FB on July 05, 2016, 09:11:02 AM
5 นักแสดงมากฝีมือ แฟรงค์,เดี่ยว,สน,กบ ,อ้อม ทุ่มสุดตัวประชันคาแรคเตอร์เข้มข้นใน “ขุนพันธ์”







          เพราะทุกมิติตัวละครที่จะปรากฎอยู่ใน "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการฟอร์มยักษ์แห่งปี ของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ล้วนมีส่วนสำคัญ และความเข้มข้น เพราะเป็นความตั้งใจ ผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ระดมเหล่านักแสดงระดับฝีมือทั้ง อนันดา เอเวอริงแฮม, กฤษดา สุโกศล แคลปป์ มาพลิกคาแรคเตอร์ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทุ่มแบบสุดตัวของเหล่านักแสดง แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี, เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร และอ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี เพื่อถ่ายทอดตัวละครสะท้อนมุมมืดมุมสว่าง ในเรื่องของความดี ความเลว ในภาพยนตร์

          เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง พระเอกแอคชั่นเสี่ยงตาย (เกิดมาลุย, คนไฟบิน, เร็วทะลุเร็ว) เป็นผู้ร้ายเต็มตัวรับบท เสือสัง นักฆ่าสุดเหี้ยม ไร้ความปรานี เนื้อตัวหน้าตาเต็มไปด้วยรอยสัก มือขวาของมหาโจรอัลฮาวียะลู เป้าหมายคือเด็ดคอขุนพันธ์ เดี่ยวจัดหนักจัดเต็มกับลีลาแอคชั่นในทุกรูปแบบ พร้อมอาวุธอย่างคารัมบิต, ศิลปะการต่อสู้ทางภาคใต้อย่างปันจักสีลัต และคิวบู๊โหดๆ เสี่ยงๆ ทั้งแอคชั่นบนหลังม้า, หลังคารถไฟให้ได้ลุ้นกันทั้งเรื่อง

          กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร จากสาวหวานในภาพยนตร์สุริโยไท ต้องแปลงลุคตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ที่ต้องมอคตัวดำ สวมแว่นดำถือไฟแช็ก ถนัดในการใช้มีดสั้น ขี่ม้า ยิงปืนไม่ต่างจากบุรุษ เป็นตัวละครที่พูดน้อย แต่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา นี่คือตัวคาแรคเตอร์ บุหงา มือสังหารที่มีความสามารถในการล่าในฐานะสมุนมือซ้ายของอัลฮาวียะลู

          แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี นักแสดงหนุ่มมากฝีมือที่น้อย กฤษดา ยกให้เป็นสุดยอดนักแสดงในสายแอคเตอร์ ในการรับบท หลวงโอฬาร นอกจากศึกษาจากหนังสือหลายเล่มเพื่อเข้าใจบทบาท และคาแรคเตอร์ของผู้นำในยุคสมัยก่อนสงครามโลกแล้ว ยังเรียนรู้การพูดภาษาญี่ปุ่นและฝรั่งเศส หนุ่มแฟรงค์ได้มีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างคาแรคเตอร์ข้าราชการตัวร้าย ที่ภายนอกมาพร้อมรอยยิ้ม สุภาพ เป็นผู้นำมาซึ่งความดีงามความเจริญมายังผู้คนและประเทศ แต่ลึกๆจริงๆคือนักการเมืองขี้ฉ้อ ฉกฉวยผลประโยชน์ส่วนตน ทำทุกอย่างได้กระทั่งขายชาติ

          อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี แจ้งเกิดจาก "แม่เบี้ย" ในภาพยนตร์ขุนพันธ์เธอต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นสาวผิวคล้ำทั้งตัว ดัดผมหยิกให้มีความคมในแบบฉบับสาวใต้ เรียนการพูดภาษาใต้ และการแสดงอารมณ์ที่มีมิติเพิ่มขึ้น เพื่อ รับบท มาลัย กลางวันคือสาวชาวบ้านหมู่บ้านชาวเล จิตใจดี อ่อนโยน กลางคืนคือนักร้องสาวสวยประจำคลับสโมสรหรูของหลวงโอฬาร แต่มีความเศร้าอยู่ในแววตา

          สนธยา ชิตมณี การเล่นบทดราม่าอารมณ์หนักๆ จากหนัง 3 เรื่องก่อนหน้า ที่ร่วมงานกับ โขม-ก้องเกียรติ อย่าง ไชยา, เฉือน, อันธพาล แล้ว ในเรื่องขุนพันธ์ กับบท ไข่โถ หนุ่มใต้ชาวบ้านอารมณ์ดีที่อาศัยอยู่กับน้องสาวอย่างมาลัย และมะลิ ลูกสาว ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย ยังเป็นครั้งแรกกับการแอคชั่นหนักทั้ง เอฟเฟกต์กระสุนปืนนับร้อย และการปล่อยของทั้งในส่วนการแสดงที่หนักที่สุด และแอคชั่นสุดตัวจนต้องกายภาพบำบัดหลังจากถ่ายหนังกันเลยทีเดียว
ซึ่งโขม ก้องเกียรติ ผู้กำกับผู้เลือกนักแสดงให้มารับบทบาทเหล่านี้กล่าวว่า

          "เราพยายามให้ทุกตัวละครมันมีมิติ ไม่ได้เป็นตัวละครชั้นเดียว มีเหตุมีผลมีที่มาที่ไปว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ อย่างแต่ละฉากจะมีเรื่องราวในตัวมันเอง เราจะได้เห็นว่าการเป็นผู้ร้าย เป็นโจรในเรื่องมันก็มีเหตุและผลในตัวมันเอง อย่างบทหลวงโอฬาร ข้าราชการที่ทรงอิทธิพลในดินแดนแห่งนี้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่ภายในแฝงลึกซ่อนเร้นของการที่พร้อมจะเอาเปรียบและมอมเมาผู้คนซึ่งแสดงได้ยอดเยี่ยมมากโดยแฟรงค์ ภคชนก์รวมไปถึง เดี่ยว ชูพงษ์ เมื่อก่อนเห็นเดี่ยวเป็นพระเอกแอคชั่นเล่นเป็นคนดี เรารู้สึกว่าจริงๆ เอาเดี่ยวมาเป็นตัวร้ายซึ่งเก่งสุดๆเลย บู๊สุดๆเลย แล้วร้ายแบบน่ากลัว ก็ดีไซน์เต็มเหนี่ยวเลย เป็นคู่ปรับสำคัญไฮไลต์เลยคือเผชิญหน้าขุนพันธ์ ดวลกันบนรถไฟแอคชั่นบนหลังม้าซึ่งแต่ละซีนถือว่ายากเลยทีเดียวครับ คนดูจะได้เห็นการเลือกฝั่ง จะเลวหรือดี ทุกตัวจะสะท้อนมิติพวกนี้ออกมาไว้หมดเลยครับ เป็นการประชันบทบาทของดารายอดฝีมือที่เวลาปะฉะดะกันสนุกมันส์แน่นอนครับ และนอกจากสนุกแล้ว ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นตามสไตล์หนังของผมนะครับ ให้เราขบคิดในหนังด้วยว่าบางทีหนังอาจจะสะท้อนว่าบ้านเมืองเราเกิดอะไรขึ้น และคนดีมีอยู่จริงไหม หนังเรื่องนี้อาจจะตั้งคำถามกับศรัทธาของเราในปัจจุบันได้ เราเดินออกจากโรงเรารู้สึกว่า เฮ้ยคนไทยมีฮีโร่ 1 คน ฮีโร่ตัวเป็นๆ หนังเหนียวด้วย ก็ขอชวนมาดูกันครับ 14 ก.ค.ฝากหนังเรื่องขุนพันธ์ด้วยครับ ขอบพระคุณครับ"

FB on July 08, 2016, 09:08:55 AM
แรงใจเต็มเปี่ยม นักแสดง-ผู้กำกับ พร้อมผู้บริหารสหมงคลฟิล์ม ยกทีมสู่นครศรีธรรมราชกราบสักการะ “ท่านขุนพันธ์” ตั้งใจทำหนังดีพิสูจน์พลังแห่งศรัทธา ปลื้มและฟินสุดๆแฟนๆแห่ต้อนรับอย่างล้นหลาม





          2 ก.ค.ที่ผ่านมา สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล นำโดย อวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด และ จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายสื่อสารการตลาด พร้อมผู้กำกับภาพยนตร์ ก้องเกียรติ โขมศิริ และ 3 นักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" อนันดา เอเวอริงแฮม ผู้รับบท ขุนพันธ์, กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ผู้รับบท อัลฮาวียะลู และ สนธยา ชิตมณี ผู้รับบท ไข่โถ เดินทางมายังจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องในวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ ตรงกับวันคล้ายวันครบรอบการเสียชีวิตของพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ยอดตำรวจวีรบุรุษ ผู้เป็นตำนานและเป็นที่รักของชาวใต้ซึ่งได้จากไปครบ10ปี เพื่อทำบุญถวายภัตตาหารเพล และถวายสังฆฑานแด่พระสงฆ์จำนวน 9 รูป ณ ศาลา100ปี วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยมีพระเทพวินยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุฯเป็นประธานสงฆ์ มี นาย ณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชและภรรยาร่วมในพิธี พร้อมกันนี้ยังได้สักการะองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช และองค์จตุคามรามเทพ ณ วิหารพระทรงม้า ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง

          จากนั้นเดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์ขุนพันธรักษ์ราชเดชที่หน้ากองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนที่ทีมงานจากภาพยนตร์ทั้งหมดได้มีโอกาสร่วมสักการะอัฐิ และรูปปั้นท่านขุนพันธ์ ณ บ้านพันธรักษ์ราชเดช พร้อมชมอาวุธประจำตัวที่เคยใช้จริงของท่านขุนพันธ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากที่ทุกคนได้ผ่านการร่วมแรงกายแรงใจ ฟันฝ่าความท้าทาย แต่ด้วยแรงศรัทธาอันเต็มเปี่ยม เพื่อที่จะมุ่งสานต่อ และเชิดชูเรื่องราวความดีตลอดจนวีรกรรมหาญกล้าของท่านขุนพันธ์ จนถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ได้อย่างเสร็จสมบูรณ์พร้อมที่จะเข้าฉายในวันที่14ก.ค.นี้แล้ว และได้มาบอกกล่าวกับท่านขุนพันธ์ด้วยตัวเองในครั้งนี้โดยผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริเป็นตัวแทนนักแสดงและทีมงาน

          "ก็ตลอดระยะเวลาในการทำหนังเรื่องนี้มาทุกคนทุกฝั่งฝ่ายทั้งทีมงานตลอดจนนักแสดงเองที่ได้มาวันนี้หรือที่ไม่ได้มาแต่ฝากใจฝากความระลึกถึงท่านขุนพันธ์ทุกคน ผมเชื่อว่าทุกคนเต็มที่กับการทำเรื่องนี้เพื่อเป็นการประกาศคุณงามความดีของท่านขุนพันธ์ เราเชื่อว่าตลอดระยะเวลา3ปีที่เราทำ มันต้องใช้เวลาขนาดนั้นจริงๆ เพื่อให้ได้งานที่ดีที่สุด เพื่อทำเรื่องของท่านให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ เสี่ยเจียง คุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ตั้งใจให้ทำหนังเรื่องนี้ คืออยากประกาศคุณงามความดีของท่านให้ถูกจารึกได้จริงๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะบอกว่าคนดีมีอยู่จริง ถ้าสิ่งที่ท่านศรัทธา สิ่งที่ท่านทำไว้ พวกเราเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆที่จะต่อเทียนความดีของท่านต่อไปครับ เราและทีมงานก็ขอมาสักการะท่านเพื่อเป็นสิริมงคลกับทีมงานทุกคน ยังไงก็ฝากหนังเรื่องขุนพันธ์ครับ 14 ก.ค นี้"

          หลังจากนั้น 3 นักแสดงนำ อนันดา, กฤษดา, สนธยา พร้อมด้วย ก้องเกียรติ ผู้กำกับภาพยนตร์ และชาวคณะได้เดินทางไปยัง โรงภาพยนตร์ SF cinema โรบินสัน นครศรีธรรมราช และโรงภาพยนตร์ Major Cineplex สหไทยพลาซ่า นครศรีธรรมราช เพื่อพบปะแฟนๆชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ต่างมาเฝ้ารอนักแสดงคนโปรด ทำเอาฟินกันถ้วนหน้าทั้งตัวนักแสดงที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เต็มไปด้วยความประทับใจ และในขณะเดียวกันเหล่าแฟนๆก็ได้มีโอกาสกระทบไหล่ใกล้ชิดและสวมกอดกับนักแสดงคนโปรดอย่างเป็นกันเอง พร้อมกันนี้ยังได้รับของที่ระลึกสุดพิเศษจากมือของทั้งนักแสดงและผู้กำกับโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ร่วมถ่ายรูปเซลฟี่เอ็กซ์คลูซีฟกันอย่างจุใจ

          สำหรับภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" ถ่ายทอดจากเรื่องราวชีวิตของ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ยอดตำรวจวีรบุรุษมือปราบผู้มีตัวตนจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ ต้นแบบของตำรวจดีผู้ใช้พลังศรัทธาแห่งความดีผสมผสานกับวิชาอาคมในการปราบโจรร้ายซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ เป็นที่มาของสุดยอดภาพยนตร์แอคชั่นอาคมเหนืออาคมฟอร์มยักษ์เรื่องยิ่งใหญ่แห่งปีที่คนไทยทุกคนรอคอย 14 กรกฎาคมนี้ มาพิสูจน์กันว่า "แรงกระสุนหรือจะสู่แรงศรัทธาแห่งความดีอันยิ่งใหญ่ของขุนพันธ์" ได้ในทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ

FB on July 13, 2016, 02:19:12 PM
สัญญาลูกผู้ชาย อนันดาสวมจิตวิญญาณเป็นขุนพันธ์ เล่นจริงแอคชั่น Long Take ปะทะ 25 สตันท์ระดับพระกาฬ





          ด้วยสัญญาลูกผู้ชายระหว่าง อนันดา เอเวอริงแฮม และผู้กำกับโขม-ก้องเกียรติ นำไปสู่ฉากแอคชั่นเหนือความคาดหมายที่แฟนๆจะได้เห็นพระเอกหนุ่มอย่างอนันดาบู๊ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ายากที่สุด เหนื่อยที่สุดหนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต อนันดาต้องถูกส่งไปเข้าคลาสซ้อมคิวแอคชั่นก่อนการถ่ายทำจริงร่วมกับทีมสตันท์แมนซุปเปอร์สตาร์ที่ไปสร้างชื่อเสียงระดับโลกมาแล้ว จากภาพยนตร์เรื่องโคตรสู้โคตรโสที่ศิษย์เอกของปรมาจารย์คิวบู๊พันนา ฤทธิไกร เพื่อร่วมเป็นส่วนสำคัญในฉากแอคชั่นแห่งปรากฎการณ์ภายใต้การควบคุมดูแลโดย วีระพล ภูมาตย์ฝน ผู้กำกับและออกแบบฉากแอคชั่นภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ระดับโลก (ต้มยำกุ้ง2-3D,ช็อกโกแลต,จีจ้าดื้อสวยดุ ฯลฯ) มารับผิดชอบในการออกแบบและกำกับฉากแอคชั่นทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์

          "มันจะมีฉากแอคชั่นอยู่ฉากหนึ่งที่ผมกับพี่โขมเคยคุยกันไว้ ว่าเราควรต้องมีสักฉากหนึ่งไหมที่เป็นฉากจำ หรืออย่างน้อยที่สุดแตกต่างจากหนังแอคชั่นทั่วไป เป็นเทคเดียวอยู่ เป็นการถ่ายทำแบบLong Take เป็นการถ่ายแบบรวดเดียวโชว์แอคชั่นแบบล้วนๆเลย มันจะเป็นการเคลื่อนตัวละครไปด้านข้างของเฟรมกล้อง แล้วก็สู้กับศัตรูเป็นสิบๆคนในฉากเดียว ก็เลยเกิดการดีไซน์ฉากนี้ขึ้นมา ไปซ้อมกับทีมสตั้นท์เพียงแต่ในห้องซ้อมกับหน้าเซตมันจะต่างกัน เพราะว่าตอนเราซ้อม ชุดที่เราใส่อยู่มันไม่ใช่ชุดที่เราใส่ในหนังจริงๆ กางเกงวอร์ม เสื้อกล้าม อุปสรรคของฉากก็ไม่มี แต่พอถึงหน้าเซตนี่แทบจะต้องเริ่มต้นใหม่ เป็นฉากที่อยู่ในโบกี้รถไฟเราต้องสู้จากท้ายโบกี้มาหัวโบกี้ ระหว่างนั้นก็จะมีทีมสตั้นท์เข้ามาทีมละ 3-4 คน รวมทั้งหมด25คน ซีนนี้จะเห็นในภาพยนตร์ประมาณ 4 นาที เป็น 4 นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เราต้องปรับตัวเข้าฉาก หลายอย่างที่เราซ้อมไว้ก็ต้องแก้ไข เป็นฉากที่นับว่ามันยากมากแล้วมันก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราก็สัญญากับพี่โขมไว้แล้วว่า เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ แต่บางทีเราลืมไปว่า 4 นาทีนั้นพอเราใช้พลังเต็มที่ พอมาถึงศัตรูแบบ 2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็ก มันคือแบบเฮือกสุดท้ายจริงๆ อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับถังออกซิเจน มาให้เราหายใจ รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทคนะถ้าจำไม่ผิด พูดได้ว่าเป็นวันที่ถ่ายทำที่เหนื่อยที่สุดในหนังเรื่องนี้ ผิดพลาดทีก็ต้องเริ่มต้นใหม่แต่พอทำได้ก็เป็นฉากที่น่าจดจำสำหรับผม เป็นฉากที่ภาคภูมิใจมาก เป็นการยกทีมสตั้นท์ฝีมือดีลูกศิษย์พี่พันนามาทั้งหมดเลยในซีนนี้"

          เป็นการยืนยันและการันตีว่า สปิริท ความรัก และการทุ่มเทในการถ่ายทอดจิตวิญญาณเป็น "ขุนพันธ์" วีรบุรุษมือปราบที่ผดุงความยุติธรรม และเป็นที่ยำเกรงของเสือร้ายโจรซุ่มเลื่องชื่อที่ถูกบันทึกในแฟ้มอาชญากรรมของไทย จากนักแสดงซุปเปอร์สตาร์อย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม รวมไปถึงนักแสดงแอคชั่นตลอดจนทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดที่มาร่วมกันถ่ายทอดจินตนาการสุดฝีมือ ในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" 14 ก.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์

FB on July 13, 2016, 02:47:57 PM
ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ “ขุนพันธ์” ล่วงหน้า รับฟรี “เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59” จำนวนจำกัด



           สหมงคลฟิล์ม พร้อมมอบสิทธิพิเศษ ให้กับลูกค้าที่ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้า (Advance ticket) "ขุนพันธ์" ทุก 2 ที่นั่ง จะได้รับเหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59 จำนวน 1 เหรียญ โดยขอสงวนสิทธิ์เฉพาะการซื้อตั๋วที่หน้าโรงภาพยนตร์เท่านั้น (ยกเว้น การซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์) เปิดขายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ ทุกสาขา ทั่วประเทศ จำนวนจำกัด เพียง 10,000 ชุดแรกเท่านั้น โดยไม่มีการวางจำหน่ายที่ใดทั้งสิ้น มาก่อนมีสิทธิ์ก่อน

          เตรียมพบกับภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์ เรื่องราวของมือปราบแห่งอาคมใน "ขุนพันธ์" 14 กรกฎาคม นี้ทุกโรงภาพยนตร์

          ***รายชื่อโรงภาพยนตร์ที่ร่วมโปรโมชั่น ได้แก่ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป, โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ, เซ็นจูรี่, MVP, เนวาด้า, โคลีเซียม และเครืออื่นๆ (ยกเว้น โรงภาพยนตร์ในเครือ เมเจอร์ ฮอลลีวูดและธนา ซีนีเพล็กซ์)

FB on July 13, 2016, 02:51:39 PM
“หลวงโอฬาร” ตัวร้ายในมิติที่ลึกยิ่งกว่าคู่ปรับของ “ขุนพันธ์” บทนี้ต้อง “แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี”เท่านั้น จาก “อันธพาล” สู่ “ขุนพันธ์” การกลับมาร่วมงานครั้งสำคัญกับ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” กับอีกหนึ่งบทบาทที่ทุกคนต้องจับตา





          "พี่โขมเป็นคนที่ใช้ความมืดมาบีบคั้นคนดูเพื่อให้เห็นคุณค่าของแสงสว่าง เขาใช้ความมืดกดดันเพื่อให้คนดูหิวกระหายความสว่าง และเมื่อความสว่างโผล่ออกมาเมื่อไหร่มันจะดื่มด่ำขึ้นมาทันที มันจะโอ้ว มันสว่างแล้ว และนี่คือวิธีการของพี่โขมที่ผมชอบความละเมียดละไมแบบนี้มาก กดดันให้คนหิวความสว่าง กดดันให้คนหิวความสดใส พอมันถึงความสว่างขึ้นมาปุ๊บ อ๋อมันสว่างขึ้นมาจริงๆ"
มุมมองของ "แฟรงค์ " ที่มีต่อลายเซ็นต์ในการกำกับของ "ผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ"

Q.ครั้งแรกที่ได้รู้จักท่านขุนพันธ์
          A. รู้จักท่านขุนพันธ์ครั้งแรกจากหนังสือพิมพ์ครับ จากรายการทีวี จากหลายๆแหล่งที่ต่างพูดเหมือนกันว่าท่านคือตำรวจที่ดี แล้วก็ทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ที่โดนใจมากเลยก็คือเรื่องของการมีอาคม คือคนสมัยก่อน สภาวะแวดล้อมสิ่งต่างๆมันไม่เหมือนสมัยนี้ มันก็จำเป็นที่ต้องมีคาถาอาคม อย่างผมเองมีโอกาสที่ได้ทันคุณทวดของผมซึ่งเป็นคุณยายของคุณพ่อ คุณทวดจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่งซึ่งในนั้นก็จะมีคาถามากมาย อย่างเช่น เวลาที่คุณโดนของร้อนไฟลวกนะคุณก็ต้องเป่าคาถานี้นะ เวลาคุณเดินไปในพงหญ้าคุณกลัวงูคุณก็ต้องท่องคาถานี้นะ พออ่านเรื่องของขุนพันธ์ว่าท่านมีคาถาอาคมก็เลยยิ่งอินเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนมีความศรัทธาทางด้านนี้ เขามีวิชาอย่างนี้อยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าท่านเป็นตัวแทนของคนไทยในยุคนั้น ท่านก็เป็นตำรวจตัวแทนของด้านสว่าง ถ้าในวันวานคนทุกคนมีอาคม คุณจะใช้อาคมของคุณไปในทางไหนล่ะ ท่านมีพลังอาคมอันแก่กล้าแล้ว ท่านใช้ไปในทางที่ดี นี่คือฮีโร่ของยุคนั้นครับผม แล้วพอได้มีโอกาสมาร่วมงานภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ ความรู้สึกที่มีต่อขุนพันธ์เมื่อสัมผัสแรกยิ่งเข้มข้นมากขึ้นด้วยความชื่นชม และประทับใจจากการได้รู้เรื่องราวในส่วนประวัติของท่าน ว่าท่านปราบเสือ ปราบโจรร้ายมาหลายที่ ด้วยพลังของความดี

Q. ทราบมาว่าในการที่ได้มีโอกาสเป็น1ในตัวละครสำคัญ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรับบทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงกับศึกษาบรรยากาศแวดล้อมของยุคสมัยของภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
          A. ผมก็ต้องไปหาว่ายุคนั้น ยุคก่อนสงครามโลกบ้านเมืองมันเป็นอย่างไร ความวุ่นวายมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็มีการอ่านหนังสืออยู่ 3 เล่มครับ(หัวเราะ) เพื่อดูภาพของความเป็นอยู่ตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ จนถึงช่วงเวลาที่ขุนพันธ์มีชีวิตครับ เล่มที่ 2 พูดถึงเรื่องความคิดของชนชั้นปกครองที่เปลี่ยนไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4-รัชกาลที่ 7 ตอนที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เล่มที่ 3 อ่าน100ปีแห่งความโดดเดี่ยว มันเป็นหนังสือที่เป็นเรียกว่าเป็นแนวหรือประเภท Magical realismซึ่งเป็นแนวเดียวกับหนังเหมือนกัน ก็เลยได้คำตอบว่าสังคม ความคิดของคนมันไม่เหมือนตอนนี้ คนไทยยังคิดเรื่องเหตุผลแบบไตรภูมิอยู่ครับ แบบเวียนว่ายเกิดแก่เจ็บตาย ฉันเป็นผู้น้อยเพราะว่าฉันทำบุญมาน้อยในชาติที่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันความคิดแบบใหม่มันกำลังวิ่งเข้ามาในเมืองไทย แบบการศึกษา คิดแบบฝรั่ง ณ ยุคหนึ่งของขุนพันธ์ คนเรามีมีสิทธิ์ที่จะหาความรู้ได้ เราเริ่มมองข้ามความคิดแบบบาปบุญคุณโทษ เรารวยได้เราเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ มันเลยเป็นช่วงจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้เกิดโจรไง แบบหลวงโอฬารทำไม่ดีใส่ กดขี่ข่มเหง การสอดส่องปกครองยังไม่ทั่วถึง การจะออกจากกรุงเทพฯไปแค่ราชบุรีมันใช้เวลาวันหนึ่งนะครับคุณ เมื่อสังคมข้างบนมันเต็มไปด้วยคนที่คิดที่จะดึงผลประโยชน์ต่างๆเข้าหาตัวเอง นั่นแหละครับมันเลยทำให้เกิดฮีโร่ขึ้นมา ขุนพันธ์เป็นคนที่ไม่ยอมที่จะทำตัวไม่ดี เชื่อมั่นในความดี แล้วออกไปปราบเหล่าเสือร้าย ในที่สุดเท่าที่อ่านมา ณ จุดนั้นเสือร้ายบางคนไม่ใช่โจรร้าย บางคนทำด้วยคุณธรรมด้วยซ้ำไป นี่แหละครับ ท่านเป็นคนที่เชื่อมั่นในพลังของความดีแล้วพลังความดีก็ปกป้องท่าน ถามว่าเสือร้ายต่างๆมีอาคมมั้ย มี แต่ว่าสิ่งที่เป็นอาคมที่มีพลังที่สุดคือความดีของท่าน มันเป็นเรื่องยากมากที่คนมีพลังขนาดนั้นจะดึงตัวเองให้อยู่ในด้านสว่างตลอดเวลาครับผม

Q. การกลับมาร่วมงานกับก้องเกียรติ โขมศิริ เป็นครั้งที่2 ได้มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
          A.ตอนแรกพอได้ทราบว่าจะได้เล่นเรื่องขุนพันธ์ ผมก็เตรียมตัวโดยการเอาหนังสือประวัติศาสตร์มาอ่าน ผมอยากจะดูสภาพแวดล้อมของประเทศเป็นอย่างไร การคมนาคมจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งลำบากยากเย็นขนาดไหน และมันทำให้เรารู้ว่าการเดินทางจากพระนครไปเมืองใต้ มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลยนะ มันเป็นเหมือนการเดินทางไปจาริกแสวงบุญด้วยซ้ำไปเพราะว่ามันเป็นการเดินทางที่ไกลมาก คนๆหนึ่งที่จะสามารถไปตรงนั้นด้วยปฏิบัติการลับได้ จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นจริงๆสำหรับการทำความดี สำหรับการทำหน้าที่ของตัวเองซึ่งผมก็ดีใจครับที่ได้มีโอกาสเป็นตัวละครซึ่งเป็นปรปักษ์กับขุนพันธ์ เป็นคนที่จะต้องสู้กับอำนาจของความดีที่บริสุทธิ์ขนาดนั้น ในเมื่อเรามีโอกาสได้รู้ว่าเราจะต้องสู้กับคนดีมากๆ มันทำให้ผมต้องไปเตรียมตัวว่าเลวแค่ไหน เพื่อที่พอจะสู้กับคุณธรรมของคนอย่างนี้ให้ได้ เป็นเกียรติที่ได้นำเสนอเรื่องของท่านให้คนได้รู้ว่าคนที่รักประเทศชาตินี้และมีอุดมการณ์ที่แท้จริงเคยอยู่ในประเทศนี้ แล้วผมก็หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คนได้กลับมาสู่ยุคสมัยที่ผู้คนต่างมีอุดมการณ์กลับมาอีกครั้งหนึ่งครับ

Q.เรื่องราวของท่านขุนพันธ์จากมุมมองของแฟรงค์
          A. เรื่องราวของขุนพันธ์เป็นเรื่องของข้าราชการตำรวจท่านหนึ่งครับซึ่งมียศเป็นท่านขุน ท่านเป็นมือปราบโจรดังๆมากมาย มีเรื่องเล่ามากมายว่าท่านเป็นนายตำรวจหนังเหนียว เป็นตำรวจซึ่งถ้าจับโจรได้แล้วจะเอาหัวกะโหลกของโจรมาไว้ใต้บันไดเป็นการตัดไม้ข่มนาม เป็นตำรวจซึ่งสามารถปราบเสือร้าย ซึ่งใครบอกว่าคงกระพันชาตรีก็ปราบได้ มีเวทย์มนต์ท่านก็ปราบได้ แต่สิ่งที่ผมมองไปมากกว่าการมีเวทย์มนต์ หรือเรื่องมนต์ดำคือท่านมีจิตใจที่มุ่งมั่นในความดี และท่านก็มีความศรัทธาในสิ่งที่ท่านทำว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกที่ต้อง พระถึงคุ้มครองท่าน
Q. ที่เราจะได้เห็นฝีไม้ลายมือทางด้านการแสดง ของนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทย มาเฉือดเชือนตั้งแต่นักแสดงหลักอย่างอนันดา ,น้อย-กฤษดา ไปจนถึงนักแสดงสมทบ
          A. ใช่ครับ ผมดีใจมาก ผมเห็นนักแสดงแต่ละคน ล้วนแล้วแต่เป็นนักแสดงที่มีพลังทางการแสดงสูงครับ ตัวละครที่เป็นนักแสดงสมทบในบทนายตำรวจเผือก หรือสารวัตรดำเกิง หรือใครอีกหลายคนซึ่งล้วนต่างมีความกระหายที่จะแสดง น้องอ้อม-กานต์พิสชา(แม่เบี้ย) ซึ่งมันทำให้เข้มข้น แล้วบทของพี่โขมที่เขียนมามันจะพลิกไปตลอดเรื่อง เรื่องที่คุณคิดว่าคุณรู้แล้ว สิ่งที่เฉลยออกมามันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง คือมันจะมีตลอดทั้งเรื่องให้เราได้ติดตามกัน และแน่นอนว่าทีมแอ็คชั่น นักแสดงคิวบู๊ต่างๆแต่ละคนก็ทุ่มเทจริงๆครับ คิวบู๊อลังการมาก รับรองว่าคุณจะได้ทั้งความสนุกสนานทางด้านแอ็คชั่น ได้ความเข้มข้นของการเชือดเฉือนของบท แต่ที่ท้าทายมากๆคือการที่ต้องเล่นกับนักแสดงที่มีความสามารถสูงๆ อย่างอนันดา พี่น้อย เขาจะต้องปะทะกันด้วยอารมณ์ด้วยคารม บางฉากมันมีการพูดกันน้อยมาก บางฉากขุนพันเดินขึ้นมาบนโรงพักเพื่อที่จะปลดหลวงโอฬารออกจากตำแหน่งคืออนันดาเขาก็มาเต็มไง เพราะเขาทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องทำอย่างไรให้เอาอยู่ สามารถตอบโต้เล่นโต้กันได้ ก็ดีใจครับที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีฝีมือ ก็เลยทำให้เราอยากจะพัฒนาฝีมือให้มากกว่านี้ เลยรู้สึกว่าเราค่อนข้างได้บทที่ค่อนข้างโชคดี แล้วก็มีสีสันมากๆเลย

Q.คงต้องเล่าให้ฟังแล้วถึงบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์
          A. ผมรับบทเป็นหลวงโอฬาร เป็นข้าราชการที่อยากเป็นใหญ่ ด้วยการให้ผลประโยชน์แก่คนต่างๆโดยที่ไม่ได้มอบสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ มอบสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อเกินจำเป็นมันก็เลยทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเหล่านี้เสียไป เบื้องหน้าอาจจะดูเป็นคนที่ดูใจดีดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ความช่วยเหลือคนอื่น แต่ที่จริงแล้วหวังสิ่งตอบแทน ไม่ได้เพราะใจเมตตา จุดเริ่มต้นของตัวหลวงโอฬารก็คล้ายๆกับข้าราชการ แต่เขาก็รู้ว่าอุดมการณ์ที่ดีมันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นจริงได้ง่าย ในโลกของความเป็นจริง เขาก็เลยเลือกทำความเลวทำได้ง่ายกว่า ตัวหลวงโอฬารกลับมองที่ความสุขคือรูปร่างภายนอก ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆเป็นข้าราชการที่ขี้ฉ้อโกงกิน ขายชาติ ต่ำช้า ด้วยความคิดที่ว่า ทุกคนสามารถเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้ เมื่อหลวงโอฬารได้ถูกย้ายไปที่ที่ทุรกันดารห่างไกลด้วยความคิดที่แสนชาญฉลาดและเลวร้าย ในเมื่อเราไม่ได้อยู่ในที่ที่เจริญ เราก็สร้างความเจริญขึ้นมาใหม่สิ หลวงโอฬารเป็นคนที่เรียนนอกมา อันนี้เป็นแบคกราวด์ข้างหลังของตัวละครไม่ได้ถูกเอามาเล่าในหนัง เรียนปีนังมา อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ อ่านภาษาฝรั่งเศสได้ มีความคิดแบบฝรั่งเศสที่แบบเป็นนักปฏิวัติ ฉันสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ มีความรู้ทางการเมือง สงครามโลกกำลังจะมาใกล้แค่ไหน ฮิตเลอร์อยู่ตรงไหนของโลกแล้ว เขาใช้ช่องว่างนี้ในการเอาเปรียบคน เขาสร้างท่าเรือขึ้นมาเพื่อให้สินค้าเข้า เขาทำให้มีฝรั่งเข้ามาตรงจุดนี้ เพื่อให้มันมีวิถีชีวิตแบบชาวฝรั่ง และก็ดึงคนในชุมชน ดึงคนในเมืองเข้ามาทำงานรับใช้ฝรั่ง เพื่อให้คนที่มีชีวิตแบบเดิมได้เห็นถึงชีวิตแบบศิวิไลซ์ เขาสร้างบ่อนขึ้นมาเพื่อให้วงจรชีวิตของคนในนั้นต้องมาติดกับเขา เขาก็จะเป็นเจ้าของเงินตราติดลบของทุกคนในชุมชน สร้างสโมสรงาช้างเพื่อเป็นแหล่งที่จะทำให้มีฝรั่งมีชาวญี่ปุ่นทำให้สโมสรนี้เป็นจุดศูนย์รวมของโลก แล้วก็ตบตาคนทั้งเมืองว่าสิ่งที่เขานำมานั้นคือความเจริญ โดยมีศูนย์กลางที่เมืองเมืองนี้ เหมือนกับคนที่ถูกบีบให้ไปอยู่ชายขอบ เขาก็จะกลายเป็นโจรนั้นก็คืออัลฮาวียะลู หลวงโอฬารเลือกที่จะใช้โจรเป็นกองกำลังของตัวเองในการนำสินค้าเข้า ในการนำสินค้าหนีภาษีเข้า เอามาขายในราคาแพงในสโมสรงาช้างของตัวเอง ลูกสาวของคนที่ไม่มีหนี้ที่จะใช้ก็ต้องกลายไปเป็นโสเภณี ซึ่งจริงๆพวกเขาไม่ใช่โจร เมืองนี้ไม่ให้มีการตรวจสอบจากรัฐบาลกลางมาโดยตลอด จนขุนพันธ์เข้ามาทุกอย่างก็เลยเกิดขึ้น ขุนพันธ์มาเป็นฮีโร่

Q.เห็นว่าผู้กำกับก้องเกียรติใส่ใจในทุกรายละเอียดของตัวละคร ถึงขนาดที่ว่าเราสามารถสัมผัสได้ถึงบุคลิกคาแรคเตอร์ของตัวละครสะท้อนผ่านจากชุดหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่เลยทีเดียว
          A. การแต่งตัวของหลวงโอฬารก็จะสะท้อนถึงบุคลิกของเขา ที่จะใส่ใจหรือสนใจแต่เรื่องภายนอก ข้างในมันจะเป็นอย่างไรไม่ได้สนใจ จากการแต่งตัวดูมีอารยะ เหมือนกับที่เขาเอาความเจริญมาใส่ให้ ความเจริญฟู่ฟ่า แต่จริงๆแล้วคนต้องการรึเปล่า ผมใส่ครั้งแรกแล้วผมแบบ ยืนกลางกองแล้ว ฮาๆๆ เสื้อฉันขาวกว่าใครเพราะว่าฉันรับสบู่จากปีนังมาใช้ เอาสบู่จากปีนังมั้ยล่ะก้อนละ 20 บาทเอง ทองบาทละตั้ง 20 เขาเดินไปไหนเขาก็จะมีกล้องตัวหนึ่งตาม เขาสามารถที่จะซื้อกล้องเข้ามานะ พอทำคาแรคเตอร์กับพี่โขมไปประมาณหนึ่งด้วยการนั่งคุยกัน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มา ผมสามารถทำท่าน่าหมันไส้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

Q.ฟังดูแล้วเป็นตัวละครสำคัญที่พูดได้ว่าเป็นทั้งตัวแปร และเป็นตัวละครที่มีสีสันมากเลยทีเดียว ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับอีกตัวละครสำคัญอย่าง "อัลฮาวียะลู" คู่ปรับคนสำคัญของขุนพันธ์
          A. "อัลฮาวียะลู" ที่แสดงโดยพี่น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ในภาพยนตร์เขาเป็นทายาทโจรมาตั้งแต่แรก เราเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เราเห็นแววความมุ่งมั่นของเขาในการทำเพื่อส่วนรวม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนหัวอ่อนซึ่งๆสามารถเกลี่ยกล่อมได้ง่าย เพราะว่าจิตใจเขาดีบริสุทธิ์ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่หลวงโอฬารใช้ความบริสุทธิ์ของคนรอบตัวของ "อัลฮาวียะลู" มาเป็นเครื่องมือโดยการร่วมมือกัน สิ่งที่"อัลฮาวียะลู" ปล้นมาได้ก็จะนำมาเป็นกำลังทรัพย์ของหลวงโอฬารเพื่อที่จะเลี้ยงกองกำลังของ"อัลฮาวียะลู" ต่อไป เพื่อที่จะปกป้องเขาบูโดนี้ให้อยู่ใต้อาณัติของหลวงโอฬาร เงินที่ได้ก็เอามาสร้างสโมสรงาช้างเป็นที่ที่ผลิตเงินจากสิ่งนอกกฎหมายมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่งที่ขุนพันธ์สามารถเข้ามาในเขตนี้ได้ มันทำให้ตัวหลวงโอฬารต้องปรับตัวกับการสั่นคลอนของอำนาจ เพราะว่าตัวขุนพันธ์ก็เอาจริงเอาจังและในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถจะปราบเขาลงได้เหมือนกับผู้ตรวจการคนอื่นๆที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเราก็คงต้องชนกัน แต่ หลวงโอฬารวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว โดยใช้กองกำลังของอัลฮาวียะลูเป็นตัวต้านทานขุนพันธ์ นี่คือสิ่งหนึ่งที่สะท้อนในตัวคาแรคเตอร์ที่ว่าเขาพร้อมจะไปทุกอย่าง มีช่องทางไหนที่เขาจะเติบโตได้ ที่จะใหญ่ได้ เขาพร้อมที่จะทำ และพร้อมที่จะเปลี่ยนเหตุผลให้ตัวเองได้เสมอๆเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น

Q. ถือได้ว่าเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์แอ็คชั่นที่มีมิติและเต็มไปด้วยความซับซ้อนเลยทีเดียวในฐานะนักแสดงแล้วบทนี้ทั้งยากและท้าทายการแสดงอย่างไรบ้าง
          A. พอเมื่ออ่านบทผมเชื่อว่าบทของหลวงโอฬารเป็นตัวแทนของความเลว และผมก็ทำการสดุดีความดีของขุนพันธ์ ด้วยการทำตัวหลวงโอฬารให้เลวที่สุดอย่างสมเหตุสมผลในทุกๆมิติ อย่างมีที่มาที่ไป ผมเชื่อว่าถ้าตัวละครของหลวงโอฬารยิ่งเลวเท่าไหร่พลังงานความดีของขุนพันธ์จะยิ่งส่องแสงได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พี่โขมบอกว่าหนังเรื่องนี้พี่โขมอยากจะให้คนได้เห็นคุณค่าของความดี พี่โขมจะเล่าถึงความมืดมนที่มันเกิดขึ้นจนท่านผู้ชมกระหายอยากความสว่าง ผมได้รับบทเป็นความมืดมนสีขาว ที่มันดูช่างสะอาดเหลือเกิน เพราะฉะนั้นยิ่งผมไปได้สุดเท่าไหร่มันยิ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อท่านขุนพันธ์มากแค่นั้น ผมพยายามทำสุดฝีมือ สำหรับบทหลวงโอฬาร มันมีความยากอยู่อย่างหนึ่งคือ หลวงโอฬารจะเป็นคนที่รู้อะไรก่อนที่ทุกคนในเรื่องนี้จะรู้ทุกอย่าง อันนี้คือข้อได้เปรียบของตัวละครนี้ แล้วมันทำให้เราสนุกสนานว่า แล้วเราจะเก็บไว้ยังไงให้ทั้งคนดูก็ไม่รู้ทั้งคนที่เล่นกับเราก็ไม่รู้ว่าเรารู้ ความท้าทายที่สุดมันคือ มันคือการต้องอยู่ในยุคนั้นให้ได้ เมื่อก่อนการที่คนจะรู้ข่าวสารรอบๆได้นั้น มันไม่มีหนังสือพิมพ์ ประเทศไทยไม่มีวิทยุ ส่วนมากคนเราจะได้รับข่าวสารจากลิเก หนังตะลุง ลำตัด คณะโน้นคณะนี้ที่เวียนกันมาแล้วก็เล่าขานด้วยภาษาไทย แต่หลวงโอฬารมีช่องทางการรับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ แสดงว่าเขาจะต้องมีความรู้เรื่องภาษา ในเรื่องก็จะมีชาวฝรั่งเศสเข้ามาสโมสรงาช้าง ต้องพูดหลายภาษามากเป็นนักการเมืองชาวใต้ก็ต้องพูดภาษาใต้ได้ ซึ่งภาษาใต้ยากที่สุดเพราะว่าสำเนียงมันยาก แล้วถ้าเกิดพูดผิดมันจะกลายเป็นล้อ เราก็พยายามที่จะพูดให้ชัดทันที ต้องพูดภาษาญี่ปุ่น ร้องเพลงญี่ปุ่น มีกงสุลฝรั่งเศสเข้ามาก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศส อาศัยว่ามีเจ้าของภาษา มาอธิบาย แต่ละพยางค์ แต่ละประโยคว่ามันหมายถึงอะไร แล้วก็พยายามที่จะสื่อสารให้ได้ในจังหวะจะโคนที่มันถูกต้อง พี่โขมส่งครูฝรั่งเศสมาให้ก็เขียนคำภาษาไทย ไปหาหนังฝรั่งเศสมาดู เขามีวิธีการออกเสียงกันอย่างไร ญี่ปุ่นนี่ตอนแรกไม่ต้องได้พูดหรอก แต่ว่าคุยกับพี่โขมว่าพอถึงไลน์ที่เสนอขายชาติเราพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นกลับไป มันจะดีมั้ยพี่ พี่เขาบอกเอาๆ แล้วก็ได้ฉากนี้มาเขาก็สอนให้ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย แต่ที่ยากที่สุด ภาคใต้ครับผม มันจะต้องมีฉากปราศรัย แล้วบทมันก็เป็นภาษาไทยภาษาภาคกลางนี่แหละ พี่โขมบอกว่า เฮ้ยแฟร้งค์เคยเห็นนักการเมืองมั้ยเวลาไปไหนเขาจะพูดภาษานั้นนะ คุณเป็นคนกรุงเทพแต่ว่าสิ่งที่อยากได้คือเป็นนักการเมืองแบบน่ารัก พูดภาษาใต้เลย แล้วมันอันตรายมากคือภาษาใต้ถ้าเราพูดไม่ตรงมันจะเหมือนล้อเลียนทองแดง ก็ได้คุณครูสน อัดวีดีโอคุณครูสนเลยให้อ่านให้ฟังแล้วก็เหมือนร้องเพลงเลย เนี่ยแหละความท้าทาย และสิ่งที่เป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่งในคาแรคเตอร์นี้ก็คือ หลวงโอฬารเป็นคนที่รู้เยอะ มีความทะเยอทะยานด้วย บุคลิกของเขาก็เลยมีพลัง มันคือการที่ผมศรัทธาในความดีของขุนพันธ์ครับ
Q.ฉากที่เป็นความประทับใจในการทำงานในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์
          A.มีหลายฉากครับที่ประทับใจ ฉากโรงพัก เป็นการพบกันครั้งแรกของหลวงโอฬารกับขุนพันธ์ หลังจากที่หลวงโอฬารไปฆ่าจเรตำรวจมาแล้ว รู้ข่าวว่าจเรตำรวจจะมา เอาอัลฮาวียะรู และสมุนออกไปฆ่า คนที่เล็ดรอดมาได้คือขุนพันธ์ แล้วก็อยู่ในสโมสรงาช้างมาตลอดจนวันหนึ่งเขาจึงปรากฏตัวในเครื่องแบบมาที่โรงพัก แล้วไล่หลวงโอฬารออกจากราชการ ด้วยพลังของความดี และความเลวก้อนใหญ่ๆ พอมันชนกัน คือฉากนั้นเล่นมันมาก คือแบบว่าคุณรู้ว่าผมเลว ผมรู้ว่าคุณดี เรามาพิสูจน์กันว่าความดีหรือความเลวหรืออำนาจกันแน่ที่จะข่มกันอยู่อย่างนี้ แล้วเป็นครั้งแรกที่เล่นกับอนันดา เราได้สัมผัสเขามีพลังอยู่ข้างใน วันนั้นผมไม่ออกจากกองเลย ผมประทับใจ ผมเดินตามอนันดาเดินดูว่าอนันดาแสดงอะไรต่อ อีกฉากหนึ่งที่ประทับใจเลย อันนี้เป็นเรื่องงานสร้างย้อนกลับไปพอผมอ่านหนังสือสามเล่ม ผมได้เห็นภาพของเมืองของบ้านของคน ปลูกอย่างไรใช้วัสดุอะไรในการปลูก แล้วพอผมได้เห็นสโมสรงาช้างผมขนลุกเลยนะ หลวงโอฬารเป็นเจ้าของสิ่งนี้คือมันรวยมากนะมันมหาอำนาจ แล้วสวยงาม มีระเบียงศิลปะแบบโคโรเนียล ยุคล่าอาณานิคมอะไรแบบนี้ คือมันทำให้ยิ่งตัวละครผมมันทำได้ลึกขึ้น คือยุคอาณานิคมนะ ทุกอย่างมันมีศิลปะ วัฒนธรรม ในความฝรั่งมันมีความจีน ในความจีนมันมีรูปไทยๆ หรือในคลับซึ่งมีนักดนตรีสากลมาเล่น ในขณะที่นอกคลับงาช้างนี้ยังเป็นลำมะนา ปี่พาทย์กัน มีเปียโน มันยิ่งเสริมสิ่งที่เราทำการบ้านมาคราวนี้พลิ้วเลย รวมไปถึงงานอาร์ตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย ไม้ถือ หมวก อะไรแบบนี้ครับ พอยิ่งฉากเยอะๆ เช่นฉากสร้างทางรถไฟ พอเราไปยืนอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เหมือนเรา คนแต่งตัวชาวบ้านชาวช่องเรายิ่งรู้สึกว่าโอ้โหตัวละครนี้มันช่างศิวิไลซ์จริงๆ มันช่างมีอำนาจซะเหลือเกิน

Q. การทำงานร่วมกับผู้กำกับอย่างก้องเกียรติ โขมศิริ
          A. พี่โขมหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นผกก.เลือดสาด แต่จริงๆก่อนที่จะมาเจอจุดเลือดสาดมันจะมีความละเมียดละไมครับ พี่โขมเป็นคนที่ใช้ความมืดมาบีบคั้นคนดูเพื่อให้เห็นคุณค่าของแสงสว่าง แล้วมันทำให้เกิดผลของความรู้สึกทางอารมณ์ที่มันรุนแรงครับ การทำงานกับพี่โขมสนุกครับ ที่ผ่านมาเพราะว่าผมกับพี่โขมสนิทกันมาตั้งแต่เด็กน้อยตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง 14 ตุลาสงครามประชาชน ตอนนั้นพี่โขมเป็นพรอพ ทำน้ำป่าอยู่ เป็นคนเขย่าเข่งให้น้ำกลายเป็นสีแดง แล้วก็โตมาก็มีโอกาสได้เจอกัน พี่โขมทำงานด้วยหัวใจจริงๆ เขารักในการเล่าเรื่อง เขารักที่จะสร้างชิ้นงานที่เป็นมหรสพให้กับท่านผู้ชม เขาจะทุ่มเทกับทุกงานและเราก็จะสนิทกัน แล้วเราก็จะค่อยๆเพิ่มตัวละครทีละนิด งานมันถูกเตรียมเป็นปี ตั้งแต่บทถูกสร้างขึ้นมาจนกระทั่งบทเสร็จ แล้วพอไปในกองปั๊บเราไม่ต้องกังวลเราไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลย มันสามารถเล่นไปได้เลย คราวนี้มันก็ยิ่งสนุก ฉากนี้เล่นแบบนี้ดีกว่า 4-5 ฉาก ทำให้ได้เห็นแง่มุมในความคิดต่างๆ ความรู้สึกต่างๆ การปะทะกับคนต่างๆในมิติที่แตกต่างกันหลวงโอฬารจะเจอกับน้องมาลัยก็จะทำตัวแบบหนึ่ง เจอกับอัลฮาวียะรูก็ทำตัวอีกแบบหนึ่ง เจอกับพี่สนก็ทำแบบหนึง อะไรแบบนี้ครับ

Q.ความรู้สึกที่มีต่อนักแสดงอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม
          A. ไม่ค่อยได้มีฉากชนๆกับพี่อนันดาเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นพี่น้อย แต่ว่าผมชอบอยู่กองไง เราไปถ่ายกันที่ต่างจังหวัดส่วนมากจะเป็นกุยบุรี เมื่อถ่ายเสร็จปุ๊บเราก็จะอยู่ที่นั่นเพื่อรอถ่ายวันรุ่งขึ้น เขาเท่มากเลยครับ คืออนันดาไม่ได้เป็นแบบที่เราเห็นนะครับ เขาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งไงที่เดินกุ๊กกิ๊กๆ เฮ้ยพี่ทำอะไร แต่พออยู่ในบทปุ๊บต่อให้ติดหนวดแล้วนะรูปลักษณ์เสร็จแล้วนะเขาก็ยังเป็นเด็กกุ๊กกิ๊กๆ แต่พอเขาเริ่มจะเล่นปั๊บคือเขามาเลย เฮ้ยเยี่ยมว่ะ เขามีมาดพระเอกอย่างไอ้ฉากที่เปิดเรื่องที่ยิงกันที่ปัดกระสุนปืนที่เป็นทีเซอร์ตัวแรกเลย ผมมีโอกาสได้ไปนั่งดูด้วยคือเท่ห์ พลังเขาสูงมาก เราได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ ไม่มีข้อสงสัยกับการที่อนันดาเป็นขุนพันธ์ อนันดาเป็นคนที่ใส จิตใจดี รู้จักหาความงามของโลกใบนี้ เมื่อมันไปประกอบกับการแสดงที่เขาร่ำเรียนมาที่เขาทำความเข้าใจมาตลอดในวิชาชีพของเขา ความดีที่มีอยู่ในตัวอนันดาบวกกับความดีของขุนพันธ์ที่เป็นแบบอย่างมันจึงเชื่อมกันได้อย่างไม่เป็นปัญหา เขารู้ว่าคนเราดีไปเพื่ออะไร อนันดารู้จักและรู้สึกได้ถึงความงดงามของความดี เหมือนที่อนันดาเป็นนักแสดงแล้วก็ทำงานอย่างมีคุณภาพมาตลอด แต่ในคราวนี้เขาจะสวมบทบาทของคนที่รักในงานเหมือนกัน และงานนั้นคืองานที่ทำลาย ปราบปรามและสยบความชั่วร้าย

Q.อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย พี่น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์กับการร่วมงานกันเป็นครั้งที่หลังจากอันธพาล
          A. พี่น้อยร่วมงานกันมาตั้งแต่อันธพาลแล้ว รักพี่เขาอยู่แล้ว พี่น้อยเป็นอาร์ททิสต์ครับ คือเขาเป็นเครื่องมือในการนำพลังจากศิลปะแล้วถ่ายทอดออกมาได้เป็นคนที่มีธรรมชาติแบบนั้นอยู่แล้ว นั่นทำให้ทุกครั้งที่พี่น้อยแสดงมันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น แน่นอนพี่น้อยต้องทำการบ้านมา แต่ว่า ณ ขณะนั้น แล้วเวลาเราเล่นอยู่กับพี่น้อย เราจะต้องเปิดสมาธิอย่างมาก และเขาก็จะรอเรานะ เขาก็จะดูว่าเราเล่นจะต้องเล่นเบอร์นี้ แต่ว่าเมื่อเราเล่นกับพี่น้อย เราเปิดรับกันสดๆ มาเบอร์นี้หรอ ฉันผลักกลับเบอร์นั้นอย่างงั้นหรอ มันเหมือนเกิดขึ้นจริงๆ เวลาเล่นกับพี่น้อยมันเหมือนเรามีเรื่องราวด้วยกันจริงๆ พี่น้อยเป็นกองกำลังของเราจริงๆ เรามีความกริ่งเกรงกันในแต่ละด้านของกันจริงๆ ถ้าหลวงโอฬารเป็นเหมือนผู้นำ อัลฮาวียะลูจะเป็นเหมือนแม่ทัพ แน่นอนผู้นำขาดแม่ทัพไม่ได้ และแม่ทัพก็ขาดผู้น้ไม่ได้เช่นเดียวกัน

Q.ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานและสิ่งที่อยากจะพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ "ขุนพันธ์"
          A. หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การถ่ายทำหนังธรรมดา ไม่ใช่แค่หนังแอคชั่นที่จะมีบู๊เลือดสาดกันอย่างเดียว แต่มันเป็นหนังที่บอกถึงปัญหาของประเทศเราครับ บอกถึงปัญหาของความคิดของคน อย่างเช่นเมื่อก่อนที่นี่เคยมีความสุขอย่างมากก็มีแค่ความจนที่เป็นปัญหา แต่พอหลวงโอฬารเข้ามาสร้างความหรูหราอะไรต่างๆความจนไม่ได้เป็นปัญหาต่อไปละ สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือหนี้สิน ซึ่งมันเลวร้ายกว่าความจนอีก แล้วคุณก็ตกอยู่ใต้ระบบของเศรษฐกิจ อยากให้มาดูและฉุกคิดว่าที่จริงแล้วอะไรคือความสุขที่จะอยู่กับเราไปได้โดยตลอด ถ้าเกิดมองความสุขแต่เพียงเปลือกนอก ข้างหลังเปลือกนั้นก็จะไม่ได้รับความสนใจ

Q.ทำไมต้องไปดูหนังเรื่องนี้...
          A. เพราะมันสนุกแน่นอน เพราะว่าConflictมันแรงมันชัด ความดีกับความเลวมาปะทะกัน ความศรัทธาในความดี พลังของจิตใจมันจะปะทะกันในเรื่องนี้ ผมเชื่ออย่างนี้ว่า เมื่อได้ดูคุณจะรู้ว่าคุณจะยืนอยู่ฝั่งไหน มันอาจจะทำให้คุณกระตุกคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นชีวิตที่เรากำลังเดินกันอยู่มันไปถูกทางแล้วเหรอ แน่นอนคนเรามีเสรีภาพแต่มันไม่ควรมาเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว เลือกเอาคุณจะใช้เสรีภาพของคุณอย่างไร ศรัทธาในความดีแล้วชีวิตเราก็จะมีแต่สิ่งดีดี

Q.เนื่องในวันที่ 5 กค. จะเป็นวันคล้ายวันครบรอบ10ปีที่ท่านขุนพันธ์เสียชีวิต อยากให้พูดอะไรถึงท่านขุนพันธ์"
          A. ถึงแม้ว่าท่านขุนพันธ์จะเสียไปแล้ว ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าคนที่ได้ศึกษาประวัติท่าน ได้อ่านเรื่องราวของท่าน หลายคนอาจจะชื่นชอบนะกับคาถาอาคมของท่าน มีฤทธิ์ปราบ เอาหัวกะโหลกมาไว้ใต้บันได คนอาจจะชื่นชอบกับสิ่งเหล่านั้น แต่ที่จริงแล้ว การที่อาคมแก่กล้าขนาดนั้น สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นมือปราบที่หนังเหนียวได้ เป็นเพราะว่าสิ่งที่ท่านศรัทธาก็คือความดีความถูกต้อง หลายคนที่บูชาท่านอยู่ห้อยท่านอยู่ ก็น่าจะสัมผัสได้ ได้ระลึกว่าคนธรรมดาถ้าอยากจะถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้วและให้ลูกหลานพูดถึงอย่างสมเกียรติต่อไปสิ่งที่คุณต้องทำในวันนี้คือความดี

FB on July 13, 2016, 02:58:15 PM
“อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี แจ้งเกิดจาก “แม่เบี้ย” สู่ความท้าทายทางการแสดงครั้งใหม่ใน “ขุนพันธ์” กับบทบาท “มาลัย” กลางวันคือสาวชาวบ้านผู้อ่อนหวาน แสนดี กลางคืนคือนักร้องสาวที่คอยขับกล่อมความสุขให้กับทุกผู้คน







Q.แนะนำตัวเองและเล่าให้ฟังถึงบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์"
          A. สวัสดีค่ะ อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี ค่ะ ในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์อ้อมรับบทเป็น มาลัย ค่ะ เป็นสาวใต้ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี นิสัยร่าเริง ดี สวยธรรมดาแบบชาวบ้าน โดยในเรื่องจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกับพี่ชายชื่อ ไข่โถ (สนเดอะสตาร์)และลูกของพี่ชายชื่อ มะลิ มาลัยก็จะเป็นคนที่คอยดูแลทั้งพี่ชายและหลานนะคะ ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นอีกพาร์ทหนึ่งของมาลัยเป็นหญิงสาวที่แต่งตัวสวยงาม เพราะว่าต้องรับบทเป็นนักร้องประจำอยู่ในสโมสรงาช้าง ที่อยู่ภายใต้อาณัติของหลวงโอฬาร(แฟรงค์ ภคชนก์) ซึ่งพี่ชายเองก็ทำงานที่นี่ด้วย ซึ่งไม่ว่าหลวงโอฬาจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ เพื่อที่หมู่บ้านของเราจะได้สงบสุข ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนหลากหลายชาวต่างชาติ หลายชาติมากเลย

Q.ความสัมพันธ์ของตัว"มาลัย" กับ "ขุนพันธ์"
          A. อีกหนึ่งตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของมาลัย ซึ่งก็คือนายบุตร หรือว่าตัวขุนพันธ์ ที่เข้ามาในหมู่บ้านมาทำให้ชาวบ้านหรือชุมชนแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ตอนแรกมาลัยไม่รู้เลยว่านายบุตรคือขุนพันธ์ ซึ่งเป็นนายตำรวจที่ปลอมตัวมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเรา โดยในบทนี่เขาจะเป็นคนๆหนึ่งที่เอาใจใส่ครอบครัวเรา ช่วยเหลือคนในหมู่บ้านของเรา ซึ่งพอชีวิตมีนายบุตรเข้ามามันก็ทำให้เหมือนมาลัยเป็นดอกไม้มีน้ำ มีน้ำฝนตกลงมาซึ่งทำให้ชีวิตมาลัยมีความสุขขึ้นไปอีก แต่พอหลังจากนั้นมาลัยรู้แล้วว่านายบุตรคือขุนพันธ์ มันก็จะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวของอารมณ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นกลัวคนในหมู่บ้านของเราจะเดือดร้อน เพราะว่าผู้คนในหมู่บ้านของเราตกอยู่ในอาณัติของหลวงโอฬาร ที่เราต้องยอมให้คนเหล่านี้เข้ามาหาผลประโยชน์ในหมู่บ้านของเรา แต่เขาเป็นตำรวจนะ แล้วจะทำยังไงดีกับตัวมาลัย ชีวิตก็สับสนไปหมดจะกล้าพอมั้ย ซึ่งมันก็ป็นความซับซ้อนของอารมณ์ที่มาลัยต้องรับตรงนั้นแล้วก็ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าต้องคอยติดตามว่าตัวละครตัวมาลัยจะรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

Q.เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่เรียกได้ว่าต้องมีการเตรียมตัวค่อนข้างเยอะ และเรียกได้ว่าท้าทายความสามารถมากเลยทีเดียว
          A. สำหรับบทมาลัยที่อ้อมต้องถ่ายทอดก็มีทั้งหลายบุคลิก มีหลายความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือลิเกฮูลู คือมันไม่ได้มีเฉพาะแค่พาร์ทที่มีความสุขอย่างเดียว พาร์ทที่ต้องมีการแสดงออกในความลึกซึ้งทางด้านอารมณ์ก็มี ซึ่งก็ต้องมีการไปฝึกเตรียมตัวร้องเพลงใช้เวลาอยู่ประมาณ2-3เดือน จะต้องมีการเรียนพูดภาษาใต้ด้วย ทั้งๆที่ตัวจริงก็ไม่ได้เป็นคนใต้ ได้หัดพูดกับพี่อนันดา เพราะในบทต้องมีพูดเป็นภาษาใต้กับพี่อนันดาด้วยนะคะ เวลาเข้าฉากหรือเข้าซีนก็จะต้องมีทำผิวให้เป็นผิวสีแทน อย่างที่พี่โขมขอมาเลยคืออยากให้ตัวมาลัยเป็นสาวใต้เลย ผมหยิก ผิวแทนๆ เพื่อที่จะต้องการทำให้ตัวบุคลิกของมาลัยชัดเจนขึ้น แม้แต่ในด้านการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวมาลัยเอง อ้อมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่โดยทั่วไปเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น มาลัยก็จะเป็นคนที่คอยให้ความสุขให้กับคนอื่น แต่ว่าลึกๆแล้ว ในตัวละครมาลัยเองก็จะมีปมจะมีสิ่งที่มาลัยซ่อนไว้แต่ต้องติดตามดูนะคะว่ามาลัยจะซ่อนอะไรไว้ในความรู้สึก เรียกได้ว่าเป็นสีสันเดียวในเรื่องค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะมีการแต่งตัว มีชุดสีนั้นสีนี้

Q. ตอนที่อ่านบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
          A. เขาก็จะมีทั้งด้านที่อารมณ์ซับซ้อน พาร์ทที่ตัวมาลัยต้องทำสิ่งที่จริงๆตัวเองอาจจะไม่มีความสุขที่จะทำ แต่เราก็ทำสิ่งนั้นเพื่อคนอื่นนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ตัวมาลัยในบทค่อนข้างกล่าวไว้ละเอียดว่าในอดีตเคยเจออะไรมาบ้าง เพราะฉะนั้นอ้อมก็จะนึกถึงย้อนกลับไปในอดีตของตัวมาลัยว่าถ้ามาลัยเจอเหตุการณ์นี้ในชีวิต มันจะตื้นตันแค่ไหน หรือเขาจะรู้สึกเศร้าแค่ไหน เหมือนเราเข้าไปเป็นตัวละครเป็นตัวมาลัยเลยเขาอาจจะรู้สึกว่าชีวิตไม่ไหวแล้วอยากร้องไห้ หรือบางพาร์ทจะเป็นที่อารมณ์ความสับสน ระหว่างจะเป็นคนดีๆหรือจะเป็นคนไม่ดีดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ว่าถามว่ากลัวมั้ย เรื่องซีนอารมณ์ไม่กลัวเท่าไหร่ จะกลัวซีนที่ต้องร้องเพลง หรือต้องทำเป็นแบบเขินๆ เพราะบุคลิกอ้อมตัวจริงแล้วเป็นคนห้าวๆ แต่ว่ากลับต้องมาเข้าซีนที่แต่งตัวสวยๆหวานเซ็กซี่ ก็จะเป็นอะไรที่ยากนิดนึงค่ะ

Q.ถือได้ว่าเป็นบทบาทที่เรียกได้ว่าเป็นนางเอกเต็มตัวเรื่องแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง
          A. ถือว่าเป็นบทนางเอกครั้งแรกในชีวิตของอ้อมนะคะ แต่ละวันก็มีทั้งซีนที่ทั้งร้องไห้หนักสุดๆถึงขนาดบางทีกลับไปบ้านแล้วก็มีปวดหัว เพราะวันนี้มีการใช้อารมณ์ค่อนข้างเยอะ ก็มีเครียดบ้าง แล้วก็ส่วนใหญ่บทพูดจะไม่ค่อยติดเท่าไหร่ ด้วยความที่ว่าเราได้หัดพูดใต้ ก็จะจำคำพูดได้แม่น แล้วก็สิ่งที่ทำให้เรานอนไม่หลับ วิตกกังวลหรือเครียดมากๆก็คือบทที่ต้องร้องเพลง(หัวเราะ) เครียดตั้งแต่ก่อนที่จะถ่ายเลยด้วยซ้ำก็จะวิตกเกี่ยวกับบทร้องเพลงนี่แหละค่ะ

Q.พูดถึงบทเพลงในภาพยนตร์ที่เราจะได้ฟังกัน
          A. ก็สำหรับเพลงที่ร้องในเรื่องชื่อเพลงว่า "ริมน้ำคืนหนึ่ง" บางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน เป็นเพลงกึ่งลูกกรุงเนื้อเพลงอารมณ์แบบอยู่ในความฝัน ซึ้งๆ น่ารักๆ สิ่งที่เกร็งคือ เราไม่เคยร้องเพลงเลย จะต้องทำท่าอย่างไร หรือว่าจะต้องอารมณ์ถึงแค่ไหน เราก็จะทำการบ้านจำเนื้อร้องได้หมดแล้ว นึกถึงภาพจำของมาลัยก็น่าจะเป็นอันนี้นะคะ

Q. กดดันมั้ยในการทำงานกับผู้กำกับอย่างก้องเกียรติ โขมศิริ
          A. พี่โขมไม่ค่อยกดดันเขาจะให้พื้นที่นักแสดงในการครีเอทความคิด พอสั่งคัทพี่โขมก็จะค่อยบอกว่าเพิ่มตรงนั้นลดตรงนี้ พี่โขมถือว่าให้พื้นที่ให้นักแสดงได้แสดงก่อน อ้อมรู้สึกว่าการได้ทำงานกับพี่โขมถือว่าเป็นการทำงานที่ท้าทาย เพราะอ้อมได้ติดตามการทำงานของพี่โขมไม่ว่าจะเป็นเฉือน อันธพาล ซึ่งทำออกมาแล้วเท่ห์ สำหรับเรื่องขุนพันธ์อ้อมก็เชื่อว่าจะเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นสไตล์ของพี่โขม พี่โขมจะทำให้อ้อมมั่นใจว่าตัวอ้อมจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวมาลัยในเรื่องนี้ได้ดีนะคะ ก็รู้สึกแฮปปี้ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้

Q. ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อโปรเจกต์ "ขุนพันธ์"
          A. ตอนแรกต้องยอมรับเลยว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ได้รับคำอธิบายมาว่าท่านเก่งมากปราบโจรๆในสมัยก่อน ปราบเสือต่างๆ เป็นตำรวจที่มีคุณธรรม ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน อันที่รู้สึกภูมิใจมากจริงๆคือท่านมีตัวตนที่มีอยู่จริงๆ ถือว่าเป็นฮีโร่ของเมืองไทย โปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์ใหญ่ ตัวละครมีอยู่จริงมีความดี ความเท่ห์ ความเก่งในการช่วยเหลือผู้คน ยิ่งรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งก่อนเข้าฉากก็จะมีนึกถึงท่าน ขออนุญาตท่าน ไม่ได้แปลว่าทุกเหตุการณ์ในเรื่องจะมีอยู่จริง แต่ตัวท่านมีอยู่จริง ซึ่งเราก็จะขออนุญาตแล้วก็นึกถึงท่านให้ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาให้ดีค่ะ

Q.การทำงานร่วมกับ2นักแสดงชายระดับมือรางวัลอย่าง อนันดา และ น้อย กฤษดา
          A. สำหรับพี่น้อยกับพี่อนันดานะคะ เราร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือขนาดนี้ เรารู้สึกว่าเราเตรียมตัวเยอะมากเลย เราอ่านบท วิเคราะห์คาแรคเตอร์ของตัวนักแสดงเราคิดแล้วคิดอีกคิดลึกหลายชั้นมาก บางทีเราก็มีพาร์ทที่เรากังวลของเราเองเหมือนกัน ก่อนเข้าฉากกับเข้าฉากพี่ๆเขาแบบมีสนุกสนาน แต่พอแอคชั่นปุ๊บ พี่เขาเป็นตัวละคร ซึ่งอ้อมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่นักแสดงมืออาชีพเขาเป็นเราทึ่งมาก แสดงว่าเขาเตรียมตัวดีมาก เปรียบกับเราที่เป็นนักแสดงใหม่ก็ยิ่งรู้สึกดีใจที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงเก่งๆเหล่านี้และทึ่งในความสามารถของพี่ๆเขาค่ะ

Q.ท้ายนี้ทำไมภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" ถึงเป็นภาพยนตร์ไทยประจำปี2559ที่ไม่ควรพลาด
          A. อ้อมเชื่อว่าพี่อนันดาจะทำให้ตัวขุนพันธ์เป็นฮีโร่ให้คนไทยต้องจดจำ และเชื่อว่าการที่มีพี่โขมเป็นผู้กำกับจะทำให้ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เรื่องนี้ติดตาตรึงใจของใครหลายๆคนในความที่เป็นหนังแอคชั่น เป็นหนังไม่เชิงประวัติศาสตร์ แต่เป็นเรื่องราวของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงก็เชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะมีเสน่ห์สำหรับใครหลายๆคนที่ชอบแอคชั่นภาพสวยๆเท่ห์ๆ ต้องคอยติดตามชมภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ

FB on July 21, 2016, 02:29:35 PM
“สหมงคลฟิล์ม” เปิดรอบปฐมทัศน์ “ขุนพันธ์” อลังการผู้กำกับ นักแสดง สื่อมวลชน ร่วมใจเชียร์ภาพยนตร์แอคชั่นสุดมันส์แห่งปี







          เปิดตัวด้วยความยิ่งใหญ่กับงานกาล่าพรีเมียร์ของ "ขุนพันธ์" ภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์เหนือจินตนาการแห่งปีที่คนไทยทั้งประเทศรอคอย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ผู้กำกับ นักแสดง และผู้สร้างต่างทุ่มเทใจสร้างสรรค์ด้วยแรงศรัทธาเพื่อเชิดชูความดีของ พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (บุตร์ พันธรักษ์) พร้อมเปิดฉายรอบปฐมทัศน์อย่างเป็นทางการท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ นักแสดง ผู้กำกับ และพี่น้องสื่อมวลชนในวงการบันเทิงที่ต่างมาให้กำลังใจ และร่วมชมภาพยนตร์อย่างคับคั่งไม่ว่าจะเป็น สุเชาว์ พงษ์วิไล, ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม, เกรซ มหาดำรงค์กุล, น.ท.จงเจต วัชรานันท์, ธนิตย์ จิตนุกูล, อังเคิล อดิเรก วัฏลีลา, นนทรีย์ นิมิบุตร, อาทิตย์ อัสสรัตน์ ,ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการเปิดตัวภาพยนตร์ไทยที่เท่ห์ และคลาสสิคที่สุดเข้ากับบรรยากาศภาพยนตร์ในธีมวีรบุรุษในตำนาน ซึ่งเปิดตัว ณ โถงชั้น 2 ของโรงภาพยนตร์สกาล่า พร้อมขับกล่อมด้วยเพลงคลาสสิคจาก วงสตริงควอเตท (String Quartet) วงเครื่องสาย 4 ชิ้น ที่มาร่วมต้อนรับทุกคนภายในงาน

          บรรยากาศในงานเริ่มด้วยการเปิดตัว 6 นักแสดงนำ และผู้กำกับที่มีส่วนสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" โดยเริ่มจาก อ้อม-กานต์พิสชา เกตุมณี กับ สนธยา ชิตมณี ตามด้วย กบ-พิมลรัตน์ พิศลยบุตร ควงคู่กับ เดี่ยว-ชูพงษ์ ช่างปรุง และปิดท้ายกับ อนันดา เอเวอริงแฮม, น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ และ ก้องเกียรติ โขมศิริ งานนี้ขาดอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมืออย่าง แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี ที่ไม่สามารถมาร่วมงานในวันนี้ได้ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก คุณปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย , คุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการ และคุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ,คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท Happy Home Entertainment จำกัด ร่วมถ่ายรูป ก่อนที่ทั้งหมดพร้อมด้วยสื่อมวลชนทยอยเข้าไปในโรงภาพยนตร์เพื่อเริ่มงานบนเวทีภายในโรงภาพยนตร์เปิดโอกาสให้นักแสดง และผู้กำกับได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดมาตลอด3ปีเพื่อให้ภาพยนตร์ไทยแห่งศรัทธาเรื่อง ขุนพันธ์ได้ประจักษ์สู่สายตาทุกคน

          "ก้องเกียรติ : ตั้งแต่ทำหนังมานี่เป็นหนังเรื่องที่เหนื่อยที่สุดพยายามที่สุดเต็มที่ที่สุด เหนื่อยเป็นร้อยๆครั้ง ยอมแพ้ไปแล้วเป็นสิบๆครั้ง ขอบคุณท่านขุนพันธ์ที่เลือกพวกเราทำ ขอบคุณสหมงคลฯ ขอบคุณทุกๆอย่างจริงๆที่ทำให้พวกเราเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ มันไม่ง่ายกับโปรเจกต์หนึ่งที่ต้องใช้เวลาถึง3ปีที่ไม่ว่าเราจะเรียกทุกๆคนกลับมากี่ครั้ง ทุกๆคนก็กลับมาแล้วก็เต็มที่กับมันเสมอ เชื่อว่าคนดูจะได้รับความบันเทิงที่ดีที่สุดพวกเราภูมิใจ นับตั้งแต่วันแรกที่ได้คุยกับคุณสมศักดิ์ เสี่ยเจียง สหมงคลฟิล์มและได้เห็นหนังสืองานศพ และได้เห็นรูปที่ท่านขุนพันธ์ต่อเทียนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็บอกกับทีมงาน พูดกับทุกๆคนว่า นี่คือโปรเจกต์ของเราก็คือต่อเทียนเล่มนี้ต่อไป เทียนที่เชื่อว่าถ้าเราทำสิ่งที่ดีก็จะได้ดีใจที่กระแสตอบรับออกมาดีมากๆ ผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่ตัวผมเองถามนักแสดงทุกคน ทีมงานทุกคน เมื่อมันมีกระแสตอบรับกลับมาแบบนี้ทุกคนภูมิใจ สิ่งที่ทุกคนจะได้ชมคือความเป็นเอนเตอร์เทนเมนท์ครับ เป็นหนังที่เน้นความบันเทิงไม่ใช่หนังอัตชีวประวัติยังไงได้ดูความแอคชั่นสนุกแน่นอนครับ 2 คู่ปรับระหว่าง ขุนพันธ์ โดยคุณอนันดา และ อัลฮาวียะลูโดยพี่น้อย นี่คือการประชันบทบาทของ2นักแสดงยอดฝีมือซึ่ งเรียกได้ว่าคนดูมีแต่กำไรครับทั้งในแง่การแสดงและทั้งในแง่ของการแอคชั่นไม่ธรรมดาครับ อยากจะบอกว่าที่เห็นในทีเซอร์หรือตัวอย่างมันแค่น้ำจิ้มครับ อยากให้ทุกคนลองดูของจริงดีกว่า แล้วยิ่งวันนี้เราได้มายืนอยู่บนโรงสกาล่ารู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจ สิ่งที่ผมอยากทำที่สุดคือโค้งคำนับ ขอบคุณทุกคนจริงๆครับ"

          จากนั้น คุณเตือนใจ เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการ บ.สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จก. ได้มอบช่อดอกไม้ให้กับก้องเกียรติ โขมศิริผู้กำกับภาพยนตร์ พร้อมด้วยอนันดา เอเวอริงแฮมในฐานะตัวแทนทีมนักแสดง "ทีมขุนพันธ์" และ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ตัวแทนของทีมอัลฮาวียะลูเพื่อแสดงความชื่นชมและเป็นกำลังใจ ก่อนทั้งหมดจะถ่ายภาพร่วมกันเป็นการปิดท้ายงาน โดยมีคุณจุไรรัตน์ ศิลปอุไร ผู้จัดการทั่วไป โรงภาพยนตร์สกาล่า คุณชมศจี เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายขาย บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ,คุณอัครพล เตชะรัตนประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัทHappy Home Entertainment จำกัด ปรัชญา ปิ่นแก้ว โปรดิวเซอร์ พร้อมด้วย นะโม ทองกำเนิด,สุนทร มีศรี,ชัชวิน แซ่ตัน, นฑี งามแนวพรม,สิชฌ์ษัญจ์ ภิญโญธีรโชติ,ด.ญ.ธัญชนก เอียดปลื้ม นักแสดงที่มีส่วนร่วมสำคัญในภาพยนตร์ร่วมถ่ายภาพ

          ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เปิดฉายอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 14 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ