สำหรับความรักที่เขามีต่อภาพยนตร์ของจางอี้โหมว ปาสคัลเล่าว่า “ผมได้ดู Raise the Red Lantern กับครอบครัวในโรงหนัง มันทำให้ผมเริ่มสนใจเขา ตั้งแต่ตอนนั้น ผ่านยุค 90s มา ผมไม่เคยพลาดหนังของเขาซักเรื่อง แล้วตอนที่ Hero เข้าฉายในอเมริกาและฐานผู้ชมของเขากำลังขยายตัวขึ้นเพราะรูปแบบของมัน ผมก็ดีใจมากๆ เพราะผมคุ้นเคยกับหนังเรื่องอื่นๆ ของเขาดีอยู่แล้ว หนังที่มีสเกลเล็กกว่านี้เยอะ เรื่องราวที่มีความเฉพาะกลุ่ม และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์มกๆ แต่ก็มีแรงขับดันจากตัวละครอย่างลึกซึ้งและมีภาพวิชวลที่ตระการตาครับ”
“จางเป็นผู้กำกับที่ผมรู้จักมาหลายปีแล้ว” เดโฟ เพื่อนร่วมแสดงของเขา กล่าว “ผมได้ดูหนังเรื่อง Red Sorghum หรือ Raise the Red Lantern ก่อน แล้วนับตั้งแต่นั้นมา ผมก็ได้ดูหนังทุกเรื่องของเขา มันเป็นงานที่น่าทึ่งและยอดเยี่ยมจริงๆ ในโลกตะวันตก เขาอาจจะเป็นที่รู้จักมากกว่าจากผลงานบางเรื่อง แต่เขามีฝีมือที่เหลือเชื่อมาก เขาสร้างทั้งหนังฟอร์มเล็ก หนังแอ็กชันประณีต หนังร่วมสมัยและหนังแฟนตาซี เขาสร้างแม้กระทั่งหนังคอเมดีตรงๆ ด้วยซ้ำไป ผมก็เลยตื่นเต้นที่ได้ทำงานในหนังฟอร์มยักษ์แบบนี้ ดีใจที่ได้ทำงานกับบทหนังที่ดีแบบนี้กับเขาครับ”
“บัลลาร์ดเป็นตัวละครที่พบว่าตัวเองติดอยู่ในจีน กับทหารกลุ่มนี้ในกำแพงเมืองจีน มานานถึง 25 ปีแล้ว” นักแสดงหนุ่มกล่าว “เขาไปถึงที่นั่นเมื่อหลายปีก่อนพร้อมขบวนคาราวาน เพื่อทำการค้า แต่เรื่องไม่เข้าท่าเกิดขึ้น แล้วเขาก็ติดอยู่ที่นั่น ด้วยความที่เขาเป็นคนฉลาด เขาก็เลยพบวิธีในการเอาตัวรอดท่ามกลางวัฒนธรรมทหารที่กำลังปกป้องดินแดนภาคกลางอยู่น่ะครับ”
“ในการเอาตัวรอด เขาทำให้ตัวเองมีประโยชน์ด้วยการสอนภาษาอังกฤษให้กับพวกเขา ด้วยการแบ่งปันความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับกลยุทธทางทหารของโลกตะวันตก” เดโฟกล่าว “เขาทำงานกับพวกเขาเพื่อไม่เป็นการเสียข้าวสุก และความสำคัญของเขาก็ค่อนข้างน้อยนิดเพราะพวกเขาเก็บชีวิตเขาไว้เพราะเขาเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น เขาเป็นคนมีการศึกษา เป็นคนที่เคยอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ผู้ไม่อยากจะเชื่อในความโชคร้ายของตัวเอง แต่เขาก็มีแผนที่จะกลับไปโลกตะวันตก เขาค้นพบว่าชาวจีนได้ประดิษฐ์ดินปืนขึ้นมา เขามีจินตนาการโลดแล่นเกี่ยวกับผลของมันที่จะมีต่อชื่อเสียงและโชคลาภของตัวเขาเองถ้าเขาสามารถนำมันไปสู่โลกตะวันตกได้ มันเป็นจินตนาการถึงชีวิตอีกแบบหนึ่งที่เขาอาจมีได้น่ะครับ”
ผู้กำกับจางกล่าวถึงเดโฟว่าเป็น “นักแสดงในอุดมคติสำหรับบท บัลลาร์ด เราไม่ต้องพูดอะไรกันให้มากความเลย ผมได้ดูหนังหลายเรื่องของเขา เช่น Platoon เขาเป็นคนมุ่งมั่นและเป็นมืออาชีพอย่างมาก เขามักจะเป็นคนแรกที่มากองถ่าย เพื่อทำการซ้อม เขาเป็นคนประณีตมากๆ ในบทพูดทุกคำและรายละเอียดครับ”
“ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงจากฮอลลีวูดทั้งสามคนนี้” ผู้กำกับจางกล่าวยกย่อง “พวกเขาแสดงให้เห็นถึงคติการทำงานแบบมืออาชีพและความรับผิดชอบระดับสูง นักแสดงทั้งสามคนนี้ได้รับการนับถือไม่ใช่เฉพาะจากผมเท่านั้น แต่จากทีมงานชาวจีนทุกคนของเรา ที่กล่าวชื่นชมพวกเขาอย่างมาก พวกเราไม่เคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักแสดงระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดมาก่อน และพวกเขาก็ทำให้ทุกคนประทับใจ ผมเชื่อว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สดใสในการที่นักแสดงฮอลลีวูดจะมาทำงานในจีนครับ”
ใน The Great Wall จางได้นั่งแท่นผู้กำกับของเรื่องและได้กำกับนักแสดงที่โด่งดังที่สุดในประเทศบ้านเกิดของเขาหลายคน โดยสองคนในนั้นได้แสดงบทสำคัญที่จำเป็นต้องพูดทั้งภาษาจีนกลางและอังกฤษ “ความท้าทายชิ้นใหญ่อย่างหนึ่งคือนี่เป็นหนังธีมจีนที่มีตัวละครตะวันตกอยู่ประปรายในแบบที่เป็นธรรมชาติ” โลเออร์อธิบาย “ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นหนังภาษาอังกฤษ ตัวละครจีนบางตัวจะต้องพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งมันก็ตัดรายชื่อนักแสดงในท้องถิ่นออกไปเยอะเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับบทกุนซือหวังและหลิน เมย์ ที่ทั้งคู่จะต้องพูดภาษาอังกฤษอย่างชำนาญในหนังเรื่องนี้”
โลเออร์เล่าว่าทีมผู้สร้างได้รวมรายชื่อผู้เข้าข่ายได้รับการคัดเลือกห้าคนสำหรับตัวละครหลักชาวจีนแต่ละตัวในเรื่องกว่าสิบตัว (ซึ่งส่วนใหญ่พูดแต่ภาษาจีนกลาง โดยมีการใส่คำแปลให้กับคำพูดของพวกเขา) เมื่อพวกเขาทำลิสต์นั้นเสร็จแล้ว ทีมผู้สร้างก็เริ่มพบคนตามรายชื่อนั้นทีละคน ในบางกรณี พวกเขาได้พบกับนักแสดงทั้งห้าคนที่พวกเขาพิจารณาสำหรับบทนั้นๆ แต่สำหรับบางบท พวกเขาก็ได้พิจารณาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
“สำหรับบทหลิน เมย์ จิง เถียนอยู่ในลิสต์ดั้งเดิมของเราครับ” เขากล่าวต่อ “เธอได้ออดิชันตั้งแต่แรกๆ ในตอนที่ภาษาอังกฤษของเธอยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เธอก็ทะเยอทะยานพอที่จะจ้างครูที่มาสอนเธอวันละสิบสองชั่วโมงเพื่อฝึกเรื่องสำเนียงของเธอ โดยที่เราไม่รู้น่ะครับ”
ผู้กำกับจางกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าจิง เถียนจะเป็นนักแสดงอายุน้อย แต่เธอก็รู้ว่าเธอต้องแบกรับหลายอย่างในฐานะตัวละครสำคัญ การฝึกฝนอย่างเข้มข้นของเธอในอเมริกา โดยเฉพาะเรื่องภาษา เป็นไปตามมาตรฐานของผมทุกเรื่อง เธอขยันมากๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเลยครับ”
จิง เถียนได้ทำการศึกษาภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้นนานหลายเดือน และได้ฝึกฝนอีกหลายๆ อย่าง (โดยเฉพาะงานสตันท์และการขี่ม้า) เพื่อที่เธอจะสามารถรับมือกับการใช้ทักษะทางกายตามที่จำเป็นในการรับบทนี้ได้ นอกจากนั้น แบ็คกราวน์ของเธอในการเต้น (เธอเคยศึกษาเรื่องการเต้นมาก่อนที่ปักกิ่ง แดนซ์ อคาเดมี) ก็มีประโยชน์ต่อเธอในการแสดงซีเควนซ์แอ็กชันที่มีชีวิตชีวาของเรื่องด้วย
“เถียนไปอเมริกาแล้วทำงานหนักเป็นบ้าเป็นหลังเลยครับ” โลเออร์กล่าวชื่นชม “เธอได้เกรด ‘เอ’ ในทุกเรื่อง ทั้งในเรื่องของการฝึกฝนและภาษาอังกฤษ พอถึงเดือนธันวาคม โค้ชสำเนียงของเธอ (จูดี้ ดิคเคอร์สันและฟรานซี บราวน์ ผู้คร่ำหวอดในวงการฮอลลีวูด) แฮปปี้กับเธอมากๆ และตอนนั้นเองที่เราตัดสินจ เธอใช้เวลาอีกสามเดือนในอเมริกา และไม่เพียงแต่เธอจะได้บทนี้ไปครองเท่านั้น แต่เธอยังได้ใจทุกคนด้วย เธอเป็นดาราดาวรุ่ง แต่เธอก็ทุ่มสุดตัวจนคว้าบทนี้มาได้ด้วยตัวเอง และเราก็ชื่นชมความสำเร็จของเธอครับ”
นักแสดงหญิงวัย 28 ปีผู้นี้อาจจะถูกชะตากำหนดมาให้รับบทนี้ เพราะความเกี่ยวพันโดยบังเอิญระหว่างเธอกับบ้านเกิดของจาง เธอโตมาในเมืองซีอาน มณฑลชานซี (ห่างจากปักกิ่งด้วยการเดินทางทางรถไฟนานห้าชั่วโมง) นอกจากนี้ เธอยังเป็นศิษย์เก่าของสถาบันปักกิ่ง ฟิล์ม อคาเดมี ที่ซึ่งจางสำเร็จการศึกษามา (ในปี 1982) ในฐานะหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่สำเร็จการศึกษาหลังจากการปิดฉากลงของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในยุค 60s และ 70s
ซีอาน บ้านเกิดของพวกเขา เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ 7,000 ปี ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพรูปปั้นทหารที่เก่าแก่ตั้งสมัยราชวงศ์จิ๋น ประมาณ 256-210 ปีก่อนคริสต์กาล (เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเพียงหนึ่งเดียวที่ยกย่องกองทัพของจักรพรรดิจิ๋น) ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว มันเกือบจะเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ทำให้จิง เถียนได้มาเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ (ภาพยนตร์ฮอลลีวูดและภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเธอ) ที่นำเสนอเรื่องราวของกองทัพนักรบจีนที่ต่อสู้บนอนุสสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเกิดของเธอเพื่อปกป้องมนุษยชาติ ในรูปแบบของเรื่องสมมติ
“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับจางอี้โหมว” จิง เถียนกล่าว “อย่างที่เราทุกคนรู้ เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ดีที่สุดในโลก ในการมอบโอกาสนี้ให้กับฉัน เขามีความมั่นใจในตัวฉันสูงมาก ทุกวันในกองถ่ายเหมือนกับการเข้าคลาสการแสดง เหมือนกับนักแสดงหลายคนของเรา เขาเป็นผู้กำกับที่ฉันอยากจะร่วมงานด้วยมานานแล้ว มันก็เลยเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริง เขาเป็นความภาคภูมิใจของวงการหนังจีนค่ะ”
“หลิน เมย์เป็นแม่ทัพที่นำกองทัพจีนค่ะ” เธอพูดถึงตัวละครของเธอ “เธอเป็นผู้หญิงที่มีความดีงามหลายอย่าง เธอแข็งแกร่ง กล้าหาญ พึ่งพาได้ มุ่งมั่นและกล้าเสี่ยง เธอมีทั้งความสามารถและความเฉลียวฉลาดที่จำเป็นในการนำทัพทหารนิรนาม ในฐานะขุนพลหญิง เธอเป็น ‘พลังหญิง’ ในหนังเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยตัวละครรชาย หลิน เมย์เกิดมาในกลุ่มภาคีนิรนาม องค์กรลับที่ไม่มีใครรู้จัก เว้นแต่องค์ฮ่องเต้ ในตอนที่เธอยังเล็ก แม่ทัพเส้ามองเห็นศักยภาพของเธอ เขาเล่าให้เธอฟังถึงทุกอย่างที่เขารู้ และฝึกฝนเธอให้กลายเป็นขุนศึกผู้แข็งแกร่งและมากความสามารถ เขาส่งต่ออำนาจของเขาให้กับหลิน เมย์ ผู้รู้สึกถึงความรับผิดชอบในการสานต่องานของแม่ทัพเส้า นอกจากนี้ หลิน เมย์และวิลเลียมก็ได้แสดงฉากแอ็กชันหลายฉากด้วยกันด้วยค่ะ”
เดมอนกล่าวติดตลกว่า คนอาจจะเรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “The Women and The Wall ท้ายที่สุดแล้ว หลิน เมย์ก็กลายเป็นแม่ทัพผู้ดูแลกองทัพทั้งหมด เธอเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างมาก เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงระหว่างที่เขาอยู่ในนครป้อมปราการแห่งนี้ และโดยมากแล้ว มันเกิดขึ้นก็เพราะหลิน เมย์ครับ”
ถ้าตัวละครหลิน เมย์เป็นหนึ่งในคนที่กล้าหาญที่สุดในเรื่อง ตามที่เดมอนชี้ให้เห็น เขาก็กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “กุนซือหวัง ที่รับบทโดยแอนดี้ เลาก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเรื่อง เขามีสิ่งประดิษฐ์ที่เหลือเชื่อพวกนี้ และเป็นผู้วางแผนการให้กับกลุ่มภาคีนิรนามนี้ครับ เขาเป็นคนที่วิลเลียมชื่นชมและนับถืออย่างมากครับ”
ความนับถือนั้นยังปรากฏระหว่างนักแสดงทั้งสอง ผู้ไม่เคยพบกันมาก่อนหน้าการถ่ายทำห้าเดือน แต่ก็เคยมีความเกี่ยวพันกันจากผลงานก่อนหน้านี้ของพวกเขา ซึ่งก็คือพวกเขาเคยแสดงเป็นตัวละครตัวเดียวกันมาก่อนในภาพยนตร์สองเรื่อง โดยแอนดี้ เลารับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจกงฉินในทริลเลอร์อาชญากรรมฮ่องกงปี 2002 เรื่อง Infernal Affairs และเดมอนรับบทเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำงานแฝงตัวใน The Departed ซึ่งเป็นฉบับดัดแปลงเป็นภาษาอังกฤษของมัน มันเป็นสิ่งที่ทั้งคู่คุยเล่นกันระหว่างการพูดคุยกันสบายๆ ในกองถ่ายช่วงพักกอง
“ผมบอกแมตต์ ว่าเขาฉลาดกว่าผมเพราะเขาได้ค่าตัวมากกว่าสำหรับหนังของเขา” นักแสดงเจ้าของผลงานภาพยนตร์กว่า 150 เรื่องกล่าวติดตลก “แมตต์ บอกผมว่าผมฉลาดกว่าเขาเพราะเขาตายในเรื่องนั้น แต่ผมมีชีวิตอยู่ได้แสดงซีเควลอีกสองภาค ผมชื่นชอบการได้ร่วมงานกับแมตต์ และรู้สึกว่าเขากลายเป็นเพื่อนที่ดีของผม ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้งครับ”
แอนดี้ เลามีโอกาสได้ร่วมงานกับจางอี้โหมวอีกครั้งในบทกุนซือหวัง ตัวละครที่เขาพูดถึงว่าเป็น “นักวิทยาศาสตร์ผู้อุทิศชีวิตไปกับการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูและพยายามจะสู้กับพวกเขา ระหว่างราชวงศ์ซ่ง สังคมค่อนข้างเปิดกว้าง ดังนั้น วัฒนธรรมจีนหลายอย่างก็เลยถูกพัฒนาขึ้นมา และมีนักคิดและสิ่งประดิษฐ์มากมายเกิดขึ้นด้วย มันทำให้ผมคิดถึงเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกราชวงศ์ซ่งมาเป็นแบ็คกราวน์ของหนังเรื่องนี้ครับ”
เรื่องราวของ The Great Wall เกิดขึ้นในจีนศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจเพราะในเวลานั้น มีการฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการเกิดขึ้นในจีน ผู้ออกแบบงานสร้างจอห์น ไมร์ตั้งข้อสังเกตว่า “หนังของเราใช้การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์มากมายที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงนั้น กุนซือหวังเป็นตัวละครที่เกิดจากการรวมนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของยุคนั้นไว้ด้วยกันครับ"
“ฉากห้องแห่งความรู้เป็นเหมือนห้องแล็บวิทยาศาสตร์สำหรับผม ที่ผมจะพัฒนาไอเดียเพี้ยนๆ ของผมรวมถึงสิ่งประดิษฐ์และอาวุธเพื่อต่อสู้กับพวกเทาเที่ยครับ” แอนดี้ เลากล่าวถึงฉากที่มีภาพวิชวลน่าทึ่งของไมร์ภายในสเตจ 8 ที่ซีเอฟจี สตูดิโอส์ “มันเหมือนห้องสมุดที่เก็บรวบรวมประสบการณ์จากบรรพบุรุษของเราเอาไว้ครับ”
สำหรับความท้าทายของบทที่ต้องใช้สองภาษานี้ แอนดี้ เลาสารภาพว่า “มันเป็นเรื่องยากจริงๆ สำหรับผมในการจะฝึกพูดภาษาอังกฤษ ผมได้บทมาหนึ่งเดือนก่อนหน้าการถ่ายทำและผมก็ต้องใช้เวลาสองสัปดาห์เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องราวนี้ จากนั้น ผมก็ต้องใช้เวลาอีกสองสัปดาห์เพื่อจำบททั้งหมด โชคดีที่เรามีโค้ชสอนไดอะล็อคในกองถ่าย ที่คอยช่วยแนะนำผมอย่างดีมากๆ นอกจากนั้น ผมยังต้องขอบคุณแมตต์ และวิลเลมด้วยเพราะพวกเขาให้ข้อเสนอแนะที่ดีมากๆ กับผมระหว่างที่ผมแสดงอยู่ วิลเลมเป็นเหมือนครูของผม เขาพยายามจะช่วยขัดเกลาการแสดงของผมเพื่อทำให้ผมรู้สึกดีเวลาอยู่ตรงหน้ากล้อง ส่วนแมตต์ เองก็เป็นผู้เล่นทีม เขาคอยคำนึงถึงตำแหน่งแห่งที่ของทุกคนในกองถ่ายเสมอครับ”
“แอนดี้ เลาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดในจีนครับ” จางกล่าวยกย่อง “เขาได้รับความนิยมในจีนมา 40 ปีแล้ว เขาต้องพูดไดอะล็อคภาษาอังกฤษมากมาย มากกว่านักแสดงต่างประเทศด้วยซ้ำ แม้ว่าเขาจะพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่เขาก็อยากจะบอกเล่าให้โลกได้รับรู้ว่านักแสดงจีนก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีเหมือนกัน และเขาก็ฝึกฝนอย่างหนักครับ”
สำหรับความท้าทายในการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทสำคัญๆ ที่เหลือในการถ่ายทำ โลเออร์กล่าวว่า “มันเป็นกระบวนการที่น่าสนใจทีเดียวเพราะนักแสดงชาวจีนของเราล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงแถวหน้าครับ เราบอกพวกเขาแต่ละคนถึงกำหนดการถ่ายทำคร่าวๆ เราไม่พร้อมที่จะมอบบทหนังให้กับพวกเขาในตอนนั้นเพราะเรายังเขียนไม่เสร็จ สำหรับนักแสดงชาวจีนพวกนี้ เราต้องการให้พวกเขาเซ็นสัญญาอย่างไร้เงื่อนไข พวกเขาจะต้องยินยอมที่จะเสี่ยง โชคดีสำหรับเราที่พวกเขาต่างก็ยอมเซ็นสัญญาภายใต้ข้อกำหนดเหล่านี้ วันที่มีการประกาศรายชื่อนักแสดงเป็นวันแรกที่พวกเขารู้ว่ามีใครอีกที่ร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ครับ”
นอกเหนือจากแอนดี้ เลาแล้ว จางอี้โหมวได้ร่วมงานเป็นครั้งแรกกับนักแสดงชาวจีนคนสำคัญอื่นๆ ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นดาวเด่นในตลาดเอเชียบ้านเกิดของพวกเขา โดยที่เจ็ดคน (จากนักแสดงหลักอีกสิบคน) รับบททหารในภาคีนิรนาม
“ผมอยากจะร่วมงานกับผู้กำกับจางมานานแล้วครับ” นักแสดงชาวจีน จางฮั่นหยู ชาวปักกิ่งผู้รับบทแม่ทัพเส้า ผู้บัญชาการกองทหารทั้งห้ากองพันของภาคีนิรนามกล่าว “เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรับบทนี้ และผมก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงหนังของเขา ผมชื่นชอบผลงานช่วงเริ่มแรกของเขาอย่าง To Live และพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิคปี 2008 ก็เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ เขาได้นำเสนอธีมและสไตล์ต่างๆ ตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมาของเขาครับ”
เช่นเดียวกับจางฮั่นหยู นักแสดงชาวจีนคนสำคัญคนอื่นๆ ที่รับบทสมาชิกในภาคีนิรนามต่างก็ได้รู้ถึงบทบาทของตัวเองในการประกาศรายชื่อนักแสดงเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2015 พวกเขาประกอบไปด้วยเอ็ดดี้ เผิงอวี่เยี่ยน ในบท ขุนพลอู๋ หัวหน้าของกองพันพยัคฆ์ ในชุดเกราะสีทอง (ชาวไต้หวันผู้นี้เป็นนักแสดงจีนอีกเพียงคนเดียวที่ชำนาญภาษาอังกฤษ หลังจากที่เคยใช้เวลาช่วงวัยรุ่นในแวนคูเวอร์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษในเรื่องก็ตาม), หลินเกิงซิน ในบท ขุนพลเฉิน ผู้นำกองพันอินทรี ผู้ชำนาญการใช้หน้าไม้ ในชุดเครื่องแบบสีแดงเจิดจ้า, หวงซวน นักแสดงภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์ รับบท เติ้ง ผู้บัญชาการ กองพันกวาง กองทหารม้าในชุดเกราะสีม่วง, สองนักแสดงสาวชาวจีน หยูซินเทียน และหลิวเฉียง สวมชุดเกราะสีน้ำเงินสูงส่ง ในบท นายทหารในกองพันกระเรียนของหลิน เมย์ และนักร้องดังแห่งวงการป๊อปเอเชีย ลู่ หาน ในบท ทหารหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกกองพันหมีของแม่ทัพเส้า ผู้แต่งกายในชุดดำ
ในฐานะที่เขาจะได้เป็นหนึ่งในนักรบอินทรีในเรื่องเมื่อภายหลัง เดมอนได้สวมชุดเกราะสีแดง ที่เป็นสัญลักษณ์ของกองพัน ในการเข้าฉากร่วมกับหลินเกิงซิน เพื่อนร่วมแสดงชาวจีน ผู้รับบท ผู้บัญชาการกองพันอินทรี อีกคนหนึ่งคือลู่ หาน หนึ่งในนักร้องป๊อปคนดังของจีน ผู้เปิดตัวในโลกการแสดงในบท เผิงหย่ง ทหารขี้ขลาดแห่งกองพันหมี
นักร้องชาวปักกิ่งผู้นี้แจ้งเกิดในวงการเพลงจีนในช่วงปลายปี 2011 และความนิยมบนชาร์ทเพลงของเขาก็ทำให้เขาเรียกเสียงฮือฮาทางโซเชียล มีเดียของจีนได้ในแบบที่นักเศรษฐศาสตร์แห่งชาติได้เรียกมันว่าเป็น “เอฟเฟ็กต์ลู่ หาน” เขามีผู้ติดตามทางซีนา เวยป๋อ (ทวิตเตอร์เวอร์ชันจีน) และตามสื่อโซเชียล มีเดียต่างๆ ที่ซึ่งเขามีจำนวนผู้ติดตามมหาศาล
เดมอนไม่เคยรู้จักลู่ หานมาก่อนแต่ไม่นานนัก เขาก็ตระหนักได้ถึงสถานะไอดอลของเขา “ก่อนคืนถ่ายทำคืนแรกของเขา มีแฟนๆ ส่งช่อดอกไม้มาให้ลู่ หาน 40 ช่อ ซึ่งมันเต็มทางเดินของโรงแรมไปหมดเลยครับ เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขาเดินทางไปยังโลเกชันถ่ายทำ แฟนๆ จะซื้อตั๋วที่เหลือทั้งหมดบนเครื่องบินหรือรถไฟที่เขานั่ง มันสุดโต่งจริงๆ แต่ถ้าไม่มีคนบอกผมว่าลู่ หานเป็นดาราดังแบบนี้ ผมคงไม่รู้หรอกครับถ้าดูจากการวางตัวของเขา เขาติดดินมากๆ”
ในการคัดเลือกคนดังอย่างลู่ หานหรือหวังจุนไค อีกหนึ่งคนดังแห่งวงการเพลงป๊อปจีน นักร้องนำวงบอยแบนด์ ทีเอฟบอยส์ ของจีน มารับบทสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับจางกล่าวว่า “ไอดอลหนุ่มพวกนี้ได้รับการคัดเลือกมาอย่างเข้มงวด ลู่ หานและหวังจุนไคทั้งอายุน้อยและได้รับความนิยมอย่างสูง ที่นี่ พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นเทพเจจ้า แต่พวกเขาเหมาะกับตัวละครของพวกเขาในทุกแง่มุม ทั้งอายุ ลุคและบุคลิกครับ”
เมื่อพูดถึงหวังจุนไค ผู้ไม่เคยแสดงเป็นอาชีพมาก่อน (เขาเพิ่งอายุได้ 15 ปีตอนที่เขาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้) จางอี้โหมวก็ยอมรับว่าเขามองความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไอดอลหนุ่ม ผู้รับบทฮ่องเต้ของป้อมปราการแห่งนี้ว่าเป็นเหมือนความสัมพันธ์ของพ่อลูกมากกว่าจะเป็นผู้กำกับ “เราให้เขารับการทดสอบที่เข้มงวดหลายครั้งก่อนที่จะเลือกเขา แล้วเราก็ให้เขาเรียนการแสดงด้ย เขาพิสูจน์ให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขา และพิสูจน์ว่าเขาเหมาะกับบทนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมกล้าบอกเลยว่าเขาน่าจะลองคิดถึงการเข้าศึกษาที่ปักกิ่ง ฟิล์ม อคาเดมี ดู เขามีพรสวรรค์ขนาดนั้นเลยนะครับ”