happy on August 26, 2017, 08:28:10 PM
AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER

วันที่เข้าฉาย  24 สิงหาคม 2560
จัดจำหน่าย  บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด




1 ทศวรรษหลังจากที่ An Inconvenient Truth ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัย ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ก็ยังไม่ได้ลดลงเลย และยังเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สภาวะที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าเราใกล้จะถึงการปฏิวัติพลังงานอย่างเต็มที่
 
ในภาพยนตร์ An Inconvenient Truth 2 อดีตรองประธานาธิบดี อัล กอร์ ยังคงเดินทางไปทั่วโลกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้ความรู้และฝึกฝนทีมงาน สานต่อภารกิจให้ความรู้และปลุกหัวใจของผู้คน โดยเชื่อว่าความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถเอาชนะได้ด้วยความฉลาดและแรงผลักดันของมนุษย์ การถ่ายทำภาพยนตร์มีกล้องติดตามเขาอยู่ ทำให้เราได้ชมเบื้องหลัง ทั้งการทำงานในช่วงเวลาที่ทำงานกับภาครัฐและเอกชน มีอารมณ์ทั้งตลกและฉุนเฉียว
 
ภาพยนตร์ กำกับโดย บอนนี่ โคเฮน และจอน เชงค์ ล่าสุด ได้วงป็อปร็อคชื่อดังอย่าง One Republic มาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อ Truth to Power ซึ่งเป็นการร่วมงานระหว่างไรอัน เท็ดเดอร์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดัง สมาชิกวง One Republic และ ที โบน เบอร์เนทท์ โปรดิวเซอร์ระดับท็อปของโลก


An Inconvenient Truth 2 มีกำหนดเข้าฉายไทย 24 สิงหาคม  ในโรงภาพยนตร์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=EcYuKWP26_g" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=EcYuKWP26_g</a>

“หลังจาก ไม่ ครั้งสุดท้าย คำว่า ใช่ ก็ปรากฏ
และอนาคตก็อาศัยคำว่า ใช่ นั้นแหละ”


~วอลเลซ สตีเวนส์

หนึ่งทศวรรษหลังจาก AN INCONVENIENT TRUTH ได้ทำให้เรื่องของวิกฤติการณ์สภาวะอากาศเข้ามาอยู่ในหัวใจของผู้คนทั่วไป บัดนี้ ถึงเวลาของภาคต่อที่น่าติดตามและปลุกเร้าอารมณ์ ที่แสดงให้เห็นว่า เรากำลังเข้าใกล้การปฏิวัติพลังงานที่แท้จริงมากแค่ไหน อดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ยังคงสานต่อการต่อสู้ที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยของเขา เดินทางไปทั่วโลกเพื่อฝึกฝนกองกำลังผู้อนุรักษ์สภาวะอากาศและส่งอิทธิพลต่อนโยบายสภาวะอากาศในทั่วโลก กล้องจะติดตามเขาแบบเบื้องหลัง ทั้งในช่วงเวลาส่วนตัวและช่วงเวลาที่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ช่วงเวลาตลกและช่วงเวลาจริงจัง ในตอนที่เขาไล่ตามไอเดียสร้างแรงบันดาลใจที่ว่า แม้ว่าความเสี่ยงไม่เคยสูงเท่านี้มาก่อน แต่อันตรายจากความเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะอากาศก็สามารถถูกขจัดไปได้ด้วยความชาญฉลาดและความมุ่งมั่นทุ่มเทของมนุษย์

พาราเมาท์ พิคเจอร์สและพาร์ทิซิแพนท์ มีเดีย ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยแอ็กชวล ฟิล์มส์ โปรดักชัน AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER ภายใต้การกำกับของบอนนี โคเฮนและจอน เชงค์ ผู้อำนวยการสร้างได้แก่เจฟฟ์ สคอล, ริชาร์ด เบิร์จและไดแอน เวเยอร์แมนน์และผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เดวิส กุกเกนเฮม, ลอว์เรนซ์ เบนเดอร์, ลอรี เดวิด, สก็อต ซี. เบิร์นส์และเลสลีย์ ชิลค็อทท์ ผู้กำกับภาพคือจอน เชงค์ มือลำดับภาพได้แก่ดอน เบอร์เนียร์และโคลิน นูสบอม ดนตรีประพันธ์โดยเจฟฟ์ บีล


เพลงประกอบภาพยนตร์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=h4DFXUndvbw" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=h4DFXUndvbw</a>

อัล กอร์ และวิกฤติการณ์สภาวะอากาศ: 10 ปีให้หลัง
“ความงามทั้งมวลของโลกใบนี้กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง” –อัล กอร์




ปี 2006 ในตอนที่รองประธานาธิบดีอัล กอร์ กลายเป็นจุดสนใจหลักของภาพยนตร์รางวัลออสการ์ AN INCONVENIENT TRUTH เขาเป็นบุคคลผู้อยู่ตรงทางแยกอย่างแท้จริง เพราะเขาเป็นผู้สร้างเส้นทางใหม่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่อื้อฉาวและขับเคี่ยวกันมาอย่างรุนแรงในปี 2000 ซึ่งลงเอยด้วยการตัดสินใจของศาลสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยความต้องการจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหมาย กอร์ได้อำลาเวทีการเมือง เพื่อทำตามสัญชาตญาณและหัวใจของเขา มุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยก้าวข้ามมาก่อน เขาทุ่มทุกอย่างที่เขามี ทั้งพลังงาน ความเฉลียวฉลาด แรงขับและเสียง ให้กับประเด็นยักษ์ใหญ่ที่จุดประกายในตัวเขามาเนิ่นนานแล้ว นั่นคือการเผชิญหน้ากับโอกาสที่น่าตื่นตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ของวิกฤติการณ์สภาวะอากาศทั่วโลก ที่อาจส่งผลถึงจุดจบของอารยธรรมมนุษยชาติได้ทีเดียว

ในตอนนั้น วิกฤติการณ์สภาวะอากาศก็มาถึงทางแยกด้วยเช่นกัน กำลังมีการทำการสรุปทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศอาจมีต่อมนุษย์ เศรษฐกิจและโลกหากโลกไม่ทำการใดๆ เพื่อลดปริมาณการปล่อยแก๊สพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของมนุษย์ ขอบเขตที่กว้างไกลของมหันตภัยนั้นเพิ่งเป็นที่รับรู้ของสาธารณชน และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลก็แสดงท่าทีต่อต้านอย่างจริงจัง

แต่นั่นคือในตอนนั้น และภายในเวลา 10 ปีนับแต่นั้นมา อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนแปลงไป

เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจที่ว่าการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศได้ก้าวมาไกลอย่างน่าทึ่งแค่ไหน และเหตุผลที่กอร์กล่าวในตอนนี้ว่า ความเคลื่อนไหวนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว ได้ถูกเผยออกมาใน AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นในทิศทางที่แปลกใหม่ เพื่อนำเสนอมุมมองวงในของความเปลี่ยนแปลงในแง่บวกที่กำลังดำเนินไป เมื่อมันเผยให้เห็นว่ากอร์เผชิญหน้ากับแรงต้านที่ดุดันและรับมือกับความผิดหวังอย่างไร ก่อนที่เขาจะฟื้นตัวและรวบรวมกลุ่มคนที่พร้อมจะสู้ไปกับการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในยุคของเรา

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นับตั้งแต่ปี 2006 ได้เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและระดับโลก กอร์ได้กลายเป็นบุคคลทางการเมืองแบบฉันทมติ ที่ผลักดันเรื่องไอเดียที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าขอบเขตของค่ายหรือฝั่งการเมือง AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER และสื่ออื่นๆ ได้ร้อยเรียงเรื่องของความเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศเข้าไปในตัวตนของวัฒนธรรมเรียบร้อยแล้ว และเมื่อถึงเวลาหยุดยั้งการใช้สารปรอท คอนเซ็ปต์ยักษ์ใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้นให้เห็น เศรษฐกิจแบบใช้คาร์บอนต่ำกำลังเริ่มปรากฏขึ้นด้วยจังหวะแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ภายใต้แรงขับเคลื่อนของเทคโนโลยีนวัตกรรมและกระแสเศรษฐกิจขาขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว ปี 2016 เป็นปีที่เกิดการลงทุนในเรื่องพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกสูงสุด

ตอนนี้ กำลังเกิดการเคลื่อนไหวในขณะที่ความสิ้นหวังกำลังเข้าคุกคาม ข้อตกลงปารีสในปี 2015 ที่สร้างความแปลกใหม่ ได้รวมพลังคนทั้งโลกเพื่อรับมือกับการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศกำลังพัฒนากำลังสลัดการผลิตไฟฟ้าแบบเดิมๆ ที่ไร้ประสิทธิภาพและการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน เพื่อหันไปเลือกพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน สิ่งที่น่าสนใจคือกอร์ไม่ได้เป็นเสียงที่โดดเดี่ยวเพียงเสียงเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่เขาเป็นเสียงที่ดังที่สุดและชัดเจนที่สุดในซิมโฟนีเสียงประสาน จากทุกประเทศ จากคนทุกอาชีพและทุกฝั่งฝ่ายการเมือง ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นภายในระยะเวลารวดเร็ว

ทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในสไตล์ “ภาพยนตร์แบบตรงไปตรงมา” ที่น่าตื่นเต้น ด้วยการทลายกำแพงที่แบ่งระหว่างผู้ชมและบุคคลในภาพยนตร์ทิ้งไป กล้องติดตามกอร์ระหว่างที่เขาเดินทางผ่านกรีนแลนด์ อินเดีย ยุโรป เอเชียและทั่วอเมริกา ขณะที่กล้องติดตามเขาผ่านสถานที่ของผู้ทรงอำนาจ สู่แนวสนามรบกับผู้รอดชีวิต นักวิทยาศาสตร์ ผู้นำที่เหลือเชื่อและคนธรรมดา ผู้ถูกขับเคลื่อนให้ทำในสิ่งที่ไม่ธรรมดา ช่วงเวลาที่ไม่ได้ถูกเขียนบทเอาไว้ได้เผยให้เห็นมุมมองใหม่ที่มีต่อชีวิตของเขา ยุคสมัยของเราและความเป็นจริงที่กอร์กล่าวว่าเราไม่อาจเพิกเฉยได้ ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องเปลี่ยนและเราสามารถเปลี่ยนได้ เราก็ต้องทำมันให้เร็วขึ้นอีก

ผู้กำกับร่วม บอนนี โคเฮนกล่าวว่า “นี่เป็นบทต่อไปของเรื่องราววิกฤติการณ์สภาวะอากาศที่เราได้เห็นทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เร่งความเร็วขึ้นและสงครามใหม่ที่กำลังปะทุขึ้นมา คำถามไม่ใช่ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงรึเปล่าอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเพียงพอได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนอัลในทุกวัน กับหนังเรื่องนี้ เรามีโอกาสได้เล่าเรื่องราวว่าอัลเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งได้อย่างไร หลังจาก AN INCONVENIENT TRUTH อัลไม่ได้พักผ่อนเลย เขาตั้งเป้าหมายอย่างไม่ลดละในการสร้างกลุ่มคนที่จะทำงานเพื่อคลี่คลายวิกฤติการณ์ แม้กระทั่งในตอนที่เกิดความขัดแย้งด้านการเมืองขึ้นมาก็ตาม เขาเป็นเหมือนตัวโลแร็กซ์ ที่คอยพูดเพื่อผลประโยชน์ของโลกใบนี้แม้จะมีอุปสรรคถาโถมเพียงใดก็ตาม แต่ตอนนี้ คนส่วนใหญ่ในโลกคอยเอาใจช่วยเขาแล้วค่ะ”

สำหรับผู้อำนวยการสร้างเจฟฟ์ สคอล ผู้ทำการกุศ นักธุรกิจเพื่อสังคมและผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการของพาร์ทิซิแพนท์ มีเดีย ผู้มีส่วนช่วยบุกเบิกภาพยนตร์ภาคแรก ความจำเป็นในการสร้างภาคต่อเป็นเหมือนกับคำสั่ง เขาเล่าว่า “ในปี 2010 หลังจากที่เดินทางไปที่แอนตาร์คติกา ผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องราว INCONVENIENT TRUTH กันอีกรอบ แต่ด้วยเป้าหมายที่ต่างออกไป ผมกับอัลครุ่นคิดถึงไอเดียของภาคต่อมาหลายปีแล้ว แต่มีสามสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2014 ที่ทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมครับ”

สคอลกล่าวขยายความว่า “สิ่งแรกคือการครบรอบ 10 ปีของเราทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเราได้รับอนุญาตให้กลับไปดูว่า ภาคแรกทำอะไรถูกต้องบ้าง และเราอาจจะทำผิดพลาดไปตรงไหนบ้าง อย่างที่สอง ซึ่งสำคัญกว่านั้น คือเรารู้ว่าเรามีเรื่องราวในแง่บวกที่จะบอกเล่าออกไป และคนคงจะรู้สึกเหมือนมีแรงบันดาลใจขึ้นมาที่ได้รู้ว่า การกระทำของพวกเขาทำให้ตอนนี้ หนทางคลี่คลายวิกฤติการณ์อยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ความท้าทายเชิงสร้างสรรค์ของเราคือการบอกให้ผู้คนรับรู้ถึงปัญหาใหญ่หลวงที่น้อยคนจะรู้หรือเข้าใจ ครั้งนี้ เรามีโอกาสที่จะบอกเล่าเรื่องราวนั้นอีกครั้ง แต่ด้วยตอนจบที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจของวิธีคลี่คลายวิกฤติการณ์จริงๆ ที่จับต้องได้ สุดท้าย หนังภาคแรกเป็นแรงบันดาลใจให้คนนับล้านๆ ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว หนังภาคใหม่นี้จะเป็นโอกาสให้เราได้เผยภาพกองทัพนักเคลื่อนไหวที่ได้แรงบันดาลใจจากอัล และในสิบปีให้หลัง ก็จะมีคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยเกินกว่าจะมีส่วนร่วมเมื่อครั้งที่แล้ว ที่จะเกิดแรงจูงใจในการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาทางสังคมประเภทนี้ครับ”

ถ้า AN INCONVENIENT TRUTH เป็นเสียงปลุกให้ตื่น ตอนนี้ คนนับล้านก็ตาสว่างแล้ว ผลก็คือสิ่งที่ถูกเรียกขานว่า การปฏิวัติอย่างยั่งยืน มันเป็นการปฏิวัติที่กอร์เชื่อว่าจะส่งผลกระทบความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อทุกแง่มุมของสังคมมนุษย์พอๆ กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมหรือการปฏิวัติดิจิตอลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ด้วยการเสริมสร้างค่านิยมและหลักปฏิบัติใหม่ๆ พร้อมกับการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมในแวดวงของการออกแบบ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การพาณิชย์ การเงิน การอนุรักษ์ ชุมชนและ ฯลฯ “มันมีสโคปของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและความเร็วแบบการปฏิวัติดิจิตอลครับ” เขากล่าว

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นแล้ว คำพูดปลุกเร้าจิตใจของกอร์ในปี 2017 ตรงข้ามกับคำพูดของเหล่าผู้สิ้นหวัง เวลาไม่ได้หมดลงแล้ว ถ้าเราลงมืออย่างกล้าหาญ รวบรวมพลังทางการเมืองให้มากกว่านี้ ลงทุนให้ชาญฉลาดมากขึ้นกว่านี้ และใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ให้มากกว่านี้ในตอนนี้ กำแพงที่ขวางกั้นหนทางไปสู่การคลี่คลายวิกฤติการณ์สภาวะอากาศก็จะล่มสลาย ด้วยการมองโลกในแง่บวกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าเสมอของเขา กอร์เชื่อว่าการร่วมมือครั้งนี้สำคัญยิ่ง มันเป็นโอกาสสุดท้ายที่ดีที่สุดของเราในการเปลี่ยนแปลงโลกที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนได้ของเรา เมื่อที่ว่ามันจะสามารถอดทนและหล่อเลี้ยงมนุษยชาติและสายใยชีวิตได้อย่างยั่งยืน

ผู้กำกับร่วมจอน เชงค์กล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่เราพบว่าน่าทึ่งในการสร้างหนังเรื่องนี้คือการมองโลกในแง่บวกของอัลไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนครับ ทุกวันเราได้เห็นผู้คนที่ประทับใจกับอัลถึงขั้นที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองแลเราก็เช่นกัน ตามที่เขาจะบอกคุณ เรื่องราวนี้ก้าวไปไกลเกินกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ มันครอบคลุมไปถึงบริษัทผลิตพลังงาน เจ้าหน้าที่รัฐฯ ผู้นำเยาวชน ศิลปิน และ ฯลฯ ที่ทุกคนทำงานเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มันให้ความรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญเหลือเกินที่จะออกไปท่องโลกกับอัลและเปิดม่านให้เห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นว่ามันเกิดขึ้นแต่มีผลลัพธ์ที่ส่งผลยาวไกลเหลือเกินน่ะครับ”

สำหรับผู้อำนวยการสร้างริชาร์ด เบิร์จ มีสิ่งที่งดงามและอบอุ่นจิตใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับความจริงที่ว่า ภาพยนตร์ใหม่เรื่องนี้นำเสนอคำตอบมากกว่าภาคแรก “สิ่งที่ผมพบว่าน่าตื่นเต้นเหลือเกินคือการที่หนังที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ให้ความหวังน้อยกว่าเรื่องนี้ครับ” เขารำพึง “การได้เห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกินทำให้ผมเปลี่ยนความจากความรู้สึกกังวลสุดซึ้งไปเป็นความเชื่อในความสามารถของเราที่จะคลี่คลายเรื่องนี้ครับ”

ผู้อำนวยการสร้างไดแอน เวเยอร์แมนน์ หัวหน้าฝ่ายภาพยนตร์สารคดีที่พาร์ทิซิแพนท์ มีเดีย และผู้ควบคุมงานสร้าง AN INCONVENIENT TRUTH กล่าวเสริมว่า “AN INCONVENIENT TRUTH นำเรามายืนอยู่บนหนทางคลี่คลายวิกฤติการณ์นี้ แต่เราก็ยังไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ปลอดภัย สัญญาณเตือนดังขึ้นเป็นระยะๆ ด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เราก็เลยรู้สึกว่า มีสองเรื่องที่จะต้องได้รับการบอกเล่าในสิบปีให้หลัง หนึ่งคือผู้คนทั่วโลกได้ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ และสอง มันยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมายและพวกเราก็หวังว่าจะได้ทำมันร่วมกัน ความเร่งด่วนก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือการมองโลกในแง่บวกจริงๆ ที่ไม่ได้มีอยู่เมื่อสิบปีที่แล้ว อัล, พาร์ทิซิแพนท์และทีมผู้สร้างต่างก็รู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ตอนนี้ ได้เวลาที่เราจะมองไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้วค่ะ”

สคอลเชื่อว่า ความอดทนที่ต่อเนื่องของกอร์เองก็เป็นที่มาของความทึ่งและแรงบันดาลใจเช่นกัน “ตอนที่คุณได้ดู AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER คุณจะได้เห็นเรื่องราวความกล้าหาญ ความไม่ย่อท้อและหัวใจของชายคนหนึ่ง และความสามารถพิเศษสุดของเขาในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น และหลังจากหลายปีผ่านมาแล้ว ผมก็แปลกใจที่ผมยังสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับเพื่อนผมได้อีก”

สคอลกล่าวต่อไปว่า “สิ่งสำคัญคือ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ระหว่างหนังทั้งสองเรื่องนี้ อัลมีทุกเหตุผลที่จะยอมแพ้ แต่เขาก็ไม่ทำ อัลแพ้การเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงที่ห่างกันเพียงนิดเดียวและสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อัลเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมก็อซซิป ที่สนับสนุนการเมืองของการทำลายล้างมากกว่าพลังของการรับใช้ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อัลเจอกับนักวิจารณ์ ผู้เคลือบแคลงสงสัย จอมบงการ โทรลล์ทวิตเตอร์ และคนที่ปฏิเสธท่าเดียว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อัลสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้ามที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างดีและมีความเป็นกลุ่มก้อน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ นี่คือคนที่ปฏิเสธการยอมจำนน เขาเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่เข้าใจโลกที่กำลังตกอยู่ในอันตรายของเราและเสี่ยงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความมั่งคั่งและความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อจะยืนอยู่ข้างที่ถูกของประวัติศาสตร์และปกป้องบ้านเพียงหนึ่งเดียวของเรา หน้าที่ของเราที่มีต่อประเด็นนี้ยังไม่เสร็จสิ้นลง แต่ผมก็มองโลกในแง่ดีมากกว่าแต่ก่อนว่าเรากำลังอยู่บนเส้นทางที่ทำให้แน่ใจว่า บ้านเพียงหนึ่งเดียวของเราจะคงอยู่และเจริญรุ่งเรืองต่อไป และการมองโลกในแง่ดีส่วนใหญ่นั้นของผมก็เกิดมาจากการที่ได้รู้ว่า อัล กอร์ไม่ได้ยอมแพ้ และจะไม่ยอมแพ้ครับ”
« Last Edit: August 26, 2017, 08:34:48 PM by happy »

happy on August 26, 2017, 08:37:00 PM





การอัพเดทปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม

“ผมต้องยอมรับว่า มีหลายครั้งในการทำงานกับความเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ
ที่การมองโลกในแง่บวกของผมเป็นเหมือนตัววัดศรัทธา
แต่เรากำลังเปลี่ยนแปลงครับ เรากำลังเปลี่ยนแปลง” – อัล กอร์

มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องหรอกที่มีโอกาสได้เข้าสู่กระแสของป๊อป คัลเจอร์และเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชน แต่ AN INCONVENIENT TRUTH เป็นข้อยกเว้นที่หาได้ยากยิ่ง และในตอนนั้น มันก็เป็นอะไรที่ไม่คาดฝันด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนั้น ที่กำกับโดยเดวิส กุกเกนเฮม และอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่ว่าผู้ชมจะตอบสนองอย่างไรต่อเรื่องราวของอดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ผู้มาพร้อมกับข้อคิดเรื่องหายนะที่กำลังจะมาเยือนเราและสไลด์โชว์ที่มาจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ได้รับความนิยมอย่างเหลือเชื่อและกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่มีใคร รวมถึงตัวกอร์เอง คาดคิดถึงปฏิกิริยาของมวลชน แต่ทันทีที่มันเข้าฉาย AN INCONVENIENT TRUTH ก็เริ่มจุดประกายให้เกิดการสนทนา การโต้วาทีและเสียงชื่นชมจากทั่วโลก รวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเจ็บปวด เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการถกประเด็นในเรื่องภาวะโลกร้อนสำหรับผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน

หลังจากการเข้าฉาย นิตยสารไทม์ได้กล่าวว่า “AN INCONVENIENT TRUTH ได้ขับเคลื่อนการโต้วาทีเรื่องภาวะโลกร้อนอย่างที่ไม่เคยมีสิ่งใดทำได้มาก่อน” หนึ่งปีให้หลัง จากการสำรวจของโพลล์โดยนีลสัน/มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดพบว่า 89% ของผู้ที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง AN INCONVENIENT TRUTH กล่าวว่ามันได้เพิ่มระดับการรับรู้ของพวกเขาในเรื่องความเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศและ 66% กล่าวว่า มันเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการมีอยู่ในเรื่องนี้ ในตอนที่กอร์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2007 คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลกล่าวว่า กอร์ “อาจจะเป็นคนที่ทำงานมากที่สุดเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจจากทั่วโลกในเรื่องมาตรการด้านสภาวะอากาศที่จำเป็นต้องมีการบังคับใช้”

อย่างไรก็ดี จากมุมมองในการสร้างภาพยนตร์แล้ว ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกินคาดนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม มันหมายความว่า ผู้สร้างคนไหนก็ตามที่จะหยิบยกเรื่องราวนี้มาสร้างอีกครั้งจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ภาคแรกเผชิญ นั่นคือตำนานความยิ่งใหญ่ที่น่ายำเกรง

มันมีเรื่องราวที่ควรจะบอกเล่าไม่แพ้กันในอีกสิบปีให้หลังรึเปล่านะ ทีมงานที่พาร์ทิซิแพนท์ มีเดีย หุ้นส่วนในงานสร้างภาพยนตร์ภาคแรก เชื่อว่าคำตอบคือใช่

“เราตระหนักดีว่าภาคสองนี้จะต้องยืนหยัดได้ด้วยตัวของมันเองท่ามกลางเงาของไอคอนยักษ์ใหญ่อย่าง AN INCONVENIENT TRUTH” ไดแอน เวเยอร์แมนน์กล่าว “แต่พวกเราทุกคนที่พาร์ทิซิแพนท์ โดยเฉพาะเจฟฟ์ สคอล ก็รู้สึกอย่างแรงกล้าจนพวกเราบอกว่า ‘อย่างน้อยที่สุด เราก็ต้องพยายาม’ เราได้เห็นว่า AN INCONVENIENT TRUTH ช่วยให้เรื่องของสภาวะอากาศเป็นที่รับรู้ได้อย่างไร แต่เราก็ยังเห็นด้วยว่า ยิ่งเวลาผ่านไป ประเด็นนี้กลับมีความสำคัญรองลงไปเรื่อยๆ ทางด้านการเม้องและไม่ได้ถูกพูดถึงมากเท่าหรือเร่งด่วนเท่าแต่ก่อน ในขณะเดียวกัน ฉันก็ติดต่อกับอัลตลอดและรู้ว่าเขามีแต่จะทำอะไรมากขึ้นๆ เขาได้ฝึกฝนผู้นำด้านสภาวะอากาศกว่า 10,000 คน เรารู้สึกว่านั่นคือเรื่องราว และเมื่อเราคุยกับอัล เขาก็ตอบรับกับไอเดียนี้เต็มที่ และแล้วคำถามสำคัญก็คือ เราจะบอกเล่าตอนใหม่ของเรื่องราวนี้ออกมาให้ดีที่สุดได้อย่างไร”

ด้วยความเห็นชอบจากเดวิส กุกเกนเฮม (ผู้ไปสร้างภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เช่น IT MIGHT GET LOUD, WAITING FOR SUPERMAN และ HE NAMED ME MALALA) และทีมอำนวยการสร้างภาคแรก พาร์ทิซิแพนท์ก็เริ่มพัฒนาภาคต่อขึ้นมา ตัวกุกเกนเฮมเองติดพันกับโปรเจ็กต์อื่นๆ อีกหลายงาน พวกเขาก็เลยไปหาผู้กำกับใหม่ ก่อนที่ท้ายที่สุดจะหันไปหาทีมงานที่แอ็กชวล ฟิล์มส์ บริษัทผลิตสารคดีที่บริหารโดยผู้อำนวยการสร้างริชาร์ด เบิรจและสองสามีภรรยานักสร้างหนัง บอนนี โคเฮนและจอน เชงค์ เพื่อหาแนวทางที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างออกไป

“บอนนีและจอนเป็นคนทำหนังที่มุ่งมั่น สร้างสรรค์และฉลาดจริงๆ ค่ะ” เวเยอร์แมนน์กล่าว “การได้ร่วมงานกับพวกเขาเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อ นี่เป็นหนังที่สร้างได้ยากมากๆ ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน และพวกเขาก็ไม่มีความกลัวเลยซักนิด และมีวิสัยทัศน์ที่แรงกล้าต่อสิ่งที่พวกเขายึดถือมากๆ พวกเขาเปิดกว้างเสมอและเต็มใจจะเสี่ยง นอกจากนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังใส่เอาเรื่องราวในชีวิตประจำวันเข้าไปในโลกที่เข้มข้นจริงจังของอัลได้ด้วย แค่การติดตามอัลก็เป็นเรื่องยากแล้วเพราะเขาเป็นเหมือนกระต่ายอีเนอร์ไจเซอร์ ที่ไม่มีวันหยุด เรามีช่วงเวลาที่ท้าทายของเราเองเหมือนกัน แต่พวกเขาก็อดทนและนำเสนอลายเซ็นของตัวเองได้ในกระบวนการนั้นจริงๆ ค่ะ”

เจฟฟ์ สคอลกล่าวเสริมว่า “บอนนีและจอนนำมุมมองที่สดใหม่และความรู้สึกอบอุ่นมาสู่หนังเรื่องนี้จริงๆ พวกเขามีสายตาที่เฉียบคมในเรื่องการกำกับภาพและมีความถ่อมตัวในแบบที่ให้ความรู้สึกสดชื่นในธุรกิจการทำหนัง นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่ง่ายที่สุดในการทำให้มันให้ความบันเทิง แต่พวกเขาก็ทำสำเร็จ พวกเขารักษาสมดุลระหว่างสองธีมสำคัญได้ ซึ่งก็คือความเร่งด่วนและการมองโลกในแง่บวก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้คุณรู้สึกผูกพันกับอัล กอร์ แน่นอนว่ามันไม่ใช่งานง่ายเลยที่จะก้าวมารับงานหนังที่มีประวัติความเป็นมาแบบนี้ และมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะต้องตามจังหวะก้าวที่เร่งรีบของอัลให้ทัน บอนนีและจอนทำงานได้อย่างวิเศษสุดในทุกอย่าง นอกจากนั้น พวกเขายังได้สานมิตรภาพที่ยอดเยี่ยมกับทีมงานชุดเดิม ที่ทุกคนกลับมารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในครั้งนี้ด้วย ในการมีทั้งความต่อเนื่องและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เราก็เลยได้ความมีชีวิตชีวาอย่างพิเศษสุด ที่ถูกสะท้อนให้เห็นในหนังเรื่องนี้ด้วยครับ”

ทีมงานนี้เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้วจากภาพยนตร์เกี่ยวกับสภาวะอากาศของพวกเขาเรื่อง THE ISLAND PRESIDENT ซึ่งนำเสนอมุมมองการต่อสู้ของชาวมัลดีฟส์เพื่อมีชีวิตรอดท่ามกลางน้ำทะเลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แต่โปรเจ็กต์นี้ก็มีความยิ่งใหญ่ในตัวของมันเอง...และในช่วงเวลาหนึ่ง ความยิ่งใหญ่นั้นก็ทำให้พวกเขาอึ้ง

“หนังภาคแรกเป็นเหมือนสายฟ้าในขวดครับ” ริชาร์ด เบิร์จกล่าว “เราก็เลยรู้สึกว่า ทางเดียวที่ภาคสองจะเวิร์คได้คือการหาทิศทางของเราเอง และเราก็ได้เห็นอย่างรวดเร็วว่า มีเรื่องราวที่ภาคแรกไม่สามารถบอกเล่าออกไปได้ นั่นคือเรื่องราวของการที่อัลและคนอื่นๆ ได้นำเราไปสู่สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งแห่งที่ใหม่ในการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์นี้ นอกจากนั้น เรายังรู้สึกเหมือนว่าเรามีโอกาสที่จะให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงสิ่งที่มักจะถูกอำพรางเอาไว้ ได้สัมผัสว่าชีวิตจริงๆ เป็นยังไงในตอนที่คุณเป็นผู้นำโลกแล้วพยายามปลุกระดมให้คนสนใจกับประเด็นที่สำคัญที่สุดในยุคสมัยของเรา เราอยากจะสร้างหนังที่ทำให้คุณได้เห็นมุมมองที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเกี่ยวกับชีวิตที่แปลกพิเศษของอัล คุณจะได้เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวเร็วแค่ไหน เกิดอะไรขึ้นเบื้องหลังฉากบ้าง และเขาทำอะไรต่างๆ มากมายแค่ไหน ที่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไป”

เบิร์จกล่าวต่อว่า “ขณะที่เราติดตามอัล สิ่งเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นต่อสายตาเรา เราได้เห็นเขาในกรีนแลนด์ ในอินเดีย ในฟิลิปปินส์ ปารีส ทั่วอเมริกา และเราก็ได้เห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เหลือเชื่อ ที่เป็นหัวใจสำคัญของสิ่งที่เขาพยายามจะทำให้สำเร็จ นอกจากนั้น เรายังได้เห็นเขาลดเกราะกำบังลง ทำตัวตลกและไม่คิดอะไรล่วงหน้าครับ”

โคเฮนและเชงค์มีปฏิกิริยาที่ผสมปนเปกันหลังจากที่ได้รับข้อเสนองานนี้ มันมีทั้งความตื่นเต้นที่มีโอกาสได้บอกเล่าเรื่องราวที่สำคัญเหลือเกิน แต่พวกเขาก็หวั่นใจกับการที่ต้องสานต่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเดวิส กุกเกนเฮมด้วย อย่างไรก็ดี สิ่งที่กระทบใจพวกเขากที่สุดก็คือในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ที่อุทิศตนให้กับการบันทึกความจริงในชั่วขณะนั้น พวกเขามีโอกาสที่หาได้ยากในการบันทึกช่วงเวลาที่จะถูกคนรุ่นหลังมองว่าสำคัญอย่างยิ่งยวด

ความคิดนั้นเองที่เป็นตัวจุดประกายการเดินทางติดตามกอร์ในแบบที่เขาไม่เคยถูกติดตามมาก่อน

โคเฮนกล่าวต่อว่า “ในตอนที่เราได้พบกับอัลและเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำอยู่ วงล้อความคิดของเราก็เริ่มหมุน เราตระหนักว่าไม่เคยมีใครพกกล้องเข้าไปในห้องกับคนอย่างอัล กอร์มาก่อน เพื่อจะได้เห็นถึงชั่วขณะที่เขากำลังเจรจาต่อรอง สอน เรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนพร้อมๆ กับการทำงานเพื่อรักษาการเคลื่อนไหวของโลกเอาไว้”

นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังตระหนักด้วยว่า พวกเขามีข้อได้เปรียบบางอย่างที่มีแต่เวลาเท่านั้นจะให้พวกเขาได้ สิ่งหนึ่งคือพวกเขาไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์เพื่ออธิบายถึงปัญหาด้านสภาวะอากาศ เพราะ AN INCONVENIENT TRUTH ได้ทำไปแล้ว ในปัจจุบันนี้ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกพิสูจน์แล้วจนความเป็นมาเรื่องภาวะเรือนกระจกเป็นที่รับรู้ของเด็กๆ ประถมไปแล้ว มีการเผยถึงความเชื่อมโยงระหว่างการปล่อยก๊าซของมนุษย์และธารน้ำแข็งที่ละลาย ท้องทะเลที่คลุ้มคลั่ง พายุที่รุนแรง หายนะภัยแล้ง น้ำท่วมใหญ่และผู้อพยพที่แสวงหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อคนที่รัก ในความเป็นจริงแล้ว งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากเมื่อเร็วๆ นี้ ชี้นำว่าผลลัพธ์ที่ก๊าซเรือนกระจกมีต่อแบบแผนของสภาวะอากาศอาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและหนักหน่วงเกินกว่าที่คำนวณเอาไว้ตั้งแต่ต้น แทนที่จะเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม

“เราได้รับของขวัญชิ้นใหญ่จากพาร์ทิซิแพนท์ และเดวิส กุกเกนเฮมเพราะก่อนหน้า AN INCONVENIENT TRUTH แทบไม่มีการพูดกันถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศเลยและคนก็ไม่รู้ว่าจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ดี” เชงค์ตั้งข้อสังเกต “ตอนนี้ เราได้รับประโยชน์จากหนังเรื่องนั้นและเรื่องอื่นๆ ที่ตามมา เราไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในหนังของเรา เพราะตอนนี้ แทบทุกคนรู้เรื่องนี้แล้ว ดังนั้น เราก็เลยมีอิสระที่จะสร้างหนังในแบบที่เราอยากจะสร้างจริงๆ นั่นคือมุมมองสังเกตการณ์การที่อัล กอร์ได้ยกระดับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไปสู่อีกระดับหนึ่งครับ”

หนึ่งในคำถามสำคัญคำถามแรกๆ ที่โคเฮนและเชงค์ต้องเผชิญคือจะกล่าวถึงปฏิกิริยาตอบรับสุดโต่งที่เกิดจากภาคแรกแบบตรงไปตรงมาเลยรึเปล่า ในปี 2006 มีการเดินหน้าชน AN INCONVENIENT TRUTH จากเครื่องจักรประชาสัมพันธ์ของวงการพลังงานฟอสซิล มีความพยายามที่จะจับผิดหลักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ (ซึ่งมีแต่จะชัดเจนยิ่งขึ้นนับแต่นั้น) แต่การโจมตีที่ดุเดือดส่วนใหญ่พุ่งมาที่ตัวกอร์โดยตรงในฐานะผู้ส่งสาร

เชงค์ตั้งข้อสังเกตว่า กอร์พร้อมรับมืออุปสรรคยิ่งใหญ่ที่การเคลื่อนไหวของเขาต้องเผชิญในช่วงเวลามรสุมนั้น “เราเริ่มคุยกันในลักษณะของ ROCKY II ที่คุณจะเปิดเรื่องมาด้วยภาพของผู้ชายที่ถูกชกจนน่วม จนคุณอดไม่ได้ที่จะเป็นกำลังใจให้เขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง นั่นเป็นเหตุผลที่เราเริ่มต้นหนังเรื่องนี้ด้วยการรวมไฟล์เสียง ที่คุณจะได้ยินเสียงโจมตีกอร์อย่างไม่ลดละ แล้วเราค่อยแสดงให้เห็นว่า เราก้าวพ้นจากวันเวลาเหล่านั้นมาไกลแค่ไหนแล้วน่ะครับ”

ริชาร์ด เบิร์จกล่าวเสริมว่า “ไม่ทุกคนหรอกครับที่รู้ว่ากอร์โดนโจมตีอย่างป่าเถื่อนแค่ไหนหลังจากภาคแรก ผมหมายถึงเกลนน์ เบ็คเปรียบเทียบเขากับโจเซฟ ก็อบเบลส์ด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่าวิธีที่ดีที่สุดในการพูดถึงเรื่องนี้ในหนังคือเปิดเผยทุกอย่างตั้งแต่ช่วงเวลาแรกๆ แล้วก็ก้าวผ่านมันไปซะ ปัจจุบันนี้ การปฏิเสธเรื่องความเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศได้เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้บอกอีกแล้วว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น แต่พวกเขาตั้งคำถามกับเศรษฐกิจของการเปลี่ยนแปลงที่เร็วพอจะสร้างความแตกต่างได้ แต่ในขณะเดียวกัน อัลก็ทำการโต้แย้งที่น่าเชื่อมากๆ ทางเศรษฐกิจว่า จริงๆ แล้ว โดยทางเศรษฐกิจแล้ว เราไม่สามารถที่จะไม่เปลี่ยนได้ ความเปลี่ยนแปลงนั้นกำลังเกิดขึ้นและการลงทุนในเรื่องพลังงานหมุนเวียนจะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ”

ในตอนที่โคเฮนและเชงค์เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับงานถ่ายทำอย่างจริงจัง พวกเขาก็เริ่มคุยกับกอร์เกี่ยวกับการเข้าถึงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่พวกเขาได้แต่หวังว่าเขาจะมอบให้กับพวกเขา ทั้งคู่ชื่นชอบการถ่ายทำสไตล์สารคดีบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นไปตามแบบฉบับของผู้ถ่ายทำภาพยนตร์แบบตรงไปตรงมาอย่างเดอะ เมย์สเลส, ดี.เอ. เพ็นน์เบเกอร์และเฟร็ดเดอริค ไวส์แมน ในการยอมให้กล้องเป็นประจักษ์พยานในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อบันทึกเศษเสี้ยวของชีวิตจริง ไดอะล็อคตามธรรมชาติและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร้การควบคุม ไอเดียเบื้องหลังการถ่ายทำวิธีนี้คือมันสามารถเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธมนุษย์ในแบบที่ตระการตาและน่าติดตามพอๆ กับเรื่องแต่ง

โอกาสที่หาได้ยากยิ่งในการบันทึกภาพบุคคลในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยอย่างอดีตรองประธานาธิบดีกอร์ในรูปแบบที่เผยทุกอย่างหมดเปลือกและไร้การควบคุมแบบนี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่มันก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน

“ผมคิดว่าถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน อัลคงไม่ยอมหรอกครับ” เชงค์สารภาพ “มันเป็นเพราะ AN INCONVENIENT TRUTH ทำให้เขาเชื่อว่า หนังสามารถกระทบใจผู้คนจำนวนมากได้ เขาถึงตัดสินใจเชื่อในกระบวนการนี้ เรารับสืบทอดความปรารถนาดีนั้นมาและซาบซึ้งกับเรื่องนี้ แต่เนื่องด้วยสถานที่ต่างๆ ที่อัลเดินทางไป มันก็มีความยุ่งยากมากมาย ส่วนหนึ่งของการเป็นคนทำหนังแบบสังเกตการณ์คือการวางแผน และก็ปล่อยให้แผนการของคุณถูกก่อกวน ซึ่งเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นบ่อยมากในหนังเรื่องนี้ครับ!”

ทั้งคู่ลงเอยด้วยการถ่ายฟุตเตจจำนวนมหาศาล ภาพที่น่าประหลาดใจมีตั้งแต่ภาพที่เป็นส่วนตัวมากๆ (ภาพกอร์ถอดถุงเท้าเปียกโชกออกหลังจากลุยในไมอามีที่น้ำท่วมหรือภาพกอร์หนีรถติดด้วยการขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินที่คนหนาแน่นในปารีส) ไปจนถึงภาพที่เหมาะกับการออกสื่อ (กอร์คุยกับผู้สื่อข่าวเจนนี สเตลโตวิชจากไมอามี เฮรัลด์, คริส เฮเยสจากเอ็มเอสเอ็นบีซีและวาเนสซา ฮ็อคจากเทเลมุนโด้) ภาพการต่อรองเรื่องอำนาจ (การพบปะกันส่วนตัวกับอีริค ชไนเดอร์แมน อัยการสูงสุดประจำนิวยอร์ก, รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ จอห์น เคอร์รี และคริสตินา ฟิเกเรส หัวหน้าผู้ดูแลฝ่ายสภาวะอากาศของยูเอ็น) ไปจนถึงภาพที่แสดงความรู้สึกเห็นใจ (กอร์ฟังเรื่องราวสะเทือนอารมณ์จากผู้รอดชีวิตจากพายุไต้ฝุ่นในเมืองทาโคลแบน ประเทศฟิลิปปินส์)

โคเฮนกล่าวเน้นว่า แม้กระทั่งความเปิดกว้างของกอร์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่าพวกเขาจะสามารถถ่ายทำตามที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย “อัลเปิดกว้างมากๆ แต่การทำงานก็ซับซ้อนเมื่อมีเรื่องของการรักษาความปลอดภัยและการที่คุณจะต้องเข้าร่วมงานประชุมที่ละเอียดอ่อนมากๆ กับอีกฝ่ายที่อาจจะไม่คาดคิดว่าจะถูกบันทึกภาพน่ะค่ะ” เธออธิบาย “มันมีการเจรจาต่อรองเสมอและบางครั้ง เราก็ต้องอธิบายถึงเหตุผลที่เรารู้สึกว่าจะต้องมีกล้องอยู่ในนั้นท่ามกลางสถานการณ์ที่การตั้งกล้องเป็นเรื่องลำบากใจ แต่ฉันต้องบอกว่า อัลมีเซนส์ด้านการเล่าเรื่องจริงๆ ค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้ว เขาเข้าใจดีว่าทำไมเราถึงอยากตั้งกล้องไปตรงนั้นเสมอค่ะ”

ตลอดการดำเนินงาน กอร์แสดงออกถึงความตรงไปตรงมาด้านอารมณ์ ทั้งเกี่ยวกับอุปสรรคและความไม่พึงพอใจส่วนตัวและเหตุผลของเขาในการสู้ต่อไป แม้แต่ในเวลาที่เขาเจอกับกำแพงขวางกั้นนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

“อัลใช้เวลาพักหนึ่งในการทำความคุ้นเคยว่ากล้องจะติดตามเขาใกล้ชิดแค่ไหน” เบิร์จตั้งข้อสังเกต “แต่ผลที่ได้ก็คุ้มค่าในแง่ของการนำเสนอภาพเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน มันเป็นเรื่องหนึ่งของการสร้างหนังที่คุณจะแค่ถูกสัมภาษณ์ และมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลยสำหรับการสร้างหนังที่ทุกการเคลื่อนไหวของคุณจะถูกจับตามอง นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับอัล คนบางคนอาจอ่อนไหวมากๆ กับเรื่องนี้ แต่สำหรับอัล มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เขาก็แค่มองว่ามันเป็นอีกส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขาต้องทำครับ”

เวเยอร์แมนน์กล่าวเสริมว่า “สิ่งสำคัญอยู่ที่การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจค่ะ อัลมักจะพร้อมทำทุกอย่าง มีแค่บางครั้งที่เขาไม่พร้อม แต่บอนนีและจอนก็มุ่งมั่นกับการทำงานและสามารถผลักดันให้เกิดสิ่งที่คงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าพวกเขาไม่ได้รั้นในแบบที่พวกเขาเป็นน่ะค่ะ”

นอกจากนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็คือการที่เชงค์และโคเฮนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการทำตัวเกือบจะล่องหนเมื่อสถานการณ์จำเป็น ตัวกอร์เองยอมรับว่าเขามักจะลืมไปเลยว่ามีกล้องตั้งอยู่ตรงนั้น เบิร์จกล่าวสรุปว่า “บอนนีกับจอนเป็นคนทำหนังสังเกตการณ์ที่วิเศษสุด ในฐานะผู้กำกับภาพ จอนมีสายตาที่เฉียบคมแต่เขาสามารถทำตัวเองเลือนหายไปกับวอลล์เปเปอร์ในจังหวะที่เหมาะสม คุณก็เลยแทบจะไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ตรงนั้นกับกล้อง ส่วนบอนนีก็เป็นนักสัมภาษณ์ที่ดีและเธอก็มีเซนส์ด้านคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนที่เป็นตัวนำทางได้ในตอนที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น การได้พวกเขาทั้งคู่มา แทนที่จะเป็นผู้กำกับคนเดียว ทำให้หนังเรื่องนี้มีการผสมผสานมุมมองที่ยอดเยี่ยมครับ”
« Last Edit: August 26, 2017, 08:41:29 PM by happy »

happy on August 26, 2017, 08:44:33 PM



กอร์ ผู้เชื่อในการเมืองฉันทมติ

“คนรุ่นถัดไป ถ้าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยน้ำท่วม พายุ ทะเลที่ระดับน้ำสูงขึ้นและภัยแล้ง มีผู้อพยพหลายล้านคนที่หนีจากสภาวะที่ไม่อาจใช้ชีวิตได้ สั่นคลอนความมั่นคงของประเทศต่างๆ ทั่วโลก พวกเขาก็คงจะมีเหตุผลในมองย้อนกลับมาแล้วตั้งคำถามว่า ‘พวกคุณคิดอะไรกันอยู่’ น่ะครับ”
--อัล กอร์

คำถามที่มีความเป็นมนุษย์ลึกซึ้งคำถามหนึ่งที่แทรกซึมอยู่เบื้องหลัง AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER คือตัวอัล กอร์เองเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนนับตั้งแต่ปี 2006 และเขาทำใจอย่างไรในการยอมรับสิ่งที่กลายเป็น แผนบี สำหรับชีวิตของเขา เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธรัศมีโศกนาฏกรรมแบบละครเชคสเปียร์ที่ห้อมล้อมชายคนนี้ได้ มันเป็นความรู้สึกของสัญญาที่ไม่ได้รับการเติมเต็มของสิ่งที่น่าจะเป็น แต่กอร์ก็ดูเหมือนจะละทิ้งความเสียดายใดๆ ก็ตามที่เขาอาจมี เพื่อยอมรับบทบาทที่ยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าพ่อตัวจริงแห่งการเคลื่อนไหวเพื่อสภาวะอากาศ

ปัจจุบันนี้ กอร์พูดถึงตัวเองว่าเป็น “นักการเมืองฟื้นตัวที่พยายามจะไม่กลับไปมีอาการแบบเดิม” แต่บอนนี่ โคเฮนและจอน เชงค์มองเขาว่าเป็นบุคคลทางการเมืองฉันทมติ ผู้ให้น้ำหนักกับสิ่งที่ถูกต้องทางศีลธรรม สิ่งที่เหมาะสม สิ่งที่เป็นไปได้ มากกว่าสิ่งที่สะดวกสบายทางการเมือง

เชงค์กล่าวว่า “บางครั้ง ดูเหมือนว่าการที่เขาไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองในปัจจุบันอีกต่อไปแล้วจะปลดปล่อยให้เขาทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในแง่หนึ่ง บางที เขาอาจเกิดมาเพื่อการต่อสู้ระดับโลกแบบนี้ก็ได้ ผมคิดว่ามีส่วนหนึ่งของตัวเองที่รู้สึกเหมือนตัวเองเกิดมาเพื่อทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า บางที อาจเป็นสิ่งนี้ก็ได้ ไม่ใช่การเป็นประธานาธิบดี แน่นอนว่าไม่มีรองประธานาธิบดีคนไหนที่ได้ยืนอยู่บนเวทีโลกในแบบเดียวกับที่อัลทำ ความสำคัญของเขาในฐานะบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ยังคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ครับ”

กอร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตต่อหน้าสาธารณชนตั้งแต่ที่เขาเกิดมาเป็นลูกของสมาชิกสภาผู้แทนจากเทนเนสซี ผู้กลายเป็นสมาชิกวุฒิสภา และแม่ผู้เป็นหนึ่งในผู้หญิงคนแรกๆ ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมายแวนเดอร์บิลท์ในยุค 30s หลังจากร่วมรบในเวียดนามและเริ่มต้นทำงานเป็นนักข่าวสืบสวน ตัวกอร์เองก็กลายเป็นสมาชิกสภาจากเทนเนสซีตั้งแต่อายุ 28 ปี ก่อนที่เขาจะได้กลายเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ เมื่ออายุได้ 39 ปี เขาก็ลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกก่อนที่จะได้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วยวัย 44 ปี ซึ่งเขาก็ดำรงตำแหน่งนั้นนาน 8 ปี ความสนใจที่เขามีต่อสภาวะอากาศก็ยาวนานไม่แพ้กัน เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับระดับคาร์บอน ไดอ็อกไซด์ที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่เขาเรียนมหาวิทยาลัย และในปี 1981 เขาก็ได้จัดให้มีการแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสเกี่ยวกับประเด็นนี้เป็นครั้งแรก ในปี 1991 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Earth In Balance และกลายเป็นวุฒิสมาชิกคนแรกที่ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์นับตั้งแต่จอห์น เอฟ. เคนเนดี้

อย่างไรก็ดี ในตอนที่กอร์โบกมืออำลาแวดวงการเมืองนั้นเองที่ชีวิตของเขาในฐานะบุคคลผู้สร้างแรงบันดาลใจได้เริ่มต้นขึ้นบนวิถีทางที่สร้างความแตกต่างให้กับเขาในยุคปัจจุบัน

ไดแอน เวเยอร์แมนน์ได้มองเห็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้น “ตอนนที่เราสร้าง AN INCONVENIENT TRUTH มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดเป็นพิเศษสำหรับอัล” เธอเล่า “เขามักแสดงตัวเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมตลอดการทำงานของเขา แต่เขาอยู่ในจุดเริ่มต้นของการตระหนักว่าเขาอาจจะอยู่ในตำแหน่งแห่งท่ที่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสเกลใหญ่ได้ จากวันเริ่มแรกเหล่านั้น ฉันเห็นว่าเขามีแต่จะฮึดสู้มากขึ้น ตั้งใจมากขึ้นและมีความแน่วแน่มากขึ้น แรงขับของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นตามไปด้วย และแน่นอนค่ะ เมื่อมองทางมุมกลับแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรอย่างนี้ และไม่จำเป็นต้องทุ่มเทมากเท่าที่เขากำลังทำอยู่ด้วย เขาสามารถใช้เวลาอยู่ในฟาร์มแสนสวยของเขาในเทนเนสซีก็ได้ แต่ความปรารถนาที่จะรับใช้ของเขามาจากส่วนลึกข้างใน และพอเขามุ่งมั่นที่จะลงมือจัดการกับประเด็นนี้แล้ว มันก็มีแต่เดินหน้าสานต่องานต่อไปเรื่อยๆ เขาเป็นเหมือนสายลับที่ทำงานเบื้องหลังฉากเพื่อผลักดันให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นเสมอน่ะค่ะ”

มีบุคคลตัวอย่างสำหรับชีวิตหลังการเมืองของกอร์อยู่บ้าง คนอื่นๆ มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นทางด้านนโยบายสาธารณะที่หลากหลาย วิกฤติการณ์ด้านสุขภาพของโลกและการคลี่คลายความขัดแย้งระดับโลกและความพยายามรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน นับตั้งแต่พวกเขาอำลาเวทีการเมือง แต่ไม่มีใครที่เดินจากการเมืองของพรรคเพื่อมาเป็นผู้นำของการเคลื่อนไหวระดับโลกที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดแบบนี้

“คงเป็นเรื่องยากที่จะคิดหรือสร้างตัวละครในหนังที่ดีไปกว่าอัล” เชงค์ตั้งข้อสังเกต “เขาเป็นคนที่มีเอกลักษณ์อย่างแท้จริงในโลกใบนี้ เขาเป็นส่วนหนึ่งของความผิดปกติพิลึกพิลั่นในประวัติศาสตร์อเมริกา ที่เขาพลาดตำแหน่งประธานาธิบดีไปด้วยเรื่องทางเทคนิค แล้วเขาก็ต้องตั้งคำถามและตรึกตรองเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเขาและอนาคตของเขาเสียใหม่ เขาเติบโตมากับไอเดียที่ว่า การปกครองสามารถทำให้ชีวิตคนเราดีขึ้นได้ และนั่นก็คือสิ่งที่เขาอยากจะทำ แต่เขาจะต้องสร้างองก์ที่สองของตัวเองขึ้นมา”

เชงค์กล่าวต่อว่า “การได้เห็นตัวอัลในสิบปีให้หลังเป็นเรื่องน่าสนใจจริงๆ บางที ในตอนนี้ เขาอาจเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาอาจจะเป็นในตำแหน่งประธานาธิบดีก็ได้ มันเป็นเรื่องเจ็บปวดจริงๆ กับแนวทางที่เขาพูดถึงมันในหนังเรื่องนี้ ที่เขาบอกว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยมีแผนการชีวิตอย่างละเอียด แต่ชีวิตกลับเตรียมแผนการที่ต่างออกไปให้กับเขา นั่นกลายเป็นหนึ่งในธีมสำคัญของหนังเรื่องนี้ ว่าเราไม่รู้หรอกว่าชีวิตเตรียมอะไรไว้รอเราบ้าง แต่เราสามารถสร้างสิ่งที่ทรงพลังจากมันได้”

ใน AN INCONVENIENT SEQUEL เราได้เห็นกอร์ทำงานโดยไม่คำนึงถึงเส้นแบ่งฝ่ายหรือพรมแดนใดๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศก็ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน

ในซีเควนซ์หนึ่ง เขาได้รับการต้อนรับจากนายกเทศมนตรีพรรครีพับลิกัน เดล รอสจากจอร์จทาวน์ รัฐเท็กซัส ซึ่งแม้จะเป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นสีแดงที่สุดในรัฐสีแดง แต่พวกเขากลับเป็นเมืองแรกในเท็กซัสที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% แม้ว่าคงจะเป็นเรื่องยากในการตามหาคนที่จะมีความแตกต่างจากกอร์ในแง่ของอุดมคติทุกอย่างมากไปกว่านี้ แต่รอสก็มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งต่อการมีส่วนช่วยให้เมืองของเขาประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ การพูดคุยแบบเบาๆ ระหว่างเขากับกอร์เป็นสิ่งที่เตือนให้เราตระหนักได้อย่างชัดเจน แม้ว่ามันจะเจือไปด้วยอารมณ์ขันบ้าง ว่ายังมีความหวังสำหรับการร่วมมือโดยไม่คำนึงถึงฝักฝ่ายใดๆ ในประเด็นของภัยคุกคามการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเรา

“มันไม่สมเหตุสมผลจากจุดยืนด้านสามัญสำนึกหรอกหรือครับ” รอสถาม “ยิ่งคุณปล่อยอะไรต่อมิอะไรขึ้นไปบนอากาศน้อยลงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น มันเป็นสามัญสำนึกครับ คุณไม่จำเป็นต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์มาโต้วาทีให้คุณฟังหรอก”

บอนนี โคเฮนกล่าวว่า “เราชื่นชอบความสัมพันธ์ของพวกเขา และมันก็เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการที่คนที่แตกต่างกันเหลือเกินสามารถทำงานร่วมกันได้จริงๆ สิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่าทำให้คนตอบสนองกับอัลคือเสน่ห์ของเขาดูเหมือนจะมาจากที่ไหนซักแห่งที่เก่าแก่ มันเป็นส่วนผสมของอารมณ์ขัน เสน่ห์และความกระจ่างชัดทางศีลธรรม เขาไม่ใช่คนที่มีคุณสมบัติความเป็นคนดังหรือขึ้นกล้องแบบสมัยใหม่ แต่เขาเป็นคนที่ชื่นชอบการลงมือทำงานหนักด้วยตัวเอง และสำหรับหลายๆ คน ฉันคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของยุคสมัยที่บุคคลสาธารณะพยายามรวมตัวกันเพื่อรับมือกับความท้าทายชิ้นใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญน่ะค่ะ”

นอกจากนี้ กอร์ยังคงปรึกษากับนักวิทยาศาสตร์ผู้ยืนอยู่แถวหน้าของการวิจัยเรื่องสภาวะอากาศอยู่เป็นประจำ ใน AN INCONVENIENT SEQUEL กล้องติดตามเขาเข้าไปในบริเวณสวิส แคมป์ เกาะกรีนแลนด์ ที่สวยงามจับตาราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง ที่ซึ่งสถาบันโคออปเปเรทีฟ อินสติติวท์ ฟอร์ รีเสิร์ช อิน ดิ เอ็นไวรอนเมนทัล ไซเอนเซสได้ตั้งสถานีวิจัยที่นั่นตั้งแต่ปี 1990 เพื่อตรวจตราการเคลื่อนไหวของแผ่นน้ำแข็ง ที่นี่ กอร์ได้เรียนรู้จากดร.คอนราด สเตฟเฟนว่า ตัวสถานีพังถล่มหลายครั้งแล้วในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เพราะแผ่นน้ำแข็งที่เป็นที่ตั้งของสถานีได้ละลายอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดและรวดเร็ว ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เห็น ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กอร์ต้องการจะเป็นเสียงให้กับพวกเขา เพื่อถ่ายทอดสารที่เร่งด่วนของพวกเขาออกสู่โลกใบนี้

นอกจากนี้ กอร์ยังกล่าวสุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและสร้างแรงบันดาลใจของเขาเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และมักจะเป็นผู้นำในเซสชันฝึกฝนเพื่อสอนให้คนอื่นๆ กล่าวสุนทรพจน์ของตัวเองบ้าง ไม่นานหลังจากที่ AN INCONVENIENT TRUTH เข้าฉาย กอร์ก็ได้จัดให้มีการฝึกฝนสิ่งที่เขาเรียกว่า การประชุมผู้นำด้านสภาวะอากาศ ที่ฟาร์มของครอบครัวเขาในเมืองคาร์เธจ รัฐเทนเนสซี ตอนนี้ โปรแกรมการฝึกฝนนั้นได้ขยายขอบเขตและครอบคลุมผู้คนกว่า 10,000 คนจากหลากหลายแบ็คกราวน์และความเชื่อ จากกว่า 135 ประเทศ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เผยให้เห็นภาพกอร์เป็นผู้นำการฝึกฝนในไมอามี ฮูสตัน ปักกิ่ง มะนิลา และ ฯลฯ

ริชาร์ด เบิร์จกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ได้เห็นอัลขึ้นพูดในตอนนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเปลี่ยนแปลงและเขียนขึ้นใหม่ก่อนหน้าที่เขาจะขึ้นเวทีเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น เพื่อที่จะได้นำเสนอข้อมูลล่าสุดจริงๆ ออกมา ทุกครั้งที่เขาขึ้นพูด มันจะให้ความรู้สึกสดใหม่และเข้าถึงได้ เราได้เห็นเขาขึ้นพูดหลายครั้งมากๆ ระหว่างการถ่ายทำ และคุณอาจจะคิดว่ามันกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ทุกคนรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกดครับ”

happy on August 26, 2017, 08:47:25 PM



ความเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะอากาศในปัจจุบัน

“มีความกระหายในข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นและเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร” – อัล กอร์

สถานะของวิกฤติการณ์สภาวะอากาศของโลกในตอนเริ่มต้นปี 2017 มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย แต่บางที สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการที่ข่าวดีเป็นการโต้แย้งคำพูดที่ว่า เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยและเศรษฐกิจจะไม่รองรับการเคลื่อนไหวเพื่อบรรเทามลภาวะพิษที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ในทางกลับกัน ในตอนนี้ หน่วยงานด้านเศรษฐกิจต่างๆ กำลังทำงานร่วมกับกลุ่มการเมืองและประชาชนเพื่อผลักดันให้เกิดเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยล้มไม่เป็นท่าเพราะขาดการผลักดันอย่างจริงจัง

จอน เชงค์กล่าวว่า “AN INCONVENIENT SEQUEL แสดงให้เห็นว่า เราเข้าใกล้หายนะมากกว่าที่คนส่วนใหญ่คิดในชีวิตประจำวัน แต่หนังเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นด้วยว่า มีการทำอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตประจำวันมากกว่าที่คนส่วนใหญ่ได้เห็นว่าเกิดขึ้นหรือตระหนักว่ากำลังเกิดขึ้น ผมคิดว่าสิ่งที่อัลถ่ายทอดออกมาได้ดีเหลือเกินคือตอนนี้ เรามีตัวเลือกแล้ว ณ ขณะนี้ นั่นคือเราสามารถจัดการกับมันได้ในแบบที่สมเหตุสมผล ด้วยความใส่ใจและความรอบคอบ หรือเราจะดิ้นรนเอาในตอนที่สถานการณ์ดิ่งลงเหว ซึ่งมันจะดิ่งลงเหวแน่ๆ ล่ะ เห็นได้ชัดว่าตัวเลือกแรกเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเยอะ และอัลก็เชื่อว่าผู้คนเข้าใจเรื่องนั้นครับ”

ด้วยอันตรายที่ทบทวีขึ้น ซึ่งหลายอย่างเป็นที่รับรู้ของสาธารณาชนเป็นครั้งแรกใน AN INCONVENIENT TRUTH อันตรายเหล่านี้เห็นได้ชัดกว่าแต่ก่อนและกลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อทั้งระบบนิเวศวิทยาของโลกและความเป็นอยู่ของมนุษย์

•   อุณหภูมิยังคงสูงขึ้น – ปี 2016 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ และนับเป็นปีที่สามติดต่อกันที่ได้ครองสถิติดังกล่าว สภาพอากาศสุดโต่งได้กลายมาเป็นเรื่องธรรมดาแทนที่จะเป็นข้อยกเว้น ตอนนี้ วันที่ทำลายสถิติร้อนที่สุดเริ่มเกิดขึ้นเป็นประจำ ความถี่ของการเกิดวันที่ร้อนเป็นพิเศษได้เพิ่มขึ้น 150% ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กันนั้นคือภัยแล้งที่ทำลายผลิตผลทางการเกษตรและไฟป่าที่ปะทุขึ้นในภูมิภาคเปราะบางต่างๆ นอกจากนั้น อุณหภูมิในมหาสมุทรยังเพิ่มสูงขึ้นด้วย เนื่องด้วย 93% ของความร้อนส่วนเกินในชั้นบรรยากาศของโลกถูกกักอยู่ในมหาสมุทร และยิ่งน้ำจากมหาสมุทรระเหยขึ้นสู่ท้องฟ้ามากขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะกลายเป็นแม่น้ำชั้นบรรยากาศเหนือผืนดิน ผลที่ปรากฏคือฝนที่ตกลงมาอย่างรุนแรงและหนาแน่นมากยิ่งขึ้น เป็นผลให้เกิดน้ำท่วมชนิดทำลายสถิติตามมา พายุฤดูร้อนและเฮอร์ริเคนก่อให้เกิดหายนะในวงกว้าง ด้วยความเสียหายใหญ่หลวงต่อชีวิตและเศรษฐกิจ ทั้งทั่วโลกและในอเมริกาเอง 

•   ธารน้ำแข็งสำคัญๆ เกือบทุกแห่งของโลกยังคงละลายอย่างต่อเนื่องและน้ำแข็งในทะเลอาร์คติกก็ลดลงด้วยความเร็วมากยิ่งขึ้น – เดือนพฤศจิกายน ปี 2016 สร้างสถิติปริมาณน้ำแข็งในทะเลต่ำสุดจากทั้งอาร์คติกและแอนตาร์คติกา ในขณะที่แค่กรีนแลนด์เพียงเกาะเดียวก็สูญเสียน้ำแข็งไปเฉลี่ยกว่า 250 พันล้านตันต่อปี จังหวะความเปลี่ยนแปลงนี้ได้สร้างความตกตะลึงให้กับแม้กระทั่งผู้ที่ศึกษาความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างธารน้ำแข็ง มหาสมุทรและชั้นบรรยากาศ ไม่นานนัก ฤดูร้อนในอาร์คติกอาจจะปรากฏจากน้ำแข็ง ตาข้อมูลของศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติ ในขณะที่ธารน้ำแข็งละลายไหลลงมหาสมุทร ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้คนหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ในที่ลุ่มต่ำเสี่ยงต่อการเผชิญกับน้ำท่วมอย่างไม่อาจบรรเทาเบาบางได้ ในขณะที่การคาดการณ์ถึงความเร็วในการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลนั้นไม่ใช่เรื่องที่แม่นยำนัก แต่นักวิจัยที่ได้รับการยกย่องก็กล่าวว่า แนวโน้มในปัจจุบันบ่งชี้ว่าระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นถึงเจ็ดฟุตภายในศตวรรษนี้ในบางพื้นที่ของโลก ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างแผนที่ใหม่ในแบบที่เหลือเชื่อ และก่อให้เกิดผู้อพยพหลายร้อยล้านคน

•   ระดับคาร์บอน ไดอ็อกไซด์ก้าวพ้นระดับสำคัญที่ 400 ส่วนในล้านส่วนในเดือนมีนาคม ปี 2015 – ครั้งสุดท้ายที่ระดับคาร์บอน ไดอ็อกไซด์สูงถึงขนาดนี้ มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่ นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์เสนอแนะว่าระดับคาร์บอน ไดอ็อกไซด์จะต้องลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 350 ส่วนในล้านส่วน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงจากวิกฤติการณ์สภาวะอากาศ แต่ในปี 2016 81% ของพลังงานทั้งหมดที่ถูกผลิตขึ้นในโลกใบนี้ก็ยังคงอาศัยเชื้อเพลิงจากคาร์บอน

•   ตอนนี้ หายนะหลากหลายประการที่เกิดขึ้นทั่วโลกถูกนำไปเชื่อมโยงทางวิทยาศาสตร์กับความเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศ รวมถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของโลก– โดยมีการประมาณการว่า 25% ของสายพันธุ์สัตว์บกเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ภายในปี 2050 เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยที่ลดน้อยลง ความหลากหลายทางพันธุกรรมกำลังลดลงในกลุ่มสายพันธุ์ที่ไม่สามารถปรับตัวกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปได้เร็วพอ การลดปริมาณลงของธรรมชาติไม่เพียงนำมาซึ่งความสูญเสียใหญ่หลวง แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับสมดุลธรรมชาติด้วย การแพร่กระจายตัวอย่างรวดเร็วของโรคระบาด ตั้งแต่ไข้เลือดออกไปจนถึงไวรัสซิก้า ถูกสืบค้นว่ามีที่มาจากพาหะต่างๆ ซึ่งก็คือยุงและ “สัตว์พาหะ” อื่นๆ ที่นำพาเชื้อโรค ซึ่งเติบโตได้ดีในอุณหภูมิสูง ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อื่นๆ ที่เพิ่มมากขึ้นรวมถึงภาวะทุพโภชนาที่เกิดจากผลผลิตทางการเกษตรเสียหายและโรคทางปอดที่มีปริมาณมากขึ้นเนื่องจากมลภาวะพิษทางอากาศ

•   ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่มีผลมาจากความเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศยังคงเพิ่มสูงขึ้น – ในปีนี้ การประชุมเศรษฐกิจโลกในเมืองดาวอสกล่าวถึงวิกฤติการณ์สภาวะอากาศว่าเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของเศรษฐกิจโลก ในปี 2015 สหประชาชาติประมาณการว่า ความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศทำให้คน 15 ล้านคนต้องพลัดพรากจากที่อยู่อาศัย เป็นการทำให้วิกฤติการณ์เรื่องผู้อพยพของโลกเลวร้ายลงไปอีก ซึ่งมันก็กลายเป็นตัวสร้างแรงกดดันที่สำคัญทางเศรษฐกิจและการเมือง ถึงขั้นสั่นคลอนความมั่นคงทางการเมืองและเสถียรภาพทางการเงินในยุโรปด้วยซ้ำไป ความขัดแย้งในซีเรีย ที่ทำให้คนนับล้านขาดแคลนที่อยู่อาศัย ผลาญเงินหลายพันล้านเหรียญและเป็นการเปิดประตูนรกบนดิน ถูกตามมาด้วยภัยแล้งที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 900 ปี ซึ่งทำลายไร่นาในซีเรียไป 60% และคร่าชีวิตปศุสัตว์ของชาวซีเรียมากถึง 80% ในช่วงนี้ ผู้อพยพจากเหตุสภาวะอากาศ 1.5 ล้านคนได้อพยพเข้าสู่ตัวเมือง ทำให้ความขัดแย้งภายในโหมกระหน่ำยิ่งขึ้นไปอีก

ตอนนี้ ภาพที่เป็นเหมือนคำทำนายตามคัมภีร์ไบเบิลที่เกิดจากผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศได้ปรากฏทั่วไปตามพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ และกอร์ก็ติดตามข่าวเหล่านั้นทุกวัน เขาสะเทือนใจกับภาพต่างๆ ซึ่งหลายภาพปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ของผู้หญิงที่ตกลงไปจากถนนที่ละลายในอินเดีย ภาพของชาวหลุยส์เซียนาที่ถูกช่วยเอาไว้ได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะจมน้ำในรถที่ถูกน้ำท่วมสูง ภาพของทุ่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ระเบิดออกท่ามกลางอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นในกรีนแลนด์ ภาพของปลาในมหาสมุทรที่ว่ายอยู่บนท้องถนนของฟลอริดา ภาพของ “ระเบิดฝน” ที่โจมตีอริโซนา ราวกับในภาพยนตร์ไซไฟ

อย่างไรก็ดี ไม่มีภาพไหนที่สั่นคลอนศรัทธาและความหวังของกอร์ได้เลย ที่มาของการมองโลกในแง่ดีของเขาส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งในศักยภาพของมนุษย์ เป็นคนที่สร้างทั้งชีวิตของเขาขึ้นมาจากอุดมคติและค่านิยมนั้น

แต่การมองโลกในแง่ดีของกอร์ก็มีที่มาจากหลักฐานด้วยเช่นกัน การกระทำที่ยั่งยืนและต่อเนื่องได้ส่งผลมหาศาลแล้วต่อการควบคุมปริมาณแก๊สที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศของมนุษย์ และกอร์ก็ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ว่าอาจจะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ กลุ่มผลประโยชน์หรือพลังทางการเมืองเจ้าเล่ห์ใดๆ ที่ทำงานในทิศทางตรงกันข้าม พลังของพวกเขาก็ไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ แรงกดดันด้านเศรษฐกิจและสาธารณชนกำลังส่งผลอย่างเห็นได้ชัด นาฬิกาที่นับถอยหลังสู่วิกฤติการณ์สภาวะอากาศยังคงไม่หยุดเดิน แต่การแข่งขันเพื่อเอาชนะมันยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง   

   เรื่องราวความสำเร็จด้านสภาวะอากาศครั้งใหญ่ที่กอร์ได้เห็นและมีส่วนร่วมเมื่อเร็วๆ นี้รวมถึง:
    
•   เป็นครั้งแรกที่เมืองต่างๆ ทั่วโลกบรรลุเป้าหมายในการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน 100% รวมถึงเมืองร็อคพอร์ท รัฐมิสซูรี เมืองกรีนส์เบิร์ก รัฐแคนซัส เมืองเบอร์ลิงตัน รัฐเวอร์มอนท์ เมืองแอสเพน รัฐโคโลราโด เมืองโคลัมเบีย รัฐแมรีแลนด์และโคดิแอค ไอแลนด์ รัฐอลาสก้าในอเมริกา เมืองอื่นๆ อีกหลายเมืองกำลังเข้าใกล้เป้าหมายนั้น หลายๆ ประเทศในยุโรปจะมีหลายวันที่ความต้องการใช้ไฟฟ้า 100% ของพวกเขาถูกเติมเต็มด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ตอนนี้ มากกว่าหนึ่งในสามของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตในเยอรมนีผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ในหลายๆ พื้นที่ของโลก การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานลมและแสงอาทิตย์เริ่มมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว

•   ตอนนี้ การลงทุนของโลกในเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มีปริมาณมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว เทคโนโลยีแบตเตอรีและยานพาหนะที่ใช้ไฟฟ้า ได้ขยายการลงทุนในเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลลง มีแนวโน้มว่าจะเกิดนวัตกรรมที่พิเศษสุดในเรื่องเหล่านี้ ตลาดกำลังหันหลังให้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ บริษัทผลิตไฟฟ้าก็กำลังวางแผนสำหรับอนาคตที่ไช้คาร์บอนต่ำ ที่มีความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่อาจคลี่คลายวิกฤติการณ์สภาวะอากาศได้รวดเร็วพอ แต่แนวโน้มทางเศรษฐกิจก็ช่วยทำให้เกิดแนวคิดที่ว่า อนาคตเป็นของพลังงานหมุนเวียน

•   พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เติบโตอย่างก้าวกระโดด เกินความคาดหวัง ในปี 2000 มีการคาดการณ์ว่าพอถึงปี 2010 โลกอาจจะติดตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ 30 กิกะวัตส์ ในปี 2015 ความเป็นจริงคือ กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้มากกว่าตัวเลขนั้น 14 เท่า พลังงานแสงอาทิตย์ก้าวพ้นจากที่คาดการณ์เอาไว้มาก สิ่งที่คาดการณ์กันเอาไว้คือจะมีการติดตั้งเครื่องมือผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ปีละหนึ่งกิกะวัตส์ภายในปี 2010 แต่การคาดการณ์สำหรับปี 2016 คือตัวเลขที่มากกว่านั้น 70 เท่า และค่าใช้จ่ายการติดตั้งโซลาร์ เซลล์ก็ลดลง 85% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เดินมาถึงจุดที่ค่าใช้จ่ายมาเท่ากับหรือน้อยกว่าไฟฟ้าจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลตามปกติแล้ว ชิลีได้ขยับจากการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 11 เมกะวัตส์ในปี 2013 ไปสู่การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 400 เมกะวัตส์ในปี 2014 และ 850 เมกะวัตส์ในปี 2015 และปัจจุบัน พวกเขาก็กำลังอยู่ขั้นตอนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อีก 13.3 กิกะวัตส์ ในขณะเดียวกัน ในอเมริกา มีสัญญาณต่างๆ ที่บ่งชี้ถึงความต้องการและเสียงเรียกร้องพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมจากสาธารณชน การขาดการเข้าถึงคือสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของพลังงานดังกล่าว   

•   กำลังเกิดการขยายตัวครั้งใหญ่ที่สุดในเรื่องพลังงานหมุนเวียนในประเทศกำลังพัฒนา  ประเทศต่างๆ ที่ปัจจุบันนี้ขาดโครงข่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่และสาธารณูปโภคที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ได้ใช้โอกาสในการ “ก้าวกระโดด” สู่เทคโนโลยียั่งยืน ซึ่งรวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เช่นเดียวกับการที่หลายๆ ประเทศในกลุ่มนี้ ใช้โทรศัพท์มือถือกันอย่างรวดเร็ว โดยไม่สร้างโครงข่ายโทรศัพท์บ้าน แม้ว่ามันต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลกเพื่อทำให้มันเวิร์ค แต่มันก็เป็นโอกาสสำคัญให้ประเทศต่างๆ สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ที่ก้าวข้ามวิธีการแบบเดิมๆ และลดปริมาณการปล่อยแก๊สขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในขณะที่การพัฒนายังคงเดินหน้าต่อไป

•   ดีพ สเปซ ไคลเมท อ็อบเซอร์วาทอรี (ดีเอสซีโอวีอาร์) ซึ่งถูกปล่อยออกไปในปี 2015 จะทำให้เราได้ข้อมูลทางสภาวะอากาศ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การปล่อยตัวครั้งนี้เป็นฝันที่เป็นจริงสำหรับกอร์ ผู้ซึ่งในปี 1998 ได้เสนอเรื่องดาวเทียมพิเศษ ที่จะติดตามเรื่องความเปลี่ยนแปลงของโลก มันจะนำเสนอภาพ “ลูกแก้วสีฟ้า” ของโลก เตือนเรื่องพายุสุริยะ และรวบรวมข้อมูลที่จะช่วยสร้างโมเดลความเปลี่ยนแปลทางสภาวะอากาศที่แม่นยำยิ่งขึ้นและเสริมสร้างความเข้าใจของเราที่มีต่อสมดุลเรื่องพลังงานของโลกด้วย

•   ข้อตกลงปารีสในปี 2015 ที่ใช้ระยะเวลาในการสร้างหลายสิบปี กลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรา ในข้อตกลงแห่งประวัติศาสตร์นี้ 195 ประเทศทั่วโลก เรียกได้ว่าแทบทุกประเทศในโลก ได้ประกาศตัวว่าจะมีส่วนร่วมในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เป้าหมายรวมถึงการรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมเกินกว่า 2 องศาเซลเซียสในขณะที่รักษาการเพิ่มของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาระบบนิเวศวิทยาตามธรรมชาติ เช่นป่าและดิน ที่อาจกลายเป็นแหล่งเก็บกักภาวะเรือนกระจก  “และระดมการสนับสนุนทางการเงินที่มีต่อการลดปริมาณแก๊สและโครงการใช้พลังงานหมุนเวียน  และสนับสนุนให้ประเทศที่พัฒนาแล้วให้ช่วยเหลือประเทศที่เปราะบางให้ก้าวพ้นจากความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ”