AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER
วันที่เข้าฉาย 24 สิงหาคม 2560
จัดจำหน่าย บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด 1 ทศวรรษหลังจากที่ An Inconvenient Truth ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัย ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ก็ยังไม่ได้ลดลงเลย และยังเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สภาวะที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าเราใกล้จะถึงการปฏิวัติพลังงานอย่างเต็มที่
ในภาพยนตร์ An Inconvenient Truth 2 อดีตรองประธานาธิบดี อัล กอร์ ยังคงเดินทางไปทั่วโลกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้ความรู้และฝึกฝนทีมงาน สานต่อภารกิจให้ความรู้และปลุกหัวใจของผู้คน โดยเชื่อว่าความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถเอาชนะได้ด้วยความฉลาดและแรงผลักดันของมนุษย์ การถ่ายทำภาพยนตร์มีกล้องติดตามเขาอยู่ ทำให้เราได้ชมเบื้องหลัง ทั้งการทำงานในช่วงเวลาที่ทำงานกับภาครัฐและเอกชน มีอารมณ์ทั้งตลกและฉุนเฉียว
ภาพยนตร์ กำกับโดย บอนนี่ โคเฮน และจอน เชงค์ ล่าสุด ได้วงป็อปร็อคชื่อดังอย่าง One Republic มาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อ Truth to Power ซึ่งเป็นการร่วมงานระหว่างไรอัน เท็ดเดอร์ นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดัง สมาชิกวง One Republic และ ที โบน เบอร์เนทท์ โปรดิวเซอร์ระดับท็อปของโลกAn Inconvenient Truth 2 มีกำหนดเข้าฉายไทย 24 สิงหาคม ในโรงภาพยนตร์“หลังจาก ไม่ ครั้งสุดท้าย คำว่า ใช่ ก็ปรากฏ
และอนาคตก็อาศัยคำว่า ใช่ นั้นแหละ”
~วอลเลซ สตีเวนส์
หนึ่งทศวรรษหลังจาก AN INCONVENIENT TRUTH ได้ทำให้เรื่องของวิกฤติการณ์สภาวะอากาศเข้ามาอยู่ในหัวใจของผู้คนทั่วไป บัดนี้ ถึงเวลาของภาคต่อที่น่าติดตามและปลุกเร้าอารมณ์ ที่แสดงให้เห็นว่า เรากำลังเข้าใกล้การปฏิวัติพลังงานที่แท้จริงมากแค่ไหน อดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ยังคงสานต่อการต่อสู้ที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยของเขา เดินทางไปทั่วโลกเพื่อฝึกฝนกองกำลังผู้อนุรักษ์สภาวะอากาศและส่งอิทธิพลต่อนโยบายสภาวะอากาศในทั่วโลก กล้องจะติดตามเขาแบบเบื้องหลัง ทั้งในช่วงเวลาส่วนตัวและช่วงเวลาที่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ช่วงเวลาตลกและช่วงเวลาจริงจัง ในตอนที่เขาไล่ตามไอเดียสร้างแรงบันดาลใจที่ว่า แม้ว่าความเสี่ยงไม่เคยสูงเท่านี้มาก่อน แต่อันตรายจากความเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะอากาศก็สามารถถูกขจัดไปได้ด้วยความชาญฉลาดและความมุ่งมั่นทุ่มเทของมนุษย์
พาราเมาท์ พิคเจอร์สและพาร์ทิซิแพนท์ มีเดีย ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยแอ็กชวล ฟิล์มส์ โปรดักชัน AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER ภายใต้การกำกับของบอนนี โคเฮนและจอน เชงค์ ผู้อำนวยการสร้างได้แก่เจฟฟ์ สคอล, ริชาร์ด เบิร์จและไดแอน เวเยอร์แมนน์และผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เดวิส กุกเกนเฮม, ลอว์เรนซ์ เบนเดอร์, ลอรี เดวิด, สก็อต ซี. เบิร์นส์และเลสลีย์ ชิลค็อทท์ ผู้กำกับภาพคือจอน เชงค์ มือลำดับภาพได้แก่ดอน เบอร์เนียร์และโคลิน นูสบอม ดนตรีประพันธ์โดยเจฟฟ์ บีลอัล กอร์ และวิกฤติการณ์สภาวะอากาศ: 10 ปีให้หลัง
“ความงามทั้งมวลของโลกใบนี้กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง” –อัล กอร์
ปี 2006 ในตอนที่รองประธานาธิบดีอัล กอร์ กลายเป็นจุดสนใจหลักของภาพยนตร์รางวัลออสการ์ AN INCONVENIENT TRUTH เขาเป็นบุคคลผู้อยู่ตรงทางแยกอย่างแท้จริง เพราะเขาเป็นผู้สร้างเส้นทางใหม่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่อื้อฉาวและขับเคี่ยวกันมาอย่างรุนแรงในปี 2000 ซึ่งลงเอยด้วยการตัดสินใจของศาลสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยความต้องการจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหมาย กอร์ได้อำลาเวทีการเมือง เพื่อทำตามสัญชาตญาณและหัวใจของเขา มุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยก้าวข้ามมาก่อน เขาทุ่มทุกอย่างที่เขามี ทั้งพลังงาน ความเฉลียวฉลาด แรงขับและเสียง ให้กับประเด็นยักษ์ใหญ่ที่จุดประกายในตัวเขามาเนิ่นนานแล้ว นั่นคือการเผชิญหน้ากับโอกาสที่น่าตื่นตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ ของวิกฤติการณ์สภาวะอากาศทั่วโลก ที่อาจส่งผลถึงจุดจบของอารยธรรมมนุษยชาติได้ทีเดียว
ในตอนนั้น วิกฤติการณ์สภาวะอากาศก็มาถึงทางแยกด้วยเช่นกัน กำลังมีการทำการสรุปทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศอาจมีต่อมนุษย์ เศรษฐกิจและโลกหากโลกไม่ทำการใดๆ เพื่อลดปริมาณการปล่อยแก๊สพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของมนุษย์ ขอบเขตที่กว้างไกลของมหันตภัยนั้นเพิ่งเป็นที่รับรู้ของสาธารณชน และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลก็แสดงท่าทีต่อต้านอย่างจริงจัง
แต่นั่นคือในตอนนั้น และภายในเวลา 10 ปีนับแต่นั้นมา อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจที่ว่าการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศได้ก้าวมาไกลอย่างน่าทึ่งแค่ไหน และเหตุผลที่กอร์กล่าวในตอนนี้ว่า ความเคลื่อนไหวนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว ได้ถูกเผยออกมาใน AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นในทิศทางที่แปลกใหม่ เพื่อนำเสนอมุมมองวงในของความเปลี่ยนแปลงในแง่บวกที่กำลังดำเนินไป เมื่อมันเผยให้เห็นว่ากอร์เผชิญหน้ากับแรงต้านที่ดุดันและรับมือกับความผิดหวังอย่างไร ก่อนที่เขาจะฟื้นตัวและรวบรวมกลุ่มคนที่พร้อมจะสู้ไปกับการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในยุคของเรา
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นับตั้งแต่ปี 2006 ได้เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและระดับโลก กอร์ได้กลายเป็นบุคคลทางการเมืองแบบฉันทมติ ที่ผลักดันเรื่องไอเดียที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าขอบเขตของค่ายหรือฝั่งการเมือง AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER และสื่ออื่นๆ ได้ร้อยเรียงเรื่องของความเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศเข้าไปในตัวตนของวัฒนธรรมเรียบร้อยแล้ว และเมื่อถึงเวลาหยุดยั้งการใช้สารปรอท คอนเซ็ปต์ยักษ์ใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้นให้เห็น เศรษฐกิจแบบใช้คาร์บอนต่ำกำลังเริ่มปรากฏขึ้นด้วยจังหวะแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ภายใต้แรงขับเคลื่อนของเทคโนโลยีนวัตกรรมและกระแสเศรษฐกิจขาขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว ปี 2016 เป็นปีที่เกิดการลงทุนในเรื่องพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกสูงสุด
ตอนนี้ กำลังเกิดการเคลื่อนไหวในขณะที่ความสิ้นหวังกำลังเข้าคุกคาม ข้อตกลงปารีสในปี 2015 ที่สร้างความแปลกใหม่ ได้รวมพลังคนทั้งโลกเพื่อรับมือกับการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศกำลังพัฒนากำลังสลัดการผลิตไฟฟ้าแบบเดิมๆ ที่ไร้ประสิทธิภาพและการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน เพื่อหันไปเลือกพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน สิ่งที่น่าสนใจคือกอร์ไม่ได้เป็นเสียงที่โดดเดี่ยวเพียงเสียงเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่เขาเป็นเสียงที่ดังที่สุดและชัดเจนที่สุดในซิมโฟนีเสียงประสาน จากทุกประเทศ จากคนทุกอาชีพและทุกฝั่งฝ่ายการเมือง ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นภายในระยะเวลารวดเร็ว
ทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในสไตล์ “ภาพยนตร์แบบตรงไปตรงมา” ที่น่าตื่นเต้น ด้วยการทลายกำแพงที่แบ่งระหว่างผู้ชมและบุคคลในภาพยนตร์ทิ้งไป กล้องติดตามกอร์ระหว่างที่เขาเดินทางผ่านกรีนแลนด์ อินเดีย ยุโรป เอเชียและทั่วอเมริกา ขณะที่กล้องติดตามเขาผ่านสถานที่ของผู้ทรงอำนาจ สู่แนวสนามรบกับผู้รอดชีวิต นักวิทยาศาสตร์ ผู้นำที่เหลือเชื่อและคนธรรมดา ผู้ถูกขับเคลื่อนให้ทำในสิ่งที่ไม่ธรรมดา ช่วงเวลาที่ไม่ได้ถูกเขียนบทเอาไว้ได้เผยให้เห็นมุมมองใหม่ที่มีต่อชีวิตของเขา ยุคสมัยของเราและความเป็นจริงที่กอร์กล่าวว่าเราไม่อาจเพิกเฉยได้ ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องเปลี่ยนและเราสามารถเปลี่ยนได้ เราก็ต้องทำมันให้เร็วขึ้นอีก
ผู้กำกับร่วม บอนนี โคเฮนกล่าวว่า “นี่เป็นบทต่อไปของเรื่องราววิกฤติการณ์สภาวะอากาศที่เราได้เห็นทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เร่งความเร็วขึ้นและสงครามใหม่ที่กำลังปะทุขึ้นมา คำถามไม่ใช่ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงรึเปล่าอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเพียงพอได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนอัลในทุกวัน กับหนังเรื่องนี้ เรามีโอกาสได้เล่าเรื่องราวว่าอัลเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งได้อย่างไร หลังจาก AN INCONVENIENT TRUTH อัลไม่ได้พักผ่อนเลย เขาตั้งเป้าหมายอย่างไม่ลดละในการสร้างกลุ่มคนที่จะทำงานเพื่อคลี่คลายวิกฤติการณ์ แม้กระทั่งในตอนที่เกิดความขัดแย้งด้านการเมืองขึ้นมาก็ตาม เขาเป็นเหมือนตัวโลแร็กซ์ ที่คอยพูดเพื่อผลประโยชน์ของโลกใบนี้แม้จะมีอุปสรรคถาโถมเพียงใดก็ตาม แต่ตอนนี้ คนส่วนใหญ่ในโลกคอยเอาใจช่วยเขาแล้วค่ะ”
สำหรับผู้อำนวยการสร้างเจฟฟ์ สคอล ผู้ทำการกุศ นักธุรกิจเพื่อสังคมและผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการของพาร์ทิซิแพนท์ มีเดีย ผู้มีส่วนช่วยบุกเบิกภาพยนตร์ภาคแรก ความจำเป็นในการสร้างภาคต่อเป็นเหมือนกับคำสั่ง เขาเล่าว่า “ในปี 2010 หลังจากที่เดินทางไปที่แอนตาร์คติกา ผมเชื่อว่าเราจำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องราว INCONVENIENT TRUTH กันอีกรอบ แต่ด้วยเป้าหมายที่ต่างออกไป ผมกับอัลครุ่นคิดถึงไอเดียของภาคต่อมาหลายปีแล้ว แต่มีสามสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2014 ที่ทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมครับ”
สคอลกล่าวขยายความว่า “สิ่งแรกคือการครบรอบ 10 ปีของเราทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเราได้รับอนุญาตให้กลับไปดูว่า ภาคแรกทำอะไรถูกต้องบ้าง และเราอาจจะทำผิดพลาดไปตรงไหนบ้าง อย่างที่สอง ซึ่งสำคัญกว่านั้น คือเรารู้ว่าเรามีเรื่องราวในแง่บวกที่จะบอกเล่าออกไป และคนคงจะรู้สึกเหมือนมีแรงบันดาลใจขึ้นมาที่ได้รู้ว่า การกระทำของพวกเขาทำให้ตอนนี้ หนทางคลี่คลายวิกฤติการณ์อยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ความท้าทายเชิงสร้างสรรค์ของเราคือการบอกให้ผู้คนรับรู้ถึงปัญหาใหญ่หลวงที่น้อยคนจะรู้หรือเข้าใจ ครั้งนี้ เรามีโอกาสที่จะบอกเล่าเรื่องราวนั้นอีกครั้ง แต่ด้วยตอนจบที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจของวิธีคลี่คลายวิกฤติการณ์จริงๆ ที่จับต้องได้ สุดท้าย หนังภาคแรกเป็นแรงบันดาลใจให้คนนับล้านๆ ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว หนังภาคใหม่นี้จะเป็นโอกาสให้เราได้เผยภาพกองทัพนักเคลื่อนไหวที่ได้แรงบันดาลใจจากอัล และในสิบปีให้หลัง ก็จะมีคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยเกินกว่าจะมีส่วนร่วมเมื่อครั้งที่แล้ว ที่จะเกิดแรงจูงใจในการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาทางสังคมประเภทนี้ครับ”
ถ้า AN INCONVENIENT TRUTH เป็นเสียงปลุกให้ตื่น ตอนนี้ คนนับล้านก็ตาสว่างแล้ว ผลก็คือสิ่งที่ถูกเรียกขานว่า การปฏิวัติอย่างยั่งยืน มันเป็นการปฏิวัติที่กอร์เชื่อว่าจะส่งผลกระทบความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อทุกแง่มุมของสังคมมนุษย์พอๆ กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมหรือการปฏิวัติดิจิตอลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ด้วยการเสริมสร้างค่านิยมและหลักปฏิบัติใหม่ๆ พร้อมกับการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมในแวดวงของการออกแบบ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การพาณิชย์ การเงิน การอนุรักษ์ ชุมชนและ ฯลฯ “มันมีสโคปของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและความเร็วแบบการปฏิวัติดิจิตอลครับ” เขากล่าว
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นแล้ว คำพูดปลุกเร้าจิตใจของกอร์ในปี 2017 ตรงข้ามกับคำพูดของเหล่าผู้สิ้นหวัง เวลาไม่ได้หมดลงแล้ว ถ้าเราลงมืออย่างกล้าหาญ รวบรวมพลังทางการเมืองให้มากกว่านี้ ลงทุนให้ชาญฉลาดมากขึ้นกว่านี้ และใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ให้มากกว่านี้ในตอนนี้ กำแพงที่ขวางกั้นหนทางไปสู่การคลี่คลายวิกฤติการณ์สภาวะอากาศก็จะล่มสลาย ด้วยการมองโลกในแง่บวกที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าเสมอของเขา กอร์เชื่อว่าการร่วมมือครั้งนี้สำคัญยิ่ง มันเป็นโอกาสสุดท้ายที่ดีที่สุดของเราในการเปลี่ยนแปลงโลกที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนได้ของเรา เมื่อที่ว่ามันจะสามารถอดทนและหล่อเลี้ยงมนุษยชาติและสายใยชีวิตได้อย่างยั่งยืน
ผู้กำกับร่วมจอน เชงค์กล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่เราพบว่าน่าทึ่งในการสร้างหนังเรื่องนี้คือการมองโลกในแง่บวกของอัลไม่มีขอบเขตที่ชัดเจนครับ ทุกวันเราได้เห็นผู้คนที่ประทับใจกับอัลถึงขั้นที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองแลเราก็เช่นกัน ตามที่เขาจะบอกคุณ เรื่องราวนี้ก้าวไปไกลเกินกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ มันครอบคลุมไปถึงบริษัทผลิตพลังงาน เจ้าหน้าที่รัฐฯ ผู้นำเยาวชน ศิลปิน และ ฯลฯ ที่ทุกคนทำงานเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มันให้ความรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญเหลือเกินที่จะออกไปท่องโลกกับอัลและเปิดม่านให้เห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นว่ามันเกิดขึ้นแต่มีผลลัพธ์ที่ส่งผลยาวไกลเหลือเกินน่ะครับ”
สำหรับผู้อำนวยการสร้างริชาร์ด เบิร์จ มีสิ่งที่งดงามและอบอุ่นจิตใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับความจริงที่ว่า ภาพยนตร์ใหม่เรื่องนี้นำเสนอคำตอบมากกว่าภาคแรก “สิ่งที่ผมพบว่าน่าตื่นเต้นเหลือเกินคือการที่หนังที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ให้ความหวังน้อยกว่าเรื่องนี้ครับ” เขารำพึง “การได้เห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกินทำให้ผมเปลี่ยนความจากความรู้สึกกังวลสุดซึ้งไปเป็นความเชื่อในความสามารถของเราที่จะคลี่คลายเรื่องนี้ครับ”
ผู้อำนวยการสร้างไดแอน เวเยอร์แมนน์ หัวหน้าฝ่ายภาพยนตร์สารคดีที่พาร์ทิซิแพนท์ มีเดีย และผู้ควบคุมงานสร้าง AN INCONVENIENT TRUTH กล่าวเสริมว่า “AN INCONVENIENT TRUTH นำเรามายืนอยู่บนหนทางคลี่คลายวิกฤติการณ์นี้ แต่เราก็ยังไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่ปลอดภัย สัญญาณเตือนดังขึ้นเป็นระยะๆ ด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เราก็เลยรู้สึกว่า มีสองเรื่องที่จะต้องได้รับการบอกเล่าในสิบปีให้หลัง หนึ่งคือผู้คนทั่วโลกได้ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ และสอง มันยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมายและพวกเราก็หวังว่าจะได้ทำมันร่วมกัน ความเร่งด่วนก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือการมองโลกในแง่บวกจริงๆ ที่ไม่ได้มีอยู่เมื่อสิบปีที่แล้ว อัล, พาร์ทิซิแพนท์และทีมผู้สร้างต่างก็รู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ตอนนี้ ได้เวลาที่เราจะมองไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้วค่ะ”
สคอลเชื่อว่า ความอดทนที่ต่อเนื่องของกอร์เองก็เป็นที่มาของความทึ่งและแรงบันดาลใจเช่นกัน “ตอนที่คุณได้ดู AN INCONVENIENT SEQUEL: TRUTH TO POWER คุณจะได้เห็นเรื่องราวความกล้าหาญ ความไม่ย่อท้อและหัวใจของชายคนหนึ่ง และความสามารถพิเศษสุดของเขาในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น และหลังจากหลายปีผ่านมาแล้ว ผมก็แปลกใจที่ผมยังสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับเพื่อนผมได้อีก”
สคอลกล่าวต่อไปว่า “สิ่งสำคัญคือ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ระหว่างหนังทั้งสองเรื่องนี้ อัลมีทุกเหตุผลที่จะยอมแพ้ แต่เขาก็ไม่ทำ อัลแพ้การเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงที่ห่างกันเพียงนิดเดียวและสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อัลเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมก็อซซิป ที่สนับสนุนการเมืองของการทำลายล้างมากกว่าพลังของการรับใช้ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อัลเจอกับนักวิจารณ์ ผู้เคลือบแคลงสงสัย จอมบงการ โทรลล์ทวิตเตอร์ และคนที่ปฏิเสธท่าเดียว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อัลสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้ามที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างดีและมีความเป็นกลุ่มก้อน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ นี่คือคนที่ปฏิเสธการยอมจำนน เขาเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่เข้าใจโลกที่กำลังตกอยู่ในอันตรายของเราและเสี่ยงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ความมั่งคั่งและความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อจะยืนอยู่ข้างที่ถูกของประวัติศาสตร์และปกป้องบ้านเพียงหนึ่งเดียวของเรา หน้าที่ของเราที่มีต่อประเด็นนี้ยังไม่เสร็จสิ้นลง แต่ผมก็มองโลกในแง่ดีมากกว่าแต่ก่อนว่าเรากำลังอยู่บนเส้นทางที่ทำให้แน่ใจว่า บ้านเพียงหนึ่งเดียวของเราจะคงอยู่และเจริญรุ่งเรืองต่อไป และการมองโลกในแง่ดีส่วนใหญ่นั้นของผมก็เกิดมาจากการที่ได้รู้ว่า อัล กอร์ไม่ได้ยอมแพ้ และจะไม่ยอมแพ้ครับ”