บทสัมภาษณ์ พิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล รับบทเป็น “เลี่ยม” ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ
คาแรกเตอร์ของเลี่ยมในเรื่องนี้เป็นยังไง
ในเรื่องโฮมผมรับบทเป็น เลี่ยม ซึ่งเลี่ยมมันเป็นฉายา ภาษาเหนือคำว่าเลี่ยมมันหมายถึงอาการที่เสนอหน้า หรือช่างพูดช่างคุย พูดอยู่นั่นแหละน่ารำคาญ อันนี้จะเป็นความหมายของคำว่าเลี่ยม ซึ่งจริงๆ ในเรื่องเราจะชื่อมอส แต่ว่าเพื่อนๆ จะเรียนกันว่าเลี่ยม นิสัยบุคลิกก็คือคนเลี่ยมๆ อธิบายยังไงดี เหมือนเป็นคนที่ช่างพูดช่างคุยพูดเยอะพูดแยะ แล้วก็เป็นมองโลกในแง่ดี เป็นคนที่รักพี่สาวมาก ครอบครัวเหมือนกับว่าพ่อแม่เสียไปแล้ว แล้วก็เหลือแต่พี่สาวคนเดียว แล้วพอพี่สาวจะแต่งงานมันก็เลยเหมือนกับอยากที่จะจัดงานแต่งงานให้กับพี่สาวของตัวเอง ซึ่งตัวเลี่ยมมันก็เป็นเด็กเรียน mass communication ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อะไรอย่างนี้ ก็สามารถพอที่จะจัดอีเว้นท์จัดอะไรต่างๆ ก็เลยมาช่วยพี่สาว
ทำไมถึงมารับเล่นเรื่องนี้
จริงๆ ก็ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวมาหลายงานแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหนังหรือเพลง พอมาถึงเรื่องนี้พี่มะเดี่ยวก็เลยชวนว่า เออมีบทอยากให้เล่นน่าจะเล่นได้อยากให้ได้เจอกับพี่นุ่น ศิรพันธ์ ลองเล่นเป็นน้องชายเขาดู ดูสิว่าจะเป็นยังไง ซึ่งก็ยินดีเพราะว่ามีโอกาสได้ดูผลงานการกำกับของพี่มะเดี่ยวในเรื่องอื่นๆ ในเรื่องที่เราไม่ได้เล่น มีโอกาสได้ติดตาม แล้วก็อย่างตัวพี่นุ่นเองก็ได้ติดตามผลงานต่างๆ มาตั้งแต่เรื่องเพื่อนสนิท ซึ่งตอนนั้นเรายังเป็นเด็กมัธยมอยู่เลย ซึ่งเราก็รู้สึกว่า เออการได้ร่วมงานครั้งนี้เป็นการท้าทายอย่างนึง และก็จะมีนักแสดงคนอื่นๆ อีกไม่ว่าจะเป็นอาตุ่ย พี่แมว-จารุณี พี่เจมส์-เรืองศักดิ์ พี่ลิฟท์-สุพจน์ ซึ่งก็เป็นนักแสดงที่เรียกได้ว่ามีประสบการณ์มากฝีมือ ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้เราก็ตอบตกลงเกือบจะทันที แล้วเราก็ดูในส่วนของการแต่งเพลงประกอบด้วยครับ
จากเรื่องรักแห่งสยามมาถึงเรื่องนี้มีการพัฒนาการแสดงยังไงบ้าง
จากเรื่องรักแห่งสยามจนมาเรื่องนี้ มีบทบาทที่เปลี่ยนไปเรื่อย อย่างเรื่องที่ผ่านมาเพื่อนไม่เก่า ก็จะเป็นลักษณะของคนเงียบเซอร์ๆ โดยส่วนตัวแล้วพิชชอบที่จะเล่นบทบาทใหม่ต่อไปเรื่อยๆ อยากจะให้คนดูได้เห็นเราในลุคใหม่ ไม่อยากจะให้มันติดอยู่แต่กับภาพเดิม ดังนั้นพอมาเป็นบทเลี่ยม ก็มาเล่นเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ร่าเริงกว่าตัวเราเองด้วยซ้ำ ทั้งที่เราก็เป็นคนที่ร่าเริงอยู่แล้ว ก็เลยเป็นบทบาทที่ท้าทายแล้วก็ต้องใช้พัฒนาการทางการแสดงมากขึ้น เพราะว่านอกจากจะร่าเริงสดใสแล้ว ช่วงนึงที่เป็นช่วงวิกฤตของเรื่อง ตัวเลี่ยมเองก็ต้องเครียด แล้วก็ต้องแบกรับงานที่ตัวเองจัดเอาไว้ ที่เกือบจะล่มแหล่ไม่ล่มแหล่ ซึ่งตัวเลี่ยมเองก็มีความกดดันอะไรบางอย่างอยู่ ดังนั้นมันเป็นตัวละครที่คนดูจะได้มองเห็นตัวละครตัวนี้จากทุกมุมมอง จากความสนุก ความเศร้า ความตลก มันมีตรงนี้อยู่ ตัวละครตัวนี้มันครบรสมากๆ ต้องใช้การแสดงที่มากขั้นขึ้นอีก
ตอนอ่านบทครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้างครั้งแรกที่อ่านบท อ่านเพื่อที่จะเอาไปใช้ในการแต่งเพลง เราจะได้รู้ทั้ง 3 พาร์ทว่าเรื่องราวเป็นยังไงเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยอมรับว่าอ่านครั้งแรกแล้วร้องไห้ เพราะว่ามันมีความเป็นชีวิตอยู่ในบท ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทของตัวเราเองหรือเป็นพาร์ทของคนอื่น ในตอนอื่นของหนังเรื่องนี้ มันพูดถึงความรัก ความผูกพัน การอยู่ร่วมกันของคน ซึ่งบางทีเราอาจจะอยู่ไกลกันมาก หรือเราเพิ่งมาเจอกัน แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่พอเราได้อ่านแล้วเรารู้สึกถึงมันได้ ความรู้สึกแบบนี้เราเคยมี มันเคยเกิดขึ้นกับเรา
ร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งนี้เป็นยังไง
ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวก็สนุกมันเหมือนเราทำงานกับคนที่เราคุ้นเคย เราไว้ใจ แล้วเรารู้ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เราดูแย่บนจอแน่นอน ขณะเดียวกันเราก็สามารถจะถามเขาได้อย่างสนิทใจว่า เฮ้ยพี่อย่างนี้ได้ไหม หรือว่าบางทีเรามีอะไรจะเสนอ เขาโอเคไหม มันเป็นการจอยกันระหว่างนักแสดงกับผู้กำกับ ซึ่งในหนังบางเรื่องก็จะมีการทำงานที่ต่างกันไป มันมีความคิดเห็นของผู้กำกับทั้งหมด หรือให้นักแสดงเล่นเอง แต่สำหรับเรื่องนี้มันจะออกมาผสมรวมๆ กัน
แต่สิ่งหนึ่งที่พิชว่าพี่มะเดี่ยวมีคือ เขาจะเห็นภาพทุกๆ อย่าง เขาจะรู้ว่าตัวละครแต่ละตัวทำอะไรเพราะอะไร แล้วเขาสามารถอธิบายได้จนเราเข้าใจ เราสามารถที่จะเล่นตามที่เขาต้องการได้
ประทับใจอะไรในตัวมะเดี่ยว พี่มะเดี่ยวเป็นคนที่ทำงานจริงจังมาก อย่างที่พิชบอกว่าเขาจะมองเห็นทุกๆอย่างของหนังเขา แม้กระทั่งตัวประกอบ หรือองค์ประกอบเขาเก็บละเอียดหมดเลย แต่พอสั่งคัทปุ๊บ ความจริงจังก็กลายเป็นความสนุกสนานเขาก็จะเล่น ยิงมุกปล่อยมุกกัน ดังนั้นกองนี้ก็จะเป็นกองที่สนุกมากๆ ไม่ว่าจะเป็นทีมงานทั้งนักแสดงผู้กำกับและคนอื่น ทุกคนจะแฮปปี้กับมันมาก แล้วก็บางทีก็มีแบบว่าถามว่าพี่มะเดี่ยวอยากได้แบบไหน ลองเล่นให้ดูหน่อยว่าพี่อยากได้ยังไง เขาก็จะเล่นของเขา เราดูแล้วมันตลกมากๆ พอเราดูแล้วมันก็จะมีความผ่อนคลาย แล้วเราก็จะรู้ว่าเขาต้องการแบบนี้
มาเล่นเรื่องนี้ติดปัญหาตรงไหนบ้างไหม อย่างแรกเป็นเรื่องของภาษา คืออาจจะดูว่าเราเป็นคนเชียงใหม่เราน่าจะพูดภาษาเหนือคล่อง แต่จริงๆ แล้วคือไปอยู่กรุงเทพฯมาระยะนึงมันจะมีบ้างที่ลืมไป เราก็มักจะเอาภาษาเหนือ กับกลางมารวมกัน
พี่มะเดี่ยวบอกไม่ได้อย่างนี้มันเหนือกรุงเทพ จะเอาแบบเหนือเชียงใหม่เหนือจริงๆ ก็ต้องเอาบทมาเปิดแล้วถอดความจากภาษาไทยกลางให้เป็นภาษาเหนือก่อน แล้วเอาไปถามว่ามีอะไรอยากจะเติมไหม มีอะไรที่เหนือกว่านี้หรือเปล่า พี่มะเดี่ยวก็จะคอยดูว่าพูดอย่างนั้นอย่างนี้ดีกว่า
อีกอย่างนึงคือมันมีฉากที่เราต้องร้องไห้ แล้วเราจะใส่คอนแทคเลนส์อยู่ตลอดเวลา พอเรามีน้ำตาแต่ คอนแทคเลนส์ก็ดูดไปหมดเลย ก็ต้องพยายามทำอารมณ์ต่อ สุดท้ายเราก็ต้องถอดคอนแทคเลนส์ออก แล้วก็จะเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครที่มันมากขึ้น ซึ่งถามว่ามันเป็นปัญหาไหม มันก็ไม่ได้เป็นปัญหามากแต่มันเป็นความยากของตัวละคร ตัวละครตัวนี้มันแวดล้อมไปด้วยนักแสดงคับคั่ง คือตัวเลี่ยมเป็นตัวจัดงานแต่ขณะเดียวกันเวลาที่มาร่วมเฟรมกัน มีทั้งเลี่ยม ปรียา เสี่ยเล้ง คนอื่นๆ ที่เป็นตัวสำคัญๆ เพราะฉะนั้นเลี่ยมก็สามารถจะจมหายไปในการแสดงได้เกือบทุกฉาก เราก็ต้องพยายามเล่นให้น้ำหนักมันเท่ากับคนอื่น ก็เป็นความยากอย่างนึงในภาพยนตร์เรื่องนี้
มีฉากประทับใจสำหรับพิชบ้างไหมสำหรับที่พิชเล่นมา เป็นฉากที่ตัวเลี่ยมเองกำลังมองดูหายนะของงานที่เราตั้งใจจะจัดขึ้นให้กับพี่สาวที่เรารักอยู่ แต่ก็เกิดมีเหตุการณ์อื่นแทรกเข้ามาระหว่างนั้น ซึ่งผมเชื่อว่าใครที่ได้ดูฉากนี้จะต้องรู้สึกเหมือนกับเรา ทุกอย่างที่เราไม่ได้คิดเอาไว้ ไม่ได้วางคิวเอาไว้มันกลับเป็นอะไรที่พลิกไปได้เป็นอีกอย่าง ซึ่งเรื่องราวมันสะท้อนให้เราได้เห็นมุมมองอะไรอีกหลายอย่างเกี่ยวกับความรัก กับพี่สาวและน้องชาย กับชีวิตคู่และคำว่าครอบครัว
มาเล่นเรื่องนี้เห็นสนิทกับนุ่นเลย ร่วมงานด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง พี่นุ่นคือดาราเจ้าน้ำตา เราไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนที่เป็นแบบนี้ กำลังอ่านบทอยู่หันไปดูอีกทีน้ำตาไหลออกมาเยอะมาก เฮ้ยพี่นุ่นเป็นอะไรหรือเปล่า แต่พอคัทปุ๊ปเขาก็จะร่าเริงสดใส เวลาที่เราเห็นผู้หญิงคนนี้เขาเป็นคนไนซ์น่ารักมากๆ ทั้งเวลานอกและในเวลางาน พี่นุ่นเป็นคนที่มีวินัย แล้วก็เวลาที่เล่นเขาตั้งใจมาก ในขณะเดียวกันเขาก็จะเรียนรู้อะไรใหม่อยู่ตลอดเวลา
พี่นุ่นมักจะปรึกษาเรื่องภาษาเหนือกับพิช ตรงนั้นตรงนี้พูดยังไง เราก็ต้องเหมือนกับเป็นโค้ชให้ อันนี้ไม่ได้มันต้องต่ำกว่านี้นิดนึงนะ มันก็เลยสนุก เลยสนิทกับพี่นุ่นจากการสอนภาษาเหนือให้เขา จริงๆ ตัวพี่นุ่นเองเกิดที่เหนือแต่ไปโตที่กรุงเทพก็จะพูดไม่ค่อยเหมือนกับสำเนียงคนท้องถิ่นเท่าไหร่นัก พอเขาฝึกสักพักเขาก็สามารถพูดได้ด้วยความที่เขาเป็นคนเหนืออยู่แล้ว
ประทับใจอะไรในตัวพี่นุ่นคนนี้บ้าง พี่นุ่นเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกทึ่ง คืออย่างที่บอกเราเห็นเขาทำงานหนักมาก บทบาทที่เขารับหนักกว่าเรามากๆ มีอยู่วันนึงเขาร้องไห้ตั้งแต่บ่าย 3 โมงจนถึงเกือบ 1 ทุ่มเขาก็ร้องอยู่อย่างนั้นไม่หยุด ไม่รู้ไปเอาน้ำตามาจากไหนตัวแค่นี้เอง เราก็รู้สึกว่าที่เขาร้องไห้เป็นเพราะเขาเซนซิทีฟหรือเปล่า เป็นเพราะเขาเป็นคนอ่อนไหวหรือเปล่าพอมาดูจริงๆ เขาก็เป็นคนปรกติ แต่นั้นคือความสามารถในการแสดงของเขา มันมาจากการทำสมาธิ การตีความเข้าใจกับบทที่ค่อยๆ ออกมาจากตัวเขาเอง ซึ่งเราทึ่งในการแสดงในตัวเขามาก เรารู้สึกว่าเขามีประกายของนักแสดงที่เป็นมืออาชีพมาก อยากเอาอย่างเขา
แล้วทำงานร่วมกับพี่เจมส์ล่ะเป็นอย่างไร พี่เจมส์เขาจะเป็นคนที่มาในมาดนิ่งๆ มาถึงก็จะพูดน้อย เป็นคนใจดี แล้วพอพูดไปเรื่อยๆ เขาก็จะมีฮามีปล่อยมุกมีเรื่องตลกๆ มาเล่าให้ฟังในกอง แล้วพอถึงเวลาเขาจะเป็นคนที่มีสมาธินิ่งมากๆ พอจะถึงซีนอารมณ์เขาก็จะเป็นคนที่ต่อบทเอาเอง ทั้งที่กล้องมารับหน้าพี่นุ่น แต่เขาก็จะต่อบทให้เอง เหมือนกับว่าเขาจะมีสมาธิอยู่ในบทตลอดเวลา บางทีเราเห็นเขาไม่ได้อยู่ในฉาก ใกล้ๆ กันนั้นเราก็จะเห็นเขาไปยืนทำสมาธินิ่งของเขาอยู่ แล้วพอเขามาเล่นมันมีความเป็นธรรมชาติ ตอนที่เราอ่านบทเราก็ไม่รู้ว่าใครจะมาเล่นเป็นเสี่ยเล้ง พอเราเห็นว่าเป็นพี่เจมส์เรืองศักดิ์ พอดูเขาเล่นเราก็เห็นเสี่ยเล้งที่เป็นตัวหนังสือมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
ประทับใจอะไรในการแสดงของเจมส์บ้าง
คือเรียกว่าเป็นความเซอร์ไพร์สแล้วกัน เพราะเราไม่เคยฟังพี่เจมส์พูดใต้เลยจนกระทั่งมาหนังเรื่องนี้ เรื่องนี้ได้ฟังคนพูดทั้งเหนือทั้งใต้ซึ่งเราได้เห็นความแตกต่างของภาษา ซึ่งเราได้เห็นว่าพี่เจมส์เป็นคนที่พูดใต้แล้วดูหล่อ ดูแล้วยังมีความเท่ห์ของเขาอยู่
ร่วมงานกับอาตุ่ย (พุทธชาต พงศ์สุชาติ) เป็นยังไงบ้าง ร่วมงานกับอาตุ่ยนี่ โห..ตลกมากครับ อาตุ่ยจะเป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลา เขามีอารมณ์ขำ รู้ว่าคุยกับคนนี้แล้วคนนี้จะขำ สามารถที่จะทำให้คนนี้ตลกได้ แล้วเขาเป็นคนที่เกิดที่ลำปางแล้วก็ไปโตที่นราธิวาส ดังนั้นทั้งภาษาเหนือและภาษาใต้เขาจะได้ทั้งคู่ แล้วทีนี้พูดกันไปพูดกันมา ก็กลายเป็นพูดเหนือสำเนียงทองแดง (หัวเราะ)
แล้วในเรื่องอาตุ่ยเล่นเป็นน้าอร น้าอรเขาไปทำโบท็อกมา พอเราเล่นเข้าฉากกับอาตุ่ยพอเห็นหน้าก็จะขำแต่เราก็ต้องกลั้นเอาไว้เพราะอาตุ่ยจะทำหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะทำหน้าอย่างนั้น แววตาหรือการแสดงของเขาก็ทำออกมาได้ดีมากๆ น่าทึ่งมา เขาสามารถส่งอารมณ์ให้เราโดยที่ทำให้เรารู้ว่า เออ ไอ้ตัวที่ยิ้มมันเป็นแค่โบท็อกจริงๆ นะ แววตาหรือความห่วงใยความรักหลานของน้าอรมันส่งมาถึงเราจริงๆ แล้วเราสามารถจะรู้สึกได้
มาถึงพี่ลิฟท์บ้าง ทำงานกับพี่เขาเป็นยังไง พี่ลิฟท์เป็นผู้ชายที่ร่าเริง เป็นคนที่อารมณ์ดีเป็นคนไนซ์น่ารักสุภาพ เวลาที่เขาทำงานเรารู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เล่นอยู่ เขาเป็นธรรมชาติมาก อันนี้ก็จะเหมือนพี่เจมส์ตอนที่เราอ่านบทเราก็จะไม่รู้ว่าใครจะมาเล่นเป็นพี่เป็ก แต่พอพี่ลิฟท์มาเล่นแล้วเราเห็นพี่เป็กจริงๆ เออเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่มะเดี่ยวถึงเลือกพี่ลิฟท์มารับบทเป็นพี่เป็ก เพราะว่าเขามีความเป็นคนๆ นี้อยู่ แล้วเวลาพูดมันมีความเป็นธรรมชาติ เรารู้สึกดีที่ได้ร่วมงานกับเขา เขาเป็นคนที่ใจดี อย่างเวลาที่เรากำลังทำอารมณ์กำลังจะร้องไห้ เขาก็จะมาบอกว่าอย่าไปเกร็งนะค่อยๆ สบายๆ เขาก็จะใจดีสอนเราอะไรหลายๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นการเจอกันแค่ไม่กี่ฉากเท่านั้น
เรื่องนี้เราพูดถึงความรัก ความผูกพัน ความทรงจำ ส่วนตัวของพิชมีความทรงจำอะไรที่ยังประทับใจอยู่บ้าง สำหรับความทรงจำที่เราประทับใจ ก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่เราอยู่ที่เชียงใหม่ ชีวิตของการเรียน ได้อยู่กับเพื่อนได้สนุกสนานกับเพื่อนได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขอะไรต่างๆ หรือว่าได้อยู่กับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือว่าญาติพี่น้อง ทั้งหมดนี่ก็เป็นความทรงจำที่เราประทับใจ พอเราต้องไปเรียนที่กรุงเทพมันก็เป็นสิ่งที่เรานึกถึงอยู่ตลอดเวลา แล้วพอเราได้กลับมาเล่นหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าบรรยากาศต่างๆ ความรู้สึกต่างๆ มันได้กลับคืนมาอีกครั้งนึง
เวลาที่เราได้เข้าฉากกับเพื่อนหรือตัวประกอบอื่น ที่เขาก็เป็นน้องๆ จากมช. เราก็รู้สึกว่าเออ เหมือนเราได้อยู่กับเพื่อนเราจริงๆ เหมือนเขาเป็นเพื่อนเราจริงๆ เราได้อยู่กับพี่นุ่นเราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นพี่สาวของเราจริงๆ ในชีวิตจริงวัยเด็กเราก็มีพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้วก็สนิทกันแบบนี้ มันเรียกความทรงจำบางอย่างกลับมาแล้วเราก็เอามาใช้กับหนังเรื่องนี้ได้ แล้วมันก็เป็นความประทับใจมันทำให้เรานึกถึงเขา อย่างเมื่อวานถ่ายเสร็จก็โทรหาพี่สาวถามว่าเป็นยังไงบ้างอะไรอย่างนี้ครับ
ความหมายของคำว่าบ้านในความรู้สึกของพิชเป็นยังไง สำหรับพิชคำว่าบ้านคือ มันไม่ใช่บ้านอิฐบ้านปูนที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจับคนลงไปอยู่ในนั้น คือถ้าสร้างขึ้นมาแล้วเอาคนไปอยู่ในนั้น ทุกคนไม่มีความสัมพันธ์ ไม่มีความรัก ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันมันก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าบ้าน ดังนั้นความรู้สึกของพิชคำว่าบ้านคือที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ที่รอบข้างของเรามันแวดล้อมไปด้วยคนที่เขารักและก็เข้าใจเรา แล้วเรารู้สึกอุ่นใจ วันไหนที่เราล้มวันไหนที่เรามีปัญหาคนเหล่านี้จะคอยอยู่ข้างเรา นี่ก็คือความหมายของคำว่าบ้าน
แล้วนิยามความรักของพิชมีบ้างไหม เป็นอย่างไร สำหรับความหมายของคำว่ารักในความรู้สึกของพิช ณ เวลานี้มันก็คงจะเป็นความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกดีกับใครคนนึงหรือสิ่งใดสิ่งนึง หรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม อย่างพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนแล้วกัน อย่างคนรักกันบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดก็ได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง มันสามารถส่งถึงกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ร่วมกัน ความรักมันคือสิ่งที่เป็นอะไรบางอย่างที่ลอยอยู่ในอากาศแล้วมันมีอยู่ตลอด อยู่ที่ว่าเรามองเห็นมันหรือเปล่า บางทีเราอาจจะมองผ่านมันไปก็ได้
ส่วนตัวของ พิช มีมุมมองอะไรเป็นพิเศษสำหรับคำว่าครอบครัวหรือเปล่า
สำหรับมุมมองของพิชที่มีต่อครอบครัว พิชมองว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มันไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะเจอกันบ่อยแค่ไหน เราจะรู้จักกันหมดทุกเรื่องทุกมุมมองหรือเปล่า แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ครอบครัวจะต้องมีก็คือการสื่อสาร คือความสัมพันธ์ระหว่างกัน อย่างทุกวันนี้เราอยู่ไกลบ้านมาก แต่ว่าเรายังรู้สึกเหมือนเราอยู่บ้านตลอดเวลา เพราะเรายังโทรศัพท์พูดคุยติดต่อกับคนที่บ้านอยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละเหมือนเส้นบางๆ ที่เรามองไม่เห็น ที่มันเชื่อมกันอยู่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ว่าเราจะอยู่ต่างประเทศ เขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหนแต่เรายังติดต่อกันสื่อสารกัน มีการโทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ช่วงนี้เหนื่อยไหม แค่นี้มันก็เป็นสายใยบางอย่างที่เชื่อมครอบครัวเอาไว้ด้วยกันไม่ว่าเราจะอยู่ไกลกันขนาดไหนอยู่แล้ว
ผลตอบรับจากแฟนคลับหลังจากที่รู้ว่าเรามาเล่นเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ก็ดีใจมากครับที่ทราบว่า แฟนคลับให้การสนับสนุนในการแสดงครั้งนี้ของพิช พอวันที่เปิดกล้องมีภาพข่าวออกไปแฟนคลับเห็นเราเปลี่ยนลุคอะไรต่างๆ ทุกคนก็ดีใจเห็นพิชเปลี่ยนลุคจะเป็นยังไง อย่างเรื่องที่ผ่านมาเราก็เปลี่ยนลุคไว้ผมยาวไว้หนวดอะไรแบบนี้ คราวนี้ก็มาย้อมผม ทำตัวเลี่ยมๆ ก็รู้สึกดีรู้สึกว่าแฟนๆ ก็จะได้เห็นอะไรใหม่ เห็นของชิ้นใหม่ เห็นงานชิ้นใหม่ที่มันไม่ซ้ำเดิม แล้วเราก็อยากให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หนังเรื่องต่อไปก็อยากเปลี่ยนคาแรกเตอร์อย่างนี้อีก แฟนๆ ก็ตั้งตารอแล้วก็อยากดู ซึ่งตัวพิชเอง พิชก็ภูมิใจนำเสนอเรื่องนี้จริงๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เราอ่านบทแล้วเราชอบ เราอ่านบทแล้วมันสนุกมันเป็นหนังที่แฮปปี้มาก เวลาที่ได้มาถ่าย แวดล้อมไปด้วยทีมงานที่มืออาชีพเก่ง แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากให้คนดูหนังเรื่องนี้จริง
ทุกเรื่องที่ผ่านมาพิชจะมีส่วนร่วมในการทำเพลงประกอบอยู่แล้ว แล้วหนังเรื่องนี้เราจะได้เห็นผลงานเพลงจากพิชด้วยไหม
จริงๆ แล้วเหมือนเป็นลายเซ็นของเราเลยเนอะ พอไปเล่นหนังเรื่องไหนก็จะต้องมีเพลงที่เราร้องหรือเพลงที่เราแต่ง หรือทั้งแต่งทั้งร้องอยู่ อย่างในหนังเรื่องนี้ก็มีเหมือนกันแต่ก็จะมีอยู่เพลงนึงที่ผมไม่ได้ร้องเอง อันนี้จะแต่งเพื่อให้น้องๆ สองคนน้องเบสบอลกับน้องขนุนที่มงฟอร์ดร้อง ซึ่งน้องมีความสามารถ อย่างน้องขนุนเล่นกีต้าร์ร้องเพลงได้ ส่วนน้องเบสบอลก็ร้องเพลงเก่งมากๆ ซึ่งพอวันที่ซ้อมเนี่ยเราแต่งเพลงไปแล้วน้องเขาก็ร้องออกมาเราได้เห็น นี่เป็นครั้งแรกที่คนถ่ายทอดเพลงที่เราเขียนแล้วเรารู้สึกประทับใจมากๆ เพราะว่าน้องเขาถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่าเราด้วยซ้ำทั้งที่เป็นคนแต่งเอง เราได้เห็นน้องเขาตีความในแบบเด็กๆ มันมีความใสมันมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในนั้น แล้วเรารู้สึกว่าเพลงเพราะจังเลยใครแต่งเนี่ย(หัวเราะ) ก็รู้สึกดีที่ผลงานของเราจะได้มาอยู่ในหนังที่เราเล่นอีกแล้ว ซึ่งเป็นอีก 1 เพลงที่อยากจะให้ฟัง มันพูดถึงความรักที่บางครั้งจบไปแล้ว แล้วหวังก็ให้มันเกิดขึ้นใหม่
สุดท้ายอยากจะฝากผลงานอะไรกับผู้ชมบ้างก็อยากจะฝากผลงานเรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ มันเป็นภาพยนตร์ที่เหมือนชื่อ มันสร้างมาจากความรัก สร้างมาจากความรู้สึก จากความทรงจำ พิชเชื่อว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ใครหลายๆ คนอาจจะเคยเจอ เคยสัมผัสแบบนี้มา แล้วก็พูดถึงชื่อโฮม มันพูดถึงคำว่าบ้าน การที่คนเราอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกันในหลายๆ แง่มุม พิชเชื่อว่าทุกๆ คนจะรักหนังเรื่องนี้ แม้แต่ตัวเราเองอ่านบทแล้วก็ลงไปเล่นจริงๆ เรายังรู้สึกรักหนังเรื่องนี้จริงๆ
แล้วก็ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้นอกจากจะเห็นพิชเปลี่ยนลุคแล้ว ก็ยังมีนักแสดงอื่นๆ อีกคับคั่งไม่ว่าจะเป็นพี่ต่าย-เพ็ญพักตร์ พี่นุ่น พี่เจมส์ พี่ลิฟท์ มีเสียงหัวเราะมีสีสัน หรือเป็นอาตุ่ย หรือพี่แมว จารุณี หรือว่านักแสดงใหม่ๆ ที่เชื่อว่าฝีไม้ลายมือไม่แพ้มืออาชีพเลย ก็ยังไงก็อยากจะฝากพี่ๆ เพื่อนๆ นักแสดงกลุ่มนี้เอาไว้ด้วยกับภาพยนตร์เรื่องนี้
นอกจากนี้ยังมีเพลงประกอบหนังที่เรียกได้ว่าเพราะและถ่ายทอดเรื่องราวเสริมบรรยากาศขององค์ประกอบต่างๆ ของหนังให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเชื่อว่าถ้าทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้จะต้องมีความสุข มันเรียกความทรงจำดีๆ หลายๆ อย่างกลับมาได้ ดังนั้นไปดูกันเยอะๆ ครับ โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำครับ