happy on December 26, 2016, 02:37:41 PM


บริษัท ไชนา ฟิล์ม จำกัด, เลอวิชัน พิคเจอร์ส, ลีเจนดารี พิคเจอร์สและยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส

ภูมิใจเสนอ

ผลงานสร้างโดยลีเจนดารี พิคเจอร์ส/แอตลาส เอนเตอร์เทนเมนต์

ภาพยนตร์โดย จางอี้โหมว

แมตต์ เดมอน

THE GREAT WALL

จิง เถียน
เปโดร ปาสคัล
วิลเลม เดโฟ
จางฮั่นหยู
เอ็ดดี้ เผิง อวี่เยี่ยน
ลู่ หาน
เคนนี หลิน
หวังจุนไค
เจิ้งข่าย
เชนีย์ เฉิน
หวงซวน
และ
แอนดี้ เลา

กำกับโดย
จางอี้โหมว

ชื่อภาพยนตร์:   THE GREAT WALL
ชื่อไทย:           เดอะ เกรท วอลล์
วันที่เข้าฉาย:     29 ธันวาคม 2559
จัดจำหน่าย:       บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Z53YrZyuHT8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Z53YrZyuHT8</a>

ข้อมูลงานสร้าง

   ระหว่างความกล้าหาญและความกลัว ระหว่างอสุรกายและมนุษย์ กำแพงที่ขวางกั้นนั้นจะต้องไม่มีวันพังทลาย

   แมตต์ เดมอน (The Martian, แฟรนไชส์ The Bourne) นักแสดงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เป็นผู้นำในการต่อสู้ครั้งสำคัญเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติใน The Great Wall จากลีเจนดารีและยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เมื่อนักรบรับจ้าง (เดมอน) ถูกคุมขังภายในกำแพงเมืองจีน เขาก็ได้ค้นพบความลึกลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

   ในตอนที่อสุรกายกระหายเลือดระลอกแล้วระลอกเล่ากรูเข้ามาโอบล้อมกำแพงขนาดใหญ่แห่งนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า การเดินทางเพื่อแสวงโชคของเขากลับเปลี่ยนเป็นการเดินทางเพื่อสร้างวีรกรรมเมื่อเขาร่วมกับกองทัพนักรบมากฝีมือเพื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ดูเหมือนไม่อาจหยุดยั้งและเกินกว่าจะจินตนาการได้

   ภาพยนตร์แอ็กชันแฟนตาซีเรื่องนี้ ภายใต้การกำกับของจางอี้โหมว (Raise the Red Lantern, Hero, House of Flying Daggers) หนึ่งในวิชวล สไตลิสต์ ที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดในยุคของเรา เป็นภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเขาและเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่สุดที่เคยมีการถ่ายทำในจีนอีกด้วย ในการสร้าง The Great Wall อี้โหมวได้รวมทีมนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังระดับพระกาฬ ที่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของโลกฝั่งตะวันตกและตะวันออกในการถ่ายทำระดับโลกที่นำเสนอภาพน่าตื่นตาตื่นใจชนิดพลาดไม่ได้ในสเกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

   การผจญภัยสุดระทึกครั้งนี้สร้างจากบทภาพยนตร์ออริจินอลโดยคู่หูเขียนบท คาร์โล เบอร์นาร์ดและดั๊ก มิโร (Prince of Persia, The Sorcerer’s Apprentice) ร่วมด้วยโทนี กิลรอย (Michael Clayton, The Bourne Legacy) สร้างขึ้นจากเรื่องราวโดยแม็กซ์ บรู๊คส์ (World War Z) ร่วมด้วยเอ็ดเวิร์ด ซวิค และมาร์แชล เฮอร์สโควิทซ์ (The Last Samurai, Love & Other Drugs)

   ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยซีอีโอจากลีเจนดารี โธมัส ทัลล์ (Godzilla, Jurassic World), ชาร์ลส์ โรเวน (American Hustle, ไตรภาค The Dark Knight โดยคริสโตเฟอร์ โนแลน), จอน จาชนี (Pacific Rim, Warcraft) และปีเตอร์ โลเออร์ ซีอีโอจากลีเจนดารี อีสต์ (Shower, The Children of Huangshi)

   บุคคลทั้งสี่ผู้ดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่จิลเลียน แชร์จากลีเจนดารี (Pacific Rim, Warcraft), อเล็กซ์ การ์ทเนอร์ ผู้ร่วมงานกับโรเวนหลายครั้ง (Warcraft, Get Smart) และอี. เบนเน็ตต์ วอลช์ (The Kite Runner, Kill Bill series) ผู้ร่วมอำนวยการสร้างในโปรเจ็กต์นี้ได้แก่จาง “เอ๋อหยง” หวัง ผู้สร้างมากประสบการณ์ชาวจีน (The Children of Huangshi, The Postmodern Life of My Aunt), อีริค เฮดาแยท (Date Night) และอเล็กซ์ เฮดลันด์ (As Above, So Below) ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอโดยลาเผยกัง (Warcraft) และจางจ้าว (Paths of the Soul)

   ใน The Great Wall เดมอนนำแสดงในบทวิลเลียม การิน นักรบรับจ้างกร้านศึก และนักธนูมือฉมัง ผู้ถูกกองทัพนักรบชั้นสูงที่เป็นที่รู้จักในนามของภาคีนิรนามจับตัวไป ในค่ายทหารที่กว้างใหญ่ที่เรียกกันว่า เมืองป้อมปราการ พวกเขาได้ต่อสู้เพื่อปกป้องมนุษยชาติจากกองกำลังเหนือธรรมชาติที่พรั่งพรูเข้าใส่หนึ่งในสิ่งป้องกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมา: กำแพงเมืองจีน ระหว่างการเดินทางของเขา การินได้ร่วมมือกับนักดาบไซด์คิกของเขา เปโร โทวาร์ (เปโดร ปาสคัล จากซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Narcos, ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Game of Thrones) ชาวสเปนผู้เข้มแข็งและปากคอเราะร้าย ผู้กลายเป็นเหมือนพี่น้องสำหรับวิลเลียม และบัลลาร์ด (นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์ วิลเลม เดโฟ จาก Platoon, Mark of the Vampire, The Grand Budapest Hotel) นักโทษลึกลับภายในป้อมปราการผู้วางแผนการหลบหนีจากผู้กักขังเขามาเนิ่นนานด้วยการตั้งความหวังว่าจะหยิบฉวยอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาไประหว่างการหลบหนีของตัวเอง

   ซูเปอร์สตาร์ชาวจีนคนดังที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยคือนักแสดงผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงเอเชีย และหนึ่งในดาราดาวรุ่งพุ่งแรง นักแสดงฮ่องกงคนดัง แอนดี้ เลา (House of Flying Daggers, Running Out of Time, Infernal Affairs) กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับจางอีกครั้งในบทกุนซือหวัง ปราชญ์นักแปรธาตุภายในป้อมปราการ...ผู้ซึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมของเขาช่วยให้ชาวเมืองต่อต้านการรุกรานของอสุรกายได้ เขาได้ร่วมแสดงกับนักแสดงหญิงดาวรุ่ง จิง เถียน (Special ID, Police Story 2013, The Man from Macau) ในบทหลิน เมย์ นักสู้ผู้ไร้ความกลัว ผู้นำของกลุ่มนักรบเหินเวหาท้าแรงโน้มถ่วงของป้อม กองพันกระเรียนที่มีสมาชิกหญิงล้วน เหตุการณ์พลิกผันส่งให้ท้ายที่สุดเธอจะต้องเป็นผู้บัญชาการกองทัพนิรนามของค่ายทหารแห่งนี้เพื่อต่อต้านการโจมตีของอสุรกายร้าย

   ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมแสดงโดยทีมนักแสดงสมทบที่ประกอบไปด้วยนักแสดงมากประสบการณ์ชาวจีน ซึ่งรวมถึงจางฮั่นหยู (Assembly, The Taking of Tiger Mountain) ในบทแม่ทัพเส้า ผู้มอบอำนาจในการสั่งการกองทัพของป้อมให้กับหลิน เมย์, หลินเกิงซิน (Bubu jingxin, The Taking of Tiger Mountain) ในบทขุนพลเฉิน ผู้นำของกองพันอินทรี ผู้ชำนาญการใช้หน้าไม้ได้อย่างแม่นยำ, เอ็ดดี้ เผิงอวี่เยี่ยน (Jump Ashin!, Rise of the Legend) ในบทขุนพลอู๋ ผู้นำกองพันพยัคฆ์ กองกำลังวิศวกรและปืนใหญ่ของงป้อม ผู้ต่อต้านศัตรูเหนือธรรมชาติ, หวงซวน (Breaking the Waves, The Golden Era) ในบทขุนพลเติ้ง ผู้นำกองทัพทหารม้าของป้อม ในนามกองพันกวาง, เจิ้งข่าย (รายการยอดนิยมของจีน Running Man) ในบทเสิน ผู้ประสานงานของกุนซือหวัง ผู้ที่จุดมุ่งหมายด้านการเมืองของเขาขัดแย้งกับภารกิจของภาคีนิรนาม และเฉินซิวตง (ไตรภาค Tiny Times 1.0) ในบทหนึ่งในราชองครักษ์ประจำป้อมม ผู้พร้อมจะสละชีวิตตนเองเพื่อรักษาชีวิตสายเลือดของราชวงศ์เอาไว้

   The Great Wall ได้ต้อนรับสองนักร้องคนดังจากวงการดนตรีป๊อปของจีนมาร่วมทีมนักแสดงด้วย ทั้งสองได้แก่ลู่ หาน (วง EXO) ในบท เผิงหยง ทหารผู้เผชิญความลำบากภายใต้บังคับบัญชาของขุนพลเส้าแห่งกองพันหมี ผู้ต้องเอาชนะความกลัวของตัวเองและพิสูจน์ว่าตัวเองก็มีความกล้าหาญระหว่างการจู่โจมของสัตว์ร้าย และหวังจุนไค (นักร้องนำวง TFBOYS ของจีน) ผู้เปิดตัวในโลกการแสดงในบทฮ่องเต้ ผู้นำวัย 17 ปี ผู้ถูกทดสอบก่อนเวลาอันควร พวกเขาได้ร่วมแสดงกับนักแสดงสาวชาวจีน ผู้รับบททหารในกองพันกระเรียนของหลิน เมย์ ได้แก่หยูซินเทียน (Death Is Here 3 & 4) และหลิวซ่ง นักศึกษาจากสถาบันเซ็นทรัล อคาเดมี ออฟ ดรามาแห่งกรุงปักกิ่ง ผู้เปิดตัวในโลกการแสดงด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้ เช่นเดียวกับหวังจุนไค

   สำหรับภาพยนตร์อีพิคแฟนตาซีผจญภัยเรื่องนี้ จางอี้โหมวได้รวมทีมงานเบื้องหลังระดับแนวหน้าของโลกมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งรวมถึงผู้ออกแบบงานสร้างเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด จอห์น ไมร์ (Chicago, Memoirs of a Geisha), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มาเยส ซี. รูบีโอ (Warcraft, Avatar), มือลำดับภาพ แมรี โจ มาร์คีย์ (Star Wars: The Force Awakens, Star Trek) และเคร็ก ดี. วู้ด (ไตรภาค Pirates of the Caribbean, Rango) และผู้กำกับภาพ สจวร์ต ดรายเบิร์กห์ (The Piano, Once Were Warriors,ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Boardwalk Empire)และจ้าวเสี่ยวติง (ผลงานเรื่องที่สิบที่เขาร่วมงานกับจางอี้โหมว โดยเรื่องแรกคือ House of Flying Daggers) ผู้ใช้กล้อง Aeroflex Alexa 65 เป็นครั้งแรกเพื่อบันทึกเรื่องราวแฟนตาซีด้วยความละเอียดระดับ 6K พร้อมกับนำเสนอระดับความสมจริงแบบใหม่ของภาพวิชวลบนจอเงิน

   ผู้ที่ร่วมงานกับพวกเขาได้แก่ริชาร์ด เทย์เลอร์ เจ้าของห้ารางวัลออสการ์ (ไตรภาค The Lord of the Rings) ผู้ซึ่งวีต้า เวิร์คช็อปของเขาได้ออกแบบสรรพอาวุธในเรื่องและซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ ฟิล เบรนแนน (Snow White and the Huntsmen, The Wolverine) ผู้ร่วมมือกับซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์จากไอแอลเอ็ม ฟาร์ อีสต์ ซาเมียร์ ฮุน (Star Trek Into Darkness, Hitman Agent 47) ในการสร้างสัตว์อสุรกายของเรื่อง โดยรวมแล้ว นักแสดงและทีมงานของเรื่องเคยได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด 25 รางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีก 43 รางวัล

   The Great Wall ถ่ายทำในโลเกชันในจีน ซึ่งเป็นผลงานร่วมสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮอลลีวูด ที่ได้ถ่ายทำในประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับสี่แห่งนี้ นอกจากจีนแล้ว ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สจะเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ในทั่วโลก ส่วนบริษัทไชนา ฟิล์มจำกัด ร่วมด้วยเลอ วิชัน พิคเจอร์ส, ลีเจนดารี อีสต์และอู๋โจว ดิสทริบิวชัน จะเป็นผู้ดูแลการจัดจำหน่ายในประเทศจีน





สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ด้านล่าง:
การแนะนำเรื่องราว

   เรื่องราวของ The Great Wall เกิดขึ้นในยุคโบราณทางตอนเหนือของจีน ในตอนที่นักรบรับจ้าง วิลเลียม การิน เป็นผู้นำกลุ่มนักรบกร้านศึก ผู้หลบหนีจากการรบพุ่งกันระหว่างกลุ่มต่างๆ ในทะเลทราย ผู้กระหายในความมั่งคั่ง อำนาจและเกียรติยศ สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม ชาวฝรั่งเศสผู้มีนามว่า บูชาร์ด มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธใหม่ ซึ่งก็คือผงดินระเบิด ที่จะทำให้พวกเขาร่ำรวยอย่างที่พปรารถนาได้ ผงดินปืนนี้เป็นผงระเบิดตามคำร่ำลือที่หาได้ยากและมีค่าอย่างยิ่งในตอนนั้นจนทำให้มันกลายเป็น ‘จอกศักดิ์สิทธิ์’ ของสงคราม เป็นสมบัติล้ำค่าที่หลายคนยอมตายเพื่อให้ได้มา

   หลังจากแทบจะเอาชีวิตไม่รอดจากการสู้รบที่ดุเดือดกับเผ่าในทะเลทราย ในค่ำคืนหนึ่ง พวกเขาก็ถูกโจมตีที่ค่ายพักแรมกลางหุบเขาห่างไกลผู้คนโดยศัตรูที่มองไม่เห็น ก่อนที่จะเสียสหายร่วมรบไปกับการต่อสู้ การินและโทวาร์ได้ค้นพบหินแม่เหล็กประหลาด พร้อมด้วยของอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือกรงเล็บหักๆ จากสัตว์ร้ายที่จู่โจมพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

   ตอนนี้ ด้วยจำนวนคนที่เหลือน้อยนิด สองผู้รอดชีวิตได้เดินทางมาถึงกำแพงเมืองจีน และยอมจำนนต่อกองทัพนักรบที่ถูกเรียกว่าภาคีนิรนาม ผู้อาศัยอยู่ภายในนครป้อมปราการ ซึ่งเป็นค่ายทหารที่พลุกพล่านไปด้วยกำลังพล ที่มีเทคโนโลยีเหลือเชื่อคอยคุ้มครองชาวเมืองจากสิ่งชั่วร้ายด้านนอกกำแพง

   เมื่อถูกคุมขัง พวกเขาถูกล่ามตรวนและสอบสวนภายใต้การไต่สวนโดยผู้นำทั้งสามภายในแนวกำแพงกั้น พวกเขาประกอบไปด้วยแม่ทัพเส้า ผู้นำผู้ได้รับการยกย่องของภาคีนิรนาม (กองทัพทหารที่มีจำนวนกว่า 100,000 นาย ที่แบ่งออกเป็นห้ากองพันตามสีเครื่องแบบ สัตว์สัญลักษณ์และลักษณะเฉพาะตัวของกองพัน), กุนซือหวัง นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ประจำค่ายและนักรบหญิง หลิน เมย์ ผู้นำของหนึ่งในห้ากองพัน กองพันกระเรียนที่เป็นนักสู้เหินเวหาไร้ความกลัวและมีแต่ผู้หญิง

   พวกเขาไม่เพียงแต่ตั้งคำถามทั้งคู่เกี่ยวกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายนั้นเท่านั้น แต่พวกเขายังอยากรู้เกี่ยวกับของอีกชิ้นหนึ่งที่การินเจอก่อนที่จะสังหารอสุรกายตัวนั้นได้ด้วย มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของกุนซือหวัง นักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ประจำค่าย แม่เหล็กลึกลับที่อาจเป็นประโยชน์ในการสู้รบที่ต่อเนื่องกับศัตรูที่ร้ายกาจของพวกเขาที่อยู่ด้านนอกกำแพงนั่น

   อย่างไรก็ดี แม่ทัพเส้ากลับสนใจกรงเล็บที่หักนั้น ซึ่งเป็นของสัตว์ร้ายสายพันธุ์หนึ่งที่เรียกว่า เทาเที่ย สายพันธุ์สัตว์ร้ายโบราณที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาหยก ที่จะตื่นขึ้นมาทุกๆ 60 ปีเป็นเวลาแปดวัน เพื่อกินมนุษย์เป็นอาหารและลงโทษมนุษย์จากความโลภของพวกเขา

   เทาเที่ย เป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังวิวัฒนาการ มันมีกองกำลังจู่โจมสามชั้นและสามารถติดต่อกันได้ทางกระแสจิต การดำรงอยู่ของพวกมันถูกปิดเป็นความลับจากชาวเมืองทั่วไปมานานหลายทศวรรษ ทำให้มันเป็นเพียงตำนานและข่าวลือสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นพวกมันหรือสู้กับมันซึ่งๆ หน้า ดังนั้น ด้วยความสนใจและความแปลกใจที่มีต่อสิ่งที่การินได้มาจากการต่อสู้ นี่เป็นครั้งแรกที่นักรบชาวจีนกลุ่มนี้ได้ถือกรงเล็บของอสุรกายร้ายตัวนี้ในมือตัวเอง ใครก็ตามที่สามารถสังหารเทาเที่ยได้ในการต่อสู้ระยะประชิดตัวจะต้องเป็นนักรบผู้เก่งกาจอย่างแน่นอน

   เมื่อไม่มีคำตอบให้กับผู้ซักถามพวกเขา การินและโทวาร์ก็ตระหนักว่าพวกเขาอาจจะไม่มีวันได้เดินกลับออกไปจากเมืองหลังกำแพงแห่งนี้อย่างมีลมหายใจ ระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ในค่ายทหารภายในป้อมปราการ พวกเขาได้ผูกมิตรกับนักโทษลึกลับที่ชื่อว่า บัลลาร์ด ผู้ถูกขังอยู่ที่นี่มานานแล้ว และอาจเป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะนำพวกเขาไปสู่การมีชีวิตรอดและอิสรภาพ บัลลาร์ดได้เล่าถึงแผนการหลบหนีจากป้อมปราการแห่งนี้ให้นักรบรับจ้างทั้งคู่ฟัง พร้อมกันนั้น เขาก็ได้เผยถึงอาวุธทรงพลังใหม่ที่ถูกคิดค้นโดยพวกทหารที่จับตัวพวกเขาอยู่ มันเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อเสาะหามัน นั่นก็คือดินปืนนั่นเอง แผนการของบัลลาร์ดน่ะหรือ? ขโมย “ผงดำ” ของภาคีนิรนามและหลบหนีจากป้อม เลือกที่จะสละเกียรติและศักดิ์ศรีเพื่อความมั่งคั่ง

   ในตอนที่บัลลาร์ดเกลี้ยกล่อมโทวาร์และแผนการของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น การินก็เริ่มตั้งคำถามกับความภักดีของตัวเองเมื่อเขาเห็นความเสียสละ ความเป็นหนึ่งเดียวและเกียรติยศท่ามกลางกลุ่มนักรบของป้อมหลังจากที่เขาช่วยเหลือภาคีนิรนามป้องกันแนวรบจากศัตรูระหว่างการต่อสู้ดุเดือด และพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นนักรบผู้กล้า ในตอนที่การเผชิญหน้ากันที่แสนจะดุเดือดครั้งสุดท้ายกับอสุรกายร้ายใกล้เข้ามา การินจะต้องตัดสินใจว่า เขาจะยอมละทิ้งวิถีของนักรบรับจ้างและหนีไปกับบัลลาร์ดและโทวาร์ หรือเขาจะลุกขึ้นสู้ร่วมกับภาคีนิรนามในสงครามที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องบนกำแพงเมืองจีน...เพราะเขารู้ดีว่าการตัดสินใจของเขาอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตาย
« Last Edit: December 26, 2016, 02:48:04 PM by happy »

happy on December 26, 2016, 02:52:04 PM
กำแพงภาพยนตร์:
การพัฒนาภาพยนตร์

   เจนดารี พิคเจอร์สและยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ร่วมด้วยบริษัทไชนา ฟิล์ม จำกัดและเลอ วิชัน พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ The Great Wall ภาพยนตร์อีพิคแอ็กชันผจญภัยที่เล่าถึงภัยคุกคามจากอสุรกายที่ซ่อนเร้นตัวนานหลายศตวรรษอยู่เบื้องหลังหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่สร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์

   เรื่องราวนี้ที่เกิดขึ้นในโลกสมมติของจีนโบราณ (ประมาณค.ศ. 1100 ระหว่างราชวงศ์ซ่ง) จินตนาการว่ากำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานจีนที่เรียกว่า เทาเที่ย สัตว์ร้ายรูปร่างเหมือนการ์กอยล์จากเทพปกรณัมจีน ที่จะตื่นขึ้นมาทุกๆ 60 ปีจากใจกลางภูเขาหยกเพื่อนำกองทัพขนาดใหญ่มากินมนุษย์เป็นอาหาร

   “ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยมีคนบอกผมว่ากำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างเพียงอย่างเดียวที่เราสามารถมองเห็นจากอวกาศได้” ผู้อำนวยการสร้างและซีอีโอจากลีเจนดารี โธมัส ทัลล์กล่าว “ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมก็ไม่เคยลืมมัน และตอนที่ผมกำลังจะสร้างบริษัทที่เป็นที่รู้จักจากหนังสัตว์ประหลาด ผมก็อยากจะสร้างหนังที่ผสมผสานความรักที่ผมมีต่อหนังแนวนี้ โดยมีฉากหลังเป็นสิ่งก่อสร้างที่อลังการนี้น่ะครับ”

   “ผมสงสัยมาโดยตลอดว่าอะไรที่สำคัญและจำเป็นขนาดที่ทำให้ประเทศหนึ่งต้องสร้างกำแพงที่มีขนาดใหญ่และเหลือเชื่อขนาดนั้นขึ้นมา” ทัลล์กล่าวต่อ “ที่ลีเจนดารี เราชื่นชอบสัตว์ประหลาด ดังนั้น สมองผมก็เริ่มทำงานเพื่อคิดไอเดียเกี่ยวกับการที่ประเทศนี้ได้สร้างกำแพงนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานจากสัตว์ประหลาดน่ะครับ”

   ระหว่างที่ทัลล์ได้พัฒนาไอเดียนี้กับมือเขียนบทและผู้เขียนเรื่องราวของ The Great Wall เขาก็ได้คุยไอเดียเกี่ยวกับทหารชาวยุโรปที่แสวงโชค เขาเข้ามาพเนจรในเอเชียในช่วงยุคกลาง และเขาก็บังเอิญมาเจอกับสิ่งปลูกสร้างอลังการ ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ในตอนที่นักรบรับจ้างคนนี้เข้าไปใกล้ๆ ก็มีคนบอกเขาว่าผู้รักษาเมืองกำลังเตรียมพร้อมรับมือการโจมตี

   “ระหว่างการพัฒนาบทหนังเรื่องงนี้ มือเขียนบทชาวตะวันตกบังเอิญไปเจอตำนานสัตว์ประหลาดของจีนที่เรียกว่า เทาเที่ย ครับ” ผู้อำนวยการสร้างปีเตอร์ โลเออร์ ผู้ใช้เวลา 25 ปีในการทำงานในประเทศจีน กล่าวเสริม “เทาเที่ยค่อนข้างจะเป็นที่รู้จักดีในจีนครับ”

   “มีหนังสือแฟนตาซีเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ซานไห่จิง’’ ซึ่งเก่าแก่กว่า 2,500 ปี” โลเออร์กล่าวต่อ “ในหนังสือเล่มนั้น พวกเขาได้แยกแยะประเภทต่างๆ ของสัตว์ประหลาด ก็อบลินและปีศาจ และเทาเที่ยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เทาเที่ยในหนังสือซานไห่จิงและตำนานตามประวัติศาสตร์อื่นๆ ถูกนำเสนอว่าเป็นตัวตะกละ พวกมันกินไม่หยุด และกินมากเสียจนเมื่อไม่มีอะไรเหลือให้กิน พวกมันก็จะกินร่างกายตัวเอง”

   ผู้อำนวยการสร้างชาร์ลส์ โรเวน ผู้เป็นที่รู้จักจากการมีบทบาทในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หลายต่อหลายเรื่อง ตั้งแต่ไตรภาค The Dark Knight (ร่วมกับลีเจนดารรี), Suicide Squad และ Batman v Superman: Dawn of Justice ไปจนถึงภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยและกำลังจะเข้าฉายอย่าง Wonder Woman และ Justice League  ถูกนำตัวมาร่วมงานนี้ด้วยโดยผู้อำนวยการสร้างทัลล์และจอน จาชนี เขาเล่าให้เราฟังถึงการมีส่วนร่วมครั้งแรกในการทำงานภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “ผมกับอเล็กซ์ การ์ทเนอร์ได้รับเชิญให้มาร่วมงานโปรเจ็กต์นี้โดยโธมัสและจอน หลังจากนั้น เราก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมพัฒนาเรื่องราวออริจินอลครับ”

   โรเวนเล่าถึงความสนใจที่เขามีต่อเนื้อเรื่องของ The Great Wall ว่า “ในยุคสมัยตามที่ปรากฏในเรื่องราวของเรา ชาวจีนเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่กำลังรุ่งเรืองที่สุด...พวกเขากำลังสร้างสิ่งที่โลกตะวันตกไม่เคยเห็นมาก่อน ดินปืนที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นเป็นแรงจูงใจสำหรับนักรบรับจ้างในเรื่องราวของเรา ผู้เป็นคนเถื่อนจากโลกตะวันตกที่ตอนแรกนึกถึงแต่ตัวเอง ในตอนที่พวกเขามาเจอกับชุมชนลับแห่งนี้ ที่พยายามจะรักษามนุษยชาติเอาไว้ มันก็ทำให้พวกเขากลับมาพิจารณาทุกอย่างเสียใหม่ครับ”

   ผู้อำนวยการสร้างจาชนีอธิบายว่าทีมงานตั้งเป้าที่จะยอมรับและยกย่องทั้งยุคสมัยโบราณและการถ่ายทำยุคก่อนเก่า ซึ่งทำให้ฉากนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีลักษณะเหมือนของจริง “โครงสร้างพวกนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความตื่นตะลึงและความนับถือ ทั้งในสมัยนั้นและในตอนนี้ครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “เรารู้ว่าเราอยากจะถ่ายทอดกลไกภายในของกำแพงเมืองจีนออกมาว่าเป็นสิ่งที่ใช้งานได้จริงๆ บางคนอาจคิดว่ามันเหมือนกับการเข้าไปข้างในนาฬิกา มันดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เรียบง่ายเมื่อมองจากภายนอก แต่สิ่งที่ทำให้มันดูเหมือนเรียบง่ายกลับเป็นสิ่งที่ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ชมอาจจะอนุมานเอาเองว่า กำแพงเมืองจีนทำได้แค่ป้องกันสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมันเท่านั้น ด้วยความสูงและความแกร่งของมัน เราอยากจะทำให้พวกเขาแปลกใจด้วยการทำให้กำแพงเมืองจีนสามารถ ‘ตอบโต้กลับ’ ในรูปแบบที่ชาญฉลาดและคาดไม่ถึงด้วยครับ”

   “ในตอนที่เราเริ่มต้นกระบวนการนี้ ลีเจนดารีต้องการจะสร้างหนังที่เป็นการร่วมมือระหว่างตะวันออกและตะวันตกอย่างแท้จริง” ทัลล์ ผู้เปิดลีเจนดารี อีสต์ ฐานการถ่ายทำของเขาในดินแดนตะวันออกไกล ขึ้นในกรุงปักกิ่งในปี 2012 และประสบความสำเร็จไม่นานหลังจากนั้นด้วยการเข้าฉายของ Pacific Rim ในจีนเมื่อปี 2013 กล่าว “หนังที่ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวท้องถิ่นเท่านั้น แต่มันต้องเป็นหนังที่มีเสน่ห์สำหรับผู้ชมทั่วโลกด้วย เราพบว่าจางอี้โหมวเป็นผู้กำกับที่เพอร์เฟ็กต์ เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ดีที่สุดในโลก เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เขามากำกับหนังเรื่องนี้”

   ในความเป็นจริงแล้ว จางอี้โหมวเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของโลก ในบรรดาผลงานภาพยนตร์กว่ายี่สิบเรื่อง เขาได้กำกับ Ju Dou (1990)ภาพยนตร์จีนเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศศยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอีกสองครั้งจาก Raise the Red Lantern (1991) และ Hero (2002)

   หนึ่งในบรรดาความสำเร็จจากการทำงานของเขาคือการที่เขาได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วโลกจากการจัดฉากพิธีเปิดและปิดการแข่งขันโอลิมปิคที่ปักกิ่งในปี 2008 ซึ่งเป็นงานที่สตีเวน สปีลเบิร์ก เพื่อนผู้กำกับของเขายกย่องว่าเป็น “ภาพน่าตื่นตาตื่นใจที่อลังการที่สุดในสหัสวรรษใหม่จากอัจฉริยะผู้สร้างสรรค์” ความสำเร็จนั้นทำให้จางอี้โหมวได้ตำแหน่งรองชนะเลิศสำหรับการเป็นบุคคลแห่งปี 2008 ของนิตยสารไทม์

   “ตอนที่ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับหนังจีนเมื่อ 25 ปีก่อน ผลงานช่วงเริ่มแรกของจางอี้โหมวก็สะดุดตาผมแล้วล่ะครับ” โลเออร์ ผู้พูดภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว กล่าว “ผลงานช่วงเริ่มแรกของเขาได้พัฒนากลายเป็นอีพิคศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อย่าง Hero และ House of Flying Daggers แล้วใครจะลืมการแข่งขันโอลิมปิคไปได้ในตอนที่คุณพูดถึงผลงานของเขาน่ะครับ”

   ในตอนที่ลีเจนดารีพิจารณาทีมผู้สร้างที่จะมาร่วมทำงานฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องมีคุณสมบัติในการยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองวัฒนธรรม นั่นคือการบอกเล่าเรื่องราวของจีนในแบบที่ผู้ชมทั่วโลกจะชื่นชอบ โลเออร์กล่าวว่า “จางอี้โหมวดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกตามธรรมชาติเพราะเขาทำแบบนั้นอยู่แล้วในหนังของเขา และเขาก็ทำแบบนั้นกับการแข่งขันโอลิมปิคด้วย ในหนังเรื่องนี้ เขาได้นำสิ่งที่มีความเป็นจีนอย่างเหลือเกินมาสร้างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริงครับ”

   โรเวนกล่าวเห็นด้วยกับเพื่อนผู้อำนวยการสร้างของเขาพลางชื่นชมว่า “The Great Wall มีความยิ่งใหญ่อลังการทางภาพวิชวลของหนังฟอร์มยักษ์และมันก็ถ่ายทำออกมาอย่างน่าทึ่งโดยหนึ่งในคนทำหนังที่โด่งดังที่สุดที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน ภาพวิชวลของเขาน่าทึ่งมาก สีสันที่เขาใช้ก็เหลือเชื่อ แล้วช็อตที่เขาออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น 24 เฟรมตามปกติหรือสโลว์โมชัน ก็เข้าขั้นงานศิลปะเลยครับ”

   นอกจากนี้ ทีมผู้สร้างยังชื่นชมที่จางอี้โหมวตอบรับกับแนวความคิดการร่วมมือกันทางวัฒนธรรม ตามที่ปรากฏในเรื่องราวด้วย “การได้เห็นอี้โหมว ที่มีวิสัยทัศน์ต่อภาพยนตร์ของเขา ตีความบทหนังเรื่องนี้ให้กลายเป็นวิธีการที่โดดเด่นในการสร้างภาพน่าตื่นตาตื่นใจเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงครับ เขาค่อนข้างจะสนใจกับการผสมผสานสไตล์การถ่ายทำหนังฟอร์มยักษ์แบบตะวันตกเข้ากับแนวทางการถ่ายทำของจีนน่ะครับ” โรเวนตั้งข้อสังเกต “นี่เป็นเรื่องราวที่เหมาะกับแนวทางนี้อย่างยิ่ง และเราก็ตื่นเต้นที่เขาอยากจะร่วมงานในหนังเรื่องนี้ครับ”

   เมื่อผู้กำกับได้รับการต้อนรับเข้าสู่ทีมแล้ว โรเวนก็พบว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่เหมือนใคร ผู้ซึ่งความคิดอ่านที่รอบคอบและแรงบันดาลใจที่น่าทึ่งของเขาเนรมิตชีวิตให้กับเรื่องราวของ The Great Wall “อี้โหมวได้มีบทบาทอย่างมากต่อสิ่งที่กลายเป็นวิสัยทัศน์สุดท้ายของหนังเรื่องนี้” โรเวนกล่าว “ตัวอย่างก็เช่นสงครามหมอก และการเปิดตัวหนังเรื่องนี้ด้วยซีเควนซ์ไคลแมกซ์จากกำแพงเมืองจีน การร่วมงานกับอี้โหมวเป็นไปด้วยดีและการร่วมงานกับทีมงาน ‘ตะวันออกพบตะวันตก’ ของเราก็เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจริงๆ”

   “กำแพงเมืองจีนอยู่ในเนื้อเพลงชาติของเรา มันก็เลยเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งเดียวกันในหัวใจคนจีนทุกคน ซึ่งก็คือประชาชนของเรา ประเทศชาติของเราและประวัติศาสตร์ของเรา” จางอี้โหมวเล่า “เราใช้มันเพื่ออธิบายถึงสิ่งต่างๆ ทางด้านจิตวิญญาณ สำหรับพวกเราทุกคนในจีน กำแพงเมืองจีนเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติของจีน มันเป็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในใจคนจีนทุกคน เป็นสัญลักษณ์ของขนบธรรมประเพณีของเรา และเลือดเนื้อของเรา”

   ตัวผู้กำกับเชื่อว่ามันใช้ได้กับเรื่องราวนี้เช่นกัน “ในหนังเรื่องนี้ กำแพงเมืองจีนเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ปกป้องสันติภาพและความเป็นชาติครับ” เขากล่าวต่อ “ผมคิดว่าบทหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่พิเศษสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณมองกำแพงเมืองจีนจากอีกมุมหนึ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างมาเพื่อปกป้องบ้านเกิดของเราจากผู้รุกราน จากมุมมองนี้ มันก็ไม่ได้ต่างกันหรอกครับว่าศัตรูจะเป็นมนุษย์หรืออสุรกาย”

   สำหรับจางอี้โหมว การรับงานนี้จะเป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจใหญ่หลวง “นี่เป็นหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน ที่ถ่ายทำในโลเกชันในจีนทั้งหมด” เขาเล่า “สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมากที่สุดคือองค์ประกอบด้านวัฒนธรรมของจีน ใช่ครับ มันเป็นหนังสัตว์ประหลาดก็จริง แต่ผมก็เชื่อว่าผมยังสามารถถ่ายทอดความเป็นตัวเองผ่านมันได้ มันเป็นเรื่องราวที่น่าหลงใหลที่มีธีมและอารมณ์น่าสนใจครับ”

   เขาได้ขยายความถึงบทสรุปที่ผู้อำนวยการสร้างโลเออร์กล่าวถึงตัวร้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “สำหรับสัตว์ประหลาด เทาเที่ย เราได้ทำการค้นคว้าข้อมูลมหาศาล รวมถึงหนังสือซานไห่จิง ซึ่งเป็นตำราจีนโบราณ ที่รวบรวมตำนานปรัมปรา เรียกได้ว่ามันเป็นนิยายแฟนตาซีที่เก่าแก่ที่สุดของจีนครับ” จางเล่า “พวกมันถือกำเนิดจากความละโมบของมนุษย์ พวกมันกินอย่างมหาศาล พวกเราคนจีนยังคงใช้คำนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ในวัฒนธรรมเก่าแก่ ‘เทาเที่ย’ เป็นนักกินตัวยง มันก็เลยถูกนำไปเชื่อมโยงกับงานเลี้ยงใหญ่โตในจีน เทาเที่ยมีสถานะที่คนรู้จักในวัฒนธรรมจีน เทาเที่ยมีตัวตนอยู่เพราะความละโมบของมนุษย์ ดังนั้น พวกมันก็เลยเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ ความละโมบของมนุษย์เป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดเท่าเทียขึ้นมา และตอนนี้ มันก็โต้กลับมนุษย์ครับ”

   ตามเทพปกรณัมจีน ความกลัวอสุรกายตนนี้ทำให้ภาพของมันถูกสลักเอาไว้ตามภาชนะบรรจุทองแดงที่ใช้ประกอบพิธีกรรม กริชและอาวุธต่างๆ เทาเที่ยเป็นหนึ่งในสี่จตุรมาร ร่วมกับเถาอู้ ฮุ่นตุ้นและฉงฉี ซึ่งพวกมันเป็นมารที่เป็นที่รู้จักดีของจีน และเป็นตัวแทนของความชั่วร้าย ดังนั้น เทาเที่ยจึงหยั่งรากลึกอยู่ในวัฒนจีนอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งพวกมันปรากฏอยู่บนเงินตราของจีนด้วยซ้ำไป

   “อย่างแรกเลย มันเต็มไปด้วยปริศนาครับ” เขากล่าวต่อ “อสุรกายพวกนี้มีเรื่องราวยังไงบ้าง พวกมันถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร อะไรคือจุดอ่อนของพวกมัน มนุษย์ต่อสู้กับพวกมันมากี่ปีแล้ว นักรบเหล่านี้มีความรู้สึกและสายสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรระหว่างการต่อสู้ พวกเขามีชีวิตรอดได้อย่างไร หรือพวกเขาตายในท้ายที่สุด มันมีสิ่งให้บอกเล่ามากมาย มันแตกต่างจากหนังสัตว์ประหลาดทุกๆ เรื่องครับ”

   จางอี้โหมวชื่นชมการให้ความสำคัญกับสิ่งสำคัญทางวัฒนธรรมเช่นนั้น “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบทหนังครับ” เขากล่าว “บทหนังเรื่องนี้เขียนขึ้นโดยคนอเมริกัน และผมก็ให้ข้อเสนอแนะจากมุมมองของชาวจีน พวกเขายินดีและชื่นชอบไอเดียของผม มันถูกปรับแก้ไขและขัดเกลา เพื่อทำให้มันเป็นที่ยอมรับและชื่นชอบทั้งสำหรับชาวตะวันตกและชาวจีน นั่นเป็นงานที่ยากที่สุดครับ”

   “หนังทุกแนวมีข้อจำกัดของมัน และหนังสัตว์ประหลาดก็เช่นกัน” จางตั้งข้อสังเกต “คุณจะต้องตั้งกฎบางอย่างขึ้นมา เทาเที่ยเป็นอสุรกายโบราณที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของเรา ส่วนที่เหลือของเรื่องราวนี้มีพื้นฐานที่มั่นคง จากประวัติศาสตร์จริงๆ เราไม่อยากให้ตัวละครของเรามีพลังเหนือธรรมชาติ ถ้าเป็นแบบนั้น มันคงจะไม่มีขีดจำกัดครับ ดังนั้น สิ่งที่เราทำคือการกำหนดข้อจำกัดพื้นฐานที่เข้มงวดและสมจริงมากๆ เราได้วางตัวเองอยู่ในโลกที่สมจริงมากๆ และเราก็ได้สร้างเรื่องราวที่ตรงไปตรงมา เราออกแบบทุกอย่างภายในขีดจำกัดเหล่านั้น เช่นแอ็กชันและอาวุธ เพราะกำแพงเมืองจีนเป็นวัตถุที่มีอยู่จริง เป็นเสาหลักสำคัญที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยอิฐทีละก้อนๆ และเราก็มองเลเยอร์ต่างๆ ของเรื่องราวของเราในแบบเดียวกันครับ”

happy on December 26, 2016, 02:55:50 PM



การวางกำลังคนบนกำแพงเมืองจีน:
ตัวละครในแฟนตาซี

   ในตอนสร้างตัวละครสำหรับโลกของ The Great Wall ทีมผู้สร้างต้องการหานักแสดงจากทั่วโลกเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่นี้ สำหรับนักรบรับจ้างชาวตะวันตก ผู้บังเอิญเจอชุมชนลับๆ นี้เข้า พวกเขามีชื่อเดียวในใจ “เราต้องการนักแสดงพรสวรรค์ผู้เป็นหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เขาจะต้องมีความสงสัยใคร่รู้ อยู่ในกระแสป็อปคัลเจอร์ปัจจุบัน และเป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด” จาชนีกล่าว “คุณสมบัติเหล่านั้นทำให้รายชื่อในลิสต์หดสั้นลงเหลือแค่แมตต์ เดมอน ผมก็เลยเสนอให้เราทาบทามเขาดู เรารู้ว่าเขาสามารถรับบทนักรบรับจ้างในสมัยนั้น ผู้มีอะไรมากกว่าการเป็นเพียงแค่คู่ปรับที่น่ายำเกรง เขาจะถ่ายทอดความซับซ้อนของการเป็นปลาพ้นน้ำได้ ทำให้ผู้ชมได้เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมแปลกต่างที่น่าตกตะลึงและที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งระหว่างการทำเช่นนั้นด้วยครับ”

   เมื่อเขาได้เห็นผู้ที่นั่งแท่นผู้กำกับ การคว้าตัวนักแสดงผู้นี้มาร่วมงานก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย “จางอี้โหมวเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่เก่งที่สุดในโลกครับ” เดมอนกล่าวชื่นชม “เขาได้ระบายสีลงบนผืนผ้าใบที่กว้างใหญ่อย่างน่าตื่นตาตื่นใจนี้และทำมันในแบบที่ไม่เหมือนใคร ลักษณะการใช้สีสันของเขา และสเกลยิ่งใหญ่ของสิ่งที่เขาทำ คุณสามารถดูหนังของจางอี้โหมวโดยไม่ใส่ชื่อของเขาลงไป แต่คุณก็จะรู้ทันทีเลยว่ามันเป็นหนังของเขา ผมอยากจะร่วมงานกับเขามานานแล้วและในที่สุด ผมก็มีโอกาสนั้น มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับผม สำหรับนักแสดงทุกคน ทั้งชาวจีนและชาวตะวันตก รวมถึงทีมงานทุกคนด้วยครับ! ทุกคนมาทำงานนี้เพราะจางอี้โหมว เราทุกคนต่างก็เคยดูผลงานของเขาและเราต่างก็รู้สึกโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของเขาครับ”

   เดมอนพูดถึงเรื่องราวนี้ว่าเป็น “แฟนตาซีอิงประวัติศาสตร์ มันคล้ายคลึงกับการที่ Game of Thrones ให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันเกิดขึ้นในยุคกลาง แม้ว่าเราจะรู้ว่ามันไม่เคยมีพวกไวท์ วอล์คเกอร์หรือมังกรก็ตาม เช่นเดียวกัน หนังของเราก็ไม่ได้เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้ซะทีเดียวหรอกครับ”

   “เราเริ่มต้นเรื่องราวของเราด้วยกลุ่มนักรบรับจ้างที่กำลังถูกพวกเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนือของจีนประมาณค.ศ.1100 ไล่ล่าครับ” เดมอนกล่าวขยายความ “มันเกี่ยวกับไอเดียที่ว่ากำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันทางตอนเหนือของจีนจากการรุกรานของสัตว์ประหลาดในตำนานของจีนที่เรียกว่า เทาเที่ย ที่จะตื่นขึ้นมาทุกๆ 60 ปีและจู่โจมมนุษย์ด้วยความโหดเหี้ยมที่สุด พวกมันไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเห็นในโลกตะวันตก พวกมันดูเหมือนลูกผสมระหว่างมังกร กริฟฟินและหมีที่เหลือเชื่อ มันเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่คุณเคยเห็นมาเลยครับ และพวกมันก็โจมตีเป็นฝูงเพื่อทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า”

   “ในการสู้กับพวกมัน ชาวจีนได้รวมกลุ่มนักรบกลุ่มนี้ ที่ถูกเลี้ยงดูตั้งแต่เกิดให้ปกป้องดินแดนทางตอนเหนือของจีน ป้องกันกำแพงเมืองจีน จากสัตว์ประหลาดพวกนี้” เขากล่าวต่อ “ดังนั้น เรื่องราวของเราก็เริ่มต้นด้วยนักรบรับจ้างสองคนนี้ที่บังเอิญหลงมาเจอกำแพงเมืองจีน เรากำลังถูกกลุ่มโจรไล่ล่าตัวและเราก็ถูกรวบตัว จับกุม โดยกลุ่มภาคีนิรนาม ก่อนที่พวกเทาเที่ยจะตื่นขึ้นมาเป็นครั้งที่ 31

   “เราได้บังเอิญเจอกับภาพเหตุการณ์เหลือเชื่อของสังคมล้ำสมัยนี้ ที่เป็นผู้ประดิษฐ์ดินปืนขึ้นมาน่ะครับ” เดมอนเล่าถึงพล็อตเรื่องโดยไม่เผยส่วนสำคัญใดๆ ออกมา “และเราก็ได้ยินเกี่ยวกับดินปืน เราก็เลยพยายามจะขโมยมัน ทันใดนั้น เราไปถึงที่นั่น เราได้เห็นกองทัพที่เหลือเชื่อ ที่มีวินัยเคร่งครัดและต่อสู้ในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วเราก็ถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วมกับการป้องกันกำแพงเมืองจีนด้วยครับ”

   “สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกเหนือจากการเป็นแฟนตาซีและเรื่องผจญภัยแล้ว คือมันนำเสนอเรื่องของความแตกต่างทางวัฒนธรรมและแรงจูงใจของมนุษย์เรา ว่าทำไมพวกเขาถึงทำในสิ่งที่พวกเขาทำ” เดโฟตั้งข้อสังเกต “คุณจะมองเห็น บัลลาร์ด ตัวละครของผมในโลกของภาคีนิรนาม พวกเขาเป็นทหารผู้แน่วแน่ ผู้พยายามปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามของพวกเทาเที่ย อสุรกายในตำนานที่ปรากฏตัวทุกๆ 60 ปีน่ะครับ”

   “ผมเป็นคนที่ได้รับแรงขับดันจากผู้กำกับมากๆ” เดโฟกล่าวเสริม “ในฐานะนักแสดง คุณจะต้องเป็นเหมือนทหารและทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม ในการนั้น คุณจะต้องมีแม่ทัพที่คุณคิดว่าคู่ควรที่คุณจะเสียสละให้ เพราะท้ายที่สุด คุณจะได้มีส่วนร่วมในการสร้างบางสิ่งที่งดงามครับ”

   เดมอนกล่าวเห็นพ้องด้วยกับความเห็นของเดโฟว่า “ตอนเข้ามาทำงานหนังเรื่องนี้ มีคำถามเกิดขึ้นว่ากำแพงภาษาจะเป็นปัญหามากน้อยแค่ไหน จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ปัญหาเลย เราทั้งคู่ต่างก็เคยทำงานในหนังมาแล้วหลายเรื่อง เราก็เลยมีการสื่อสารแบบทางลัดและบันทึกข้อความของเขาก็ยอดเยี่ยม ผมได้บันทึกข้อความนั้นผ่านทางล่าม แต่พวกมันก็ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากๆ การให้บันทึกข้อความเป็นส่วนสำคัญในการกำกับและผู้กำกับเยี่ยมๆ ก็มักจะออกคำสั่งที่เรียบง่ายและชัดเจนเสมอ ดังนั้น การใช้ภาษาที่ต่างกันก็เลยไม่เป็นปัญหาเลยครับ”

   แฟรงค์ หลิน ชาวไต้หวัน ถูกนำตัวมาเป็นล่ามหลักระหว่างจางและนักแสดงตะวันตก หลินเป็นตัวเลือกที่เฉียบคมสำหรับงานนี้ เนื่องด้วยเขาเกิดในไต้หวันและย้ายไปอยู่ลอสแองเจลิสตอนสิบขวบ ซึ่งหมายความว่าเขาชำนาญทั้งภาษาจีน ซึ่งเป็นภาษาแม่และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ เขายังรู้จักวิธีการแปล “ภาษาภาพยนตร์” ให้นักแสดงฟังเพราะเขาเริ่มแสดงตั้งแต่ตอนอายุแปดขวบในบ้านเกิด ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้กำกับอิสระเองด้วย จนถึงปัจจุบัน หลินได้กำกับภาพยนตร์ภาษาอังกฤษสี่เรื่อง ซึ่งทุกเรื่องถ่ายทำในแอลเอ โดยเรื่องแรกได้รับรางวัลจูรี อวอร์ดและออเดียนซ์ อวอร์ดในงานเทศกาลภาพยนตร์ในภูมิภาคแปซิฟิคสามแห่ง

   แต่ละแผนกในกองถ่ายขนาดใหญ่จะมีล่ามหนึ่งคนหรือมากกว่านั้น และหลายคนก็จะมีประสบการณ์ในวงการที่หลากหลายกันไป ซึ่งทำให้มีล่ามกว่าสิบชีวิตอยู่ท่ามกลางทีมงานตลอดระยะเวลาการถ่ายทำ ในฐานะล่ามหลักของเรื่อง หลินก็เจอกับความท้าทายของเขา ซึ่งก็คือการตีความและแปลอารมณ์ขันเฉพาะตัวของจางให้กับทีมนักแสดง “เขาเป็นคนมีไหวพริบ และคลังคำภาษาจีนของเขาก็น่าทึ่งมากๆ” หลินเล่า “มันสนุกมากที่ได้ยินเขาพูดและกำกับจนบางครั้ง ผมก็พยายามจะตามเขาให้ทัน ซึ่งผมต้องบอกว่าเป็นเรื่องท้าทายจริงๆ มันเหมือนกับว่าในการแปลให้กับจางอี้โหมว ผมไม่เคยกำกับหนังได้ดีกว่านี้เลยในชีวิต หน้าที่ของผมคือการรักษาภาษาและการสื่อสารให้ไหลลื่นต่อเนื่องครับ”

   นั่นเป็นสิ่งสำคัญในตอนที่ทำงานร่วมกับนักแสดงชาวจีนเช่นกัน ตามที่หลินกล่าวว่า “กับนักแสดงชาวจีน หน้าที่ของผมคือการฟังสำเนียงภาษาอังกฤษของพวกเขา สิ่งหนึ่งที่จางอี้โหมวอยากจะเน้นก็คือนักแสดงชาวจีนควรจะมีสำเนียง แต่มันจะต้องให้ความรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาพูดภาษานั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่องจำหรือทวนคำพูด สำหรับคนที่พูดภาษานี้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่ามันฟังดูหลอกๆ หรือมันเป็นแค่การท่องจำน่ะครับ”

   “เป็นเวลาสิบปีมาแล้วตั้งแต่ที่ผมได้ร่วมงานกับจางอี้โหมวครั้งแรก” ซูเปอร์สตาร์จากเอเชีย แอนดี้ เลา นักแสดงเพียงคนเดียวในเรื่องที่เคยร่วมงานกับจางอี้โหมวมาก่อน (House of Flying Daggers) กล่าว “กับหนังเรื่องนี้ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม เพียงแต่ในครั้งนี้ มันเป็นงานสร้างของฮอลลีวูด และจางอี้โหมวก็ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม มันเป็นเรื่องยากสำหรับใครก็ตามที่จะนำเสนอวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนออกมา มันเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะหาสมดุลอันนั้น เขาก็เลยพัฒนาแนวทางของตัวเองในการนำเสนอวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนโดยใช้เทคนิคการวางโครงสร้างแบบตะวันตกน่ะครับ”

   “เขาเป็นคนค่อนข้างเปิดกว้างและเขาก็ให้อิสระมากมายกับเราในกองถ่ายครับ” แอนดี้ เลากล่าวเสริมเกี่ยวกับการร่วมงานกับผู้กำกับคนดังเป็นครั้งที่สอง “ผมลืมไม่ได้เลยว่าเมื่อหลายปีก่อน จางอี้โหมวเคยบอกผมว่าหนังก็เป็นเหมือนกรอบรูปเวทมนตร์ ภายในกรอบรูปนั้น อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ใช้จินตนาการของคุณ อย่าจำกัดตัวเองน่ะครับ”

   “ในมุมของภาพวิชวลแล้ว จางอี้โหมวอยู่ในระดับที่ผู้กำกับน้อยคนจะก้าวไปถึงครับ” เดมอนกล่าวชื่นชม “คุณจะได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่คุณไม่เคยเห็นในหนังมาก่อน มันเป็นการสร้างช็อตที่งดงามอย่างเหลือเชื่อ ทั้งการที่เขาจัดฉากการสู้รบของกองทัพ การใช้ธนูของวิลเลียม ตัวอสุรกายพวกนี้ วิธีการโจมตีของพวกมัน และรูปร่างหน้าตาของพวกมัน น่าสะพรึงกลัวจริงๆ ดังนั้น มันก็เลยเป็นหนังสงครามอัศจรรย์ที่มีชะตากรรมของมนุษยชาติเป็นเดิมพันครับ มันน่าจะเป็นหนังที่สนุกจริงๆ สำหรับผู้ชม”

   “ผมชอบเรื่องราวผจญภัยมาทั้งชีวิตครับ” ทัลล์กล่าว “ในหนังเรื่องนี้ มันมีปริศนาของการเดินทางตามเส้นทางสายไหมไปสู่ดินแดนจีนโบราณ ตัวละครชาวตะวันตกของเรา แมตต์ และเปโดร ได้พบสิ่งที่เหลือเชื่อ มีทั้งอสุรกายพวกนี้ แล้วก็มีชาวจีนกลุ่มนี้ที่ทำงานร่วมกันเพื่อส่วนรวม เพื่อรักษาป้อมปราการเอาไว้ สโคปของแอ็กชัน ตามที่ปรากฏจากเลนส์ของจางอี้โหมว เป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อนบนแผ่นฟิล์ม เราโชคดีมากที่ได้จางอี้โหมวมากำกับทีมนักแสดงน่าทึ่งชุดนี้ ที่มีกลิ่นไอของความเป็นนานาชาติอย่างแท้จริงครับ”

   เมื่อพูดถึงนักแสดงของเขา ผู้กำกับจาง (หรือจางเต้า ตามที่คนเรียกเขาในกองถ่ายด้วยภาษาจีนกลาง) กล่าวว่า “แมตต์ เป็นนักแสดงที่เก่งกาจ ยอดเยี่ยมและผมก็ชอบดูหนังของเขา การแสดงของเขาเป็นอะไรที่ชักจูงใจและเป็นธรรมชาติมากๆ ผมจะสารภาพอะไรซักอย่างหนึ่ง ตอนที่ผมถ่ายทำ The Flowers of War ผมได้ทาบทามเขา เราได้พบกันด้วยซ้ำ แต่โชคร้ายที่มันไม่เวิร์ค ดังนั้น พอผมรู้ว่าแมตต์ ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วย ผมก็เลยตื่นเต้นจริงๆ ความฝันของผมกลายเป็นจริงแล้วครับ”

   “การได้ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องวิเศษสุดจริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนสุดท้ายของการถ่ายทำครับ” จางกล่าวชื่นชม “แมตต์ รู้เรื่องหนังดี ดังนั้น เขาก็เลยมีส่วนช่วยได้มากจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ผมจะถามเขาว่า ‘คุณคิดยังไงกับบทพูดนี้’ หรือ ‘คุณจะพูดยังไงตรงนี้’ ผมไม่ได้พูดภาษาอังกฤษษ และบทพูดก็ถูกเขียนขึ้นโดยมือเขียนบทฮอลลีวูด ผมก็เลยอยากรู้ว่าเขาคิดยังไง เขารู้จักตัวละครและเรื่องราวนี้ดีที่สุด เขามักจะมีข้อเสนอแนะที่ยอดเยี่ยมเสมอครับ”

   เดมอนพูดถึงวิลเลียม การิน (และไซด์คิก เปโร โทวาร์ ที่รับบทโดย เปโดร ปาสคัล) ว่าเป็น “นักรบรับจ้าง เราเป็นเวอร์ชันสมัยใหม่ของกลุ่มนักรบชั้นสูงที่ได้รับการว่าจ้างให้เดินทางมายังตอนเหนือของจีนเพื่อขโมยผงดำที่เราได้ยินคำร่ำลือมา เรารู้ว่าเราจะสามารถทำสิ่งที่น่าสนใจมากๆ กับมันได้ในโลกตะวันตกถ้าเพียงแต่เราได้มันมาครอบครองน่ะครับ”
   “และวิลเลียมก็คล้ายกับพวกทหารในภาคีนิรนาม” เขากล่าวถึงภูมิหลังของตัวละครต่อ “เขาถูกจับตัวและส่งให้กับกองทัพตั้งแต่อายุน้อยมากๆ เขาโตมาโดยรู้จักแต่สงคราม เขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ แต่เขาจะสู้เพื่อใครก็ตามที่จ่ายเงินจ้างเขา มุมมองชีวิตของเขาคือถ้าคุณมีชีวิตอยู่นานพอ ท้ายที่สุด คุณก็จะสู้เพื่อเงิน และนั่นก็คือสิ่งที่เขาทำ เขามีมุมมองเย้ยหยันต่อโลกใบนี้ แต่เขาก็เป็นนักสู้ที่มีฝีมือสูงมาก เช่นเดียวกับโทวาร์ เพื่อนรักของเขา พวกเขาเป็นทีมเดียวกัน เป็นเหมือนทหารกองพันเดลตาสองคนในค.ศ.1100 น่ะครับ”

   โลเออร์กล่าวว่า “วิลเลียมและเปโรอยู่ด้วยกันมาซักพักแล้ว พวกเขากลายเป็นเหมือนพี่น้องกัน พวกเขาสู้ด้วยกันได้อย่างไหลลื่นและมีทักษะที่เข้าคู่กันได้ดี ในตอนที่พวกเขาร่วมกันสู้ พวกเขาก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีกครับ”

   “โทวาร์ใช้ดาบสองมือที่เขาได้เรียนรู้มาระหว่างการเดินทาง” เดมอนอธิบายต่อ “วิลเลียมเป็นนักธนู และฝีมือของเขาก็ค่อนข้างเทพเลยครับ เขาและโทวาร์ชำนาญการต่อสู้ด้วยอาวุธทุกรูปแบบและอาจจะเคยสู้รบด้วยกันเป็นพันๆ ครั้ง พวกเขาเคยชินกับการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน พวกเขาก็เลยเป็นเหมือนดวงตาที่ติดอยู่ด้านหลังของกันและกัน เขาและโทวาร์รอดชีวิตจากสงครามนับครั้งไม่ถ้วนและพวกเขาก็ยินดีจะสู้เพื่อทุกคน พูดกันตามตรงก็คือชีวิตที่ผ่านมามีแต่ตอกย้ำมุมมองของเขาที่ว่าพวกเขาจะสู้เพื่อฝ่ายไหนก็ตามที่จ่ายค่าตอบแทนสูงสุด ซึ่งก็หมายความว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อตัวเองเท่านั้น”

   “พวกเขาถูกพวกภาคีนิรนามจับตัวในตอนที่พวกเขาเริ่มจะเห็นการป้องกันอสุรกายพวกนี้ของกำแพงเมืองจีน” เดมอนกล่าวเสริมพลางพูดเป็นนัยเกี่ยวกับการเติบโตของตัวละครของเขาในเรื่องราวนี้ว่า “ในตอนที่พวกเขาเริ่มจะเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและทำไม โทวาร์ก็ยังคงยึดมั่นกับความตั้งใจแรกของเรา ซึ่งก็คือการขโมยผงดำ ในขณะที่วิลเลียมเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกว่า อาจจะมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เขาชื่นชมลักษณะที่คนพวกนี้เต็มใจเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อกันและกันและมีชีวิตเพื่ออุดมคติที่สูงส่งกว่า ในแบบที่เขาไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ มันทำให้เกิดความสับสนและความเปลี่ยนแปลงในตัวของวิลเลียม จนทำให้เขาไม่สามารถเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองได้อีกต่อไป เขาอยากจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นครับ”

   “ตั้งแต่ตอนแรกที่เราเริ่มคุยกันถึงการคัดเลือกนักแสดง แมตต์ ก็เป็นคนที่จางอี้โหมวต้องการสำหรับบทนี้อยู่แล้วครับ” โลเออร์กล่าวชื่นชม “เมื่อตัวละครวิลเลียมมีชีวิตขึ้นมา แมตต์ ก็เป็นตัวเลือกแรกของเขาและเป็นคนแรกที่เราไปหาครับ”

   นอกจากนั้นแล้ว ปาสคัลยังเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่ทีมผู้สร้างพิจารณาสำหรับบท “เนื้อคู่” ของวิลเลียม ตามที่โลเออร์ได้พูดถึงตัวละครตัวนี้เอาไว้ “พื้นเพของโทวาร์เป็นชาวสเปน และเราก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นด้วยตอนคัดเลือกนักแสดง” โลเออร์พูดถึงความสนใจในตัวปาสคัล นักแสดงชาวชิลี ที่เติบโตในอเมริกาและพูดภาษาสเปนได้อย่างคล่องแคล่ว “เราเริ่มมองหานักแสดงที่มีคุณสมบัติแบบนั้น ในนตอนนั้น เราโชคดีที่ Game of Thrones มาถึงจุดที่ตัวละครของเปโดรกำลังจะโดนบดขยี้พอดี เราก็เลยส่งมันให้จางอี้โหมวดู มันเป็นซีรีส์ที่เขาเองก็ชอบอยู่แล้ว เขาก็เลยรู้จักว่าเปโดรเป็นใครและชื่นชอบให้เขามารับบทนี้ครับ”

   “ตอนที่เราติดต่อตัวแทนของเปโดร เราพบว่าเขาเป็นแฟนผลงานของจางอี้โหมวครับ” โลเออร์กล่าวต่อ “สิ่งที่น่าสนใจก็คือเปโดรได้ส่งจดหมายยืดยาวเขียนมาว่าตอนสมัยเด็ก เขาชอบดูหนังของจางอี้โหมว ในตอนนั้น ไม่มีเพื่อนคนไหนของเขาเลยที่ดูหนังอาร์ต เขาก็เลยต้องเดินคนเดียวเป็นระยะทางไกลๆ เพื่อไปโรงหนัง ดังนั้น ในกรณีของเปโดร เราติดต่อนักแสดงไปคนเดียวเท่านั้นล่ะ เราไม่เคยนึกถึงคนอื่นเลย เราไม่เคยไปหาคนอื่น ถ้าคุณเชื่อในโชคชะตาล่ะก็ ดูเหมือนว่าชะตาจะกำหนดมาให้เราได้ร่วมงานกับเปโดรครับ”

   จางอี้โหมวกล่าวขยายความว่า “เราไม่เคยพบกันมาก่อน เปโดรเคยเขียนจดหมายหาผมบอกว่าพ่อของเขาพาเขาไปหมู่บ้านเล็กๆ เพื่อดูหนังเรื่อง Raise the Red Lantern ตอนที่เขายังเล็กๆ อยู่ เขาเกิดความสนใจในหนังจีนและนับตั้งแต่นั้นมา ก็ได้ดูหนังทุกเรื่องของผม ตอนที่เราได้พบกันครั้งแรก เขาบอกว่า ‘ผมมาอยู่ตรงนี้ได้เพราะคุณ’ มันเป็นเรื่องที่จินตนาการได้ยากและผมก็ปลื้มใจมก การแสดงของเขาใน Game of Thrones น่าทึ่งมาก และเคมีระหว่างเขากับแมตต์ ก็ทำให้ตัวละครตัวนี้มีสีสันและมิติมากกว่าที่เราหวังเอาไว้อีกครับ”

   ปาสคัลพูดถึงตัวละครโทวาร์ว่าเป็น “ทหารผู้แสวงหาโชคลาภ นักรบรับจ้าง เขาเป็นคนที่จะสู้เพื่อใครก็ได้...ถ้าค่าจ้างเหมาะสม เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความรุนแรงสุดขั้วและตัวเขาเองก็เป็นนักรบผู้เก่งกาจ เขามาจากสเปน อาจจะเกิดมาเป็นคนยากจน และถูกจ้างจากพวกทำสงครามครูเสดเพราะทักษะการต่อสู้ที่เหลือเชื่อของเขา ซึ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางครับ”


   

happy on December 26, 2016, 02:56:18 PM
   สำหรับความรักที่เขามีต่อภาพยนตร์ของจางอี้โหมว ปาสคัลเล่าว่า “ผมได้ดู Raise the Red Lantern กับครอบครัวในโรงหนัง มันทำให้ผมเริ่มสนใจเขา ตั้งแต่ตอนนั้น ผ่านยุค 90s มา ผมไม่เคยพลาดหนังของเขาซักเรื่อง แล้วตอนที่ Hero เข้าฉายในอเมริกาและฐานผู้ชมของเขากำลังขยายตัวขึ้นเพราะรูปแบบของมัน ผมก็ดีใจมากๆ เพราะผมคุ้นเคยกับหนังเรื่องอื่นๆ ของเขาดีอยู่แล้ว หนังที่มีสเกลเล็กกว่านี้เยอะ เรื่องราวที่มีความเฉพาะกลุ่ม และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์มกๆ แต่ก็มีแรงขับดันจากตัวละครอย่างลึกซึ้งและมีภาพวิชวลที่ตระการตาครับ”

   “จางเป็นผู้กำกับที่ผมรู้จักมาหลายปีแล้ว” เดโฟ เพื่อนร่วมแสดงของเขา กล่าว “ผมได้ดูหนังเรื่อง Red Sorghum หรือ Raise the Red Lantern ก่อน แล้วนับตั้งแต่นั้นมา ผมก็ได้ดูหนังทุกเรื่องของเขา มันเป็นงานที่น่าทึ่งและยอดเยี่ยมจริงๆ ในโลกตะวันตก เขาอาจจะเป็นที่รู้จักมากกว่าจากผลงานบางเรื่อง แต่เขามีฝีมือที่เหลือเชื่อมาก เขาสร้างทั้งหนังฟอร์มเล็ก หนังแอ็กชันประณีต หนังร่วมสมัยและหนังแฟนตาซี เขาสร้างแม้กระทั่งหนังคอเมดีตรงๆ ด้วยซ้ำไป ผมก็เลยตื่นเต้นที่ได้ทำงานในหนังฟอร์มยักษ์แบบนี้ ดีใจที่ได้ทำงานกับบทหนังที่ดีแบบนี้กับเขาครับ”

   “บัลลาร์ดเป็นตัวละครที่พบว่าตัวเองติดอยู่ในจีน กับทหารกลุ่มนี้ในกำแพงเมืองจีน มานานถึง 25 ปีแล้ว” นักแสดงหนุ่มกล่าว “เขาไปถึงที่นั่นเมื่อหลายปีก่อนพร้อมขบวนคาราวาน เพื่อทำการค้า แต่เรื่องไม่เข้าท่าเกิดขึ้น แล้วเขาก็ติดอยู่ที่นั่น ด้วยความที่เขาเป็นคนฉลาด เขาก็เลยพบวิธีในการเอาตัวรอดท่ามกลางวัฒนธรรมทหารที่กำลังปกป้องดินแดนภาคกลางอยู่น่ะครับ”

   “ในการเอาตัวรอด เขาทำให้ตัวเองมีประโยชน์ด้วยการสอนภาษาอังกฤษให้กับพวกเขา ด้วยการแบ่งปันความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับกลยุทธทางทหารของโลกตะวันตก” เดโฟกล่าว “เขาทำงานกับพวกเขาเพื่อไม่เป็นการเสียข้าวสุก และความสำคัญของเขาก็ค่อนข้างน้อยนิดเพราะพวกเขาเก็บชีวิตเขาไว้เพราะเขาเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น เขาเป็นคนมีการศึกษา เป็นคนที่เคยอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ผู้ไม่อยากจะเชื่อในความโชคร้ายของตัวเอง แต่เขาก็มีแผนที่จะกลับไปโลกตะวันตก เขาค้นพบว่าชาวจีนได้ประดิษฐ์ดินปืนขึ้นมา เขามีจินตนาการโลดแล่นเกี่ยวกับผลของมันที่จะมีต่อชื่อเสียงและโชคลาภของตัวเขาเองถ้าเขาสามารถนำมันไปสู่โลกตะวันตกได้ มันเป็นจินตนาการถึงชีวิตอีกแบบหนึ่งที่เขาอาจมีได้น่ะครับ”

   ผู้กำกับจางกล่าวถึงเดโฟว่าเป็น “นักแสดงในอุดมคติสำหรับบท บัลลาร์ด เราไม่ต้องพูดอะไรกันให้มากความเลย ผมได้ดูหนังหลายเรื่องของเขา เช่น Platoon เขาเป็นคนมุ่งมั่นและเป็นมืออาชีพอย่างมาก เขามักจะเป็นคนแรกที่มากองถ่าย เพื่อทำการซ้อม เขาเป็นคนประณีตมากๆ ในบทพูดทุกคำและรายละเอียดครับ”

   “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงจากฮอลลีวูดทั้งสามคนนี้” ผู้กำกับจางกล่าวยกย่อง “พวกเขาแสดงให้เห็นถึงคติการทำงานแบบมืออาชีพและความรับผิดชอบระดับสูง นักแสดงทั้งสามคนนี้ได้รับการนับถือไม่ใช่เฉพาะจากผมเท่านั้น แต่จากทีมงานชาวจีนทุกคนของเรา ที่กล่าวชื่นชมพวกเขาอย่างมาก พวกเราไม่เคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักแสดงระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดมาก่อน และพวกเขาก็ทำให้ทุกคนประทับใจ ผมเชื่อว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สดใสในการที่นักแสดงฮอลลีวูดจะมาทำงานในจีนครับ”

   ใน The Great Wall จางได้นั่งแท่นผู้กำกับของเรื่องและได้กำกับนักแสดงที่โด่งดังที่สุดในประเทศบ้านเกิดของเขาหลายคน โดยสองคนในนั้นได้แสดงบทสำคัญที่จำเป็นต้องพูดทั้งภาษาจีนกลางและอังกฤษ “ความท้าทายชิ้นใหญ่อย่างหนึ่งคือนี่เป็นหนังธีมจีนที่มีตัวละครตะวันตกอยู่ประปรายในแบบที่เป็นธรรมชาติ” โลเออร์อธิบาย “ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นหนังภาษาอังกฤษ ตัวละครจีนบางตัวจะต้องพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งมันก็ตัดรายชื่อนักแสดงในท้องถิ่นออกไปเยอะเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับบทกุนซือหวังและหลิน เมย์ ที่ทั้งคู่จะต้องพูดภาษาอังกฤษอย่างชำนาญในหนังเรื่องนี้”

   โลเออร์เล่าว่าทีมผู้สร้างได้รวมรายชื่อผู้เข้าข่ายได้รับการคัดเลือกห้าคนสำหรับตัวละครหลักชาวจีนแต่ละตัวในเรื่องกว่าสิบตัว (ซึ่งส่วนใหญ่พูดแต่ภาษาจีนกลาง โดยมีการใส่คำแปลให้กับคำพูดของพวกเขา) เมื่อพวกเขาทำลิสต์นั้นเสร็จแล้ว ทีมผู้สร้างก็เริ่มพบคนตามรายชื่อนั้นทีละคน ในบางกรณี พวกเขาได้พบกับนักแสดงทั้งห้าคนที่พวกเขาพิจารณาสำหรับบทนั้นๆ แต่สำหรับบางบท พวกเขาก็ได้พิจารณาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

   “สำหรับบทหลิน เมย์ จิง เถียนอยู่ในลิสต์ดั้งเดิมของเราครับ” เขากล่าวต่อ “เธอได้ออดิชันตั้งแต่แรกๆ ในตอนที่ภาษาอังกฤษของเธอยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เธอก็ทะเยอทะยานพอที่จะจ้างครูที่มาสอนเธอวันละสิบสองชั่วโมงเพื่อฝึกเรื่องสำเนียงของเธอ โดยที่เราไม่รู้น่ะครับ”

   ผู้กำกับจางกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าจิง เถียนจะเป็นนักแสดงอายุน้อย แต่เธอก็รู้ว่าเธอต้องแบกรับหลายอย่างในฐานะตัวละครสำคัญ การฝึกฝนอย่างเข้มข้นของเธอในอเมริกา โดยเฉพาะเรื่องภาษา เป็นไปตามมาตรฐานของผมทุกเรื่อง เธอขยันมากๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยครับ”

   จิง เถียนได้ทำการศึกษาภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้นนานหลายเดือน และได้ฝึกฝนอีกหลายๆ อย่าง (โดยเฉพาะงานสตันท์และการขี่ม้า) เพื่อที่เธอจะสามารถรับมือกับการใช้ทักษะทางกายตามที่จำเป็นในการรับบทนี้ได้ นอกจากนั้น แบ็คกราวน์ของเธอในการเต้น (เธอเคยศึกษาเรื่องการเต้นมาก่อนที่ปักกิ่ง แดนซ์ อคาเดมี) ก็มีประโยชน์ต่อเธอในการแสดงซีเควนซ์แอ็กชันที่มีชีวิตชีวาของเรื่องด้วย

   “เถียนไปอเมริกาแล้วทำงานหนักเป็นบ้าเป็นหลังเลยครับ” โลเออร์กล่าวชื่นชม “เธอได้เกรด ‘เอ’ ในทุกเรื่อง ทั้งในเรื่องของการฝึกฝนและภาษาอังกฤษ พอถึงเดือนธันวาคม โค้ชสำเนียงของเธอ (จูดี้ ดิคเคอร์สันและฟรานซี บราวน์ ผู้คร่ำหวอดในวงการฮอลลีวูด) แฮปปี้กับเธอมากๆ และตอนนั้นเองที่เราตัดสินจ เธอใช้เวลาอีกสามเดือนในอเมริกา และไม่เพียงแต่เธอจะได้บทนี้ไปครองเท่านั้น แต่เธอยังได้ใจทุกคนด้วย เธอเป็นดาราดาวรุ่ง แต่เธอก็ทุ่มสุดตัวจนคว้าบทนี้มาได้ด้วยตัวเอง และเราก็ชื่นชมความสำเร็จของเธอครับ”

   นักแสดงหญิงวัย 28 ปีผู้นี้อาจจะถูกชะตากำหนดมาให้รับบทนี้ เพราะความเกี่ยวพันโดยบังเอิญระหว่างเธอกับบ้านเกิดของจาง เธอโตมาในเมืองซีอาน มณฑลชานซี (ห่างจากปักกิ่งด้วยการเดินทางทางรถไฟนานห้าชั่วโมง) นอกจากนี้ เธอยังเป็นศิษย์เก่าของสถาบันปักกิ่ง ฟิล์ม อคาเดมี ที่ซึ่งจางสำเร็จการศึกษามา (ในปี 1982) ในฐานะหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่สำเร็จการศึกษาหลังจากการปิดฉากลงของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในยุค 60s และ 70s

   ซีอาน บ้านเกิดของพวกเขา เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ 7,000 ปี ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพรูปปั้นทหารที่เก่าแก่ตั้งสมัยราชวงศ์จิ๋น ประมาณ 256-210 ปีก่อนคริสต์กาล (เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเพียงหนึ่งเดียวที่ยกย่องกองทัพของจักรพรรดิจิ๋น) ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว มันเกือบจะเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ทำให้จิง เถียนได้มาเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ (ภาพยนตร์ฮอลลีวูดและภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเธอ) ที่นำเสนอเรื่องราวของกองทัพนักรบจีนที่ต่อสู้บนอนุสสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเกิดของเธอเพื่อปกป้องมนุษยชาติ ในรูปแบบของเรื่องสมมติ

   “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับจางอี้โหมว” จิง เถียนกล่าว “อย่างที่เราทุกคนรู้ เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ดีที่สุดในโลก ในการมอบโอกาสนี้ให้กับฉัน เขามีความมั่นใจในตัวฉันสูงมาก ทุกวันในกองถ่ายเหมือนกับการเข้าคลาสการแสดง เหมือนกับนักแสดงหลายคนของเรา เขาเป็นผู้กำกับที่ฉันอยากจะร่วมงานด้วยมานานแล้ว มันก็เลยเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริง เขาเป็นความภาคภูมิใจของวงการหนังจีนค่ะ”

   “หลิน เมย์เป็นแม่ทัพที่นำกองทัพจีนค่ะ” เธอพูดถึงตัวละครของเธอ “เธอเป็นผู้หญิงที่มีความดีงามหลายอย่าง เธอแข็งแกร่ง กล้าหาญ พึ่งพาได้ มุ่งมั่นและกล้าเสี่ยง เธอมีทั้งความสามารถและความเฉลียวฉลาดที่จำเป็นในการนำทัพทหารนิรนาม ในฐานะขุนพลหญิง เธอเป็น ‘พลังหญิง’ ในหนังเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยตัวละครรชาย หลิน เมย์เกิดมาในกลุ่มภาคีนิรนาม องค์กรลับที่ไม่มีใครรู้จัก เว้นแต่องค์ฮ่องเต้ ในตอนที่เธอยังเล็ก แม่ทัพเส้ามองเห็นศักยภาพของเธอ เขาเล่าให้เธอฟังถึงทุกอย่างที่เขารู้ และฝึกฝนเธอให้กลายเป็นขุนศึกผู้แข็งแกร่งและมากความสามารถ เขาส่งต่ออำนาจของเขาให้กับหลิน เมย์ ผู้รู้สึกถึงความรับผิดชอบในการสานต่องานของแม่ทัพเส้า นอกจากนี้ หลิน เมย์และวิลเลียมก็ได้แสดงฉากแอ็กชันหลายฉากด้วยกันด้วยค่ะ”

   เดมอนกล่าวติดตลกว่า คนอาจจะเรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “The Women and The Wall ท้ายที่สุดแล้ว หลิน เมย์ก็กลายเป็นแม่ทัพผู้ดูแลกองทัพทั้งหมด เธอเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างมาก เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงระหว่างที่เขาอยู่ในนครป้อมปราการแห่งนี้ และโดยมากแล้ว มันเกิดขึ้นก็เพราะหลิน เมย์ครับ”

   ถ้าตัวละครหลิน เมย์เป็นหนึ่งในคนที่กล้าหาญที่สุดในเรื่อง ตามที่เดมอนชี้ให้เห็น เขาก็กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “กุนซือหวัง ที่รับบทโดยแอนดี้ เลาก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเรื่อง เขามีสิ่งประดิษฐ์ที่เหลือเชื่อพวกนี้ และเป็นผู้วางแผนการให้กับกลุ่มภาคีนิรนามนี้ครับ เขาเป็นคนที่วิลเลียมชื่นชมและนับถืออย่างมากครับ”

   ความนับถือนั้นยังปรากฏระหว่างนักแสดงทั้งสอง ผู้ไม่เคยพบกันมาก่อนหน้าการถ่ายทำห้าเดือน แต่ก็เคยมีความเกี่ยวพันกันจากผลงานก่อนหน้านี้ของพวกเขา ซึ่งก็คือพวกเขาเคยแสดงเป็นตัวละครตัวเดียวกันมาก่อนในภาพยนตร์สองเรื่อง โดยแอนดี้ เลารับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจกงฉินในทริลเลอร์อาชญากรรมฮ่องกงปี 2002 เรื่อง Infernal Affairs และเดมอนรับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำงานแฝงตัวใน The Departed ซึ่งเป็นฉบับดัดแปลงเป็นภาษาอังกฤษของมัน มันเป็นสิ่งที่ทั้งคู่คุยเล่นกันระหว่างการพูดคุยกันสบายๆ ในกองถ่ายช่วงพักกอง

   “ผมบอกแมตต์ ว่าเขาฉลาดกว่าผมเพราะเขาได้ค่าตัวมากกว่าสำหรับหนังของเขา” นักแสดงเจ้าของผลงานภาพยนตร์กว่า 150 เรื่องกล่าวติดตลก “แมตต์ บอกผมว่าผมฉลาดกว่าเขาเพราะเขาตายในเรื่องนั้น แต่ผมมีชีวิตอยู่ได้แสดงซีเควลอีกสองภาค ผมชื่นชอบการได้ร่วมงานกับแมตต์  และรู้สึกว่าเขากลายเป็นเพื่อนที่ดีของผม ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้งครับ”

   แอนดี้ เลามีโอกาสได้ร่วมงานกับจางอี้โหมวอีกครั้งในบทกุนซือหวัง ตัวละครที่เขาพูดถึงว่าเป็น “นักวิทยาศาสตร์ผู้อุทิศชีวิตไปกับการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูและพยายามจะสู้กับพวกเขา ระหว่างราชวงศ์ซ่ง สังคมค่อนข้างเปิดกว้าง ดังนั้น วัฒนธรรมจีนหลายอย่างก็เลยถูกพัฒนาขึ้นมา และมีนักคิดและสิ่งประดิษฐ์มากมายเกิดขึ้นด้วย มันทำให้ผมคิดถึงเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกราชวงศ์ซ่งมาเป็นแบ็คกราวน์ของหนังเรื่องนี้ครับ”

   เรื่องราวของ The Great Wall เกิดขึ้นในจีนศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจเพราะในเวลานั้น มีการฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการเกิดขึ้นในจีน ผู้ออกแบบงานสร้างจอห์น ไมร์ตั้งข้อสังเกตว่า “หนังของเราใช้การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์มากมายที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงนั้น กุนซือหวังเป็นตัวละครที่เกิดจากการรวมนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของยุคนั้นไว้ด้วยกันครับ"

   “ฉากห้องแห่งความรู้เป็นเหมือนห้องแล็บวิทยาศาสตร์สำหรับผม ที่ผมจะพัฒนาไอเดียเพี้ยนๆ ของผมรวมถึงสิ่งประดิษฐ์และอาวุธเพื่อต่อสู้กับพวกเทาเที่ยครับ” แอนดี้ เลากล่าวถึงฉากที่มีภาพวิชวลน่าทึ่งของไมร์ภายในสเตจ 8 ที่ซีเอฟจี สตูดิโอส์ “มันเหมือนห้องสมุดที่เก็บรวบรวมประสบการณ์จากบรรพบุรุษของเราเอาไว้ครับ”

   สำหรับความท้าทายของบทที่ต้องใช้สองภาษานี้ แอนดี้ เลาสารภาพว่า “มันเป็นเรื่องยากจริงๆ สำหรับผมในการจะฝึกพูดภาษาอังกฤษ ผมได้บทมาหนึ่งเดือนก่อนหน้าการถ่ายทำและผมก็ต้องใช้เวลาสองสัปดาห์เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องราวนี้ จากนั้น ผมก็ต้องใช้เวลาอีกสองสัปดาห์เพื่อจำบททั้งหมด โชคดีที่เรามีโค้ชสอนไดอะล็อคในกองถ่าย ที่คอยช่วยแนะนำผมอย่างดีมากๆ นอกจากนั้น ผมยังต้องขอบคุณแมตต์ และวิลเลมด้วยเพราะพวกเขาให้ข้อเสนอแนะที่ดีมากๆ กับผมระหว่างที่ผมแสดงอยู่ วิลเลมเป็นเหมือนครูของผม เขาพยายามจะช่วยขัดเกลาการแสดงของผมเพื่อทำให้ผมรู้สึกดีเวลาอยู่ตรงหน้ากล้อง ส่วนแมตต์ เองก็เป็นผู้เล่นทีม เขาคอยคำนึงถึงตำแหน่งแห่งที่ของทุกคนในกองถ่ายเสมอครับ”

   “แอนดี้ เลาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดในจีนครับ” จางกล่าวยกย่อง “เขาได้รับความนิยมในจีนมา 40 ปีแล้ว เขาต้องพูดไดอะล็อคภาษาอังกฤษมากมาย มากกว่านักแสดงต่างประเทศด้วยซ้ำ แม้ว่าเขาจะพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่เขาก็อยากจะบอกเล่าให้โลกได้รับรู้ว่านักแสดงจีนก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีเหมือนกัน และเขาก็ฝึกฝนอย่างหนักครับ”

   สำหรับความท้าทายในการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทสำคัญๆ ที่เหลือในการถ่ายทำ  โลเออร์กล่าวว่า “มันเป็นกระบวนการที่น่าสนใจทีเดียวเพราะนักแสดงชาวจีนของเราล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงแถวหน้าครับ เราบอกพวกเขาแต่ละคนถึงกำหนดการถ่ายทำคร่าวๆ เราไม่พร้อมที่จะมอบบทหนังให้กับพวกเขาในตอนนั้นเพราะเรายังเขียนไม่เสร็จ สำหรับนักแสดงชาวจีนพวกนี้ เราต้องการให้พวกเขาเซ็นสัญญาอย่างไร้เงื่อนไข พวกเขาจะต้องยินยอมที่จะเสี่ยง โชคดีสำหรับเราที่พวกเขาต่างก็ยอมเซ็นสัญญาภายใต้ข้อกำหนดเหล่านี้ วันที่มีการประกาศรายชื่อนักแสดงเป็นวันแรกที่พวกเขารู้ว่ามีใครอีกที่ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ครับ”

   นอกเหนือจากแอนดี้ เลาแล้ว จางอี้โหมวได้ร่วมงานเป็นครั้งแรกกับนักแสดงชาวจีนคนสำคัญอื่นๆ ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นดาวเด่นในตลาดเอเชียบ้านเกิดของพวกเขา โดยที่เจ็ดคน (จากนักแสดงหลักอีกสิบคน) รับบททหารในภาคีนิรนาม

   “ผมอยากจะร่วมงานกับผู้กำกับจางมานานแล้วครับ” นักแสดงชาวจีน จางฮั่นหยู ชาวปักกิ่งผู้รับบทแม่ทัพเส้า ผู้บัญชาการกองทหารทั้งห้ากองพันของภาคีนิรนามกล่าว “เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรับบทนี้ และผมก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงหนังของเขา ผมชื่นชอบผลงานช่วงเริ่มแรกของเขาอย่าง To Live และพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิคปี 2008 ก็เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ เขาได้นำเสนอธีมและสไตล์ต่างๆ ตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมาของเขาครับ”

   เช่นเดียวกับจางฮั่นหยู นักแสดงชาวจีนคนสำคัญคนอื่นๆ ที่รับบทสมาชิกในภาคีนิรนามต่างก็ได้รู้ถึงบทบาทของตัวเองในการประกาศรายชื่อนักแสดงเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2015 พวกเขาประกอบไปด้วยเอ็ดดี้ เผิงอวี่เยี่ยน ในบท ขุนพลอู๋ หัวหน้าของกองพันพยัคฆ์ ในชุดเกราะสีทอง (ชาวไต้หวันผู้นี้เป็นนักแสดงจีนอีกเพียงคนเดียวที่ชำนาญภาษาอังกฤษ หลังจากที่เคยใช้เวลาช่วงวัยรุ่นในแวนคูเวอร์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษในเรื่องก็ตาม), หลินเกิงซิน ในบท ขุนพลเฉิน ผู้นำกองพันอินทรี ผู้ชำนาญการใช้หน้าไม้ ในชุดเครื่องแบบสีแดงเจิดจ้า, หวงซวน นักแสดงภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์ รับบท เติ้ง ผู้บัญชาการ กองพันกวาง กองทหารม้าในชุดเกราะสีม่วง, สองนักแสดงสาวชาวจีน หยูซินเทียน และหลิวเฉียง สวมชุดเกราะสีน้ำเงินสูงส่ง ในบท นายทหารในกองพันกระเรียนของหลิน เมย์ และนักร้องดังแห่งวงการป๊อปเอเชีย ลู่ หาน ในบท ทหารหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกกองพันหมีของแม่ทัพเส้า ผู้แต่งกายในชุดดำ

   ในฐานะที่เขาจะได้เป็นหนึ่งในนักรบอินทรีในเรื่องเมื่อภายหลัง เดมอนได้สวมชุดเกราะสีแดง ที่เป็นสัญลักษณ์ของกองพัน ในการเข้าฉากร่วมกับหลินเกิงซิน เพื่อนร่วมแสดงชาวจีน ผู้รับบท ผู้บัญชาการกองพันอินทรี อีกคนหนึ่งคือลู่ หาน หนึ่งในนักร้องป๊อปคนดังของจีน ผู้เปิดตัวในโลกการแสดงในบท เผิงหย่ง ทหารขี้ขลาดแห่งกองพันหมี

   นักร้องชาวปักกิ่งผู้นี้แจ้งเกิดในวงการเพลงจีนในช่วงปลายปี 2011 และความนิยมบนชาร์ทเพลงของเขาก็ทำให้เขาเรียกเสียงฮือฮาทางโซเชียล มีเดียของจีนได้ในแบบที่นักเศรษฐศาสตร์แห่งชาติได้เรียกมันว่าเป็น “เอฟเฟ็กต์ลู่ หาน” เขามีผู้ติดตามทางซีนา เวยป๋อ (ทวิตเตอร์เวอร์ชันจีน) และตามสื่อโซเชียล มีเดียต่างๆ ที่ซึ่งเขามีจำนวนผู้ติดตามมหาศาล

   เดมอนไม่เคยรู้จักลู่ หานมาก่อนแต่ไม่นานนัก เขาก็ตระหนักได้ถึงสถานะไอดอลของเขา “ก่อนคืนถ่ายทำคืนแรกของเขา มีแฟนๆ ส่งช่อดอกไม้มาให้ลู่ หาน 40 ช่อ ซึ่งมันเต็มทางเดินของโรงแรมไปหมดเลยครับ เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขาเดินทางไปยังโลเกชันถ่ายทำ แฟนๆ จะซื้อตั๋วที่เหลือทั้งหมดบนเครื่องบินหรือรถไฟที่เขานั่ง มันสุดโต่งจริงๆ แต่ถ้าไม่มีคนบอกผมว่าลู่ หานเป็นดาราดังแบบนี้ ผมคงไม่รู้หรอกครับถ้าดูจากการวางตัวของเขา เขาติดดินมากๆ”

   ในการคัดเลือกคนดังอย่างลู่ หานหรือหวังจุนไค อีกหนึ่งคนดังแห่งวงการเพลงป๊อปจีน นักร้องนำวงบอยแบนด์ ทีเอฟบอยส์ ของจีน มารับบทสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับจางกล่าวว่า “ไอดอลหนุ่มพวกนี้ได้รับการคัดเลือกมาอย่างเข้มงวด ลู่ หานและหวังจุนไคทั้งอายุน้อยและได้รับความนิยมอย่างสูง ที่นี่ พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นเทพเจจ้า แต่พวกเขาเหมาะกับตัวละครของพวกเขาในทุกแง่มุม ทั้งอายุ ลุคและบุคลิกครับ”

   เมื่อพูดถึงหวังจุนไค ผู้ไม่เคยแสดงเป็นอาชีพมาก่อน (เขาเพิ่งอายุได้ 15 ปีตอนที่เขาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้) จางอี้โหมวก็ยอมรับว่าเขามองความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไอดอลหนุ่ม ผู้รับบทฮ่องเต้ของป้อมปราการแห่งนี้ว่าเป็นเหมือนความสัมพันธ์ของพ่อลูกมากกว่าจะเป็นผู้กำกับ “เราให้เขารับการทดสอบที่เข้มงวดหลายครั้งก่อนที่จะเลือกเขา แล้วเราก็ให้เขาเรียนการแสดงด้ย เขาพิสูจน์ให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขา และพิสูจน์ว่าเขาเหมาะกับบทนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมกล้าบอกเลยว่าเขาน่าจะลองคิดถึงการเข้าศึกษาที่ปักกิ่ง ฟิล์ม อคาเดมี ดู เขามีพรสวรรค์ขนาดนั้นเลยนะครับ”