นละครเพราะเกรซถ่ายแบบลงนิตยสารตั้งแต่อายุ 15 พอคนเห็นเขาก็จะมาถามว่าสนใจงานละครไหม สนใจงานหนังไหม เราก็เคยเข้าไปแคสต์บ้างแต่บางทีก็คิดว่าอาจจะไม่เหมาะหรือว่าช่วงนั้นใจบอกว่ายังไม่รู้สึกอยากทำน่ะค่ะ จนเวลาผ่านมาเรื่อยๆ ก็มีโอกาสได้ไปแคสต์หนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าอยากรู้ที่เขาแต่งตัวกันในสุริโยไทเป็นผมทรงที่ตั้งๆขึ้นมานี่เขาทำยังไง แล้วก็อยากรู้ว่าถ้าเราแต่งชุดไทยอย่างนั้นเราจะเป็นยังไง ดีใจมากที่เขาเรียกไปแคสต์ก็ถามเขาอย่างเดียวว่าจะได้ใส่ชุดอย่างนั้นไหม พอเขาบอกว่าได้ใส่เกรซก็รู้สึกแฮปปี้มากแล้ว คือเอากล้องตัวเองไปถ่ายรูปนั้นเก็บไว้ หลังจากวันนั้นทางกองก็หายไปเลย..หายไปจนคิดว่าคงไม่เรียกแล้ว หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีก็โทร.มาเรียกให้ไปใส่ชุดไทยอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นยุคอื่นและทำผมทรงใหม่..แล้วก็หายไปอีกพักหนึ่งเลยค่ะ แล้วก็โทร.มาอีกทีนี้เกรซก็เลยถามว่าหนังเรื่องอะไรเหรอคะ เขาก็บอกเรื่องนเรศวรฯ นี่แหละ เกรซก็..อ้าว...ยังถ่ายไม่เสร็จอีกเหรอคะ ปรากฏเขาบอกว่ายังแคสต์กันอยู่ พอเกรซได้มีโอกาสเข้ามาด้วยความที่การแสดงเป็นงานใหม่สำหรับเกรซซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เลย เรื่องงานแสดงนี่ไม่ได้เลย ก็ถูกสั่งให้ไปเรียนการแสดงค่ะ ได้เจอผู้พันเบิร์ด(วันชนะ สวัสดี)กับผู้พันต๊อด(วินธัย สุวารี) โดยที่เขาก็ยังไม่ได้บอกว่าใครรับบทอะไรก็เข้าไปเรียนการแสดงด้วยกันหลายครั้ง บางครั้งเรียนเดี่ยวก็สนุกดี คิดว่ามันเป็นศาสตร์ที่เราเสียดายที่ไม่ทำก่อนหน้านี้ เพราะรู้สึกว่าการเรียนการแสดงคือการที่ไม่ได้เป็นตัวเราเลย เราไม่ได้เอาตัวตนของเราเข้ามา เขาสั่งให้เป็นอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ก็ต้องมีแบบฝึกหัดมากมาย เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าตัวเองได้รับบทอะไรก่อนหน้าที่จะไปถ่าย..ไม่น่าจะถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำค่ะ
          Q.ความรู้สึกของเราเมื่อพอรู้ว่าได้เข้ามาเป็น1ในตัวละครสำคัญของโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่มากๆเรื่องนี้
          A. ในที่สุดพอโปรเจ็กต์นี้มาถึงจริงๆนะคะ เราก็แบบว่า..ไม่แน่ใจ เพราะเป็นโปรเจ็กต์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆนะคะ ตั้งแต่ตัวผู้กำกับ การมีโอกาสเข้ามาสัมผัสและได้ท่านมุ้ยเป็นอาจารย์คนแรกเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว ท่านมุ้ยเป็นผู้กำกับที่ได้รางวัล เป็นปูชนียบุคคลทางด้านภาพยนตร์ แล้วก็ยังเป็นศิลปินแห่งชาติด้วย ถือว่าเป็นที่สุดแล้วค่ะที่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ แล้วเมื่อมีโอกาสได้ไปที่กาญจนบุรีก็ตื่นเต้นมากรู้สึกเหมือนได้เข้าไปในยุคอดีต เพราะว่าที่นั้นเขาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันจริงๆเลย มีสัตว์มากมาย มีช้างจริงๆ แล้วก็มีการสร้างฉากขึ้นมาจริงๆ เมืองโยเดีย เมืองหงสาวดี สรรเพชญปราสาท ฯลฯ คือทุกอย่างยิ่งใหญ่มากเหมือนเราได้เขาไปในเมืองสมัยโบราณ เวลาที่ทุกคนแต่งตัวนะคะจะยิ่งรู้สึกขลังมากเลยคือเหมือนเรากลับไปอดีตจริงๆ ส่วนบทนี้เป็นที่สุดแล้วของชีวิต เมื่อก่อนนี้เกรซเป็นพิธีกรที่ได้เข้าไปสัมผัสชีวิตชาวบ้าน คือทุกอาทิตย์จะไปตามบ้านของชาวบ้านที่อยู่ลึกๆเลยนะคะหรือตามตะเข็บชายแดนเช่นบุรีรัมย์ ไม่ได้เป็นหมู่บ้าน ไม่ได้อยู่ในอำเภอเมือง สิ่งที่สังเกตเห็นและมักจะเจออยู่เสมอคือภาพในหลวงของเรา ภาพในหลวงรัชกาลที่ห้า ภาพพระนเรศวร แล้วก็จะเป็นภาพพระสุพรรณกัลยา ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่เกรซเห็นเป็นประจำนะคะ เลยทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สุดๆแล้วจริงๆ สำหรับวีรสตรีนะคะ
          Q.เนื่องด้วยตัวภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นโปรเจ็คต์ที่ยิ่งใหญ่มาก และใช้ระยะเวลาในการถ่ายทำยาวนานนับ10ปีมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นมากมายกับนักแสดงแต่ละคนที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งประสบการณ์และความทรงจำที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิต ทราบมาว่าชีวิตของเกรซ มหาดำรงค์กุลเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงหลังจากที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้
          A. หนังเรื่องนี้ก็อย่างที่บอกนะคะว่าเดินทางมาตั้งสิบปี แน่นอนว่าต้องมีอะไรที่เปลี่ยนชีวิตเกรซ อยู่แล้ว จากที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง หรืออาจจะรู้จักเกรซในบทบาทของพิธีกรบ้าง นางเอกมิวสิควีดีโอบ้าง ถ่ายแบบหรือเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าบ้าง แต่ไม่เคยมีบทบาทด้านการแสดงแน่นอน ก็เป็นจุดพลิกผันที่ทำให้คนรู้จักเยอะขึ้นนะคะ เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้รับบทนี้เกรซก็ไม่ค่อยมีอะไรหรือไม่มีใครเอาของสำคัญมาให้ แต่พอหนังเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเกรซก็ได้รับของที่เกี่ยวกับพระสุพรรณกัลยาเยอะมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ล็อกเก็ต บทสวดมนต์ ฯลฯ แล้วก็มีภาพภาพหนึ่งที่ฝากมาทางคุณปีเตอร์-นพชัยค่ะ มาจากพม่า เป็นภาพพระสุพรรณฯที่เป็นตัวเกรซใส่ชุดไทยแล้วก็ประดับด้วยพลอยทั้งภาพเลย โดยไม่บอกด้วยว่าเป็นใคร ขอถือโอกาสขอบคุณผู้ที่ให้มาด้วยนะคะ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเยอะมากในชีวิต แล้วก็เป็นงานแสดงที่..จากตอนแรกที่ไม่เคยรับเลยและไม่คิดที่จะทำด้วย ก็กลายเป็นว่าเปิดโลกทัศน์ให้เกรซเยอะมากค่ะ รู้สึกว่าการแสดงเป็นศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส แต่พอได้สัมผัสเลยรู้ว่าการแสดงมันมีเสน่ห์ มีความรู้สึกว่าถ้ามีเรื่องต่อไปที่เราเหมาะก็อยากจะทำ อยากจะแสดง ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่างานแสดงกับเราจะไปด้วยกันได้ ส่วนเรื่องราวในกองถ่ายก็มีมากมาย..อย่างผู้พันเบิร์ด แอฟ ปีเตอร์ หนึ่ง-ชลัฏ ซึ่งต่างคนก็ต่างมาจากหลายๆที่ ด้วยความที่เราเจอกันบ่อยมากมานานเป็นสิบปี บางทีเกรซถ่ายแต่คนอื่นไม่ถ่ายเขาก็มาให้กำลังใจ แล้วทุกคนเรียกเกรซว่าหัวหน้าเพราะว่าเราโตสุด พอเวลาไปเมืองกาญจน์เกรซกับผู้จัดการก็จะหอบขนมไปเยอะมากเพื่อเอาไปแบ่งกันที่กอง พวกหนุ่มๆก็จะมาเรียงแถวรับขนมกัน วนเวียนกันอยู่ตรงนี้แหละค่ะ แล้วก็ไปทานข้าวกันตอนเย็น ส่วนเรื่องที่ทำให้มีจุดเปลี่ยนในชีวิตเกรซมากที่สุดก็คือได้พบกับสามีของเกรซในกองนี้..มาแสดงด้วยเหมือนกัน
          Q.มาที่บทบาทที่คุณเกรซได้รับซึ่งเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงและมีความสำคัญในประวัติศาสตร์เป็นพระพี่นางของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย อยากให้เล่าให้ฟังถึงการรับบทเป็นพระสุพรรณกัลยา
          A.ในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนี้ เกรซก็ได้รับบทเป็นพระสุพรรณกัลยา เป็นพระธิดาของสมเด็จพระมหาธรรมราชา มีน้องชายก็คือพระองค์ดำหรือพระนเรศวร และพระองค์ขาวหรือพระเอกาทศรถ ตั้งแต่เด็กท่านถูกส่งไปที่หงสาวดีเพื่อเป็นตัวประกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงจากบ้านเมืองไปตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่ท่านเอาติดตัวไปด้วยก็คือดิน เป็นการเตือนว่าตัวเองมาจากไหน เป็นผู้หญิงไทยตัวเล็กๆที่มีความกล้าและมีความอดทนมาก ประวัติศาสตร์ไทยจะพูดถึงท่านน้อยมาก อาจจะเขียนไม่กี่บรรทัดว่าท่านถูกส่งตัวไป แต่ท่านมุ้ยบอกว่าพอไปค้นประวัติก่อนทำหนังเรื่องนี้ ทั้งของมอญ พม่า โปรตุเกส ขอม จะมีการเขียนถึงพระสุพรรณฯเยอะมากเพราะว่าท่านไปใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่หงสาวดีตั้งแต่เด็ก ท่านเป็นคนที่รักในศักดิ์ศรีของความเป็นไทย จะเห็นว่าท่านไม่เคยเปลี่ยนการแต่งกาย จะใส่ชุดไทยตลอดเวลา และไม่เคยเปลี่ยนตัวเอง ความมุ่งมั่นความเด็ดเดี่ยวของท่านคือความเสียสละ เพราะท่านมีความยึดมั่นว่าวันหนึ่งท่านจะต้องได้กลับไปอโยธยาซึ่งมันเป็นอะไรที่เกรซเศร้ามาก เราเป็นคนรุ่นหลังเราจึงรู้อยู่แล้วประวัติศาสตร์เป็นยังไง แต่เวลาเล่นบทท่านเราต้องเล่น ณ ตอนนั้น จุดที่ท่านพูดหลายๆครั้งว่าท่านรอวันนี้มานานแล้ว วันที่ได้ความเป็นไทยกลับมา แล้วก็มีความหวังที่จะได้กลับไปอโยธยา แต่ว่าเรื่องราวก็เกิดขึ้นมากมายนะคะ ท่านก็จะเป็นผู้ที่เสียสละในหลายๆเหตุการณ์เลย อย่างเหตุการณ์ที่พระนเรศวรจะหนีกลับอโยธยาอันนั้นคือความผิดร้ายแรง ท่านทราบแล้วว่าคือความผิด พระนเรศวรให้มณีจันทร์มาตามท่านบอกว่าไปกันเถอะแต่เพราะท่านมีลูกเล็ก ถ้าเกิดไปก็จะทำให้ทุกคนรู้เพราะว่าเด็กอาจจะร้องแล้วก็จะเป็นตัวถ่วง การณ์นี้ก็จะไม่สำเร็จที่จะต้องข้ามแม่น้ำสะโตงไปให้ได้ตอนกลางคืน ท่านก็ตัดสินใจว่าไม่ไป ทั้งที่จริงแล้วใจของท่านแน่นอนว่าอยากกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง อยากจะไปพร้อมกับพระนเรศวรกับชาวโยเดียทั้งหลาย แต่ว่าท่านไปไม่ได้ เป็นความเด็ดเดี่ยวของท่านจริงๆ ท่านบอกว่าไปเถอะ แล้วเอาปิ่นปักผมของท่านไปด้วยคือเป็นตัวแทนของท่าน ในขณะเดียวกันท่านก็ไตร่ตรองแล้วว่าถ้าเกิดพระนเรศวรหนีกลับไปอย่างนี้ทางบุเรงนองจะต้องไม่ยอม คือสมัยก่อนการสำเร็จโทษคือการที่ต้องฆ่า ท่านก็ขอเอาตัวเข้าแลก แล้วท่านก็เป็นคนที่ยึดมั่นสัญญาว่าท่านจะเอาชีวิตเข้าแลกกับพระนเรศฯ คือทำทุกอย่างเพื่อให้พระนเรศฯได้กลับไป แล้วเมื่อวันที่พระนเรศฯประกาศอิสรภาพนั่นแปลว่าพม่ากับไทยได้ประกาศความเป็นศัตรูกันเรียบร้อยแล้ว ท่านเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆที่อยู่ในพม่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียว จะมีก็แค่แม่นมอยู่ด้วยกัน เหตุการณ์ตอนนั้นก็จะน่าสงสารมาก นันทบุเรงก็มาด่ามาว่าบ้าง แล้วก็อยู่ท่ามกลางพม่าซึ่งเป็นศัตรู แล้วก็ถูกเย้ยเยาะบ้างว่าเดี๋ยวจะเอากองทัพไปลากตัวพระนเรศวรกลับมา ก่อนออกทัพไปก็มาเยาะเย้ยพระสุพรรณฯว่าคอยดูนะว่าทัพของอโยธยาเป็นแค่กองทัพเล็กๆ แต่กองทัพของเรามีคนเยอะมาก เดี๋ยวเราจะไปเอาหัวน้องของเจ้ามาให้เจ้าดู คือท่านจะต้องรับเรื่องราวแบบนี้ตลอดเวลาซึ่งเป็นความทุกข์แน่นอนนะคะสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่จะต้องสู้อยู่ตรงนั้นคนเดียว ในขณะที่ท่านมีความเชื่อมั่นในพระนเรศวรว่ายังไงก็ต้องกอบกู้อิสรภาพได้ แล้ววันนั้นแหละท่านจึงจะได้มีโอกาสกลับไปอโยธยา
          Q.ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : ยุทธหัตถีเป็นที่จับตามองดูว่ามีหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อโดยเฉพาะชะตากรรมของแต่ละตัวละครแล้วในส่วนที่เกี่ยวพันกับพระสุพรรณกัลยาจะเป็นอย่างไรบ้าง
          A. เป็นเรื่องราวที่ดำเนินต่อจากศึกนันทบุเรงในช่วงท้ายของภาค 4 แล้วพอมาใกล้ๆช่วงยุทธหัตถีท่านก็จะต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมหลังจากที่นันทบุเรงเกณฑ์ไพร่พลไปรบครั้งใหญ่หมายจะยึดอโยธยากลับมาแต่ไม่ชนะ หลังจากกลับมานันทบุเรงจะเก็บตัว ใส่เสื้อปิดหมดแล้วก็จะใส่หน้ากาก คนก็ร่ำลือกันมากมายว่าเป็นอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น พูดง่ายๆคือแพ้พระนเรศฯของเรา พอแพ้กลับมาก็มักจะเสวยน้ำจัณฑ์ จนเมาแล้วก็คิดว่ายังมีคนหนึ่งที่เป็นคนไทยและยังอยู่ที่นี่คือพระสุพรรณกัลยา เลยไปหาไปเยาะเย้ยไปเอาเปรียบ คืนนั้นก็เลยเข้ามาข่มเหงพระสุพรรณฯ มีการต่อสู้กันค่ะ แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงท่านก็เลยไม่สามารถสู้แรงผู้ชายได้ ฉากนั้นเป็นการคลายปมว่าทำไมนันทบุเรงถึงใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งพระสุพรรณกัลยาเองเคยได้ยินเรื่องราวนี้มาบ้างแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นจริง คือน่ากลัวมากค่ะ ก็เป็นฉากอารมณ์อีกฉากหนึ่งที่ค่อนข้างรุนแรงและยิ่งใหญ่ เป็นการแสดงที่ต้องใช้สมาธิเยอะมาก พอรู้ว่าต้องถ่ายฉากนั้นก็โทร.ไปหาครูอ้อ(ผู้สอนการแสดง)ว่าเกรซอยากให้มาจังเลยวันนี้ แต่ครูอ้อไม่ว่าง เกรซต้องนึกตั้งแต่ออกจากบ้านเลยว่าขณะที่เรากำลังขับรถอยู่นี้เรากำลังอยู่ในเมืองพม่า คิดว่าเราเป็นใคร ปูอารมณ์มาตั้งแต่ออกจากบ้านเลย ฉากนี้ถ่ายยากค่ะถ่ายกันอยู่หลายวันเหมือนกัน แต่พอตัดเสร็จแล้วอาจจะแป็บเดียว เป็นฉากที่รุนแรง กลับบ้านไปนี่ช้ำหมดเลย เพราะตอนแรกพี่ต้นเขาจับมือแล้วท่านก็ให้เล่นเยอะกว่านี้ เกรซก็..เล่นได้แค่นี้ค่ะท่าน คือตอนแรกเราก็ดีใจนะเพราะอย่างทรายอย่างแอฟยังได้ขี่ม้าได้บู๊ได้ใช้อาวุธ พอท่านบอกว่าเต็มที่นะฉากนี้ทำเหมือนว่ามีคนกำลังจะเข้ามาทำร้ายเราอะไรอย่างนี้เกรซก็โอเคเลย พอเริ่มแอ็คชั่นปุ๊บพี่ต้นเข้ามานี่เกรซก็ศอกเข่าเลยค่ะ ท่านก็เลยสั่งคัทบอกว่าเข่าไม่ได้ ไม่งาม ใช้ได้แค่ส่วนบนเท่านั้น ก็มีการจับข้อมือมีเหวี่ยงโยน แต่ด้วยแรงพี่ต้นนี่เขาก็เล่นจริง ก่อนเล่นก็มีการขอโทษกันแล้วเขาก็เกรงใจ เดี๋ยวเขารุนแรง เกรซก็บอกตามสบายเลย..เต็มที่ เขาก็เต็มที่จริงๆ คือจับแรงมาก แต่กำลังเรามีอยู่แค่นี้(ยกมือขึ้นทำท่าประกอบ) พอคัทท่านก็เรียกไปบอกว่าเล่นน้อยมากเลย เกรซก็คิดว่าไม่ได้เล่นน้อยนะ..พยายามแล้ว แต่ในกล้องอาจจะเห็นว่ามันแค่นี่จริงๆ(ยกมือทำท่าประกอบ) พอหลายๆคัทท่านก็เลยเรียกไปคุยอีก ตอนหลังเกรซก็เพิ่งมาถึงบางอ้อว่าพี่ต้นต้องคลายมือมากขึ้น ถ้าไม่คลายยังไงเกรซก็ไม่หลุดจากตรงนั้น คือท่านบอกว่าต้องมีสะบัด แล้วหลุด แล้ววิ่งชนเตียงบ้างอะไรบ้างก็ว่าไปตามธรรมชาติ แต่ที่ถ่ายมาทั้งหมดไม่เคยออกจากตรงนี้ได้เลยเพราะพี่ต้นแกจับจริงไงคะ พอจับจริงก็ไม่ยอมปล่อย เลยต้องบอกให้คลายมือเพื่อเราจะได้มีช่องว่างที่เราจะสะบัดหน่อย ก็สู้กันอยู่พักใหญ่เลยค่ะ ตอนนั้นเป็นความหวาดกลัวที่จริงๆแล้วพระสุพรรณฯก็ค่อนข้างที่จะหยิ่งในศักดิ์ศรีแบบไม่ค่อยก้มหัวให้ใคร แต่ว่าในฉากนั้นพอนันทบุเรงเข้ามาจริงๆท่านก็รู้แล้วว่าอันตรายแน่คืนนี้ ท่านก็พยายามต่อสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ เป็นฉากที่ค่อนข้างรุนแรงเรื่องอารมณ์แล้วก็เป็นฉากที่ถ่ายยากพอสมควรค่ะ

FB on May 09, 2014, 04:30:57 PM
          Q.ในภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากได้ร่วมงานกับท่านมุ้ยแล้วบทเองก็ท้าทายความสามารถมากๆคือทุกวินาทีเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกตลอดเวลาในทุกๆภาคๆรวมถึงได้มีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงมืออาชีพที่มากล้นด้วยความสามารถ
          A. การได้ร่วมงานกับท่านมุ้ยเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่แล้วนะคะ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะว่ามีนักแสดงเก่งๆ ที่ต้องร่วมซีนกับเราด้วยนะคะอย่างเช่นอาหมู(สมภพ เบญจาธิกุล)เป็นบุเรงนอง เราได้เห็นบทบาทการแสดงของอาหมูมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทอีกท่านหนึ่ง พี่แอ๊ว-อำภา ภูษิต ก็ส่งอารมณ์ได้ดีเพราะเป็นแม่นมเป็นคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด เป็นเสมือนแม่ที่ให้คำปรึกษา เป็นคนที่เข้าใจเราตลอดเวลาที่อยู่หงสาวดีนี่ไม่มีใครเลย มีกันอยู่สองคนเท่านั้น แล้วก็นันทบุเรงคือพี่ต้น-จักรกฤษณ์นี่เก่งมาก คือเกรซไม่รู้ว่าเขาจำบทได้ยังไงนะคะ..บทยาวมากแต่พี่ต้นเทคเดียวอยู่ แล้วก็ส่งอารมณ์ได้ดี คือเหยียดหยามเกรซทั้งสายตาและคำพูดเลยค่ะ ตอนที่เรียกพระสุพรรณเข้ามาแล้วก็เหยียดหยามด่าว่าเราเพื่อความสะใจ ค่อนข้างจะเป็นการแสดงที่หนักอยู่นะคะ เพราะว่าภาค 5 นี่พระสุพรรณฯ ถูกทำร้าย ก็ถือว่าเป็นการแสดงที่เข้มข้นในเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ ที่เราต้องใส่เข้าไปเต็มที่ เรื่องของการแสดงก็ต้องแสดงจริงๆ ก็เจ็บตัวค่ะช้ำหมดเลยเพราะชนเก้าอี้บ้าง ชนโต๊ะ ชนเตียง แล้วเตียงสมัยโบราณจะประดับประดาแกะสลักมีเสามีอะไร บางทีผลักกันก็ล้มหัวกระแทก มีหลายซีนเลยที่ต้องRE-SHOOT บางทีได้แล้วแต่ผมหลุดอารมณ์นี้ก็ต้องถ่ายใหม่อีก
          Q.ด้วยความสำคัญของบทของฉากเหตุการณ์ที่เราต้องถ่ายทอด และเป็นคาแรคเตอร์ที่ต้องเล่นอารมณ์ทุกฉากทุกซีน ทำให้คุณเกรซเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ได้สัมผัสกับความเข้มข้นของท่านมุ้ยในการกำกับที่เคี้ยวกรำหนักเลยทีเดียวกว่าท่านมุ้ยจะให้ผ่าน
          A.ท่านมุ้ยท่านละเอียดมากนะคะ ทั้งในเรื่องของการแสดง มุมกล้อง แสง ถ้าไม่ได้ท่านไม่ให้ผ่านนะ ถ้าวันไหนที่ซีนนี้ยังไม่ได้ก็จะถ่ายไปเรื่อยๆ แต่ท่านเป็นผู้กำกับที่น่ารักนะคะ มีอยู่วันหนึ่งมันร้อนมากเหมือนตู้อบเลยค่ะ เพราะว่าเมืองกาญจน์ช่วงเดือนพฤษภาฯ กลางวันจะร้อนมากแต่กลางคืนจะเย็น ห้องบรรทมของพระสุพรรณฯอยู่ท่ามกลางความร้อนเพราะไม่มีแอร์ หมอกควันก็เยอะเหลือเกินเพราะต้องมีเอ็ฟเฟ็คต์มาก่อนที่จะเริ่มถ่าย หายใจไม่ค่อยออกอยู่แล้ว และที่กองถ่ายก็มีเป็นร้อยชีวิตอยู่ในนั้น ออกมานี่เหงื่อท่วมตัว-เมคอัพหลุดไปเลย ด้วยความที่วันนั้นร้อนมาก รู้สึกเหนื่อยด้วยเพราะไม่ได้นอนมาหลายวัน คือถ่ายทำกันแบบถึงเช้าตลอด เกรซก็เลยจำบทไม่ค่อยได้ ท่านก็มาให้กำลังใจคือปกติท่านจะกำกับมาจากตู้คอนเทนเนอร์แต่วันนั้นท่านเดินมานั่งขัดสมาธิตรงหน้ากล้องเลยค่ะแล้วบอกว่าเดี๋ยวฉันจะกำกับเธอจากตรงนี้ เกรซ ก็บอกว่าถ้าท่านมานั่งตรงนี้เกรซยิ่งไม่กล้าใหญ่เลย...อ้าวจริงเหรอ ปกตินักแสดงถ้าผู้กำกับเข้ามาแล้วจะรู้สึกเหมือนให้กำลังใจ ท่านก็พยายามช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้นักแสดงเล่นได้ ด้วยความน่ารักของท่านเราก็มีกำลังใจขึ้น แล้วซีนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ สำหรับเกรซมีหลายซีนที่ต้องใช้อารมณ์ เพราะว่าในตัวละครที่เป็นพระสุพรรณฯไม่มีอะไรที่ท่านจะมีความสุขอยู่แล้ว ถูกส่งไปเป็นตัวประกันตั้งแต่เด็ก และยังต้องอยู่ท่ามกลางศัตรู ก็เหมือนเดียวดาย เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ต้องเสียสละตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงสงสารท่านมาก แล้วก็รู้สึกว่าการที่ท่านไปอยู่ที่นั่นมันเหมือนกับว่าถ้าไม่แกร่งจริงๆก็เอาไม่อยู่นะคะ ประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ ถ้าไม่ได้ความเสียสละของท่าน พระนเรศวรตอนที่หนีกลับไปก็อาจจะไม่มีพระนเรศ หรือว่าหลายๆอย่าง.. ถ้าท่านไม่เสียสละ ประวัติศาสตร์ก็อาจจะพลิกไปอีกด้านหนึ่ง
          Q.นักแสดงก็มาก การแสดงก็ยากด้วยเป็นบทอารมณ์ล้วนๆ ไหนจะเป็นสื่อสารเป็นคำพูดโบราณ ราชาศัพท์ไปด้วย นักแสดงต้องมีสมาธิอย่างสูงรวมไปถึงการถ่ายทำที่ไม่ได้เรียงตามเหตุการณ์ และที่สำคัญคือกว่าจะเข้าฉากได้ต้องมีการเปลี่ยนร่างแปลงโฉมให้เป็นบุคคลในอดีตด้วย
          A.เรื่องของการแสดงในเรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะหินเพราะเกรซไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกนะคะ การถ่ายทำก็ค่อนข้างจะทิ้งช่วงนาน บางทีจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีก็มีนะคะ แต่ทุกครั้งที่จะเข้าฉากท่านมุ้ยจะเปิดของเก่าให้ดูก่อนว่าเราเล่นไว้ยังไง ฉากหลังจากนี้จะเป็นยังไง แล้วตรงนี้จะเป็นยังไง คือท่านจะติวเข้มก่อนเข้าฉากทำให้เราได้ทบทวน แต่เรื่องคำราชาศัพท์นี่ยากมากค่ะเพราะไม่คุ้นเคย แล้วยังเป็นราชาศัพท์โบราณอีก บางคำแปลว่าอะไรเรายังไม่รู้เลยก็ค่อนข้างจะยากนะคะ เรื่องเครื่องแต่งกายนี่ก็ค่อนข้างจะหินพอสมควรเพราะไม่ใช่แบบสำเร็จรูปหรือผ้านุ่งที่มีซิปอยู่ข้างหลัง คือความละเอียดของท่านนี่ก็เยอะอยู่แล้วนะคะ บางชุดใช้เวลาเย็บเป็นปี เพราะฉะนั้นการแต่งตัวของเกรซที่จะเข้าฉากนี่อย่างน้อยต้องสามชั่วโมง เมคอัพทำผมแล้วก็สวมผ้านุ่ง เป็นผ้าชิ้นเดียวแล้วจับจีบที่ผู้ชำนาญเท่านั้นถึงจะทำได้ แล้วเอาด้ายเป็นหนังเส้นใหญ่หน่อยเย็บ เครื่องประดับของเกรซทุกอย่างเย็บหมดเลยมาเป็นชิ้นเป็นชิ้นแฮนด์เมด หมดเลย แล้วของเกรซนี่ด้วยความที่เป็นพระธิดาก็จะมีปีกแมงทับบอกตำแหน่งนิดหนึ่งเป็นเครื่องทรงค่ะ ปีกแมงทับก็แข็งมากต้องใช้เลเซอร์ตัด เวลาแต่งตัวครบแล้วต้องอยู่นิ่งๆเพราะว่าผมเผ้าทำเสร็จแล้วจะมานั่งนอนเอ้อระเหยไม่ได้ ต้องพร้อมถ่าย คือท่านเรียกเมื่อไหร่เราต้องพร้อมถ่าย เพราะฉะนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเรามีคิวเมื่อไหร่ บางทีรอค่อนข้างนานแล้วทำอะไรก็ไม่ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งตลกมากเลย คือตอนที่กองถ่ายเริ่มเปิดให้คนเข้ามาเยี่ยมชมแล้ว วันนั้นต้องเข้าฉากเสร็จแล้วก็อยากไปห้องน้ำ ปรากฏว่าห้องน้ำที่นักแสดงใช้นี่เป็นที่เดียวกันกับที่ทัวร์ใช้ และทัวร์ลงพอดีเลยค่ะ เกรซเดินไปก็เจอกันแล้วทุกคนก็ตื่นเต้นใหญ่เลย..แบบ อ้าว!มีพระสุพรรณฯอยู่ด้วยก็ถ่ายรูปๆ โอ้โห..กว่าเกรซจะผ่านตรงนั้นไปได้นี่ก็หนักหนามากค่ะ
          Q.ทราบมาว่านอกจากคุณเกรซแล้วนักแสดงที่ต้องเข้าฉากร่วมกันอย่างคุณต้นจักรกฤษณ์ในบทพระเจ้านันทบุเรงก็หนักหน่วงไม่แพ้กันโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องแต่งเอฟเฟ็คต์ทั้งตัวในแปลงโฉมเพื่อถ่ายทำ
          A. คือกว่าจะเข้าฉากได้แต่ละฉากไม่ใช่เกรซคนเดียวที่มีเครื่องแต่งกายที่ค่อนข้างจะหนักนะคะ ดูเหมือนไม่มีอะไร แค่ใส่สไบแต่จริงๆแล้วต้องเย็บหมดเลย อีกท่านหนึ่งที่หนักคือพี่ต้น-จักรกฤษณ์ ที่ต้องแต่งตัวและต้องแต่งเอ็ฟเฟ็กต์ด้วย แล้วพี่ต้นเป็นคนแพ้เอ็ฟเฟ็กต์ เพราะฉะนั้นพี่ขวด(มนตรี วัดละเอียด เมคอัพอาร์ติสต์)ก็ใช้วิธีแก้โดยการเอาพลาสติกเหมือนที่โรงพยาบาลใช้ เป็นพลาสเตอร์ที่ wrap(ห่อ)เวลาคนผ่าตัด เพื่อไม่ให้แผลถูกน้ำก็จะได้ไม่ต้องสัมผัสกับเนื้อ คือแรปหมดเลยทั้งแขนและตามตัว แล้วค่อยใส่เอ็ฟเฟ็กต์ พี่ต้นก็จะนอนเฉยๆ ให้ทำเมคอัพเอ็ฟเฟ็กต์บนพลาสเตอร์นั้นเพื่อไม่ต้องสัมผัสเนื้อเขาโดยตรง เพราะฉะนั้นมันก็ยิ่งนานมาก ทำแต่ละครั้งน่าเห็นใจค่ะ ทานข้าวก็ลำบากมากคือเหลือแค่ปาก ต้องรอให้เสร็จก่อน แล้วอย่างที่บอกว่าเมืองกาญจน์ร้อนมาก พอถอดพลาสเตอร์ออกมานี่ข้างในเป็นเหมือนตุ่มพุพองเลยค่ะ เพราะเหงื่อไหลออกไม่ได้ก็เป็นเม็ดๆ ขึ้นเต็มตัวหมดเลย ทรมานมากค่ะ
          Q.ฟังๆดูแล้วไม่เพียงศึกยุทธหัตถีที่เราจะได้ชมกัน ยังมีเรื่องราวที่เข้มข้นที่เกิดขึ้นกับแต่ละตัวละครให้ชวนติดตามอีกเยอะทีเดียว พูดได้ว่ามีรายละเอียดอีกมากมายที่ชวนให้ติดตาม คุณเกรซคิดว่าเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่อตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถีอยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
          A. เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เกรซว่า ท่านมุ้ยเป็นคนให้ความพิถีพิถัน และใส่ใจในรายละเอียดแต่ละซีนมากๆนะคะ โดยที่คนดูอาจจะไม่รู้ อย่างซีนโกยดินของเกรซแป็บเดียวจริงๆในหนัง แต่วันนั้นเราถ่ายทำกันแบบนานมากเกือบทั้งคืนเลย ท่านละเอียดมากคือจะเอาดินมาจากสถานที่จริง คนดูก็ไม่รู้หรอกเพราะดินก็คือดินใช่มั้ยคะ แต่ท่านก็จะเอาดินจากสถานที่จริงมาใช้ หรืออย่างเราไม่เคยรู้ว่าช้างไม่ชอบไฟ เขากลัวความร้อนแล้วก็อันตรายเหมือนกันสำหรับเกรซ คือเราต้องขึ้นช้างแล้วช้างก็จะหนีตลอดเพราะข้างหลังเขามีไฟ..โคมไฟที่เป็นเหมือนคบเพลิงน่ะค่ะ ช้างเขาร้อนก็จะหนีแล้วทำให้เราขึ้นช้างไม่ได้ ต้องใช้เวลานานกว่าจะถ่ายซีนนั้นให้สวยงาม เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เยอะค่ะ ทั้งเรื่องของเครื่องแต่งกายของนักแสดงแต่ละท่าน เรื่องบท ถ้าไปดูก็อยากแนะนำให้ดูหลายๆครั้ง ครั้งแรกอาจจะดูองค์รวมดูความสนุกของหนัง แต่ถ้าไปดูอีกนี่คุ้มค่ามากที่จะดูเรื่องเครื่องแต่งกาย บทของแต่ละคนที่พูดออกไปแต่ละประโยคมีความหมายที่กินใจมากนะคะ ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะเห็นว่าเป็นคำพูดที่สวยงามและเป็นคำพูดแค่ไม่กี่คำที่สามารถทำให้เราสะเทือนใจได้ แล้วก็ยังมีเรื่องมุมกล้อง เรื่องเอ็ฟเฟกต์ต่างๆ คือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นหนังไทยที่เราภูมิใจได้ว่าคนไทยก็สามารถทำหนังที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ทั่วโลกเขาทำกัน แล้วเกรซเชื่อว่าถ้าไม่ใช่หนังเรื่องนี้หรือถ้าไม่ใช่ท่านมุ้ยก็คงไม่มีโอกาสได้รวบรวมสุดยอดนักแสดงรุ่นใหญ่ที่เรียกว่าตัวพ่อตัวแม่ของเมืองไทยมาอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้ เพราะแค่คิวก็ยากแล้ว การแสดงของแต่ละท่านนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย..เซียนมาก เก่งมาก การถ่ายทอดอารมณ์ก็สุดยอดค่ะ ที่เกรซประทับใจและเชื่อว่าทุกคนจะประทับใจเป็นซีนของพระมหาธรรมราชาซึ่งแสดงโดยพี่นก-ฉัตรชัย เชื่อไหมคะว่าไดอะล็อกเราเห็นยังร้องโอ้โห...คือต้องท่องจำเยอะมาก แล้วท่องจำกับความตึงเครียด เพราะต้องถ่ายให้ได้ ทั้งการแสดงและคำพูดต้องไปด้วยกัน แล้วเกรซกล้าพูดเลยว่านักแสดงรุ่นใหญ่ทุกๆท่านสามารถร่ายไดอะล็อกที่ยาวมากๆได้ทั้งอารมณ์และได้ทั้งบท เป๊ะทุกท่าน เก่งมากค่ะ และสำหรับภาค 5 นี้เราก็จะได้เห็นหัวใจของคนเป็นพ่อที่ต้องเสียลูกไปเป็นตัวประกันตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีโอกาสได้เจอกัน แล้วตอนที่ท่านเสียใจที่สุดก็คือเมื่อคุณท้าว(แม่นม)ส่งสารมาบอกว่าลูกที่อยู่ที่โน้นไม่ได้อยู่สุขสบายนะ คือทุกข์ทรมานอยู่แล้วก็ยังโดนทำร้าย เพราะฉะนั้นด้วยความเป็นพ่อ..หัวใจพ่อก็แตกสลายทำให้พระมหาธรรมราชาล้มป่วยไปเลย ตรงนี้แสดงความสัมพันธ์ให้เห็นถึงความรักที่พ่อมีให้ลูกนี่ล้นเหลือเหลือเกิน มีหลายอย่างที่พระมหาธรรมราชาได้บอกกับพระนเรศฯไว้ในหนังว่าทำไมท่านถึงคิดอย่างนี้ ทำไมท่านถึงพูดอย่างนี้ ซึ่งต้องไปดูกันว่าท่านทิ้งท้ายไว้ว่าอย่างไรนะคะ เป็นความรัก..เป็นหัวใจของพ่อ อยากให้ไปชมกันค่ะ..ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี วันที่ 29 พฤษภาคมนี้นะคะ เตรียมพบกันแน่นอนที่โรงภาพยนตร์ต่างๆ ค่ะ

FB on May 14, 2014, 05:23:12 PM
“ผู้พันเบิร์ด-ตั๊ก” ทุ่มสุดชีวิต อลังการฉากยุทธหัตถีสุดหิน ฉากเดียวถ่าย 1 ปีเต็มพร้อมระดมทีมงานนักแสดงหลายพันชีวิตยิ่งใหญ่สมการรอคอย







          เป็นกระแสฮือฮาที่เรียกได้ว่าน่าจับตาที่สุดกับ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของไทยที่ทุกคนเฝ้ารอคอยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของศึกคชยุทธ์มหาสงครามที่มีแผ่นดินเป็นเดิมพัน อย่างศึก “ยุทธหัตถี” การสัประยุทธ์บนหลังช้างที่ได้รับการเล่าขานมากว่า4ศตวรรษกำลังจะเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั้งโลกครั้งแรก แค่เฉพาะฉากนี้ฉากเดียวใช้เวลาถ่ายทำนานถึง 1 ปี เต็ม ที่ ท่านมุ้ย หรือ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล และ รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ และที่ปรึกษาทางประวัติศาสตร์ พร้อมทีมงานศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากพงศาวดาร หลักฐานเอกสารโบราณทั้งใน และต่างประเทศ ก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานที่ที่มีการสันนิษฐานว่า คือ จุดที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำศึกยุทธหัตถีอันลือลั่น กับพระมหาอุปราชา รวมไปถึงการวิเคราะห์สร้างสมมติฐาน ในการที่จะเนรมิตภาพในอดีต 422 ปี มาเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกลงบนแผ่นฟิล์ม

          ในขณะที่ฝ่ายออกแบบเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย ทำงานอย่างหนักกับการออกแบบเครื่องทรงชุดเกราะที่สวมใส่ในการทำการศึก, อาวุธยุทโธปกรณ์, ลักษณะท่วงท่า ที่ใช้ในการต่อสู้ และรบบนหลังช้าง นักแสดงหลักทั้ง 5 คน ผู้พันเบิร์ด หรือ พันโท วันชนะ สวัสดี (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช), ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม (พระมหาอุปราชา), เสธ.ต๊อด พันเอก วินธัย สุวารี (สมเด็จพระเอกาทศรถ), ชลัฏ ณ สงขลา (มังจาปะโร) และ ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ (ไอ้ขามนายคชบาลผู้ควบคุมเจ้าพระยาปราบหงสาวดีช้างศึก ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ที่จะต้องเข้าฉากถ่ายทำการรบบนหลังช้าง ต้องผ่านพิธีบวงสรวงสำคัญ และศึกษาถึงวิธีการที่จะต้องควบคุมช้าง รวมไปถึงการฝึกใช้ง้าวในการทำสัประยุทธ์บนหลังช้างก่อนการถ่ายทำจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่จะเอาช้างสองเชือกมาต่อสู้ปะทะกัน ซึ่งกว่าจะลงตัวก็ทำให้ ตั๊ก นภัสกร ถึงกับหน้ามืดเลยทีเดียว

          “มันไม่ง่ายเลยครับ แค่เฉพาะชุดเกราะนกยูงของพระมหาอุปราชา รวมง้าวด้วยนี่น้ำหนักก็ประมาณ 30 กิโลได้ครับ ใส่ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่ถอดครับ ชุดเกราะเราต้องเย็บทีละแผ่นให้เป็นชุด เครื่องทรงช้างที่เป็นเกราะก็เช่นกันก็ต้องเย็บทีละแผ่น ทุกครั้งที่เข้าฉากที่ต้องต่อสู้กันก็จะมีการร่วงทีละชิ้น เราก็ต้องไปซ่อมเย็บอีก เพราะเวลาต่อสู้ปะทะกันโดยอาวุธโดนเกี่ยวจริงครับ แล้วยิ่งเป็นการถ่ายทำที่เป็นการต่อสู้บนหลังช้าง ช้างนี่เป็นปัญหาหนักที่สุด คือ ต้องปรับท่าหรือทำให้จังหวะของช้างกับคนสัมพันธ์กัน แถมในฉากรบเราต้องใช้ง้าวในการต่อสู้ ต้องวาดง้าวต่อสู้บนหลังช้างนานกว่า10ชั่วโมงต่อวัน ทุกอย่างยากไปหมดเลย ที่สำคัญง้าวของผมหนักกว่าของเบิร์ดเท่าหนึ่งเพราะหงสาฯทุกอย่างต้องวิจิตรลวดลายต่างๆค่อนข้างเยอะมาก ดีที่เราได้มีการเรียนฝึกซ้อมง้าวกันมาก่อนแล้ว จำได้ว่าทุกวันที่ถ่ายต้องยกมือขอแรงให้ลูกอีกทีๆๆ จนหมดแสง อีกวันกลับมาถ่ายใหม่อีกอยู่อย่างนี้ ตอนนั้นมันเหนื่อยมากเหงื่อเข้าตาทุกวัน”

          เพราะเป็นฉากใหญ่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน รวมถึงท่านมุ้ยให้ความพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงให้ความสำคัญกับหลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้ภาพยุทธหัตถีออกมาสมจริงที่สุด ถือได้ว่าเป็นฉากที่ยากที่สุดของภาพยนตร์ โดยมีการแบ่งกระบวนการในการถ่ายทำเฉพาะฉากนี้ ออกเป็นขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การถ่ายทำเฉพาะในส่วนของนักแสดงหลักทั้ง 5 คน ที่ต้องเข้าฉากพร้อมกับช้างและนักแสดงสมทบซึ่งเป็นนายทหาร ทั้งฝั่งอโยธยา และหงสาวดี ที่อยู่รายล้อมรอบช้างในระหว่างการทำศึกหลายพันชีวิต, การถ่ายทำเฉพาะการสัประยุทธ์ ระหว่างสมเด็จพระนเรศวร กับพระมหาอุปราชา และสมเด็จพระเอกาทศรถ กับมังจาปะโร ร่วมกับช้างม้าศึกนับไม่ถ้วน และสุดท้ายเป็นการถ่ายทำเพื่อรองรับกับการใช้เทคนิคพิเศษในส่วนของซีจี (คอมพิวเตอร์กราฟฟิก) เพื่อนำไปสร้างความสมบูรณ์ให้กับรายละเอียดของฉากและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ออกมาลงตัวที่สุด เรียกได้ว่าทุกขั้นตอนล้วนแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ และความตั้งใจทุ่มเทของทุกชีวิตที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้พันเบิร์ด ที่รู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่พูดถึงโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่จะอยู่ในใจของเขาตลอดไป

          "สำหรับหนังเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ถ้าให้นับน่าจะมีสัก 300 คิวได้ ความน่าสนใจที่เราจะได้เห็นในศึกยุทธหัตถีที่เป็นช้างชนกัน เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิกที่เขียนขึ้นมา ผสมกับการถ่ายทำที่เป็นของจริงบนแผ่นฟิล์ม เราจะได้เห็นภาพของการจำลองเหตุการณ์ที่เราเคยเรียนเคยได้ยินกันมา จะได้เห็นฉากยุทธหัตถี ที่ผมเชื่อว่าเป็นความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศ ที่อยากเห็นการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ของการที่มีช้างชนกันลงบนแผ่นฟิล์มเป็นครั้งแรก ศึกครั้งนี้เป็นการยุทธ์ที่ถ้าพระมหาอุปราชามีชัยชนะเหนือพระนเรศวร มันจะเป็นการตอกย้ำในความเป็นเมืองขึ้นของอโยธยาต่อไปแน่นอน แต่ถ้าพระนเรศวรรบชนะพระอุปราชาจะเป็นการตอกย้ำความเป็นเอกราชที่มันจะยืนยาวต่อไป เราจะได้เห็นการยุทธ์ที่ใช้ช้างชนกัน ความเป็นสุภาพบุรุษในการรบของขุนศึก ที่ปล่อยให้พระมหากษัตริย์สองพระองค์รบกัน ถ้าเราต้องสร้างภาพยนตร์เรื่องเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฉากนี้จะขาดไม่ได้ เรามีการเตรียมตัวกันนานมาก ก่อนที่จะใช้ง้าวบนหลังช้างได้ ต้องมีอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญมาบวงสรวงและสอนรำง้าวให้ ผมจะต้องรำง้าวให้ถูกต้องตามประเพณีโบราณ ผมต้องรำต่อหน้าช้าง 10 กว่าเชือก จุดธูป ทุกคนต้องแต่งกายชุดในหนังเลย ช้าง ควาญช้างแต่งชุดหมด ผม, พี่ตั๊ก (นภัสกร), พี่ต๊อก (ศุภกรณ์), หนึ่ง (ชลัฏ) 4 คนที่ต้องทำยุทธหัตถีกัน รำบวงสรวง รำง้าวคือทำจริง เพื่อต้องการให้ถูกต้องตามประเพณี และต้องการให้เกิดความปลอดภัยในการถ่ายทำ ต้องการให้สมพระเกียรติของทั้ง 4 พระองค์ที่เกิดขึ้น เราซักซ้อม ตั้งใจจนเชี่ยวชาญทั้งการขี่ช้าง การต่อสู้โดยใช้ง้าว ซึ่งใช้เวลา 1 ปีเต็ม เพื่อให้ฉากยุทธหัตถีสมจริงถูกต้องที่สุด ในภาพยนตร์เรื่องนี้คุณลืมได้หรือละเลยรายละเอียดได้ แต่คุณไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ของชาติเรา สำหรับผมนอกจากไม่ลืมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ผมก็จะไม่ลืมประวัติศาสตร์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยครับ”

          29 พฤษภาคมประกาศเกียรติก้องไปทั่วปฐพีกับ ศึกคชยุทธ์แห่งประวัติศาสตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ทุกโรงภาพยนตร์

FB on May 22, 2014, 07:46:13 AM
ดึง “สงกรานต์ เดอะวอยซ์” ร้องเพลง “สมรภูมิสุดท้าย”ประกาศความยิ่งใหญ่ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี





Mv. สมรภูมิสุดท้าย เพลงประกอบภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี (Official Mv. (HD))
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=kfrOuVCpGQk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=kfrOuVCpGQk</a>
 
          ใกล้เวลาเข้าฉายเข้ามาทุกขณะ สำหรับภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่อย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ภาพยนตร์ไทยที่หลายๆ คนรอคอย ซึ่งในภาคนี้ถือได้ว่า เป็นการศึกครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของแผ่นดินที่คนไทยทุกคนล้วนรู้จักกันเป็นอย่างดี ที่นอกจากความพิธีพิถันในการสร้างภาพยนตร์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ บทเพลงที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ ซึ่งในครั้งนี้ ได้ สงกรานต์ - รังสรรค์ ปัญญาเรือน แชมป์เดอะวอยซ์ปีล่าสุด มาร่วมร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า “สมรภูมิสุดท้าย” ที่มีความหมายถึงการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ โดยไม่ย่อท้อและไม่มีวันยอมแพ้ โดยเฉพาะในท่อนสำคัญที่มีเนื้อร้องถึงการต่อสู้เพื่อวันพรุ่งนี้ สงกรานต์ได้ถ่ายทอดบทเพลงนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี จนใครๆ ที่ได้ฟังต่างรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณของเพลง โดยเฉพาะความหมายในการต่อสู้อย่างไม่ลดละ เหมือนตัวเขาเองที่ต่อสู้จนได้รับชัยชนะมาจากเวทีเดอะวอยซ์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพลงประกอบภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี เพลง สมรภูมิสุดท้าย พร้อมที่จะให้ทุกท่านได้ฟังกันแล้ว

          ในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคมนี้ โดยออนไลน์พร้อมกันทาง www.youtube.com/sahamongkolfilmint 5 โมงเย็น เป็นต้นไป ร่วมประกาศชัยชนะแห่งศักดิ์ศรี ที่มีชีวิต และพระราชอาณาจักรเป็นเดิมพัน ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี 29 พฤษภาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on May 24, 2014, 04:19:00 PM
“ตัดความกลัว ด้วยความกล้า” แอฟ ขนลุก ผู้พันเบิร์ด เป็น“พระนเรศวร” ระดมนักแสดงคับคั่งถ่ายฉากสร้างแรงใจฮึกเหิมก่อนเปิดศึกยุทธหัตถี







          มีให้ติดตามกันทุกฉากทุกตอนจนจบกันเลยทีเดียว สำหรับ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี เรียกได้ว่าทุกเหตุการณ์ล้วนมีความสำคัญไปหมด รวมทั้งฉากที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ เรียกขวัญกำลังใจให้กับไพร่พล ขุนศึก ทั้งหลายก่อนที่จะออกไปทำศึก รับมือกับทัพพม่าที่ยกพลมากันเรือนแสน โดยมีพระมหาอุปราชา คุมทัพมาด้วยตัวเอง หมายขยี้อโยธยาให้ราบเป็นหน้ากลอง และยืนยันจะไม่ยกทัพกลับถ้าไม่ชนะในศึกครั้งนี้ ก่อนที่ในท้ายที่สุดทั้งสองพระองค์จะเกิดอภิมหาสงครามยุทธหัตถีอันลือลั่นในประวัติศาสตร์นั่นเอง โดยฉากนี้ ท่านมุ้ย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล และทีมงาน ระดมเหล่านักแสดงหลักฝั่งไทยแทบทั้งหมดเข้าฉากโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้พันเบิร์ด พันโท วันชนะ สวัสดี, ผู้พันต๊อด พันเอกวินธัย สุวารี,แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์), ต๊อก ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ, ปราบต์ปฏล สุวรรณบาง, พันโทคมกริช อินทรสุวรรณ, ยาโน่ คาซูกิ, นาวาอากาศตรีกัมปนาท อั้งสูงเนิน, ธนา สินประสาส์น ฯลฯ ที่รับบทเป็นเหล่าขุนศึกคู่ใจที่ร่วมกรำศึกกับพระนเรศวรมาโดยตลอด พร้อมด้วยนักแสดงสมทบนับพันคน รวมไปถึงบรรดาม้า และช้างศึกที่เข้าฉากกันอีกจำนวนมาก ซึ่งในฉากนี้เราจะได้เห็นพระองค์ในฐานะองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สะท้อนความเป็นผู้นำทัพในการศึกครั้งนี้ ถึงแม้พระองค์จะตระหนักว่าจำนวนของทหารกล้าไพร่พลสหายศึกตลอดจนยุทโธปกรณ์ในการศึกจะเป็นรองทางฝั่งทัพของพระมหาอุปราชาก็ตาม

          “การถ่ายทำฉากนี้พระนเรศวรจำเป็นจะต้องแสดงออก ถึงความเป็นผู้นำอย่างสูง ถึงแม้ว่าตัวเองจะกังวลหรือว่ากลัว แต่ผู้นำจะแสดงออกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นไม่ได้ เรามีอย่างเดียวคือเราต้องปลุกขวัญให้กำลังใจไพร่พลให้ต่อสู้ ถามว่าพระองค์สู้มั้ย.. สู้ แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจด้วย และรู้ด้วยว่าศึกครั้งนี้หงสาวดีเอาแน่ เขาต้องไม่ปล่อยให้เราเป็นเอกราชแน่ๆ ความสำคัญของมันคือ เป็นเครื่องยืนยันว่าเราจะเป็นเอกราชต่อไปอีกนานไหม หรือว่าถ้าเราเสียเอกราช เราจะกลายเป็นเมืองขึ้นเขาต่อไปอีกนานเช่นเดียวกัน คำพูดที่พูดออกไปพยายามปลอบขวัญกำลังคนให้รุกรบ มันเป็นความสำคัญเช่นเดียวกับการประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง มันเป็นความสำคัญเช่นเดียวกับการที่ราจะนำกำลังพลข้ามแม่น้ำสะโตง สิ่งเดียวที่ยอมได้ก็ต่อเมื่อเราตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกคนต้องพลีกายถวายชีวิต เพื่อให้เราเป็นเอกราชให้ได้ ถ้าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ เราอยู่ไม่ได้ เป็นความหมายเดียวกัน ผมเองโตมากับครอบครัวทหาร การปลุกขวัญกำลังพล การพูดเพื่อให้กำลังพลมีใจที่จะเป็นนักรบ และสู้ยอมถวายชีวิตทำให้ในระหว่างที่เราพูดไปเราก็รู้สึกได้ว่าขนมันจะลุกเป็นจังหวะๆ แล้วในฉากนี้เวลาที่ผมพูดมันเป็นการพูดที่ประกอบไปกับความกล้ำกลืนฝืนทน ประกอบไปกับความเศร้าจริงๆ แล้วการรบครั้งนี้เรารบหลังจากพ่อเพิ่งตายไม่นาน แล้วยังต้องรบกับคนที่เราเคยรู้จัก กับคนที่เราเคยเป็นพี่น้องกันมาก่อน ต้องรบกับบ้านเมืองที่เราไม่ต้องการให้เป็นศัตรู เราไม่ต้องการที่จะไปรุกรานใคร ซึ่งถ้าเลือกได้ขอตายคนเดียวให้คนอื่นรอด แล้วอยุธยาเป็นเอกราช.. เรายอม ผมเชื่อพระนเรศวรเองท่านต้องการเห็นอยุธยาเป็นเอกราชด้วยสายตาตัวเองจริงๆ”

          ผู้พันเบิร์ด ซึ่งกล่าวความรู้สึก และอินขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกครั้งที่ถ่ายทำฉากสำคัญถึงทำให้เหล่าบรรดาเพื่อนนักแสดง และทีมงานทั้งที่มีคิว และไม่มีคิวเข้าฉาก ถึงมาร่วมให้กำลังใจตลอดระยะเวลาที่ร่วมงานกันมาตลอด 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอฟ ทักษอร เองก็อดใจไม่ได้           

          “ อย่างที่บอกว่าพวกเราร่วมงานกันมานาน และก็สนิทกันมากอย่างใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยุทธหัตถี ฉากนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง ฉากที่ยิ่งใหญ่ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของนักแสดงที่มาเข้าร่วม ในเรื่องของความสำคัญในส่วนของบท แม้กระทั่งตอนถ่ายทำเองทุกคนก็จะรอดูว่าพี่เบิร์ดแสดงจะเป็นยังไง แอฟเชื่อว่าไม่แค่พี่เบิร์ดเองนะคะที่ตื่นเต้น เพราะคนอื่นๆก็เตื่นเต้นค่ะ ยิ่งเวลาพี่เบิร์ดแสดงจะรู้สึกถึงพลัง คือด้วยตัวไดอาล็อคเอง ทุกอย่างรวมกัน แล้วบวกกับบรรยากาศยิ่งทำให้เราเชื่อมากแล้วก็ขนลุกค่ะ ยิ่งเวลาที่พี่เบิร์ดพูดปลุกระดมให้ทหารมีกำลังใจให้มีความฮึกเหิม ซึ่งสำหรับแอฟแล้วนอกจากความฮึกเหิมที่เกิดขึ้น มันยังเหมือนกับว่าเรามีอีกความรู้สึกหนึ่งที่แทรกเข้ามาคือความรู้สึกซาบซึ้ง คือพอเราเป็นคนที่มองกลับไป คนสมัยก่อนเขาจะต้องเสียสละขนาดไหน หรือแม้กระทั่งทหารทุกคนแน่นอนใจลึกๆต้องแอบมีความกลัว แล้วผู้นำที่จะปลุกทุกคนให้ฮึกเหิมขึ้นมาละ เขาก็ต้องแอบมีความกลัว อยู่ด้วยเหมือนกันสมเด็จพระนเรศวรอาจไม่ได้กลัวว่าชีวิตตัวเองจะสิ้นไป แต่ว่ากลัวชาติเรานี่แหละที่จะสิ้น ซึ่งทุกๆคนล้วนแล้วแต่ต้องเสียสละ”

          ทั้งอินในบทบาทและลึกซึ้งในความรู้สึกจนทำให้ทุกๆ คนที่ได้ชมการถ่ายทำในฉากนี้ต่างซาบซึ้งไปพร้อมๆ กัน และนี่เป็นอีกหนึ่งฉากสำคัญที่ผู้ชมจะได้สัมผัสไปพร้อมๆ กันใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” 29 พฤษภาคม นี้ทุกโรงภาพยนตร์

FB on May 28, 2014, 10:00:53 AM
“ชี้เป็นหรือชี้ตาย” มหาศึกนันทบุเรง จุดพลิกผันแห่งมหาสงคราม 2 แผ่นดิน เบื้องหลังไฟไหม้จริง “ตั๊กนภัสกร-ต้นจักรกฤษณ์-หนึ่งชลัฎ” เสี่ยงตายลุยกองเพลิง







           การกลับมาของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย เข้มข้นทั้งแอ็คชั่นกับภาพฉากศึกสงคราม เรื่องราวของภาพเหตุการณ์อิงประวัติศาสตร์สำคัญ ไปจนถึงการปะทะบทบาทเชือดเฉือนในทางอารมณ์ความรู้สึกของทุกตัวละคร ทั้งในฝั่งอโยธยาและหงสาวดี ท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ทรงกำกับ และร้อยเรียงเรื่องราว ให้ตรึงผู้ชมตั้งแต่ต้นเรื่อง ก่อนที่จะไปฟินกันสุดๆ ในฉากไคลแม็กซ์ที่เป็นหัวใจของภาพยนตร์นั่นคือ “ยุทธหัตถี” มหาศึกแห่งแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกหนึ่งฉากสงคราม ที่ได้รับการบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อพระเจ้านันทบุเรง ทรงคุมทัพหลวงไล่เกณฑ์ไพร่พลพม่าเรือนแสน บุกประชิดขอบประตูเมืองหมายบดขยี้อยุธยาด้วยพระองค์เอง

          สิ่งที่ท่านมุ้ยทรงตั้งใจนำเสนอ เฉพาะฉากนี้ฉากเดียวที่สืบเนื่องให้เห็น เฉพาะช่วงปลายศึกนันทบุเรง ทรงถ่ายทำเกือบครึ่งปี เป็นฉากสงครามใหญ่ที่ให้เห็นถึงศักยภาพในการรบ รวมไปถึงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกระดมมาใช้ หมายพิชิตศึกในครั้งนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเจ้านันทบุเรง โดยท่านมุ้ยเลือกการใช้ “ไฟ” ในการนำเสนอผ่านภาพของเพลิงสงคราม ที่เต็มไปด้วยความสูญเสียได้อย่างสมจริง และยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดในเบื้องหลังการถ่ายทำ โดยทีมนักแสดงซึ่งประกอบไปด้วย ต้น-จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ (พระเจ้านันทบุเรง), ตั๊ก-นภัสกร มิตรเอม (พระมหาอุปราชา), หนึ่ง-ชลัฏ ณ สงขลา (มังจาปะโร) เรียกได้ว่าทุ่มเท และเสี่ยงชีวิตในการถ่ายทำกันเลยทีเดียว โดยเป็นฉากสำคัญๆ ที่นักแสดงทั้งฝั่งไทย และพม่าทุกคนล้วนเข้าฉากหมด ซึ่งตั๊ก นภัสกร ได้เล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังในการถ่ายทำฉากนี้

          “ศึกนันทบุเรงในทางประวัติศาสตร์ ได้รับการบันทึกว่าเป็นศึกสำคัญ ไม่แพ้ศึกที่พระเจ้าบุเรงนองเคยยกมา เบื้องหลังการถ่ายทำก็ต้องบอกว่าเซ็ทกันหฤโหดพอสมควร ทั้งควัน และไฟ เพราะนันทบุเรงโดนไฟลวก ซึ่งเป็นจุดพลิกผันอีกฉากหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของมหาอุปราชต้องเปลี่ยน มันเป็นฉากรบที่ฝั่งกรุงศรียิงปืนใหญ่เข้ามา นันทบุเรง-พระบิดาต้องพระแสงปืนใหญ่ ทำให้ไฟลุกท่วมตัว จำได้ว่าตอนที่ถ่ายทำต้องวิ่งเข้าไปอุ้มพระบิดาบนเชิงเทิน ก็ทุลักทุเลกันแล้วยังต้องวิ่งผ่านไฟตามเต็นท์ต่างๆ ในค่ายอีก อันนั้นร้อนจริงนะครับ มีบางสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนพวกเราจริงๆ ด้วย อย่างหนึ่ง-ชลัฏที่วิ่งตามหลังมาเสื้อไหม้เลย ต้องไปดับกันนอกฉาก..สุดยอด ทั้งไฟปะทุ ทั้งอากาศร้อนสุด แค่วิ่งผ่านเฉยๆ ก็ระอุมากแล้ว ยังต้องวิ่งโดยมีพระบิดาถูกห่ออยู่ในเสื่อที่เราอุ้มกันไว้หกคน ก็วิ่งพร้อมกันสุดชีวิต“ตอนถ่ายทำไฟไหม้จริงๆ แล้วไฟแรงมาก ในขณะที่กล้องอยู่ในนั้น ทีมงานหิ้วกล้องหนีออกมาได้ แต่ต้องยอมปล่อยให้เครนไหม้ไป แต่ท่านมุ้ยก็ไม่ได้ปล่อยให้โอกาสนั้นเสียไป ทรงตั้งกล้องถ่ายเลย ถ่ายไฟที่มันลุกหอคอยอยู่ เพราะฉะนั้นภาพที่เราเห็นในหนังนั้นมันเป็นไฟไหม้จริง"

          ขณะที่ ต้น จักรกฤษณ์ ที่ต้องเข้าฉากท่ามกลางความร้อนระอุของเปลวเพลิง ได้กล่าวชื่นชมถึง ตั๊ก นภัสกร ที่รับบทเป็นพระมหาอุปราชา ซึ่งต้องเผชิญกับหลากหลายอุปสรรค ที่พร้อมจะทำลายสมาธิทางการแสดงในฉากนี้ แต่กลับสวมบทบาทและถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ

          “ตอนที่ผมโดนไฟไหม้ ไม้หล่นทับไฟลุกท่วม ตั๊ก, หนึ่ง เขาก็จะมาช่วยกันยกตั๊กเขาก็จะพ่อๆ!!! โดยวิธีเราทำงาน มันเยอะมา กเรามีหลายช็อตหลายคัท แล้วเราต้องแบกน้ำหนักเสื้อเกราะที่ใส่ ในฉากมีไฟไหม้มีบรรดากองทหารแล้วไหนจะเหงื่อไคล ตั๊กกับไพร่พลเขาก็จะวิ่งมา เฮ้ยพ่อๆ ถ้าหากสมมุติตัวละครตั๊ก ตัวผมไม่ได้คิดว่า นี้พ่อนี่ลูก โอ้โหทำยากนะแล้วเวลาที่เกิดขึ้นในการถ่ายทำ มันจะมารอบิ้วไม่ได้ เพราะหนังเล่นเป็นคัททุกอย่างเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที ผมถึงกล้าบอกว่าตั๊กสุดยอดในการสื่อสาร มันต้องชัดมากพอในเวลาตัดต่อจริงมันอาจจะเหลือโมเมนท์นี้เพียงแค่วินาที เพราะฉะนั้นในเวลาที่สั้นมากๆ 1-2-3 ประโยคมันต้องสื่อสารให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลย ว่าเป็นห่วงพ่อยังไง ตัวละครตั๊กจะค่อนข้างต่างกับนันทบุเรง จะเป็นลูกที่รักพ่อและพยายามที่จะทำให้พ่อถูกใจ ถึงแม้ว่าจะมีความน้อยใจที่โดนพ่อต่อว่าเสมอ”

          เข้มข้นขนาดนี้ 29 พ.ค. ประจักษ์ทุกสายตาด้วยตัวคุณเองกับมหาศึกที่คนไทยรักชาติทุกคนรอคอย “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”

FB on May 28, 2014, 10:01:42 AM
สหมงคลฟิล์มฯ เนรมิตรฉากอภิมหาศึกยุทธหัตถีสุดอลังการหน้าลาน Parc Paragon คนไทย-ต่างชาติร่วมบันทึกความทรงจำสร้าง “ปรากฏการณ์ยุทธหัตถีฟีเวอร์” ล้นหลาม



          ครั้งแรกและครั้งเดียวที่คนไทยรักชาติทุกคนจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในปรากฏการณ์ของอภิมหาสงครามครั้งสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ “กว่า 4 ศตวรรษของยุทธหัตถี การสัประยุทธ์ทำการรบบนหลังช้างอันลือลั่นแห่งปฐมพีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระมหาอุปราชา” ที่ทุกคนได้รับรู้ได้ยินได้ฟังมาทั้งชีวิตพร้อมแล้วที่จะปรากฎสู่สายตาคนไทยรักชาติทุกคนในสมรภูมิสุดท้ายที่ทุกคนรอคอย “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”

          สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับ พร้อมมิตรโปรดักชั่น และ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ร่วมกันเนรมิตรภาพ “ยุทธหัตถี” อภิมหาศึกคชยุทธ์ครั้งสำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ ลงบนพื้นที่ขนาดมหึมา 9.5 เมตร พร้อมช้างทรงศึกที่มาพร้อมกับความสูง 5.5 เมตร บนลาน Parc Paragon บริเวณน้ำพุ ด้านหน้าศูนย์การค้า สยามพารากอนให้ทุกคนได้ร่วมชื่นชม และร่วมบันทึกภาพความทรงจำแห่งประวัติศาสตร์กันได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคมนี้เท่านั้น

          ล่าสุดหลังจากที่ได้มีการติดตั้ง “ฉากอภิมหาศึกยุทธหัตถี” ออกไปต่างได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างมากมายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ที่ขอร่วมเป็น 1 ในปรากฎการณ์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” 29 พฤษภาคม นี้พร้อมประจักษ์ทุกสายตาผู้ชมทุกคนในทุกโรงภาพยนตร์ทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย

FB on May 29, 2014, 10:48:16 AM
ผู้พันเบิร์ด-แอฟ-ตั๊ก-ผู้พันต๊อด-เกรซ-ปีเตอร์-ทราย-ต๊อก-สรพงษ์-ชลัฎ พร้อมนักแสดง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร 5 ภาค” เดินพรมแดงเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ “ยุทธหัตถี” อลังการยิ่งใหญ่สมการรอคอยมาตลอด 12 ปี








 
           เปิดตัวรอบปฐมทัศน์ของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอ็คชั่น อิงประวัติศาสตร์ภาคต่อ เรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ดำเนินมาจนถึง “ยุทธหัตถี” อภิมหาศึกคชยุทธ์อันลือลั่นที่ทุกคนรอคอย นับตั้งแต่ภาคแรก องค์ประกันหงสา, ประกาศอิสรภาพ, ยุทธนาวี, ศึกนันทบุเรง งานนี้ บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล และ พร้อมมิตรโปรดักชั่น พร้อมด้วยเหล่าพันธมิตรทางการตลาดอย่าง ธนาคารกรุงเทพ, โตโยต้า, เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า, พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ สยามพารากอน ได้รับเกียรติจากบรรดาสื่อมวลชน พร้อมแขกผู้มีเกียรติ นักแสดง ผู้บริหาร ในแวดวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ, รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์, สุพล วิเชียรฉาย, สมชาย เข็มกลัดพร้อมภรรยา, พาณิชย์ สดสีพร้อมภรรยา, ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์, นัท มีเรีย, ปิ่น-เก็จมณี วรรธนะสิน, หัถยา วงษ์กระจ่าง, ซินดี้ สิรินยา และไบรอน บิชอพ, พิมลรัตน์ พิศลยบุตร, พิชญ์นาฏ สาขากร, จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์, พัลลภ สินธุ์เจริญ, ธิดารัตน์ สินธุ์เจริญ, แก้ว ซาซ่า (จรีนา สิริสงห), ซาร่า บอลล์,ซอนย่า สิงหะ, อาภา ภาวิไล, วีรี ละดา พาณิชย์ดี, พฤกษ์ รัตนฐิตินันต์, ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์, สุเชาว์ พงษ์วิไล, กลุ่มนักแสดงจากพันท้ายนรสิงห์, ผู้ชนะสิบทิศ, กลุ่มผู้ชนะเลิศแฟนพันธุ์แท้ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, ทีมนักฟุตบอลหญิงไทยชุดบอลโลก ฯลฯ ร่วมเป็นผู้ชมภาพยนตร์กลุ่มแรกในโลก ที่ได้สัมผัสกับบทสรุปของมหาสงครามสุดอลังการของศึกยุทธหัตถี ซึ่งปรากฎเป็นภาพเคลื่อนไหวลงบนแผ่นฟิล์มอย่างเต็มรูปแบบ เป็นครั้งแรกเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของภาพยนตร์แห่งสยามประเทศระดับมาสเตอร์พีซ จากผลงานการสร้างสรรค์โดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล

          ซึ่งภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” ได้รับความสนใจจากผู้ชมภาพยนตร์อย่างคับคั่ง และให้กำลังใจเหล่านักแสดง,ทีมงานและผู้กำกับ เริ่มงานด้วย “ไฮไลท์การเปิดตัวเดินบนพรมแดงของเหล่านักแสดงจากภาพยนตร์ทั้งอาวุโสรุ่นใหญ่ในวงการไปจนถึงรุ่นใหม่ไฟแรงตั้งแต่ ภาคแรกองค์ประกันหงสาจนถึงศึกนันทบุเรงไม่ว่าจะเป็น บุญสร้าง เรืองนนท์, สมภพ เบญจาธิกุล, จิรายุ ละอองมณี, อภิรดี ภวภูตานนท์, ราชวัตร ขลิบเงิน, ปฐมรัตน์ ศิริทรัพย์, ร้อยเอก ณยศ เสาว์ทองหยุ่น, พยัค รามวาทิน, ชาติ อรรถจินดา, นาวาเอกวัลลภ บุรารักษ์, ธนา สินประสาส์น, ต่อลาภ กำพุสิริ, เขมชาติ โรจนะหัสดิน, พันตำรวจตรีจตุรวิทย์ คชน่วม เรื่อยมาจนถึงเหล่านักแสดงที่มีบทบาทสำคัญในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคยุทธหัตถี โดยเริ่มจาก ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง, ครรชิต ขวัญประชา, อำภา ภูษิต, ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม, อินทิรา เจริญปุระ, เกรซ มหาดำรงค์กุล, นาวาอากาศตรีจงเจต วัชรานันท์, ต๊อก ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ, พันเอกวินธัย สุวารี, หนึ่ง ชลัฏ ณ สงขลา, ยาโน คาซูกิ และที่เรียกเสียงกรี๊ดมากที่สุดเมื่อผู้พันเบิร์ดวันชนะ สวัสดี ที่อุ้ม น้องวิน สวมเสื้อยืดที่ปักลวดลายโลโก้ของภาพยนตร์ ฯ ควงคู่มากับคุณแม่คนใหม่อย่าง แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ เตชะณรงค์ พร้อมด้วย ตั๊ก นภัสกร มิตรเอม

          ก่อนที่งานบนเวที จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการด้วยพลังเสียงอันแข็งกร้าว ปลุกหัวใจรักชาติของคนไทยทุกคนที่มาร่วมงานใน “สมรภูมิสุดท้าย” ซึ่งเป็นบทเพลงประกอบภาพยนตร์แบบไลฟ์เวอร์ชั่นสดๆ ของ สงกรานต์ เดอะวอยซ์ (รังสรรค์ ปัญญาเรือน) จากนั้นเหล่าบรรดากลุ่มนักแสดงตัวแทนจากภาพยนตร์ทั้งหมดรวมทั้ง สรพงษ์ ชาตรี จะขึ้นบันทึกภาพแห่งประวัติศาสตร์ร่วมกันโดยมี หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสร้าง ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล และ ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล ขึ้นเป็นตัวแทนของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล,คุณสมศักดิ์ และคุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ ประธานกรรมการและรองประธานบริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมด้วยคุณปิติ สิทธิอำนวย กรรมการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), คุณวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการ บ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด(มหาชน), เภสัชกรณัฐสิทธิ์ เปี่ยมชูชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เกร๊ทเตอร์ฟาร์ม่า จำกัด เหล่าผู้บริหารและพันธมิตรทางการตลาดของภาพยนตร์ก่อนที่จะไปร่วมชมภาพยนตร์รอบแรกในโลกพร้อมกัน ผู้พันเบิร์ด วันชนะ สวัสดี และแอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ เตชะณรงค์เป็นตัวของภาพยนตร์ฝากถ้อยความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งคู่เชื่อมั่นว่าจะเกิดกับผู้ที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน

          ผู้พันเบิร์ด วันชนะ : ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นของคนไทยทุกคน ผกก. นักแสดงทุกคนของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบที่เราทำหน้าที่เป็นตัวแทนของหนังเป็นตัวแทนของคนไทยทุกคน เพื่อให้หนังมีความสมบูรณ์มากขึ้น ความภาคภูมิใจของผมก็คือผมรู้สึกว่าเรากำลังส่งทอดความภาคภูมิใจในอดีตมาสู่ตัวพวกเราทุกคน และเรากำลังจะส่งทอดไปยังลูกหลานของเรา เพื่อให้เขารู้สึกได้ว่ากวาที่เขาจะมีแผ่นดินให้เหยียบอย่างมั่นคงทุกวันนี้ บรรพบุรุษของเราจะต้องแลกมาด้วยเลือด หยาดเหงื่อ แรงกาย และชีวิต เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดวีรกรรมเหล่านั้นก็เลยมีความภาคภูมิใจด้วย

          แอฟ ทักษอร : คล้ายๆ พี่เบิร์ดคะ ในภ.เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร แอฟรับบทเป็นมณีจันทร์ ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวแทนของวีรสตรีในสมัยก่อนที่ก็ได้มีวีรกรรมที่เสียสละเช่นเดียวกันจนทำให้พวกเราทุกคนมีประเทศชาติอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ได้รับโอกาสอันดีจากท่านมุ้ยที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ของคนไทยเรื่องนี้ที่แอฟเชื่อว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ส่งต่อให้กับลูกหลานของเราไปอีกยาวนาน

          ร่วมพิสูจน์ด้วยสายตาตนเองกับเรื่องราวที่ดำเนินต่อกับประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่กว่า 4 ศตวรรษของยุทธหัตถี ที่พร้อมปรากฎ และกลับมาเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสายตาผู้ชมอย่างเต็มรูปแบบ เป็นครั้งแรกในโลกได้แล้ววันนี้

FB on May 29, 2014, 11:14:03 AM
ทุ่มเทฝึกซ้อมนานกว่า 10 ปี “ผู้พันเบิร์ด” ชวนดู “ยุทธหัตถี” มหาศึกคชยุทธ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ตอกย้ำความเป็น “เอกราช”





           จากบทบันทึกสำคัญในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พงศาวดาร ทั้งของไทย พม่า และชาวตะวันตก รวมไปถึงงานจิตรกรรมตามผนังโบสถ์และวัดวาอารามฯลฯ ว่ากันว่ามีการบันทึกถึงวีรกรรมอันหาญกล้าของ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในการทำศึกยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา” ถึง 10 แบบที่แตกต่างกันไป ตามหลักฐานของแต่ละชนชาติทั้งของชาวดัทช์, โปรตุเกส, พม่า หรือแม้แต่ของไทยเอง ไม่มีมหาสงครามครั้งไหนในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยจะถูกจารึก จดจำ และอยู่ในหัวใจคนไทยมากที่สุด เท่ากับครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงทำยุทธหัตถีในปีพุทธศักราช 2135 เพราะนี่คือ อภิมหาสงครามแห่งเกียรติยศ นำมาซึ่งอิสริยยศ อิสริยศักดิ์อันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ได้รับการเชิดชูในฐานะที่เป็นราชาธิราช ราชาที่เหนือราชาทั้งหลายอย่างสมพระเกียรติ และนำมาซึ่งเอกราชแก่ปวงชน และผืนแผ่นดินไทยให้ลูกหลานสืบสานตราบมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งภาพเหตุการณ์ดังกล่าวที่มีการเล่าขานสืบต่อกันมาตลอดระยะเวลากว่า 422 ปี และกำลังจะปรากฏสู่สายตาผู้ชมบนแผ่นฟิล์มอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี” ผ่านมุมมอง และอัจฉริยภาพในการกำกับภาพยนตร์โดย ท่านมุ้ย ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล และสื่อสารผ่านทาง พันโทวันชนะ สวัสดี ผู้รับบทเป็น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งผู้พันเบิร์ด ได้เล่าถึงความสำคัญของยุทธหัตถีว่า

          “เราจะได้เห็นการยุทธ์ที่ใช้ช้างชนกัน รวมทั้งได้เห็นขีดความสามารถของการบังคับช้างของควาญช้าง เราจะได้เห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษในการรบของขุนศึกคนอื่นๆ ที่ปล่อยให้พระมหากษัตริย์สองพระองค์รบกัน คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชา ถ้าเราต้องสร้างภาพยนตร์เรื่องเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฉากนี้จะขาดไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าทุกคนรอคอยที่จะชมฉากศึกยุทธหัตถีตั้งแต่เริ่มฉายภาคหนึ่งแล้ว ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคนได้ไปชมฉากยุทธหัตถี ที่เราได้พยายามสรรค์สร้างใช้ทุกกระบวนการ ทุกความสามารถในการทำภาพยนตร์ ความสามารถของนักแสดงทุกคนที่เราต่างฝึกซ้อมกัน มาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว แล้วก็ซ้อมกันมาเรื่อยๆ จนเรามีความเชี่ยวชาญ บังคับช้างได้จริง หลายคนพูดถึงยุทธหัตถีอยากเห็นกันมานาน ก่อนที่จะมีการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อีก ผมเชื่อว่า สิ่งที่ทุกคนไม่มีวันลืมคือ ประวัติศาสตร์ความเป็นจริงของชาติเรา ความยิ่งใหญ่ และความสำคัญของศึกยุทธหัตถี

          เมื่อย้อนกลับไปดูหลักฐานข้อมูลต่างๆ จะพบว่าการศึกยุทธหัตถีไม่ได้เกิดขึ้นทั่วโลกนะครับ มันเกิดขึ้นเฉพาะภูมิภาคฝั่งเรา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มีอยู่ประมาณนี้ ถือว่าเป็นการศึกการยุทธ์ที่ต้องใช้ความห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งของพระมหากษัตริย์ พระปรีชาสามารถในการบังคับช้างการใช้อาวุธบนหลังช้าง และการต่อสู้กันตัวต่อตัวทั้งของฝั่งไทย และพม่าที่เป็นการต่อสู้คนสองคนเท่านั้น และพอการศึกจบผู้นำทัพพ่ายแพ้ ก็จะเห็นว่าไม่มีการรุมต่อทุกอย่างจบ ทุกคนยอมรับสภาพ เป็นการยุทธ์ของสุภาพบุรุษ ที่ถ้าใครได้ชัยชนะในครั้งนี้จะเป็นการตอกย้ำชัยชนะต่อไป เช่น ถ้าศึกครั้งนี้พระมหาอุปราชามีชัยชนะเหนือพระนเรศวรมันจะเป็นการตอกย้ำในความเป็นเมืองขึ้นของอโยธยาต่อไปแน่นอน แต่ถ้าพระนเรศวรรบชนะพระอุปราชาในศึกครั้งนี้จะเป็นการตอกย้ำความเป็นเอกราชที่มันจะยืนยาวต่อไป ซึ่งอาจจะไม่เคยเสียเลยต่อไปเพราะฉะนั้นความสำคัญของยุทธหัตถีอยู่ที่ตรงนี้ครับ”

          ร่วมพิสูจน์ความยิ่งใหญ่แห่งมหาศึกอันทรงคุณค่ากับการเสียสละของ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” องค์พระมหากษัตริย์ไทยที่ทำให้คนไทยมีผืนแผ่นดินไทยตราบจนทุกวันนี้ 29 พ.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 05, 2014, 09:58:41 AM
สหมงคลฟิล์ม จับมือ พร้อมมิตร โปรดักชั่น จัดกิจกรรมพาน้องๆ สัมผัสประวัติศาสตร์ เต็มอิ่มชมภาพยนตร์ พร้อมเที่ยวจังหวัดอยุธยา โดยไกด์กิตติมศักดิ์ “พันโท วันชนะ สวัสดี”







          ภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี จัดกิจกรรมพาน้องสัมผัสประวัติศาสตร์มหาตำนานแห่งแผ่นดิน” เพื่อให้น้องๆ ที่ด้อยโอกาสได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ สร้างจิตสำนึกที่ดี พร้อมสร้างความสนุกสนานร่วมกัน โดย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, พร้อมมิตรโปรดักชั่น และโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ นำโดย คุณอวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาดของบริษัท สหมงคลฟิล์มฯ ได้พาน้องๆ จากสถานสงเคราะห์เยาวชน มูลนิธิมหาราช จำนวน 25 คน ร่วมสัมผัสประสบการณ์จริงทั้งในจอและนอกจอ กับการชมภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี และพาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดอยุธยา ซึ่งได้ไกด์กิตติมศักดิ์ อย่าง พันโท วันชนะ สวัสดี ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

          ซึ่ง คุณอวิกา ได้พูดถึงที่มาของกิจกรรมดังกล่าวว่า “ความตั้งใจในการจัดกิจกรรมนี้เราอยากให้น้องๆ ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเราเชื่อว่าหนังเป็นอีกสื่อบันเทิงที่จะทำให้น้องๆ และทุกคนได้เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมา ความยากลำบาก กว่าจะมีแผ่นดินไทยให้เราอยู่กันอย่างทุกวันนี้ รวมทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนได้ระลึกถึงความเสียสละของบรรพบุรุษในแผ่นดินไทย การเรียนรู้และสัมผัสประวัติศาสตร์ในสถานที่จริง ทางบริษัทฯ จึงได้จัดกิจกรรมพาน้องสัมผัสประวัติศาสตร์มหาตำนานแห่งแผ่นดินนี้ขึ้น ทั้งชมภาพยนตร์ ศึกษาประวัติศาสตร์ และสนุกสนานกับของเล่น และการให้อาหารช้างสัตว์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของประเทศไทยด้วย”

          ซึ่งผู้พันเบิร์ดได้เล่นเกมส์แจกของที่ระลึก และร่วมชมภาพยนตร์กับน้องๆ จากมูลนิธิมหาราช, แฟนๆ จากเฟสบุ๊คของสหมงคลฟิล์ม และอาสาสมัครใจดีที่มาร่วมกิจกรรม ณ. โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต หลังจากนั้นจึงเดินทางไปจังหวัดอยุธยา ไกด์ของเราก็ไม่พลาดที่จะพาน้องๆ และอาสาสมัครร่วมเดินทางย้อนรอยประวัติศาสตร์ไทย พร้อมบอกเล่าถึงที่มาของสถานที่ต่างๆ โดยที่แรกคือ วัดใหญ่ไชยมงคล สถานที่ๆ เป็นเหมือนการแสดงถึงชัยชนะและการเป็นเอกราชของเราชาวไทย และไปที่เจดีย์ภูเขาทอง ซึ่งมีพระบรมราชานุเสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงม้า อยู่กลางทุ่งภูเขาทอง ผู้พันเบิร์ดได้พาน้องๆ อาสาสมัคร และสื่อมวลชนเดินชม พร้อมบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของพระนเรศวรฯ สร้างความรู้ ความสนุกสนาน และความตื่นเต้น ให้กับน้องๆ ที่เดินชมรูปภาพ และประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นอย่างมาก และปิดท้ายด้วยกิจกรรมที่ชวนให้น้องๆ เพลิดเพลินยิ่งขึ้น กับการพาชมของเล่นทั้งจากในอดีต และปัจจุบันในพิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น เกริก ยุ้นพันธ์ และที่สำคัญที่สุดการชมโชว์พิเศษของช้าง และให้อาหารช้างที่เพนียดคลองช้างเลยทีเดียว ซึ่งในทุกกิจกรรมได้มีการถ่ายภาพร่วมกันเพื่อความทรงจำ และความประทับใจสุดแสนพิเศษ ซึ่งผู้พันเบิร์ดได้กล่าวว่า

          “ผมรู้สึกดีใจ และสนุกสนานมากที่ได้มีโอกาสพาน้องๆ มาชมภาพยนตร์ ซึ่งก่อนชมผมได้บอกเล่าเรื่องราวของหนังที่ผ่านมาเพื่อเป็นการเสริมในส่วนของหนัง และประวัติศาสตร์ของไทยเราให้น้องๆ ทราบก่อน ซึ่งเขาตั้งใจฟังมาก พอออกมาผมถามคำถามน้องๆ ทุกคนดูตื่นเต้น และจำตัวละครต่างๆ ในภาพยนตร์ได้ และผมก็พาเขามาเที่ยวจังหวัดอยุธยา ชมประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เป็นต้นกำเนิดของภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างวัดใหญ่ไชยมงคลเป็นที่ประกาศชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเจดีย์ภูเขาทองสถานที่ๆมีพระบรมราชานุเสาวรีย์ของสมเด็จพระนเรศวรที่ท่านทรงม้าอยู่ พร้อมเดินชมรอบๆ ซึ่งจะมีรูปของท่านในภารกิจต่างๆ ซึ่งในขณะที่ผมเล่าที่มาประวัติให้น้องๆทราบในแต่ละรูป น้องบางคนจำได้ด้วย อย่างฉากที่ท่านทรงยุทธหัตถี หรือฉากที่พระนเรศฯ ฝันเห็นกุมภี น้องๆ ก็จำได้ว่าเราเพิ่งดูจากในหนังมาเองซึ่งผมรู้สึกประทับใจมาก นอกจากพาชมประวัติศาสตร์แล้วเราก็มีกิจกรรมที่ให้น้องเพลิดเพลินใจด้วยกับการพาชมของเล่นที่พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น และได้พบกับช้างตัวจริง ได้ให้อาหารและเล่นกับช้างด้วย น้องๆ ที่มาร่วมกิจกรรมน่ารักมาก และให้ความสนใจในสิ่งที่เราทำเพื่อเค้า และได้สัมผัสประสบการณ์จริงครบทุกรสในกิจกรรมครั้งนี้ ผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี เป็นภาพยนตร์ที่เป็นสมบัติของทุกคน และเป็นกำลังใจและให้ข้อคิดกับทุกคนได้ หลังจากนี้หากใครที่เจอเรื่องที่ท้อแท้ใจ หรือเหน็ดเหนื่อยลองมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะได้มีกำลังใจมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเทียบกับสมัยก่อนบรรพบุรุษของเราทำทุกอย่างเพื่อปกป้องประเทศชาติให้เราอย่างแสนสาหัสจนเป็นประเทศไทยในวันนี้”