happy on December 26, 2016, 03:11:08 PM
พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ
ผลงานการสร้างของ จีเค ฟิล์มส์


ชื่อภาพยนตร์ :    ALLIED
ชื่อไทย:       สายลับพันธมิตร
วันที่เข้าฉาย:   5 มกราคม 2560
จัดจำหน่าย:   บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


แบรด พิตต์ รับบทสายลับยุคสงครามโลก ประกบคู่ มาริยง กอติยาร์ ใน Allied

แบรด พิตต์ รับบทนำใน Allied ภาพยนตร์โรแมนติคทริลเลอร์ เรื่องราวของสายลับยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยประกบคู่กับ มาริยง โกติยาร์ นักแสดงหญิงรางวัลออสการ์ จาก La Vie en Rose กำกับการแสดงโดย โรเบิร์ต เซเม็กคิส ผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก Forrest Gump
 
Allied เป็นเรื่องราวของแม็กซ์ วาแทน เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง กับ มารียาน โบเซฌูร์ นักสู้ของขบวนการฝรั่งเศสเสรี ในภารกิจเสี่ยงตายในแดนศัตรู ทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้งในลอนดอน ในขณะที่ความสัมพันธ์ถูกคุมคามจากอิทธิพลของสงคราม
 
Allied มีกำหนดเข้าฉายไทย 5 มกราคม 2560 ในโรงภาพยนตร์


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=xcLXJSDlITc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=xcLXJSDlITc</a>

เบื้องหลังงานสร้าง

 “ฉันเก่งเรื่องเสแสร้ง แม็กซ์” 

สำหรับสายลับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง แม็กซ์ วาแทน (แบรด พิตต์) และมาริแอนน์ โบเซจัวร์ โบเซฌูร์  (มาริยง โกติยาร์) กุญแจสำคัญในการเอาชีวิตรอดได้ก็คือ การเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนจริงๆ พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องการหลอกลวง เล่นละคร เดาใจคนเก่ง และการลอบสังหาร เมื่อพวกเขาเกิดตกหลุมรักกันโดยไม่ตั้งใจท่ามกลางภารกิจเสี่ยงตายงานหนึ่ง ความหวังเดียวของพวกเขาคือการทิ้งงานสายลับไว้เบื้องหลัง แต่ความสงสัยและอันตรายกลับกลายเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตแต่งงานในช่วงสงครามของพวกเขา เมื่อคู่สามีภรรยาต้องแข่งขันกันเองในบททดสอบสุดอันตรายที่ตัดสินความภักดี ตัวตน และความรัก ที่มาพร้อมผลพวงระดับโลก

จากผู้กำกับรางวัลออสการ์ โรเบิร์ต เซเมคคิส เจ้าของจินตนาการสุดล้ำ ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์อย่าง Forrest Gump, Cast Away และ Flight มาถึงภาพยนตร์เรื่อง Allied ผลงานการผสมผสานระหว่างงานทริลเลอร์แนวจารกรรม ผสมรวมกับงานดราม่ายุคสงคราม และเรื่องราวความรักสุดเร่าร้อนระหว่างสองมือสังหารที่ชะตากำหนดให้อาจเป็นทั้งเนื้อคู่ หรือศัตรูคู่อาฆาต หรืออาจเป็นทั้งสองอย่าง ในผลงานการสร้างที่เหตุการณ์ในเรื่องต้องตระเวณเดินทางไปทั่วตั้งแต่คาซาบลังก้า จนถึงลอนดอน และฝรั่งเศสภายใต้การยึดครองของเยอรมัน เซเมคคิสได้สร้างสรรค์เรื่องราวอันยิ่งใหญ่ที่เคยงอกงามอยู่ในฮอลลีวู้ดยุครุ่งเรือง เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ความตื่นเต้น และความเร่าร้อนสุดโรแมนติค ที่ถูกบอกเล่าด้วยพลังอันเปี่ยมล้นของโรงภาพยนตร์แห่งศตวรรษที่ 21

ภาพยนตร์เรื่องนี้จับนักแสดงชายที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง แบรด พิตต์ (Moneyball, The Curious Case Of Benjamin Button, Twelve Monkeys) ให้มาประชันบทบาทกับนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ มาริยง โกติยาร์ (La Vie En Rose, Two Days, One Night, The Dark Knight Rises) ในบทสองสายลับมือฉมังที่ติดอยู่ตรงกลางระหว่างความรู้สึกที่มีต่อกัน และการตีสองหน้าที่อาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาห่วงใย

ในปี 1942 26 ประเทศต้องผนึกกำลังเป็นกองทัพสัมพันธมิตร เพื่อต่อสู้กับกองทัพนาซีที่กำลังรุกรานยุโรป และในภารกิจเร่งด่วนของหน่วยปฏิบัติการพิเศษอังกฤษ (SOE) นักบินหนุ่มชาวแคนาดา แม็กซ์ วาแทน ต้องกระโดดร่มลงไปที่คาซาบลังก้าที่ถูกยึดครอง เพื่อสังหารทูตของเยอรมัน ที่นั่น เขาเผชิญหน้ากับนักสู้สาวจากกองกำลังต่อต้านฝรั่งเศส มาริแอนน์ โบเซจัวร์ ผู้ถูกเลือกให้มาแสดงตัวเป็นภรรยาของเขา แต่ในไม่ช้า ความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ก็เป็นยิ่งกว่าการแสดง แม้ในยามพวกเขาจะต้องเผชิญอันตราย เมื่อพวกเขากลับมาเจอกันอีกในลอนดอน ความรักของเขาและเธอยิ่งลึกซึ้ง จนถึงขั้นสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่แล้ว แม็กซ์ได้รับข้อมูลว่าชีวิตครอบครัวที่แสนเป็นสุขของเขาอาจเป็นเพียงการหลอกลวง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการตามล่าหาความจริงที่ทำให้เขาต้องผ่านวังวนของชายแดนและต้องเผชิญกับพันธมิตรทั้งต่างชาติและมิตรส่วนตน   

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และจีเค ฟิล์มส์ ภูมิใจเสนอ Allied ผลงานภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เซเมคคิส จากบทภาพยนตร์ที่เป็นฝีมือของ สตีเว่น ไนท์ (Dirty Pretty Things, Eastern Promises, Locke) ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ เจ้าของรางวัลออสการ์ แกรห์ม คิง (The Departed, Argo), เซเมคคิส และสตีฟ สตาร์กี้ (Forrest Gump, Castaway, Flight,) โดยมี เดนิส โอซัลลิแวน (The 5th Wave, The Young Victoria), แจ็ค แร็ปกี้  (Flight, Castaway, Beowulf), แจ็คกี้ เลอไวน์ (The Walk), แพทริค แม็คคอร์มิค (Black Mass) และสตีเว่น ไนท์ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

ทีมงานหลังกล้องที่ร่วมกันสร้างโลกในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ในภาพยนตร์เรื่อง Allied ขึ้นมา ก็คือ ผู้กำกับภาพที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ดอน เบอร์เกสส์ (Forrest Gump, Spider Man, Flight), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ แกรี่ ฟรีแมน (Maleficent, Everest), สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ เควิน เบลลี่ (Flight, The Walk, Star Trek Beyond), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ โจแอนนา จอห์นสตัน (Lincoln, Saving Private Ryan, Mission Impossible: Rogue Nation, Forrest Gump) และผู้ลำดับภาพ มิค อ็อดสลี่ย์ (Everest, Prince of Persia: The Sands of Time), เจเรไมอาห์ โอดริสโคลล์ (The Walk, Flight) และผู้แต่งดนตรีประกอบที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสองรางวัลออสการ์ อลัน ซิลเวสทรี (Forrest Gump, Back to the Future, Castaway)



เมื่อความรักปะทะสงครามและการหลอกลวง: เรื่องจริงของ ALLIED

เรื่องจริงบางเรื่องที่คุณเคยได้ยินแม้เพียงครั้งเดียว แต่กลับไม่เคยลืมเลือนมันเลย

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมือเขียนบท สตีฟ ไนท์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเช้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์ทริลเลอร์ของ สตีเฟ่น เฟรียร์ส เรื่อง Dirty Pretty Things และยังได้รับการยกย่องจากการเขียนบทภาพยนตร์ให้กับเรื่องราวเกี่ยวกับมาเฟียรัสเซีย ผลงานของเดวิด โครเนนเบิร์ก เรื่อง Eastern Promises รวมไปถึงเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ดราม่าแบบแสดงคนเดียวเรื่อง Locke ไนท์เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสายลับแฝงตัวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สองคนที่เกิดตกหลุมรักกัน เพียงเพื่อจะต้องมาต่อกรกันเมื่อตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาถูกเปิดเผย

มีคำกล่าวว่า ในสงครามและความรัก ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ แต่เมื่อสองสิ่งนี้มาผสมรวมกันในแบบที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายที่สุด ความแน่นอนทางศีลธรรมของโลกนี้อาจควบคุมไม่อยู่อีกต่อไป

เรื่องราวที่สามารถทำให้ไนท์เกิดความหลงใหลได้ในทันทีนี้ วางเรื่องราวเอาไว้ที่สายลับชาวแคนาดา และคุณครูชาวฝรั่งเศสที่กลายเป็นนักสู้ของกองกำลังต่อต้าน โดยทั้งคู่ได้พบกันในระหว่างภารกิจ จากนั้นได้ตัดสินใจแต่งงานกัน ซึ่งเป็นการกระทำที่องค์กรหน่วยข่าวกรองทั้งหลายไม่สนับสนุน แต่ถึงกระนั้นทุกอย่างก็ดูน่าจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง จนกระทั่งจู่ๆ ฝั่งหนึ่งดูเหมือนจะถูกเปิดโปงว่าเป็นสายลับสองหน้าที่ส่งข้อมูลสำคัญให้กับฝ่ายศัตรู ส่งผลให้ความรักและชีวิตของเขาและเธอต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างมหันต์

ความรักอย่างกระทันหัน เป็นที่รู้กันว่าเกิดได้ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องทำงานอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้ชายที่มักต้องแสดงตัวเป็นคู่สามีภรรยากันอยู่บ่อยๆ แต่ถึงกระนั้นก็มีกฎที่น่าเกรงขามอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือ กฎที่เรียกว่า “กฎการทรยศคนใกล้ชิด” เมื่อสองสายลับแต่งงานกัน และฝ่ายหนึ่งพบว่าอีกฝ่ายเผยความลับให้กับฝั่งตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่รายนั้นซึ่งคงจะอยู่ในสภาพหัวใจสลาย และต้องเสียสละตน มีหน้าที่ที่จะต้องสังหารคนรักของเขาหรือเธอโดยไม่ลังเลหรือล่าช้า มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการถูกแขวนคอเนื่องจากการเป็นกบฏ 

ไอเดียเรื่องคู่รักที่ต้องมาเผชิญหน้ากับปัญหาสองด้านระหว่างคำสัญญาของการแต่งงาน และความภักดีที่พวกเขามีต่อประเทศชาติในสงครามที่ต้องชนะเพื่ออนาคตของโลกใบนี้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ไนท์รู้สึกสนใจ และกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งไม่นานต่อมา มันสามารถเรียกความสนใจได้มากมาย

ไนท์ได้จินตนาการเรื่องราวนี้ขึ้นใหม่  โดยวางเหตุการณ์เอาไว้ที่มือสังหารมือโปรอย่าง แม็กซ์ วาแทน ซึ่งไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะปล่อยให้อารมณ์ชอบผู้หญิงเข้ามาครอบงำความคิดเขาได้ เขาทำให้แม็กซ์เป็นสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการพิเศษอังกฤษ (SOE) ที่เป็นตำนาน พวกเขาคือหน่วยข่าวกรองลับสุดยอดที่ได้รับคำสั่งจาก วินสตัน เชอร์ชิลล์ ให้ “ทำให้ยุโรปสว่างไสว” และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ โดยร่วมมือกับกองกำลังต่อต้านฝรั่งเศสในภารกิจบ่อนทำลาย และการลอบสังหารภายในเขตของพวกนาซี

จากนั้น ไนท์ได้สร้างผู้หญิงที่มีเสน่ห์ที่แม้แต่ แม็กซ์ ก็ยังมิอาจต้านทานได้ เธอคือนักต่อสู้จากกองกำลังต่อต้านฝรั่งเศสที่ชื่อ มาริแอนน์ โบเซจัวร์ ผู้ซึ่งทั้งฉลาด มีความสามารถ และแกร่งพอๆ กับแม็กซ์ แต่นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่เธอดูเหมือนจะเป็น มาริแอนน์ โบเซจัวร์กล่าวเอาไว้ว่า ความผิดพลาดที่ผู้คนกระทำเอาไว้ในสถานการณ์ต่างๆ นั้นก็คือการมีความรู้สึก แต่ทั้งคู่ก็มิอาจปฏิเสธความถวิลหาในอีกฝ่ายได้ นับแต่เริ่มต้น แม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์ต่างทดสอบและหยอกเย้าอีกฝ่ายอย่างมีสีสัน แต่การเล่นนั้นกลับกลายมาเป็นเรื่องจริงจังเมื่อแม็กซ์ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องตามสืบภรรยาสุดที่รักของเขาเพื่อตอบคำถามที่คาดไม่ถึงมากที่สุดว่า เธอเป็นผู้ทรยศหรือไม่

เรื่องราวที่จริงจัง ความไว้วางใจที่เปลี่ยนไป กับอันตรายระหว่างคนสองคน ที่คลี่คลายไปในหลากหลายประเทศที่ต้องพินาศด้วยภัยสงคราม กลายเป็นงานที่ให้ความรู้สึกได้มากพอๆ กับความเขย่าขวัญอย่างไม่หยุดหย่อน

“เป็นเวลานานมากแล้วนับแต่ที่เราได้ดูภาพยนตร์ทริลเลอร์เอพิคที่วางเหตุการณ์เอาไว้ในช่วงเกิดสงคราม บวกกับเรื่องราวความรักที่เป็นโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่แบบนี้ครับ” ผู้อำนวยการสร้างแกรห์ม คิง กล่าว คิงรู้ได้ในทันทีที่เขาได้พบไนท์เพื่อพูดคุยกันถึงแนวคิดของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเขาอยากจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ “มันเป็นการเล่าเรื่องที่มีสึสันในขนาดที่เป็นความทะเยอทะยานในแบบที่เราแทบไม่ได้สัมผัสกันอีกแล้ว และมันยังมีความสัมพันธ์กับเรื่องราวในโลกปัจจุบันอีกด้วย เป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าสงครามและการตัดสินใจทำอะไรได้บ้างกับความงดงามของความรัก” 

ผู้อำนวยการสร้าง สตีฟ สตาร์กี้ หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะทำให้คนดูได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์ของการเล่าเรื่องที่ให้ความรู้สึกท่วมท้นในยุคที่ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ได้ดูกันเป็นภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์ หรือภาพยนตร์ดราม่าฟอร์มเล็กๆ ด้วยการย้อนกลับไปหางานสร้างหนังแบบยุคทองของฮอลลีวู้ด เขาคิดว่าเซเมคคิสสามารถที่จะใส่ความฉับไวแบบโลกยุคใหม่ลงไปในเรื่องราวเอพิคที่น่าตื่นเต้นเรื่องนี้ได้ 

“สำหรับคนที่ไม่ได้โตมากับภาพยนตร์ในสไตล์ยุค 1940s พวกเขาแทบไม่เคยได้ดูภาพยนตร์แบบนี้มาก่อนเลย เป็นภาพยนตร์ที่ให้ภาพอันน่าตื่นตา และความตื่นเต้นยิ่งใหญ่ แต่ก็ลงลึกถึงอารมณ์ของมนุษย์ด้วย” สตาร์กี้บอก “ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สุด ซึ่งทำให้ได้ฉากแอ็กชั่นที่จริงจังมาก แต่แบร็ดและมาริยงก็ได้แสดงให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ในภาพยนตร์ในแบบที่เราไม่ได้เห็นกันมานานมากแล้ว” 

ในฐานะผลงานเรื่องแรกที่เซเมคคิสนำเสนอเรื่องราวในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้อำนวยการสร้างบริหาร แพทริค แม็คคอร์มิค กล่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เดินหน้าไปสู่ความตื่นเต้นทางจิตวิทยาในแบบที่แตกต่างออกไป มากกว่าจะเน้นไปที่สงครามการสู้รบ เหนือสิ่งอื่นใด อันตรายที่แม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์ต้องเผชิญนั้นมีมากเกินกว่าการลั่นกระสุนในภารกิจของพวกเขา และระเบิดที่ถล่มใส่ลอนดอน พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่น่ากลัวยิ่งกว่า นั่นก็คือความจริงที่ถูกปิดซ่อนไว้ 

“ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะวางเหตุการณ์เอาไว้ท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ Allied ก็คือเรื่องราวของชีวิตแบบสายลับสองหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจในระดับของความเป็นมนุษย์” แม็คคอร์มิคตั้งข้อสังกต “สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ ในทุกฉากของเรื่องนี้ สองตัวละครหลักอย่างแม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์ต้องทำงานในสองระดับที่แตกต่างกัน นั่นก็คือสิ่งที่คุณเห็นและสิ่งที่คุณไม่เห็น และการกระทำของพวกเขาบ่งบอกถึงความลับที่พูดออกมาไม่ได้ นั่นทำให้เกิดเนื้อเรื่องย่อยที่ทั้งโดดเด่นและทรงพลังต่อทั้งองค์ประกอบที่เป็นเรื่องทริลเลอร์ และเรื่องราวความรัก เพราะจะมีความสงสัยที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในความคิดของพวกเขา ขณะที่สงครามเองก็กำลังเดินหน้าไปสู่ไคลแม็กซ์”

happy on December 26, 2016, 03:14:56 PM



มุมมองจากผู้คิดสร้างสรรค์ภาพที่มีต่อสงครามโลกครั้งทื่ 2:  บ็อบ เซเมคคิสกุมบังเหียนงานกำกับ

ผู้อำนวยการสร้าง แกรห์ม คิง รู้ดีว่าเขาต้องการผู้กำกับที่สามารถนำความรู้สึกร่วมสมัยที่ไม่หยุดนิ่ง ใส่ลงไปในงานเล่าเรื่องแบบยุคทองของฮอลลีวู้ด ท่ามกลางเรื่องที่มีตั้งแต่เรื่องการจรกรรม และลอบสังหาร ไปจนถึงเรื่องของอารมณ์ยั่วยวน การทรยศ ความหวาดกลัว ความกล้าหาญ และความรักที่ยากจะทำลาย และแล้ว ตัวผู้กำกับเซเมคคิสนั่นแหละที่เดินเข้ามาหาเขา “วันหนึ่ง บ็อบ เซเมคคิสเดินเข้ามาที่ออฟฟิศผม แล้วพูดว่า ‘ผมชอบบทหนังของ สตีฟ ไนท์ เรื่องนี้มาก และผมอยากกำกับมัน’ ผมไม่เคยเจอเขามาก่อนเลย แต่ผมเป็นแฟนผลงานของเขานะ” คิงเล่า “ผมได้รู้ในเวลาต่อมาว่าบ็อบอยากจะทำหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 มานานแล้ว”

คิงกล่าวต่อไปว่า “การได้บ็อบเข้ามาทำงานด้วยนั้น คือสิ่งสำคัญในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ออกมาเป็นอย่างที่มันเป็น มันคือเหตุผลที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาเป็นอย่างที่เห็น และยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้เราสามารถเลือกแบร็ดและมาริยงมาแสดงนำอีกด้วย เป็นที่รู้กันว่าบ็อบคืออัจฉริยะด้านเทคนิค แต่เขาก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการเดินเรื่องด้วยตัวละคร ซึ่งหาได้ยากมากที่จะพบคุณสมบัติทั้งสองอย่างในตัวคนเดียวกัน และนั่นคือสิ่งที่เรื่องนี้ต้องการครับ” 

สตีฟ สตาร์กี้ ซึ่งเคยทำงานกับเซเมคคิสมาตั้งแต่งานสร้างลูกผสมระหว่างงานใช้คนแสดงกับงานแอนิเมชั่นในภาพยนตร์เรื่อง Who Framed Roger Rabbit เชื่อว่าไม่มีผู้กำกับในปัจจุบันคนใดที่จะเหมาะกับภาพยนตร์เรื่อง Allied เท่าเซเมคคิสอีกแล้ว  “ถ้าคุณมีเรื่องที่คุณอยากเล่าออกมาในแบบที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องคิดถึงบ็อบครับ” สตาร์กี้กล่าว “เขาคือผู้กำกับที่ชอบเล่าเรื่องใหญ่ๆ เขายินดีที่จะทุ่มสุดตัวและยอมรับในความเสี่ยงที่แสนสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่” 

ประสบการณ์ทำงานที่ยาวนานและหลากหลายของเซเมคคิส โดดเด่นทั้งในเรื่องของการคิดสร้างสรรค์งานภาพ และอิทธิพลด้านวัฒนธรรม โดยมีผลงานภาพยนตร์ที่หลากหลายตั้งแต่ภาพยนตร์ชุด Back To The Future จนถึงภาพยนตร์แฟนตาซีขายงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์อย่าง Death Becomes Her จนถึงงานผจญภัยเชิงประวัติศาสตร์อย่าง Forrest Gump จนถึงงานในโลกปัจจุบันอย่าง The Walk ซึ่งสร้างภาพการเดินบนเส้นเชือกระหว่างอดีตตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ของนิวยอร์ก แต่สุดท้าย เซเมคคิสก็สนใจในภาพยนตร์ที่ให้ความสำคัญกับพลังในการเล่าเรื่อง อย่างที่เห็นในเรื่อง Cast Away เรื่องราวของผู้ชายที่เผชิญหน้ากับอุบัติเหตุเรือแตก หรือ Flight ซึ่งพูดถึงสงครามภายในจิตใจของนักบินผู้กล้าหาญที่ต่อสู้กับอาการติดเหล้า

แม้เซเมคคิสจะมีผลงานเรื่องราวที่หลากหลายก็ตาม แต่เขาก็ยังต้องใช้ความพยายามกับเรื่องรักย้อนยุคเรื่องนี้อยู่ดี เขาไม่เพียงแต่นำสไตล์ภาพตามแบบฉบับของเขามาสู่งานสร้างฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น แต่งานทั้งสองส่วนเรียกความสนใจจากเขาได้ในฐานะผู้กำกับ เขาสนใจเรื่อง Allied ในทันที ในฐานะที่มันเป็นเรื่องราวที่ลึกลับ พูดถึงการหลอกหลวง และยังให้ภาพลักษณ์สดใหม่ของการเอาชีวิตรอดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรื่องราวความรักที่มีความลึกซึ้งและมีพลังในระดับที่ไม่ธรรมดา ซึ่งกลายมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกียรติยศที่คงอยู่ เหนือสิ่งอื่นใด เขามองภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นโอกาสในการนำเสนอภาพที่จะเข้ากับธีมต่างๆ ของเรื่องด้วย

เซเมคคิสกล่าวว่า “บทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกโรแมนติค ยิ่งใหญ่ สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดในฐานะผู้กำกับ ก็คือ การสร้างความประทับใจให้กับคนดู เมื่อคุณมีเรื่องที่ทรงพลังเหมือนกับเรื่องนี้ และมาพร้อมกับจุดหักมุมทางอารมณ์มากมายเช่นนี้ คุณมีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นได้ เรื่องราวประเภทนี้ช่างเหมาะกับคนทำหนังอย่างผมมาก เพราะผมอยากทำให้คนดูเกิดความรู้สึกจริงๆ และใช้เครื่องมือทั้งหมดที่ผมมี เพื่อจะทำเช่นนั้น” 

เซเมคคิสมองเรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่ถามคำถามที่พวกเราทุกคนต่างถามคนที่เรารักว่า ฉันรู้จักคุณจริงๆ หรือ ฉันจะสามารถไว้วางใจคุณได้ร้อยเปอร์เซนต์หรือเปล่า คุณจะทรยศฉันไหม แล้วคุณจะยอมทำเต็มที่สักแค่ไหนเพื่อจะรักษาสิ่งที่เรามีอยู่เอาไว้ แต่คำถามเดียวกันเหล่านี้ถูกนำเสนออย่างดุดันภายในโลกของสายลับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

“Allied เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทรยศ และนั่นคือธีมที่เป็นสากลของภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นคือเรื่องที่ว่า เรามีปฏิกริยาอย่างไรเมื่อเราเริ่มคิดว่าคนที่เรารัก ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาบอกว่าเป็น” เซเมคคิสให้ความเห็นไว้ “มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่ในโลกของแม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์ คุณมีคนสองคนที่ต้องปลอมตัวเป็นคนอื่นอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับพวกเขา ความจริงเป็นสิ่งที่ยากจะจับเอาไว้ได้ ดังนั้น คุณจะสร้างความไว้วางใจได้อย่างไร คุณจะพูดคุยกับคนที่คุณรักได้อย่างไรถ้าคุณเชื่อว่าศัตรูกำลังแอบฟังคุณอยู่” 

ทันทีที่ได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เซเมคคิสมีสไตล์ของภาพยนตร์ที่เขาได้คิดเอาไว้แล้ว ซึ่งไม่เพียงแต่จะนำเสนอความพินาศของสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น แต่ยังนำเสนอถึงชีวิตของผู้คนที่พยายามอย่างแรงกล้าที่จะเอาชีวิตรอด เขาได้สร้างฉากเมืองคาซาบลังก้าที่ถูกยึดครอง ที่แม้จะมีความสวยงาม แต่ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยใส่สไตล์แบบศตวรรษที่ 21 เข้าไป มีความงดงามด้วยสายลมของทะเลทรายโมร็อคโค ประตูที่มีแสงเงาของสำนักงานของ SOE บนถนนเบเกอร์ ภัยอันตรายแห่งเมืองเดียป ประเทศฝรั่งเศสที่ซึ่งการปล้นที่ล้มเหลวของฝ่ายสัมพันธมิตรเกิดขึ้น และนครลอนดอนที่แตกเป็นเสี่ยงๆ
 
“ผมชอบมากที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้กระตุ้นความรู้สึกของลอนดอนที่พังพินาศด้วยสงคราม” เซเมคคิสบอก “ลอนดอนถูกทิ้งระเบิดในเวลากลางคืน แต่ถึงกระนั้น ผู้คนก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปในเมืองแห่งนี้ นั่นคือสโลแกนของพวกเขา ใช้ชีวิตต่อไป ดังนั้น นั่นก็คือสิ่งที่ผมอยากนำเสนอในภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นก็คือโลกที่อาจจะเห็นเครื่องจักรสงครามตั้งอยู่เป็นแบ็คกราวน์ ขณะที่ผู้คนก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับการถูกละทิ้งเช่นนี้ เพราะพวกเขารู้ดีว่าชีวิตอาจจบลงเมื่อไหร่ก็ได้ มีคุณสมบัติที่เหมือนปล่อยไปตามโชคชะตาทั้งในลักษณะที่ผู้คนปฏิบัติตน และวิถีที่ลอนดอนเป็นในเวลานั้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความสนใจ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากสร้างทั้งในบรรยากาศของภาพยนตร์เรื่องนี้ และการออกแบบต่างๆ มันคือโลกที่ผู้คนพยายามท้าความตายทุกหัวเลี้ยว ซึ่งรวมถึงแม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์ ซึ่งความรักของทั้งคู่พัฒนาไปท่ามกลางอันตรายและไม่สามารถหนีมันพ้นได้แม้เมื่อพวกเขาแต่งงานกัน”   


แม็กซ์ วาแทน: สามีผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

แม็กซ์ วาแทน ได้รับการฝึกจากหน่วย SOE ของอังกฤษให้เป็นสายลับที่กล้าหาญ มุ่งมั่น และมีอันตราย เขารู้ดีว่าจะแสดงตัวได้มากแค่ไหน และอะไรที่ไม่ควรเปิดเผย เขาสามารถทิ้งบ้านเกิดในแคนาดามาได้ในทันที และแฝงกายเป็นใครก็ได้ แต่ไม่มีการฝึกไหนที่เตรียมเขาให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญเมื่อเขาได้พบกับหญิงที่รู้จักกันในชื่อ มาริแอนน์ โบเซจัวร์ โบเซฌูร์ ในคาซาบลังก้า พวกเขาควรแสดงตัวเป็นสามีภรรยากันแค่ชั่วคราว แต่หัวใจเขามิอาจยับยั้งได้เมื่อเขาเกิดสนใจในตัวมาริแอนน์ โบเซจัวร์ ด้วยความชาญฉลาดและการกระตุ้นให้เกิดคำถามของเธอ เมื่อพวกเขาเปลี่ยนจากการเป็นคู่สามีภรรยาที่ต้องทำให้ทุกคนเชื่อ มาเป็นคู่ชีวิตกันจริงๆ เส้นแบ่งระหว่างตัวตนจอมปลอมของพวกเขากับความเป็นจริง กลับคุกคามพวกเขามากกว่าทุกภารกิจที่พวกเขาเคยเอาชีวิตรอดมาได้

เพื่อมารับบทเป็นชายที่เป็นขาลุยที่ต้องมาตามสืบภรรยาตัวเอง ชายผู้ติดอยู่ในกับดักระหว่างความรักที่ไม่มีวันตายของตนเอง กับหน้าที่ที่มีต่อประเทศชาติ ที่ต่อสู้เพื่อโลกที่เป็นอิสระ แบรด พิตต์คือตัวเลือกที่น่าตื่นเต้นมากทีเดียวสำหรับทีมผู้สร้าง ในหน้าที่การงานที่ทำให้เขากลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ พิตต์เคยเล่นบทที่มีความหลากหลายอย่างมาก เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากบทบาทที่คาดไม่ถึงมากที่สุด อย่างเช่นบท นักกิจกรรมที่กลายเป็นบ้าในภาพยนตร์ของ เทอร์รี่ กิลเลี่ยม เรื่อง Twelve Monkeys, ชายที่อายุถอยหลังกลับในภาพยนตร์ของ เดวิด ฟินเชอร์ เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button และบท บิลลี่ บีน ผู้จัดการทั่วไปของ Oakland Athletics ในภาพยนตร์เรื่อง Moneyball  (นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ สตีฟ แม็คควีน เรื่อง 12 Years a Slave และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในฐานะผู้อำนวยการสร้าง จากภาพยนตร์เรื่อง The Big Short) 

พิตต์มีคุณสมบัติอย่างที่บทนี้ต้องการทุกอย่าง โรเบิร์ต เซเมคคิสกล่าว แต่เขายังนำแง่มุมที่คาดไม่ถึงมาด้วย “แบร็ดคือนักแสดงที่กระตุ้นความสนใจได้เสมอเมื่อได้เห็นเขาบนจอ แต่ที่นี่ เขาแสดงแบบมีลูกเล่น เขาแสดงให้เห็นถึงภาพของชายคนหนึ่งที่ก้าวจากการเป็นสายลับไปเป็นชายที่กำลังเผชิญหน้ากับความสับสนอย่างมากมาย และรู้สึกปวดร้าวเมื่อเขาต้องผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่แท้จริงต่อทุกสิ่งที่มีความหมายสำหรับเขา แบร็ดตอบรับต่อโอกาสที่จะแสดงอารมณ์ของแม็กซ์ออกมาครับ” ผู้กำกับบอก

แกรห์ม คิง ผู้เคยร่วมงานกับพิตต์มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์รางวัลออสการ์อย่าง The Departed และภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เมื่อเร็วๆ นี้อย่างเรื่อง World War Z รู้สึกว่าการแสดงของพิตต์ในครั้งนี้คืองานแสดงในแบบที่ไม่เคยเห็นจากนักแสดงชายที่เคยสร้างตัวละครที่น่าจดจำมาแล้วมากมายเช่นนี้ พิตต์นำเสนอแม็กซ์ในฐานะนักรบผู้มีประสิทธิภาพ ผู้ซึ่งถึงแม้เขาจะต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างในสงคราม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ฝันถึงชีวิตที่มีแต่ความรักและความสุขสงบบนที่ราบของเมดิซีน แฮ็ท ในอัลเบอร์ต้า

“แบร็ดเคยบอกผมว่าเขาอยากแสดงให้แม็กซ์เป็นชายเงียบๆ เป็นชายที่ปกติจะคอยสังเกตความเป็นไปรอบๆ ตัวเขา แต่เมื่อถึงเวลาเผชิญเรื่องอันตราย เขาสามารถมีปฏิกริยาได้ทันที” คิงเล่า “เขาบอกว่าคุณสมบัติแบบนั้นคือสิ่งที่ทำให้แม็กซ์มีชีวิต แต่มันยังเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถหยุดได้ เมื่อมีคนบอกเขาว่ามาริแอนน์ โบเซจัวร์อาจเป็นคนทรยศ ไม่มีใครจะเล่นกับอารมณ์ของคุณได้เท่ากับแบร็ดอีกแล้ว เวลาที่ตัวละครของเขาต้องหัวใจสลายเพราะสิ่งที่ค้นพบ คนดูจะเอาใจช่วยเขาให้กลับมาต่อสู้เพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นจริง ผมเห็นแบร็ดใส่ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของเขาเต็มที่เพื่อเตรียมตัวแสดงเป็นตัวละครตัวนี้”

พิตต์ทุ่มเทสุดตัวเพื่อให้เข้าถึงภายในใจของแม็กซ์ แม้กระทั่งทำงานกับครูฝึกสอนการพูดเพื่อหัดพูดด้วยสำเนียงฝรั่งเศสแบบควิเบคที่แม็กซ์พูด เมื่อเขามาถึงคาซาบลังก้า พิตต์ยังถาม โรเบิร์ต เซเมคคิส ว่าสามารถถ่ายทำภาพยตร์เรื่องนี้เรียงตามลำดับเหตุการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ได้หรือไม่ สำหรับพิตต์ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องปล่อยให้ตัวละครของเขาวิวัฒนาการไปจากท่าทางเย็นชาที่เขาแสดงเอาไว้ในฉากเปิดเรื่อง ไปเป็นอารมณ์ที่เร่าร้อนที่กับมีต่อมาริแอนน์ โบเซจัวร์ จนถึงอาการเริ่มหวั่นวิตก และสุดท้าย ก็คือความมุ่งมั่นที่เขาจะต้องค้นหาความจริงให้ได้ อันที่จริง การแสดงของพิตต์เปลี่ยนแปลงไปเมื่อการรับรู้ที่แม็กซ์มีต่อภรรยาของเขาเปลี่ยนจากมุมหนึ่งไปเป็นอีกมุมหนึ่ง 

คิงกล่าวว่า “มันเป็นไอเดียที่ฉลาดมากครับ เพราะเมื่อคนดูเห็นแม็กซ์ได้เจอกับมาริแอนน์ โบเซจัวร์ครั้งแรกในไนต์คลับที่คาซาบลังก้า นักแสดงทั้งสองคนได้พบกันบนจอเป็นครั้งแรกเช่นกัน จากนั้น คุณก็จะเห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกสร้างขึ้นตามเวลาจริง และมันช่วยเพิ่มความสมจริงให้กับเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นนี้”   

ทุกคนรู้สึกพอใจมากกับการแสดงที่เข้าขากันระหว่างพิตต์และโกติยาร์ ในทุกนาทีที่พวกเขาอยู่ด้วยกันบนจอ และนั่นได้กลายมาเป็นการสนับสนุนทุกจุดหักมุมในเรื่องราวความลึกลับระหว่างแม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์ “ถ้าคุณสร้างเรื่องรัก คุณแค่ภาวนาให้สองนักแสดงนำของคุณมีการแสดงที่มีเคมีเข้ากันจนคุณรู้สึกได้ว่ามันแผ่กระจายออกมาจากจอได้” เซเมคคิสบอก “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์เรื่องนี้ แบร็ดและมาริยงเหมือนจุดสปาร์กให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขาแต่ละคนทุ่มเทอารมณ์อย่างเต็มที่ และมันถูกขยายออกไปด้วยเคมีนั้นในทุกครั้งที่พวกเขาอยู่บนจอด้วยกัน”

happy on December 26, 2016, 03:17:38 PM



มาริแอนน์ โบเซจัวร์ : ความรักที่มาพร้อมการทรยศ

ความน่าตื่นเต้นของ Allied เกิดขึ้นรอบๆ ตัวตนที่ถูกปกปิดไว้ของมาริแอนน์ โบเซจัวร์ มือสังหารสาวสวยชาวฝรั่งเศสที่เป็นสุดยอดฝีมือ ผู้ได้พบแม็กซ์ สามีของเธอระหว่างที่เธอต้องปลอมตัวในภารกิจหนึ่ง ถึงแม้การหลอกลวงและการสืบสวนคือสิ่งที่เติมเชื้อเพลิงให้กับความสัมพันธ์แรกเริ่มของพวกเขา แต่ดูเหมือนมาริแอนน์ โบเซจัวร์ก็มีความสุขดีที่ได้ทิ้งคำโกหก และเสแสร้งแสดงเป็นคนที่เธอไม่ได้เป็น...หรือว่าเธอเป็นจริงๆ มาริแอนน์ โบเซจัวร์ยังคงใช้ชีวิตอยู่เบื้องหลังความลับอันร้ายกาจ แม้เมื่อเธอกลายเป็นภรรยาและแม่แล้วอย่างงั้นหรือ

เพื่อให้เข้าถึงบทบาทที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทางทีมผู้สร้างต้องการหนึ่งในนักแสดงสาวชาวฝรั่งเศสที่มีคนยกย่องมากที่สุดในปัจจุบันอย่าง มาริยง โกติยาร์ โกติยาร์นั้นสามารถเข้ายึดครองหัวใจของคนดูจากบทนักร้องสาว อีดิธ เพียฟ ในภาพยนตร์เรื่อง La Vie En Rose จนเธอได้รับรางวัลออสการ์สาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยม ติดตามมาด้วยบทบาทที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Nine, ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง The Dark Knight Rises และยังโกยคำชมไปจากบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Rust and Bone และ The Immigrant เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้งจากบทแม่วัยทำงานที่มีเวลาเพียงหนึ่งสุดสัปดาห์ในการกู้งานของเธอคืนมาในภาพยนตร์ของพี่น้อง ดาร์เดนเนส เรื่อง Two Days and One Night

“นอกจากมาริยงแล้ว เรานึกภาพคนอื่นที่จะแสดงเป็นมาริแอนน์ โบเซจัวร์ไม่ได้เลย” สตีฟ สตาร์กี้ ให้ความเห็นไว้ “เธออาจจะเป็นนักแสดงสาวฝรั่งเศสที่เยี่ยมยอดที่สุดในรุ่นนี้แล้ว เธอดูมีเสน่ห์น่ามองพอๆ กับแบร็ดเมื่ออยู่บนจอ จนคุณต้องมองพวกเขาสองคนเท่าๆ กันเมื่อพวกเขาทำการทดสอบกันและกัน”

แกรห์ม คิง เห็นด้วย “คุณไม่สามารถละสายตาจากมาริยงได้เมื่อใดก็ตามที่เธออยู่บนจอภาพยนตร์ ปฏิกริยาของเธอดูมีพลังดึงดูด แล้วเธอก็เข้ากันได้ดีทีเดียวกับแบรด เมื่อใดก็ตามที่เธอหยอกเย้า หรืออ่อนโยน หรือหลอกลวง หรือเศร้า เธอก็แค่นำเสนอตัวในแบบที่คุณรู้สึกได้”

สำหรับโรเบิร์ต เซเมคคิส โกติยาร์ได้นำความสมจริงมาให้ทั้งเรื่องของสัญชาติและความรู้สึกต่างๆ “มาริยงเป็นนักแสดงที่สุดยอดมาก กับบทบาทนี้ เธอมีมิติทั้งทางอารมณ์ จิตวิทยา และร่างกายให้เล่นได้มากมาย” เซเมคคิสบอก “แน่นอนเธอเป็นคนฝรั่งเศสครับ ดังนั้น เธอจึงมอบความรู้สึกจริงๆ ให้บทนี้ แต่เธอก็ยังเป็นนักแสดงประเภทที่สามารถทำให้คนดูคาดเดาอยู่ได้ตลอดเวลาเช่นกัน” 

บทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ใจโกติยาร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่าน “ฉันชอบความจริงที่ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องทริลเลอร์ที่ให้ความบันเทิง ขณะเดียวกัน มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องรักทึ่ลึกซึ้งมาก” โกติยาร์บอก “จากนั้น เมื่อฉันได้ข่าวว่าเซเมคคิสมาเป็นผู้กำกับ และแบรด พิตต์จะรับบทเป็นแม็กซ์ ก็ยิ่งทำให้ฉันตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก บ็อบเป็นผู้กำกับที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ เขาสร้างภาพยนตร์พิเศษมากมายหลายเรื่องที่มีแต่เขาเท่านั้นที่จะสร้างได้ ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่าคงจะดีทีเดียวที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่เป็นเรื่องราวแนวใหม่สำหรับเขา”

ยังมีเรื่องดึงดูดความสนใจเธออีกอย่าง ในความรู้สึกหนึ่ง มาริแอนน์ โบเซจัวร์เริ่มต้นในตอนต้นเรื่องโดยเธอเองก็เป็นนักแสดงเช่นกัน เธอคือผู้หญิงที่ได้รับการว่าจ้างให้มาแสดงบทบาท ถึงแม้จะเป็นบทบาทที่มีอันตรายอย่างมหันต์ แต่บทบาทนั้นกลับพัวพันกับชีวิตจริงเมื่อเธอตกหลุมรักแม็กซ์ มาริแอนน์ โบเซจัวร์ได้กลายเป็นความท้าทายที่น่าทึ่ง นั่นก็คือ จะเล่นเป็นผู้หญิงที่ติดอยู่ในการแสดงหลากหลายระดับจนเธอแทบจะแยกความเป็นจริงของตัวเองไม่ได้ได้อย่างไร โกติยาร์เชื่อว่าท่ามกลางความสับสนว่าความภักดีของเธอนั้นอยู่กับชาติใด มาริแอนน์ โบเซจัวร์รู้แค่ว่าความรักที่เธอมีต่อแม็กซ์นั้นเป็นของจริง ถึงแม้ความจริงจะทำให้เธอกับเขาต้องเผชิญอันตรายก็ตาม

“แม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์มีเวลาได้ทำความรู้จักกันน้อยมากเมื่อตอนที่เธอกับเขาได้พบและแยกกันไป พวกเขาต้องแสดงเป็นคนอื่นขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะเอาชีวิตไม่รอด ดังนั้น มันสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนขึ้นมาทันที” โกติยาร์ตั้งข้อสังเกต “สิ่งที่น่าสำรวจก็คือ ความรู้สึกระหว่างความเป็นจริงของพวกเขาที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานั้น มันสะท้อนชีวิตแต่งงานของพวกเขาอย่างไร” 

การได้เห็นเปลือกนอกที่ถูกเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีหลากหลายชั้นของตัวละครเหล่านี้ ค่อยๆถูกลอกออก เมื่อเรื่องราวเอพิคแอ็กชั่นนี้ดำเนินไป คือสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความโดดเด่น โกติยาร์กล่าวว่า “ฉันคิดว่า Allied  คือเรื่องราวที่มีความเท่าเทียมกันทั้งในความเป็นเรื่องตื่นเต้นและเป็นเรื่องรักที่เป็นโศกนาฏกรรม” เธอสรุปว่า “บ็อบเริ่มต้นด้วยการใช้สูตรคลาสสิกในการสร้างภาพยนตร์ที่เน้นความบันเทิง จากนั้นเขาถึงได้นำพามันไปบนเส้นทางที่มีความร่วมสมัยและมีเอกลักษณ์ในแบบของเขาเอง”


ผู้ภักดี : จาเร็ด แฮร์ริส ในบทผู้พันเฮสล็อพ และลิซซี่ แค็ปแลน ในบท บริดเจ็ท

เจ้านายของแม็กซ์ที่ SOE และเป็นคนที่เขาไว้วางใจที่สุดเมื่อโลกของแม็กซ์กลับตาลปัตยไป ก็คือผู้พันแฟรงก์ เฮสล็อพ ซึ่งรับบทแสดงโดย จาเร็ด แฮร์ริส ที่เคยฝากบทบาทการแสดงอันหลากหลายเอาไว้ตั้งแต่บทผู้จัดการ เลน ไพรซ์ ในผลงานทางทีวีเรื่อง Mad Men จนถึงบท ยูลิสซีส เอส แกรนท์ ในภาพยนตร์ของ สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Lincoln 

แกรห์ม คิง กล่าวว่า “จาเร็ด แฮร์ริสคือนักแสดงที่พวกเราทุกคนต้องการมากที่สุดในบทนี้ครับ เพราะเขาเป็นคนที่ยอมปล่อยให้คุณได้เห็นอารมณ์ต่างๆ ที่อยู่ใต้ผิวหน้าของเขา ผมรู้ดีว่าเขาสามารถผสมผสานความประพฤติตามแบบทหารอังกฤษ เข้ากับการยอมปล่อยให้คนดูรู้ว่าเขาเอาใจช่วยให้ความสัมพันธ์ของแม็กซ์และมาริแอนน์ โบเซจัวร์กลายเป็นความจริง” 

แฮร์ริสกล่าวว่าโอกาสที่ได้ทำงานกับเซเมคคิสคือสิ่งที่เขามิอาจต้านทานได้ “ผมเป็นแฟนภาพยนตร์ของเขาอยู่แล้วครับ” แฮร์ริสบอก “แต่ผมก็สนใจในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เพราะมันไม่เหมือนกับงานชิ้นอื่นๆ ที่มีอยู่ตอนนี้ ผมพบว่ามันเป็นเรื่องราวที่มีความซับซ้อนในเรื่องของความสัมพันธ์ และคำถามหนึ่งที่พวกเราทุกคนถามก็คือ คนๆ นี้ที่ฉันให้ทั้งหัวใจและความไว้วางใจคือใคร และฉันรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาบ้าง มันเป็นการนำเสนอในเรื่องตัวตนได้อย่างชาญฉลาดและน่าตื่นเต้นมากครับ”

และเฮสล็อพนี่เองที่เป็นคนเตือนแม็กซ์ว่ามันมีความแตกต่างกันระหว่างความรักชั่วนิรันดร์กับความสนุกจากการเอาชีวิตรอดจากภารกิจกับเพื่อนสายลับด้วยกัน “เฮสล็อพมีความเห็นอกเห็นใจแม็กซ์ และสถานการณ์ที่เขาต้องเจอกับมาริแอนน์ โบเซจัวร์” แฮร์ริสตั้งข้อสังเกต “เขาอาจมองเห็นว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา แต่ผมคิดว่าเขาเกิดความรู้สึกขึ้นเองว่า ไม่ว่าจะเป็นยังไง เรื่องนี้คงจบไม่สวยแน่ๆ” 

แฮร์ริสรู้สึกสนุกที่ได้เห็นพิตต์แสดงเป็นแม็กซ์อย่างสมบูรณ์แบบ “ผมคิดว่ามันคือหนึ่งในการแสดงที่ทั้งดิบและให้อารมณ์เหมือนจริงอย่างมากของแบร็ดครับ” เขากล่าว “แม็กซ์ของแบร็ดทั้งหวั่นวิตกและสับสนอย่างที่คุณเห็น โดยเขาหวังว่าจะพบหนทางที่จะเดินออกไปจากการคาดเดาของเขา” 

ในโลกของพลเรือน คนเดียวที่แม็กซ์สามารถไว้วางใจได้ก็คือ น้องสาวของเขา บริดเจ็ท ซึ่งรับบทแสดงโดย ลิซซี่ แค็ปแลน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้ร่วมแสดงในงานฮิตที่ได้รับคำชมของโชว์ไทม์เรื่อง Masters of Sex “ลิซซี่นำพลังของคนวัยหนุ่มสาว และภาพลักษณ์ที่น่าชื่นชมมาสู่บทบริดเจ็ท” สตาร์กี้บอก “เธอสร้างความเคลื่อนไหวให้กับตัวละครตัวนี้ ผู้เป็นคนเดียวที่แม็กซ์สามารถระบายสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมาได้” 

แค็ปแลนรู้สึกเหมือนโดนตัวละครตัวนี้ดึงดูดเข้าหาในทันที”บริดเจ็ทคือหนึ่งในจิตวิญญาณที่เป็นอิสระของลอนดอนในช่วงที่เกิดสงคราม” แค็ปแลนอธิบาย “และอาจจะดูเป็นพวกที่ใช้ชีวิตในแบบที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของสังคม คุณอาจคิดว่าในช่วงเกิดสงคราม ผู้คนคงจะแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านอย่างขลาดเขลา แต่จากการที่ฉันค้นหา ฉันกลับพบว่ามันตรงกันข้ามไปเลย ผู้คนมากมายกลับใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และมีช่วงเวลาที่เฮี้ยวสุดๆ ฉันคิดว่าบริดเจ็ทพบว่าการเอาชีวิตรอดนั้นกลับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และเธอก็มีความสุขมาก เธอมีเพื่อนนักเชลโล่สาวชาวโปแลนด์คนหนึ่ง พวกเธอพยายามที่จะสนุกกับชีวิต แม้ในขณะที่มีการทำลายล้างและความวุ่นวายปั่นป่วนอยู่รอบๆ ตัว”

สำหรับปฏิกริยาที่บริดเจ็ทมีต่อภรรยาคนใหม่ของแม็กซ์ แค็ปแลนมองเธออย่างเปิดใจ แต่สุดท้ายเธอก็รู้สึกหวั่นเกรงต่อสิ่งที่อาจกำลังเกิดขึ้นกับพี่ชายของเธอ “สำหรับบริดเจ็ท แม็กซ์เป็นชายจริงจังที่โดดเดี่ยว เธอมีความสุขที่เขาพบใครคนหนึ่ง” แค็ปแลนบอก “ฉันคิดว่าบริดเจ็ทหวังว่าความรักที่มาริแอนน์ โบเซจัวร์มีต่อแม็กซ์จะเป็นความรักที่แท้จริง แต่เธอหรือคนอื่นๆ จะรู้ได้อย่างไร โดยเฉพาะในช่วงสงครามเช่นนี้”

การได้มาเห็นพิตต์กับโกติยาร์อยู่ด้วยกันนั้นถือเป็นความสนุกประจำวันสำหรับแค็ปแลน “พวกเขาสองคนเป็นดาราหนังที่มีความเหมาะเจาะในแบบนักแสดงรุ่นเก่าที่เก่งที่สุด” แค็ปแลนบอก “พวกเขาดูน่าทึ่งเวลาเล่นฉากแอ็กชั่น และเพราะเช่นนั้น ทุกวันจึงเป็นประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่ดีสำหรับฉันค่ะ”