happy on August 26, 2017, 08:10:38 PM

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และครอสส์ ครีก พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ
โดยความร่วมมือกับ อิมเมจิ้น เอนเตอร์เทนเมนต์
ผลงานการสร้างของ ไบรอัน เกรเซอร์
โดยความร่วมมือกับ เวนเดียน เอนเตอร์เทนเมนต์, ควอดแรนท์ พิคเจอร์ส และเฮอร์คิวลิส ฟิล์ม ฟันด์

ภาพยนตร์ของ ดั๊ก ไลแมน

American Made

โดห์นัลล์ กลีสัน
ซาร่าห์ ไรท์ โอลเซ่น
เจสซี่ พลีมอนส์
คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์
เจย์มา เมย์ส 
โลลา เคิร์ก

ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ปารีส แล็ทซิส
เทอร์รี่ ดักลาส
แบรนด์ แอนเดอร์เซ่น
เอริค กรีนเฟลด์
ไมเคิล ฟินลี่ย์
ไมเคิล แบสซิค
เรย์ เฉิน 

อำนวยการสร้างโดย
ไบรอัน เกรเซอร์
ไบรอัน โอลิเวอร์
ดั๊ก เดวิสัน
คิม ร็อธ, p.g.a.
เรย์ แองเจลิค, p.g.a.
ไทเลอร์ ธอมป์สัน 

เขียนบทโดย
แกรี่ สปินเนลลี่

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=lS8olOer_PY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=lS8olOer_PY</a>

ชื่อภาพยนตร์:   AMERICAN MADE
ชื่อไทย:      อเมริกัน เมด
วันที่เข้าฉาย:   31 สิงหาคม 2560
จัดจำหน่าย:    บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


ลุ้นระทึกกับปฏิบัติการครั้งใหม่ของทอม ครูซ ใน American Made

ทอม ครูซ กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน (จาก The Bourne Identity, Mr. and Mrs.Smith) ใน American Made (อเมริกัน เมด) หลังจากที่เคยทำงานด้วยกันใน Edge of Tomorrow
 
พบกับปฏิบัติการสุดกล้าและบ้าบิ่นครั้งใหม่ของทอม ครูซ ในบท แบรี่ ซีล นักบินสายการบินพาณิชย์ TWA (Trans World Airlines) ซึ่งทำงานให้ทั้งซีไอเอ, หน่วยงานปราบปรามยาเสพติด และพาโบล เอสโคบาร์  นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ของโลก
 
American Made สร้างโดย Imagine Entertainment โดยผู้สร้างรางวัลออสการ์ ไบรอัน เกรเซอร์ จาก A Beautiful Mind ร่วมด้วย ไบรอัน โอลิเวอร์ จาก Cross Creek Pictures (ภาพยนตร์ Black Swan)และ ไทเลอร์ ธอมสัน จาก เอเวอร์เรสต์, ดั๊ค เดวิสัน จาก Quadrant Pictures จากภาพยนตร์ The Departed และ คิม รอธ จาก Inside Man
 
นอกจาก ทอม ครูซ แล้ว ยังมีนักแสดงอีกมากมายมาร่วมงานใน American Made อาทิ ดอห์มนัล กลีสัน, ซาราห์ ไรท์, อี โรเจอร์ มิทเชล, เจสซี่ เพลมอนต์, โลลา เคิร์ก, อเลกฮานโดร เอ็ดดา, เบนิโต มาร์ติเนซ, คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ และ เจมมา เมย์ส


ภาพยนตร์เข้าฉายไทย 31 สิงหาคม ในโรงภาพยนตร์




ในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง American Made ทอม ครูซ ได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน (The Bourne Identity, Mr. and Mrs. Smith) ผู้เคยกำกับเขามาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ในเรื่องราวหลบหนีระดับโลก โดยสร้างจากเรื่องราวผจญภัยแสนอุกอาจ (และเป็นจริง) ของนักธุรกิจและนักบิน ที่ได้รับการติดต่อจากซีไอเอให้ปฏิบัติภารกิจลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา

ชายผู้เป็นทั้งนักลักลอบขนของผิดกฎหมาย เป็นแหล่งข่าว เป็นคนทรยศ เป็นผู้รักชาติ และยังเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกายุค 1980s เขาคือคนที่คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ด้วยลีลาสุดร้ายกาจและรสชาติในชีวิตของเขา  แบร์รี่ ซีล (ครูซ) นักบินของทีดับเบิลยูเอ คือฮีโร่แห่งเมืองเกิดทางตอนใต้ที่แสนเงียบเหงา

เขาทำให้ ลูซี่ (ซาร่าห์ ไรท์ โอลเซ่น จาก Walk of Shame) ภรรยาของเขาต้องแปลกใจ เมื่อนักลงทุนเจ้าเสน่ห์ผู้นี้ ผันตัวเองจากการเป็นนักบินสายการบินที่ได้รับความเคารพนับถือ ไปเป็นตัวการสำคัญในเรื่องราวที่อื้อฉาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่  ใครจะไปเชื่อว่าสิ่งที่เริ่มต้นเป็นเพียงการขนของเถื่อน จะนำไปสู่การที่แบร์รี่มีส่วนในการช่วยสร้างกองทัพ และหาเงินทุนให้กับสงคราม

เมื่อนักบินหนุ่มที่กำลังมาแรง ถูกจับได้โดยหน่วยงานลับหน่วยหนึ่งของรัฐบาล ขณะที่เขากำลังขนลังปืน AK-47 และโคเคนหลายกิโล โดยเขาทำเงินได้มหาศาลจากการเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในเรื่องอื้อฉาวอิหร่าน-คอนทรา จากการค้าอาวุธเพื่อแลกตัวประกัน จนถึงการฝึกกองกำลังของเหล่าผู้ทรงอิทธิพลทั้งในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แบร์รี่กลายเป็นฮีโร่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ ผู้ทำงานขัดแย้งกับระบบ แล้วในตอนกลางคืน เขานอนหลับลงได้อย่างไรกัน ทุกอย่างล้วนถูกกฎหมายถ้าคุณทำเพื่อฝ่ายคนดี

American Made สร้างจากเรื่องจริง โดยได้นักแสดงร่วมจออย่าง โดห์นัลล์ กลีสัน (Unbroken)  ในบทมอนตี้ เชเฟอร์ เจ้าหน้าที่ซีไอเอที่เป็นปากเป็นเสียงของแบร์รี่ในซีไอเอ, อี โรเจอร์ มิทเชลล์ (All Eyez on Me) ในบท เคร็ก แม็คคอลล์ เจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ, เจสซี่ พลีมอนส์ (Bridge of Spies) ในบทนายอำเภอดาวนิ่ง ผู้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับงานไซด์ไลน์ของแบร์รี่, โลล่า เคิร์ก (Gone Girl) ในบท จูดี้ ดาวนิ่ง ภรรยาของนายอำเภอ, อเลฮานโดร เอ๊ดดา (ผลงานทางทีวีเรื่อง The Bridge) ในบท ฮอร์เฮ อ็อคชัว นักลักลอบขนยาเสพติดตัวเอ้ชาวโคลอมเบีย, เบนิโต้ มาร์ติเนซ (ผลงานของ Netflix เรื่อง House of Cards) ในบท เจมส์ แรนเจล หัวหน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติด, มอริซิโอ เมเจีย (ผลงานทางทีวีเรื่อง Narcos) ในบท ปาโบล เอสโคบาร์ ผู้ก่อการร้ายชาวเมเดยิน, คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ (Get Out) ในบท เจบี น้องชายของลูซี่ และเจย์มา เมย์ส  (ผลงานทางทีวีเรื่อง Glee) ในบทอัยการ เดน่า ซิโบต้า ผู้พยายามตามจับตัวแบร์รี่

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากบทภาพยนตร์ที่เขียนโดย แกรี่ สปินเนลลี่ (Stash House) อำนวยการสร้างโดย ไบรอัน เกรเซอร์ ผู้อำนวยการสร้างจากบริษัท อิมเมจิ้น เอนเตอร์เทนเม้นต์ ผู้เคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว (A Beautiful Mind, American Gangster), ไบรอัน โอลิเวอร์ (Black Swan, Everest) และไทเลอร์ ธอมป์สัน (Everest, Black Mass) จากครอสส์ ครีก พิคเจอร์ส , ดั๊ก เดวิสัน  (The Departed, The Grudge) จากควอดแรนท์ พิคเจอร์ส  และคิม ร็อธ (Inside Man, Pelé: Birth of a Legend) และเรย์ แองเจลิค (The Wall, Friends with Money)

ไลแมนได้รับการสนับสนุนจากทีมงานหลังกล้องที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประสบความสำเร็จ นำทีมโดย ผู้กำกับภาพ ซีซาร์ ชาร์โลน (The Constant Gardener, City of God), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ แดน วีล (The Fifth Element, The Bourne Identity), ผู้ลำดับภาพ แอนดรูว์ มอนด์ชีน (Chocolat, The Sixth Sense), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เจนนี่ เจอริ่ง (Limitless, ผลงานทางทีวีเรื่อง The Americans) และผู้แต่งดนตรีประกอบ คริสโตฟี่ เบ็ค (Edge of Tomorrow, Frozen) 

ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่อง American Made ได้แก่ ไมเคิล แพล้งก์, จอห์นนี่ หลิน, สปินเนลลี่, เอริค กรีนเฟลด์, ปารีส คาซิโดคอสทัส แล็ทซิส, เทอร์รี่ ดักลาส, แบรนด์ แอนเดอร์เซ่น, ไมเคิล ฟินลี่ย์, ไมเคิล แบสซิค, เรย์ เฉิน, มาร์คอส เทลลีเชีย และโจชัวร์ สเคอร์ล่า
« Last Edit: August 26, 2017, 08:12:31 PM by happy »

happy on August 26, 2017, 08:13:20 PM



เบื้องหลังงานสร้าง

เริ่มต้นในอเมริกา:
งานสร้างเริ่มต้น

“เรื่องราวชีวิตผม การลงแตะพื้นทุกครั้งที่ผมเดินหนีออกมาได้คือการลงจอดที่ดี”

—แบร์รี่ ซีล

ในปี 2012 ดั๊ก เดวิสัน ผู้อำนวยการสร้างจากควอดแรนท์ พิคเจอร์ส กำลังมองหาไอเดียที่จะนำมาพัฒนาต่อยอด เมื่อเขาได้พบกับ แกรี่ สปินเนลลี่ ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นเพียงนักเขียนที่ไม่มีใครรู้จัก หลังจากได้กล่าวแนะนำตัวกันอย่างรวดเร็ว และเสนอไอเดียไปสองสามอย่าง ก็ยังไม่มีอะไรลงตัว ขณะที่สปินเนลลี่กำลังจะกลับ เขาได้พูดถึงไอเดียอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเขากำลังทำอยู่ เมื่อไม่นานมานี้ สปินเนลลี่ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Argo ซึ่งทำให้เขาเกิดความสนใจในเรื่องอื้อฉาวอีกเรื่องหนึ่งของซีไอเอในยุคเดียวกันที่ยังไม่ถูกบอกเล่าออกมา หลังจากทำการค้นคว้าเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในช่วงเวลานั้น สปินเนลลี่ได้พบผู้ชายชื่อ แบร์รี่ ซีล ซึ่งถือเป็นตัวละครที่น่าทึ่งมากทีเดียวในประวัติศาสตร์อเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ชายผู้ซึ่งลีลาสุดร้ายกาจและสีสันในชีวิตของเขานั้นส่งผลต่อทุกคนที่เขาได้พบเจอ

เดวิสันเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการพบปะกันในครั้งนั้น “แกรี่เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องราวของแบร์รี่แบบคร่าวๆ รวมไปถึงการผจญภัยในชีวิตของเขา แบร์รี่ไม่ใช่แค่พวกลักลอบขนยาเสพติดเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนรักครอบครัวที่รักภรรยาของเขามาก ขณะที่เขาเองก็เหมือนมีชีวิตสองด้าน และนั่นก็คือเรื่องที่ผมอยากจะเล่าออกมาครับ”

สปินเนลลี่รู้สึกทึ่งกับความจริงที่ว่าชีวิตของซีลในช่วงปลายยุค 70s และช่วงต้นถึงช่วงกลางยุค 80s ทำให้เขาสามารถหนีรอดพ้นจากการกระทำผิดกฎหมายมาได้นานหลายปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน วงจรข่าว 24 ชั่วโมงแบบทุกวันนี้ทำให้โลกเข้าถึงกันได้เร็วกว่ายุคสมัยที่แบร์รี่ใช้ชีวิตอยู่ในอดีต  “Goodfellas คือหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของผมครับ และผมก็กำลังตามล่าหาเรื่องในแนวนั้นอยู่ตอนที่ผมได้พบเรื่องราว American Made ผมกำลังมองหาชิ้นส่วนเล็กๆ ของประวัติศาสตร์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้” สปินเนลี่บอก “เรื่องเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ของโลก และผมก็เจอเข้ากับแบร์รี่ในเมนา, อาร์คันซอ”

หกเดือนต่อมา เดวิสันและสปินเนลลี่ ทำการค้นคว้าเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับตัวซีล ขณะที่ชายทั้งสองขุดลึกลงไปเรื่อยๆ และได้พบเรื่องราวชีวิตของนักบินผู้นี้ในหลายระดับชั้นที่มีความเกี่ยวพันกันอยู่ พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ซีลได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายฉากหน้าของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมไปถึงข้อตกลงสองด้านระหว่างเขากับพวกโคลอมเบีย และเมเดยิน สรุปก็คือ ซีลมีบทบาทมากมายในเรื่องอื้อฉาวที่ซุกซ่อนอยู่ในช่วงเวลาแปดปีที่ โรนัลด์ เรแกน บริหารสหรัฐฯ

เดวิสันยังจำได้แม่นถึงเรื่องอื้อฉาวอิหร่าน-คอนทรา โดยมันเป็นช่วงเวลาที่ทั้งน่าทึ่งและซับซ้อนในประวัติศาสตร์อเมริกา ผู้อำนวยการสร้างกล่าวว่า “แง่มุมในเรื่องราวของแบร์รี่ที่ทำให้ผมสนใจ ก็คือ วิธีที่เขาทำงานให้กับรัฐบาลของเราเพื่อช่วยระดมเงินทุนให้กับการทำสงครามคอนทรา”

อย่างไรก็ดี ซีลฉวยโอกาสที่ถูกส่งมาให้เขา ถึงแม้ว่ามันอาจดูผิดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อหาเงิน และการใช้ชีวิตที่มีแต่ความตื่นเต้น และในระดับหนึ่ง เขาก็มีส่วนช่วยให้รัฐบาลประสบความสำเร็จในภารกิจให้การสนับสนุนกลุ่มนักรบเพื่ออิสรภาพของนิคารากัว เพื่อต่อสู้กับกลุ่มซานดินิสต้า ขณะที่ลงมือเขียนบทเรื่องนี้ สปินเนลลี่ได้ค้นพบตัวละครที่เป็นทั้งคนพาล นักฉวยโอกาส นักขนยาเสพติด พ่อค้าอาวุธ มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าเขาจะเป็นแบบไหน หรือเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนที่ได้รับแรงกระตุ้นด้วยหลายเหตุผลด้วยกัน

อย่างไรก็ดี ซีลดูจะเป็นชายผู้รักครอบครัวที่น่าชื่นชม และดูใสซื่อเกี่ยวกับการกระทำของเขาเอง จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ชอบเขา สปินเนลลี่อธิบายว่า “หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับตัวแบร์รี่ก็คือ เขาไม่เคยทำร้ายใคร และกลายมาเป็นนักลักลอบขนยาเสพติดรายใหญ่ที่สุดในโลก ผมเชื่อว่ายากที่จะหาคนมาเทียบกับเขาได้แม้กระทั่งในทุกวันนี้”

หลังจากผ่านขั้นตอนการค้นคว้าเพื่อพัฒนางานสร้างภาพยนตร์เรื่อง American Made แล้ว สปินเนลลี่ใช้เวลานานหลายเดือนเพื่อปรับปรุงบทภาพยนตร์ ในทางกลับกัน เดวิสันได้มอบบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับเพื่อนของเขา ผู้อำนวยการสร้าง คิม ร็อธ ซึ่งในเวลานั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตของอิมเมจิ้น เธอตกหลุมรักเรื่องนี้ และตัดสินใจเข้ามาทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้พร้อมกับ ไบรอัน เกรเซอร์ ผู้อำนวยการสร้างผู้คว้ารางวัลออสการ์ จากค่ายอิมเมจิ้น ซึ่งเกรเซอร์เองก็รู้สึกทึ่งกับชีวิตของแบร์รี่เช่นกัน ตัวเกรเซอร์เองนั้น ได้สร้างประวัติผลงานที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ ซึ่งเป็นเรื่องราวของตัวละครที่มีความซับซ้อนในภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง ตั้งแต่ American Gangster และ 8 Mile จนถึง A Beautiful Mind กับตัวละครที่เป็นนักบินชาวใต้ที่ดูเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ รายนี้ เขาได้พบตัวละครที่เป็นแอนไทฮีโร่คนต่อไปของอิมเมจิ้นแล้ว

ความประทับใจแรกที่ร็อธมีต่อบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือซีลมีทั้งความอาจหาญและยิ่งใหญ่ เธอกล่าวว่า “แบร์รี่สามารถที่จะเดินเข้าไปในห้องไหนก็ได้ และชนะใจทุกคน” เธอยังได้กล่าวชมเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยว่า “แกรี่แทบจะกินอยู่กับเรื่องราวนี้นับแต่เขาท่องออนไลน์ และได้เห็น ‘เรื่องอื้อฉาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของซีไอเอ’ และกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่าในกระบวนการทำงานนี้ เขาไปอยู่ที่กองถ่ายทุกวันเพื่อทำงานกับทอมและดั๊ก คอยปรับและสร้างสรรค์ด้วยกัน” 

ทอมและดั๊กที่ร็อธพูดถึง ก็คือซูเปอร์สตาร์อย่าง ทอม ครูซ และผู้กำกับบล็อกบัสเตอร์อย่าง ดั๊ก ไลแมน ซึ่งเคยร่วมงานกันหนล่าสุดก็คือในภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow และทั้งคู่กำลังมองหางานชิ้นต่อไปที่พวกเขาจะทำงานด้วยกันได้ เมื่อเกรเซอร์ส่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้ไปให้ไลแมนและครูซพิจารณา พวกเขารู้เลยว่าพวกเขาได้พบผลงานชิ้นต่อไปของพวกเขาแล้ว

เป็นไปโดยธรรมชาติ โทนเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อครูซ, ไลแมน และทีมผู้อำนวยการสร้าง เริ่มจินตนาการว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เดวิสันกล่าวว่า “เมื่อทอมและดั๊กเข้ามาร่วมงานกับโปรเจ็กต์นี้ การเล่าเรื่องราวนี้ได้เปลี่ยนไปจากเรื่องราวชีวประวัติ ไปเป็นเรื่องราวที่มีอารมณ์ขันมากขึ้น เป็นเสี้ยวหนึ่งของความวุ่นวายในชีวิตจากการตัดสินใจของแบร์รี่ ทีมของทอมและดั๊กสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วสำหรับเรื่องนี้ครับ”

เกรเซอร์เป็นแฟนผลงานของทีมผู้สร้างชุดนี้อยู่แล้ว และเขาก็รู้ดีว่าไลแมนคือผู้กำกับที่เหมาะกับงานยักษ์ชิ้นนี้ ผู้อำนวยการสร้างเกรเซอร์กล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับตัวดั๊กก็คือ ผลงานของเขาเป็นงานประเภทที่ไม่สามารถจะซุกซ่อนเอาไว้ได้เลย ขณะที่ผู้กำกับหลายคนเลือกที่จะทำงานอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเล็กๆ แคบๆ โดยสร้างภาพยนตร์ในแนวที่พวกเขาทำมาตลอด แต่ดั๊กทำให้ผมนึกถึงแบร์รี่ในความรู้สึกที่ว่าเขาคือคนที่ยอมเสี่ยงเพื่อท้าทายทางการ และเป็นคนประเภทที่ปฏิเสธที่จะทำงานซ้ำเดิมสองครั้ง เรารู้ดีว่าเขาคือคนที่เหมาะที่สุดที่จะมอบชีวิตให้กับบทภาพยนตร์เรื่องสุดยอดของแกรี่ และถ้าเราโชคดีพอที่จะได้ตัวทอมให้กลับมาร่วมงานกับเขา และรับบทนำบทนี้ พวกเขาก็เหมือนรับประกันได้เลยว่าLiman American Made คือภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนกับเรื่องใดที่เคยมีการสร้างฉายบนจอภาพยนตร์มาก่อนแน่ครับ”

ไลแมน ที่เรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น “เรื่องโกหกสนุกๆ ที่อิงจากเรื่องจริง” บอกว่าเขามีความชื่นชอบเรื่องราวของคนที่ไม่น่าจะเป็นฮีโร่ได้ และทำสิ่งที่เป็นการต่อต้านระบบ “แบร์รี่ ซีลทำให้รัฐบาลและประเทศของเราได้ผจญภัยในแบบที่ไม่น่าเชื่อ” ไลแมนเปิดเผย “การตีความเรื่องราวของเขา ก็คือการสร้างหนังที่ดูเพลิดเพลิน ขณะที่ต้องมีทั้งการเสียดสี ความตื่นเต้น และมุขตลกในระดับที่เท่าเทียมกัน และต้องมีเซอร์ไพรส์อยู่ตลอดเวลาด้วย”

ทีมผู้อำนวยการสร้างพบว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่รู้สึกสนใจในเรื่องที่ว่าภารกิจลับประสบความสำเร็จในระดับนี้ได้อย่างไร และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร อาร์เธอร์ แอล ไลแมน พ่อของดั๊ก ไลแมน ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาให้กับการสอบสวนของวุฒิสภา จนนำไปสู่เรื่องอื้อฉาวอิหร่าน-คอนทรา และเคยเป็นผู้ตั้งคำถามกับ โอลิเวอร์ นอร์ธ ระหว่างการพิจารณาคดี การมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขาจึงทำให้เรื่องนี้เป็นมากกว่าเรื่องส่วนตัว ไลแมนรู้สึกถึงความผูกพันเชื่อมโยงต่อความทรงจำเหล่านี้ ขณะที่เขาพัฒนาและถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง American Made และเขารู้สึกขอบคุณมากที่พ่อของเขาเคยเล่าให้ฟังถึงความไร้สาระของกลยุทธ์ของรัฐบาลในเวลานั้น

ไลแมนชอบความจริงที่ว่า ขณะที่ภาพยนตร์มากมายถูกสร้างออกมาโดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่โดนย่ำยีโดยรัฐบาล แต่เรื่องราวของซีลกลับเป็นเรื่องของคนที่ “สร้างปัญหาให้กับทำเนียบขาว แบร์รี่คือตัวละครที่ได้เผชิญหน้ากับบุคคลที่ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจำนวนมากมายหลายคนจากยุค 80 ตั้งแต่ โรนัลด์ เรแกน และมานูเอล นอริเอก้า จนถึงบิลล์ คลินตัน และโอลิเวอร์ นอร์ธ”

ด้วยเรื่องราวที่ประสบความสำเร็จแบบอเมริกัน ซีลได้รับการติดต่อให้ปฏิบัติภารกิจสอดแนมกิจกรรมของพวกคอมมิวนิสต์ในอเมริกากลาง และในที่สุดก็คือการส่งอาวุธให้กับพวกกองกำลังกบฏในพื้นที่นั้น ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ สงครามที่อเมริกาต่อสู้กับยาเสพติด และสงครามที่ต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ มีสองด้าน และซีลก็รู้จักทั้งสองด้านเป็นอย่างดี “เขาเป็นนักฉวยโอกาสตัวจริง และเขามีเครื่องบินที่ว่างเปล่าในเส้นทางขากลับ” ผู้กำกับไลแมนกล่าวต่อ “ถ้าต้องไปค้างคืนที่นั่น และมันผิดกฎหมาย แบร์รี่ ซีลคือคนที่คุณจะให้จัดการงาน เพราะเขาทำภารกิจผิดกฎหมายโดยได้รับความช่วยเหลือจากซีไอเอ เขาสามารถเข้าออกประเทศนั้นโดยไม่ผ่านการตรวจจับ ไม่มีประโยชน์ที่จะบินกลับมาในสภาพเครื่องบินว่างเปล่า แบร์รี่คิดว่าเขาน่าจะขนยาเสพติดกลับมาด้วย ดังนั้นเขาจึงลงเอยด้วยการทำงานให้ทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ และทำงานให้กับพวกค้ายาเสพติดโคลอมเบียไปในเวลาเดียวกัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่รู้เรื่อง เขาเล่นบททั้งสองด้าน และกลายเป็นคนร่ำรวยขณะที่เขาทำงานแบบนี้ อย่างไรก็ดี แบร์รี่ไม่เคยทำเรื่องนี้เพราะเงิน แต่เขาทำเพื่อความตื่นเต้น ความท้าทาย และเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบิน”

เรื่องราวของซีลเป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อ จนต้องใช้โทนในการเล่าเรื่องที่เน้นความตลกสนุกสนาน และเสียดสี และใช้มุมมองแบบที่ American Made ใช้ ร็อธอธิบายว่า “ดั๊กไม่ใช่เป็นแค่คนทำหนังและนักเล่าเรื่องที่เก่งมากเท่านั้น เขายังอยากเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยุคสมัยนั้นออกมาในเวลานี้ ดั๊กพบว่ามีเรื่องราวที่น่าขบขันมากมาย และการกระทำบ้าบิ่นที่สามารถบอกเล่าออกมาจากมุมมองของแบร์รี่ มันลงตัวกับเขาพอดีเลยค่ะ”

ครูซและไลแมน ซึ่งก็เป็นนักบินอยู่แล้ว รู้สึกสนใจในแง่มุมความเป็นมนุษย์ในเรื่องราวชีวิตของแบร์รี่อย่างมาก ขณะที่เขาพยายามรักษาครอบครัวที่ดูเป็นครอบครัวธรรมดาเอาไว้ ท่ามกลางการต้องตัดสินใจเรื่องท้าทายมากมาย เขารักลูซี่ ภรรยาของเขามาก และยินดีที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำให้เธอและลูกๆ มีความสุข ชีวิตคู่ของเขากับเธอเต็มไปด้วยความรัก แต่ก็เป็นไปตามความเป็นจริง แน่นอน ตัวละครสองตัวนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสมาชิกในครอบครัวซีลจริงๆ แต่ก็เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ทีมผู้สร้างได้รับอนุญาตในการเล่าเรื่องราวนี้

ครูซยอมรับว่าเขาสนใจเรื่องราวสุดโลดโผนนี้เพราะเขาไม่เคยพบตัวละครอย่าง ซีล มาก่อน เขาเล่าว่า “มาร์ก ทเวนคือหนึ่งในนักเขียนคนโปรดของผม และผมว่าเขาคือผู้สร้างโทนให้กับงานเขียนบทของแกรี่ แบร์รี่ ซีลใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่มีความโดดเด่นในแบบที่เราคงไม่มีทางได้พบเจออีกในแวดวงการบิน หรือในประวัติศาสตร์ เขามีชีวิตที่แสนผจญภัยจนไม่น่าเชื่อ เป็นชีวิตที่มากเกินความเชื่อ เขาคือตัวละครที่เดินผ่านประวัติศาสตร์ มันโลดโผนจนเกินจะเชื่อ และในยุคสมัยนี้ มันก็คือสิ่งที่คงจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อีกแล้วครับ”

ครูซไม่เพียงแต่รู้สึกทึ่งกับจิตวิญญาณที่กล้าบุกเบิกของซีลเท่านั้น แต่ยังทึ่งที่ผู้ชายคนนี้เหมือนแบ่งเป็นสองด้าน “แบร์รี่เป็นนักบินที่เก่งมาก และเป็นผู้ชายที่รักครอบครัว” ครูซบอก “แต่เขาก็มีลักษณะแบบแอนไทฮีโร่ ผู้อยากมีชีวิตผจญภัย ผมไม่ให้อภัยในหลายเรื่องที่เขาทำนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่คุณจะมองเห็นว่าเขาทำความปรารถนาให้เป็นจริง เขาคือคนที่ใช้ชีวิตเกินกฎเกณฑ์ในแบบที่มีความโดดเด่นในยุคสมัยนั้นในแวดวงการบิน ทุกวันนี้ ทุกอย่างถูกควบคุมและเป็นองค์กร และพื้นที่ในอากาศถูกควบคุม สิ่งต่างๆ ที่เขากับนักบินสโนว์เบิร์ดส์ ทำได้นั้น มันอุกอาจมากครับ”

ขณะที่งานสร้างดำเนินไป ทางทีมผู้อำนวยการสร้างรู้สึกประหลาดใจในความพยายามของดารานำและผู้กำกับของพวกเขามาก ร็อธเอ่ยชมว่า “การร่วมทีมของดั๊กและทอมมันพิเศษสุดๆ ไปเลยค่ะ ไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันเคยเห็นมาก่อน งานนี้ไม่เหมาะสำหรับคนใจเสาะ พวกเขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและยึดมั่นในหลักการทำงานของพวกเขา และมันให้แรงบันดาลใจมากทีเดียวค่ะ”

เดวิสันเห็นด้วยกับร็อธ เขาให้ความเห็นว่า “พลังงานระหว่างทอมกับดั๊กมันน่าทึ่งมากครับ มันสนุกและเคลื่อนที่เร็ว ดั๊กพูดตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่าเขาอยากให้ประสบการณ์ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการผจญภัยสำหรับทีมงานที่ทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ”

ครูซกับไลแมนจึงมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ จนสปินเนลลี่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขาขณะที่พวกเขาไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้กันในโลเกชั่นที่จอร์เจีย (พวกเขามีผังแบ่งหน้าที่งานบ้านกันด้วย) ทั้งสามคนจะพูดคุยกันถึงไอเดียต่างๆ และตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่เพื่อเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ตามที่ไลแมนบอก “มันคือประสบการณ์การทำงานเป็นทีมที่เหมือนเข้าค่ายในโรงเรียนภาพยนตร์ ซึ่งไม่เหมือนกับที่ผมเคยเจอมาเลยครับ”

บ่อยครั้งที่ชายทั้งสามคนจะทำงานกันตลอด เพื่อพัฒนาประเด็นต่างๆ ในเรื่อง และวิเคราะห์จังหวะของเรื่อง “ดั๊กกับทอมพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น และเขาไม่เคยหยุดนิ่งจริงๆ” สปินเนลลี่บอก “ผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทีมเสมอ ขณะที่เราสามคนมักจะทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน เพื่อสร้างภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ”

ชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนานี้มาถึง เมื่อ ไบรอัน โอลิเวอร์ และไทเลอร์ ธอมป์สัน แห่งครอสส์ ครีก พิคเจอร์ส ซึ่งเป็นผู้สร้างภาพยนตร์อย่าง Black Swan, Everest และ Black Mass มาร่วมสมทบทีมในฐานะผู้อำนวยการสร้างและผู้ออกเงินทุน ครอสส์ ครีก ซึ่งมีสัญญาอยู่กับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส รู้สึกทึ่งกับธรรมชาติของ ซีล ที่เป็นชาวบาตัน เร้าจ์

ธอมป์สันรู้สึกพอใจมากที่ทีมผู้สร้างผสมผสานภาพยนตร์ที่เป็นแนวเฮอา ให้ความบันเทิงเข้ากับเรื่องที่มีสาระ “แกรี่กับดั๊กทำงานได้ดีมากครับในการเข้าถึงหัวใจของความเป็นแบร์รี่ ซีล เราเลยอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ เรามีรากฐานเป็นชาวหลุยเซียน่า และเมื่อคิดว่าเรารู้จักคนที่รู้จักแบร์รี่จริงๆ มันทำให้เราตื่นเต้นกับโปรเจ็กต์นี้ เราลงเอยด้วยการเห็นด้วยกับโปรเจ็กต์นี้ครับ”

ระหว่างพัฒนางานอยู่ ร็อธได้พบกับเด๊บบี้ ซีล ภรรยาม่ายของแบร์รี่ เพื่อให้เธออวยพรให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ และเธออยากฟังความคิดเห็นของเด๊บบี้ และเพื่อระลึกถึงชีวิตที่เขากับเธอมีร่วมกัน ต้องขอบคุณที่มิสซิสซีลที่ได้แบ่งปันรูปถ่ายและเปิดโฮมวิดีโอของแบร์รี่และครอบครัวตลอดหลายปีมานี้ให้เธอได้ดู เห็นได้ชัดในการพบปะกันครั้งนี้ว่า เขายังคงเป็นยอดรักของเด๊บบี้อยู่  ร็อธเล่าว่า “เรามักนำเสนอโทนถึงความน่าเกรงขามของแบร์รี่ และไม่ตัดสินหรือพูดถึงความผิดถูกในเรื่องราวของเขา” 

สำหรับครูซ ภารกิจแห่งรักที่กินเวลายาวนานนี้ คงจะไม่เป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมบ้านอย่างสปินเนลลี่และไลแมน ครูซพูดถึงผู้กำกับของเขาว่า “ดั๊กใส่ความเป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีความโดดเด่นลงไปในภาพยนตร์ของเขา เขาคิดไอเดียต่างๆ ขณะที่เราทำงานด้วยกัน และมิตรภาพที่เรามี ก็ทำให้เราเกิดความไว้วางใจในกันและกัน จนพวกเราเต็มใจที่จะทดลองทุกอย่าง เราผลักดันกันและกัน และเขาก็คือคนที่อยากสร้างภาพยนตร์ที่ดี และเขาก็อยากสร้างความสุขให้คนดูครับ” 
 
“ผมเองก็ไม่ได้แสดงหนังเพียงเพื่อจะสร้างหนังเท่านั้น” ครูซ ซึ่งแสดงฉากบินด้วยตัวเองทั้งหมดในภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่าวต่อไปว่า “สิ่งที่ทำให้ผมสนใจก็คือ อารมณ์ของภาพและการเล่าเรื่อง นั่นคือตอนที่ทุกอย่างตื่นเต้นมาก มันจึงไม่ใช่แค่งาน ผมรักงานนี้มาก และอยากผลักดันตัวเอง และรายล้อมตัวผมด้วยคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกัน และมีความรู้สึกชอบการผจญภัยที่จะสร้างภาพยนตร์”
« Last Edit: August 26, 2017, 08:18:02 PM by happy »