FB on June 17, 2016, 09:03:45 AM
ระดมทีมนักแสดงคุณภาพเปลี่ยนลุคแปลงโฉม ทุ่มสุดตัว พร้อมปล่อยของ จัดเต็ม แอคชั่นเข้มทุกฉากทุกซีน







          แต่ไม่เพียงเท่านั้นเพราะงานนี้ นอกจาก 2 คาแรคเตอร์หลักอย่าง ขุนพันธ์ และอัลฮาวียะลู ซึ่งได้ 2ซูเปอร์สตาร์ระดับแม่เหล็กอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม และ น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ มาสวมชีวิตถ่ายทอดผลงานระดับมาสเตอร์พีซกันแล้ว สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เป็นที่จับตามองยิ่งๆขึ้นไปอีก คือการที่ได้เหล่านักแสดงคุณภาพระดับฝีมือชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่มีความลุ่มหลงในการแสดงมาร่วมสวมชีวิตและจิตวิญญาณ พลิกบทบาทครั้งสำคัญเป็นอีก 5 คาแรคเตอร์ตัวละครหลักร่วมขับเคลื่อนเรื่องราวพร้อมโชว์ศักยภาพทางด้านการแสดงอย่างจัดเต็ม ทั้งเชือดเฉือน ปะทะทั้งบทบาทและอารมณ์ความรู้สึก รวมไปถึงตะลุยแอคชั่นเดือดร่วมกันได้อย่างอลังการในทุกๆฉากทุกๆซีนให้สมกับที่ "ขุนพันธ์" คือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่จะกลับมาเรียกศรัทธาผู้ชมอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็น เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง พระเอกแอคชั่นสตันท์เสี่ยงตายที่ก่อนหน้านี้เราจะได้สัมผัสถึงความเข้มข้น จริงใจ ในบทบาทของนักสู้ที่ยืนหยัดในความถูกต้องมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ผู้กำกับก้องเกียรติ ตั้งใจจับเดี่ยวมาพลิกบทบาทเป็น เสือสัง นักฆ่าผู้ไร้ความปราณีเหี้ยมโหด ดุดัน ราวกับสัตว์ป่า สมุนมือซ้ายคนสำคัญของอัลฮาวียะลู พร้อมกับปล่อยให้เดี่ยวโชว์คิวแอคชั่นปล่อยของในงานแอคชั่นเสี่ยงตายในทางถนัดในวิช่วลการต่อสู้กับขุนพันธ์โดยเฉพาะจนเกิดเป็นสารพัดคิวแอคชั่นมันส์ๆไม่ว่าจะเป็นแอคชั่นบนหลังม้า, แอคชั่นบนรถไฟ ฯลฯ ที่เราจะได้เห็นเดี่ยวชูพงษ์ซัดอนันดาจนน่วมกันเลยทีเดียว

          "ในบ้านเราผมว่า นักแสดงสายแอคชั่น เรามีกันไม่กี่คน เรามีจาพนม เรามีพี่พันนา แล้วก็มีเดี่ยว ชูพงษ์ เมื่อก่อนเราจะเห็นเดี่ยวเป็นพระเอกแอคชั่นเล่นเป็นคนดี เรารู้สึกว่า เฮ้ย จริงๆแล้วตัวร้ายซึ่งแบบ เก่งสุดๆเลย บู๊เก่งสุดๆเลย แล้วร้ายแบบน่ากลัว เรารู้สึกว่าเดี่ยวมันมีมุมแบบนี้ แล้วมันจะทำได้ดี เราก็ไปบอกเดี่ยว ลองเล่นแบบนี้ดูไหม ก็ดีไซน์เต็มเหนี่ยวเลย มันมีลักษณะเหมือนเผ่าของสัตว์ป่าบางอย่างอยู่ ในเรื่อง ชื่อว่าเสือสัง มีอาคมเป็นพวกลิงลม เป็นพวกเคลื่อนไหวเร็วเรียกว่าเป็นคู่ปรับสำคัญ ไฮไลต์เลยของเดี่ยวก็คือการเผชิญหน้ากับขุนพันธ์ แล้วก็สู้กันด้วยคารัมบิต ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของเขา กับขุนพันธ์ใช้มีด ดวลกันแบบบนรถไฟ มีแอคชั่นบนหลังม้า ซึ่งแต่ละซีนถือว่ายากเลยทีเดียวครับ"

          ถึงแม้จะเป็นการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกกับผู้กำกับก้องเกียรติ และคิวบู๊หรือฉากแอคชั่นดีไซน์ที่ปรากฎในแต่ละฉากของขุนพันธ์ ไม่มีฉากไหนที่ง่ายเลย แต่ถึงกระนั้นเดี่ยวเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าการที่พลิกบทบาทมาเป็นผู้ร้ายเต็มๆตัวในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์คือประสบการณ์การทำงานที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ทำงานที่แวดล้อมไปด้วยนักแสดงระดับยอดฝีมือไม่ว่าจะเป็นอนันดา, กฤษดา,แฟรงค์ ภคชนก์, สนธยา, กานต์พิสชา และพิมลรัตน์ โดยเป็นการกลับมาร่วมงานกับอนันดาอีกครั้งหลังจาก "ปืนใหญ่จอมสลัด" เพียงแต่ครั้งนี้ต้องมาเผชิญหน้าปะทะกันในฐานะผู้ร้ายกับตำรวจ พร้อมกับความตั้งใจของตัวละครเสือสังที่ว่าจะต้องพิชิตขุนพันธ์ให้ได้

          "ก็ถือว่ายากครับ ต้องศึกษา เพราะว่าเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสือสมัยก่อนเขามีวิถีเป็นยังไง ต้องทำการรีเสิร์ชแล้วก็อ่านบท ทำความเข้าใจกับบทที่เราต้องถ่ายทอดอย่างมากครับ ซึ่งก็ได้พี่โขมที่ให้คำแนะนำตลอด ก็เลยทำให้เราสามารถที่จะถ่ายทอดอารมณ์ตรงนั้นออกมาได้ครับผม แล้วในทุกครั้งของการถ่ายทำกว่าที่จะออกมาเป็นเสือสังอย่างที่เห็นก็จะต้องมีการแปลงลุคเปลี่ยนโฉมกันพอสมควรเลยคือ การแต่งตัวจะยากมาก แล้วก็ต้องมีการลงรอยสัก มีการแต่งหน้าทำผมอะไรทุกๆอย่าง รวมๆแล้วก็ประมาณ 4-5 ชั่วโมงครับต่อวัน นอกจากนั้นก็มีการฝึกคารัมบิตครับ แล้วก็มีพวกปันจักสีลัต ประสบการณ์จากหนังเรื่องขุนพันธ์สำหรับผมแล้วสิ่งที่กลายเป็นความพิเศษด้วยก็คือ การได้เล่น ได้เข้าฉากร่วมกับนักแสดงที่เก่งๆ อย่างพี่น้อย กฤษดาและ พี่จ่อย-อนันดา มันทำให้เราได้เรียนรู้ มันเหมือนเป็นการส่งต่อความสามารถทางด้านการแสดงผ่านมาที่ตัวเรา มันทำให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆเลยครับสำหรับผม ส่วนฉากแอคชั่นในภาพยนตร์มีหลายฉากมาก และแต่ละฉากก็ยากทั้งสิ้น แค่เฉพาะฉากเดียวก็ซ้อมเป็นเดือนแล้วครับต้องคิดต้องดีไซน์ทำเวิร์คชอพ แล้วพอถ่ายจริงก็อีก 3-4 วัน ความยากนะครับ คือมันต้องสู้กันบนหลังคารถไฟ มันจะไม่ใช่พื้นที่เรียบๆมันจะเป็นแบบโค้งๆเวลายืน คอนโทรลตัวเองจะยากมาก อากาศที่ร้อนมากๆ คิวที่ยากเลยทำให้ทุกอย่างทวีคูณยิ่งขึ้นแต่ก็ออกมาได้อย่างที่ทุกคนหายเหนื่อยเลยครับ"

          ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของภาพยนตร์ผู้ชมจะได้สัมผัสกับการเล่าเรื่องผ่านอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ว่ากันว่าเป็นอีกความสามารถทาด้านการแสดงของ แฟรงค์-ภคชนก์ โวอ่อนศรี สุดยอดนักแสดงจอมขโมยซีนที่ก่อนหน้านี้สร้างความฮือฮา และเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากมายกับบทบาทของตัวร้ายสุดเหี้ยมใน"อันธพาล" จนกวาดเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างถ้วนหน้า ซึ่งการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับก้องเกียรติอีกครั้งในบทหลวงโอฬาร นักการเมืองตัวร้าย คนขายชาติที่พร้อมกอบโกยและเอาเปรียบทุกคนแม้กระทั่งแผ่นดินเกิดที่ผู้ชมจะได้สัมผัสกับอีกขั้นของการแสดงที่ฉีกรูปแบบของการรับบทตัวร้ายอย่างที่เราคาดไม่ถึง

          "คาแรคเตอร์ตัว หลวงโอฬาร รับบทโดยแฟรงค์ (ภคชนก์ โวอ่อนศรี) ก็จะเป็นตัวแทนของระบบข้าราชการที่อาศัยความที่รู้มากกว่าเอาเปรียบคน การกะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหล การฉ้อราษฎร์บังหลวง การสร้างภาพ ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นพยายามจะบอกว่า เราต้องใส่หมวก เราต้องแต่งตัวแบบนี้ เพราะเราจะเป็นอารยประเทศ เราจะเป็นประเทศที่ฝรั่งเห็นแล้วชื่นชม แต่จริงๆแล้ว เราไม่ได้ทำสิ่งนั้นอยู่ มันเป็นคนมีความรู้แหละ ต้องจบนอกสมัยก่อน แต่ทำไมถึงถูกมาอยู่ในที่แบบนี้ แสดงว่ามันอาจไม่ได้เป็นคนดีหรอกนะ เราจะดีไซน์ยังไงให้ดูแบบ รวย เจ้าเล่ห์ สุภาพ แสนดี เห็นจังหวะที่จะเอาเปรียบคนได้ตลอดเวลา คือ แฟรงค์ทำงานกับเรามาหลายเรื่องละ หลายคนถ้าเคยเข้าฉากกับแฟรงค์จะรู้ว่า ถ้านักแสดงคนนั้นไม่มีสมาธิพอ อาจจะโดนจู่โจมจากการแสดงของแฟรงค์ เขาสามารถสร้างคาแรคเตอร์ที่เขารับบทบาทได้ เกลียดเราก็จะเกลียดมันจนแบบว่า หรือไอ้นี่น่าหมั่นไส้ อาจจะเพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันด้วย เรารู้ แฟรงค์มุมนี้ดีกว่าลองเล่นแบบนี้ดู นักแสดงทุกคนเหมือนกันหมด เป็นหนังที่ผมตอบคำถามนักแสดงเยอะมาก เพราะนักแสดงช่างถามมาก โห เขาทำการบ้านกันละเอียดมาก"

          ในการถ่ายทอดบทบาทของหลวงโอฬารออกมาให้สมบูรณ์ที่สุดทางกองถ่ายต้องส่งล่ามมาให้ แฟรงค์หัดเรียนรู้การพูดภาษาญี่ปุ่น และฝรั่งเศสโดยมีหนังสือ 3 เล่มที่ต้องศึกษาควบคู่ไปด้วยนั่นคือ "100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว" ของ "กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกวซ", "การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของชนชั้นผู้นำไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 4 ถึงพุทธศักราช 2475" ของ "อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์" และ "BANGKOK 230 ปีมหานครหลากชีวิต" โดย "ราชศักดิ์ นิลศิริ"

          "สำหรับบทหลวงโอฬารมันมีความยากตรงที่หลวงโอฬารจะเป็นคนที่รู้อะไรก่อนที่ทุกคนในเรื่องนี้จะรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะมีคนของส่วนกลางเข้ามา ไม่ว่ากองกำลังของญี่ปุ่นกำลังตีนานกิงได้แล้ว ในเรื่องมันเป็นคนใฝ่รู้ มันเลยทำให้มีความรู้มากมายและก็รู้ข่าวความเคลื่อนไหวของทุกมุมโลกต่างๆ มันเป็นยุคเดียวกันกับที่คนไทยยังพัฒนาใหม่ๆ คนที่รู้ว่าโลกนี้กลมยังมีไม่เยอะมากในประเทศนี้ และด้วยความรู้ที่มีมากกว่าทุกคน เข้าใจถึงสถานการณ์ของโลกมากกว่า รู้ภาษาอื่นๆหลายภาษามากกว่า ทำให้รู้ว่าสถานการณ์ของสงครามโลกไปถึงไหนแล้ว สภาวะข้าวยากหมากแพงจะมาเมื่อไหร่ เราควรจะกักตุนอาหารไว้เมื่อไหร่ไว้รอสงครามมาแล้วขึ้นราคามัน อันนี้คือข้อได้เปรียบของตัวละครนี้ แล้วมันทำให้เราสนุกสนานว่า เมื่อเราเล่นฉากนี้ไป ฉากนี้คนดูรู้อะไรแล้ว เรารู้อะไรไปแล้วที่คนดูยังไม่รู้ แล้วเราจะเก็บไว้ยังไงให้ทั้งคนดูก็ไม่รู้ ทั้งคนที่เล่นกับเราก็ไม่รู้ว่าเรารู้ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องมาทบทวนโดยตลอดทุกครั้ง และสิ่งที่เป็นที่สุด อีกอย่างหนึ่งในคาแรคเตอร์นี้ก็คือ หลวงโอฬารเป็นคนที่รู้เยอะ มีความรู้รอบตัวเยอะ แล้วก็มีความทะเยอทะยานด้วย บุคลิกของเขาก็เลยมีพลัง เหมือนจะเป็นพลังของรอยยิ้ม เหมือนจะเป็นพลังด้านบวก แต่มันถูกขับออกมาจากความกระหายภายใน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันสนุกในการเก็บซ่อนเอาไว้ เขาจะไม่ทำอะไรตรงๆเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมาเลย แต่เขาจะทำสิ่งหนึ่งเพื่อให้เกิดผลขึ้นมาอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งนั่นแหละเป็นสิ่งที่ยากแล้วก็ต้องพูดหลายภาษามากเป็นนักการเมืองชาวใต้ก็ต้องพูดภาษาใต้ได้ ซึ่งภาษาใต้ยากที่สุด เพราะว่าสำเนียงมันยากนะครับภาษาใต้ แล้วถ้าเกิดพูดผิดมันจะกลายเป็นล้อ เหมือนล้อทันที เราก็พยายามที่จะพูดให้ชัดทันที แล้วก็ภาษาญี่ปุ่น ต้องพูดภาษาญี่ปุ่น ต้องร้องเพลงญี่ปุ่น มีกงสุลฝรั่งเศสเข้ามาก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศส ซึ่งพูดจริงๆคือไม่มีความรู้เรื่องภาษาเหล่านี้เลยนะ แต่ก็อาศัยว่ามีเจ้าของภาษา มาอธิบาย แต่ละพยางค์ แต่ละประโยคว่ามันหมายถึงอะไร แล้วก็พยายามที่จะพูดอะไรให้มันสื่อสารให้ได้ในจังหวะจะโคนที่มันถูกต้อง ก็ค่อนข้างพอใจนะครับ สนุกสนานนะครับ มันทำให้เราตื่นขึ้นมาทำงานในทุกวัน เอาละว่าวันนี้เจออะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง"

          อีกหนึ่งตัวละครสำคัญในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์และเป็นการกลับมาร่วมงานกันเป็นครั้งที่ 4 ของสน เดอะสตาร์ หรือ สนธยา ชิตมณี (ไชยา, เฉือน, อันธพาล) และผู้กำกับโขมก้องเกียรติ โดยครั้งนี้ให้มารับบท ไข่โถ ชาวเลที่อยู่ใต้อาณัติของนักการเมืองชั่ว "ทำไมเราจะไม่เป็นโจรละเป็นหนี้ขนาดนี้เราไปไหนไม่ได้ ประโยคหนึ่งที่ตัวละครไข่โถพูดไว้ในภาพยนตร์สะท้อนให้รู้ว่าเมื่อก่อนเราหิวเราก็ลงทะเลหาปลา เดี๋ยวนี้เราหิวเราก็ต้องไปกู้เงินมัน นี่ก็เป็นเหตุผลที่แต่ละตัวละครมันก็มีมิติที่สะท้อนเหตุผล คือการตั้งคำถามว่า แล้วโจรเกิดขึ้นด้วยอะไร ตัวละครพวกนี้มันก็จะถูกดีไซน์มาเพื่อรองรับประเด็นเหล่านี้ไว้ครับ"

          และในขณะเดียวกันนี่คือตัวละครที่ผู้กำกับก้องเกียรติเขียนขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้สนได้ใช้ศักยภาพและความหลงใหลทางด้านการแสดงปล่อยของออกมาชนิดที่พูดได้ว่าไม่มีฉากไหนที่ไม่ได้รีดศักยภาพ และเรียกหาความสามารถในการเป็นนักแสดงของ สนธยา ชิตมณี ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าบทที่ได้รับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เขาได้รับจากภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์

          "ถือได้ว่าบทไข่โถในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เป็นโจทย์ที่ใหญ่ขึ้น ต้องตีโจทย์เยอะ และเป็นการแสดงที่ยากขึ้นครับ มีหลายมิติในตัวอารมณ์ของการแสดง ดีใจมากเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พี่โขมได้ให้โอกาสมอบบทที่เป็นการท้าทายความสามารถที่ให้เราได้พัฒนาการแสดงยิ่งๆขึ้นไปอีก เพราะความท้าทายในผลงานหลายๆเรื่องที่ผ่านมาที่ได้สัมผัสการทำงานร่วมกับพี่โขมไม่ว่าจะเป็นไชยา, เฉือน, อันธพาล ก็ถือว่ายากระดับหนึ่งแล้วละ ยาก แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอแบบที่ต้องขยี้อารมณ์ขนาดนี้ และทุกฉากที่มีไข่โถ ต้องเป็นซีนอารมณ์ทุกซีนทุกฉาก เริ่มต้นอาจเข้าทางตัวเองหน่อยคือเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ร้องเพลง ร้องลิเกฮูลู เกิดมาก็ไม่เคยร้องครับลิเกฮูลู ครั้งแรกในชีวิต แต่หลังจากนั้นพอมาถึงจุดเปลี่ยนของหนัง ตัวละครเกิดความสูญเสีย ทุกฉากทุกซีนที่ไข่โถปรากฎตัวอยู่บนแผ่นฟิล์ม มันต้องมาจากอารมณ์ล้วนๆ มันไม่ใช่เรื่องของแค่การแสดงอย่างเดียว มันต้องรู้สึกจริงๆ มันต้องเข้าใจจริงๆ แล้ว มันยากมากครับ เพราะระดับอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาแต่ละซีนจะมีความแตกต่างของอารมณ์ไม่เท่ากันในแต่ละความสูญเสียที่เกิดขึ้น"

          มาจนถึง 2 ตัวละครสุดท้ายใน 7 คาแรคเตอร์หลักที่ได้ 2 นักแสดงสาวมากความสามารถมาถ่ายทอดบทบาทของตัวละครหญิงในภาพยนตร์แอคชั่นผู้ชายๆจากมุมมองของผู้กำกับโขมก้องเกียติที่มีชื่อเป็นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ความงามของเธอมาพร้อมกับพิษที่พร้อมจะลุกขึ้นมาเล่นงานผู้ชายทั่วๆไปได้อย่างไม่กลัวเกรง

          "ในภาพยนตร์เรามีนักแสดงหญิง 2 คน นั่นคือ น้องอ้อม (กานต์พิสชา เกตุมณี) นะครับ กับ น้องกบ (พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) จริงๆอ้อมก็เป็นลูกศิษย์หม่อมน้อยซึ่งคนส่วนใหญ่ได้เห็นอ้อมเล่นในแม่เบี้ยมา ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เราจะเห็นชุมชนในหุบเขาทั้งหมดที่บอกว่าเป็นโจร ทุกคนมีเหตุผลในการลุกขึ้นมาเป็นโจร และเหตุผลของทุกคนน่าฟังทั้งนั้น ทำไมตัวบุหงา (กบ พิมลรัตน์) ผู้หญิงแสนสวยที่ซ่อนตัวเองเอาไว้ในร่างของความเป็นชาย หรือ ตัวมาลัย (อ้อม กานต์พิสชา)เอง ซึ่งเหมือนกับดอกไม้ที่มันสวยงามในถิ่นนี้ ดอกไม้ป่าซึ่งเธอเป็นนักร้อง แต่ชีวิตจริงๆเธอเป็นอะไร เธอเป็นนกต่อ เธอเป็นเครื่องมือฆ่าคน เธอเป็นดอกไม้ซึ่งเธอมีพิษ แม้จะเป็นผลงานเรื่องแรกเราก็ไม่สามารถประนีประนอมได้ ถ้าอ้อมถูกล้อมไว้ด้วยคนเหล่านี้ ถ้าอ้อมเบาหรือดรอป ตัวน้องก็รู้เขาพยายามแล้วก็ทุ่มเทมากๆ ที่จะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นปัญหา อ้อมก็ตามได้ทันนะครับ ส่วนกบผ่านงานมาเยอะ เล่นหนังมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็จะเหมือนกับนักแสดงมืออาชีพทุกคน ก็คือกบหาความหมายในการกระทำทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุและผล คือเราทำงานกันเหมือนนั่งคุย เหมือนเราจะสร้างตัวละครนี้ด้วยกัน กบก็จะถาม เฮ้ยมันดูดบุหรี่ไหม แบคกราวน์คืออะไร ตัวละครนี้เป็นยังไง ทำไมมันจะต้องแต่งตัวแบบนี้ มันมีไฟแช็ก มันชอบเล่นอะไรเกี่ยวกับไฟแช็กไหม ผ่านการดีไซน์คาแรคเตอร์ในทุกรายละเอียดหลอมรวมออกมาเป็นตัวละครซึ่งสนุกมากครับเวลาที่เราทำงานกัน"

          แต่ด้วยความตั้งใจเกินร้อยและทุ่มเทสุดชีวิตสุดตัวทำให้บทมาลัยไม่เพียงฉายเสน่ห์ทางด้านการแสดง แต่ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถทางด้านการแสดงในบทบาทที่ทั้งยาก ท้าทายและเต็มไปด้วยความหลากหลายทางด้านอารมณ์สำหรับนางเอกสาวอย่างอ้อมกานต์พิสชา

          "สำหรับบทมาลัยนะคะ ต้องขอบคุณพี่โขมที่พี่โขมเขียนบทให้ตัวมาลัยมีความซับซ้อน มีหลายคาแรคเตอร์ มีทั้งร่าเริง สนุกสนาน ให้ความสุขกับคนที่มาลัยได้เกี่ยวข้องต่างๆไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือลิเกฮูลู หรือว่าจะเป็นพาร์ทที่ลึกซึ้ง กระชากอารมณ์ พาร์ทแบบรู้สึกเสียใจ แต่ละวันบางทีก็มีทั้งซีนที่ต้องร้องไห้หนักสุดๆถึงขนาดบางทีกลับไปบ้านแล้วก็มีปวดหัว เพราะวันนี้มีการใช้อารมณ์ค่อนข้างเยอะ ก็มีเครียดบ้าง แล้วก็ยังมีซีนโรแมนติกหรือแม้แต่ฉากแอคชั่นต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ถือว่าเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่ค่อนข้างมีมิติหรือมีอารมณ์การแสดงที่ชัดเจน แน่นอนในเรื่องเป็นสาวใต้ ก็เลยจะต้องมีการเรียนพูดภาษาใต้ด้วย ทั้งๆที่ตัวจริงก็ไม่ได้เป็นคนใต้ แต่พอเล่นเป็นคนใต้ก็ต้องมีบทพูดภาษาใต้ ก็ได้หัดพูดกับพี่อนันดา นอกจากนั้นทุกครั้งก่อนเข้าฉากหรือเข้าซีนก็จะต้องมีทาผิวให้เป็นผิวสีแทนตามแบบฉบับของชาวใต้ เวลาแต่งตัวเข้าฉากก็เลยต้องใช้เวลานาน นอกจากมีผิวแล้วก็ต้องทำผมให้เป็นผมหยิกๆ อย่างที่พี่โขมขอมาเลยคืออยากให้ตัวมาลัยเป็นสาวใต้เลย ผมหยิก ผิวแทนๆๆ เพื่อที่จะต้องการทำให้ตัวบุคลิกของมาลัยชัดเจนขึ้น ก็ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับตัวเรายิ่งทำงานกับนักแสดงที่ล้วนแล้วแต่มีฝีมือทุกๆคนเลย ก็ยิ่งทำให้ต้องตั้งใจมากๆ ถ้าดูจากภายนอกจะเป็นตัวละครที่เปรียบเหมือนกับดอกไม้ที่คอยสร้างสีสันมอบความสุขให้กับทุกคนเพราะฉะนั้นก็จะเห็นมาลัยมีทั้งแต่งตัวใส่ชุดมีสีสันต่างๆ ตอนทำงานอยู่ในสโมสรนอกเหนือจากลุคชาวบ้านชาวเลแต่จริงๆแล้ว มาลัยเขาค่อนข้างที่จะมีความซับซ้อนอยู่ในตัว หลายครั้งสิ่งที่มาลัยต้องทำไปโดยที่ตัวเองก็ไม่มีความสุขแต่ก็ต้องทำเพื่อคนอื่น คือนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองหรือบางพาร์ทจะมีความสับสน ระหว่างจะเป็นคนดีดีหรือจะเป็นคนไม่ดีดี หรืออยากจะเห็นแก่ตัวมีความรักดี ซึ่งอารมณ์ก็จะหลากหลายมากๆ เราก็ต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวมาลัยต้องเจอถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ"

          และในขณะเดียวกันที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่เซอร์ไพรส์สำหรับผู้ชมนั่นคือการได้เห็น กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร การพลิกบทบาทมารับบทบุหงานักฆ่าสาวผู้ซ่อนเร้นบาดแผลแห่งอดีต สมุนมือขวาของอัลฮาวียะลู

          "คาแรคเตอร์ของบุหงาก็จะเป็นนักฆ่าหรือมือสังหารซึ่งเป็นมือขวาของอัลฮาวียะลูซึ่งรับบทโดยพี่น้อยวงพรู บุหงาจริงๆแล้วเขาเป็นผู้หญิงนะคะ แต่ว่าด้วยเรื่องราวในชีวิตหลายๆอย่างที่เคยเจอมาในวัยเด็กทำให้หล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่มีคาแรคเตอร์ที่ถ้าดูด้วยการแต่งตัว ด้วยอะไรหลายๆอย่างจากเครื่องประดับทำให้รู้สึกว่าตัวบุหงาไม่รู้ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย การวางตัวของเขาในฐานะนักฆ่ามือสังหาร การใช้ชีวิตของเขา วิธีคิดของเขา ซึ่งแตกต่างมากเลยจากตัวกบ ส่วนตัวหลังจากอ่านบทก็รู้สึกว่าคาแรคเตอร์เจ๋งดี ไม่เคยเล่นบทแบบนี้เลย ใช้เวลาอยู่นานในการค้นหาตัวละครตัวนี้ที่มีมิติหรือตัวตนลึกๆที่เราต้องทำความรู้จักเยอะ ว่าเหตุและผลในการกระทำของตัวละครตัวนี้ ทำไมต้องมีรีแอ็คแบบนี้หรือแสดงออกแบบนี้ในทุกๆ การกระทำ มีความคิดอย่างไร หรือมีอะไรแฝงอยู่ในความเจ็บปวด การฆ่าของบุหงาก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำแต่มันเป็นการฆ่าที่มันถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก มันทำด้วยความจำเป็น บุหงาจะเป็นผู้หญิงที่พูดน้อยมาก หลายครั้งเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ บุคลิกภายนอกที่เห็นชัดที่สุดก็คือแว่นตาสีดำที่สวมใส่อยู่ตลอดเวลาเพื่อซ่อนปกปิดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แล้วก็จะมีซิการ์ตัวหนึ่งกับไฟแช็ก ทุกครั้งในการสูบซิการ์หรือจุดไฟแช็กจะบ่งบอกถึงความเครียดของผู้หญิงคนนี้ มันจะเหมือนเป็นการระบายถ้าเป็นฉากอารมณ์ของบุหงาก็คือจะสูบบุหรี่ นั่นคือเครียด อาวุธประจำตัวของบุหงาก็คือมีดสั้นค่ะ เขาจะเป็นคนที่ชำนาญในเรื่องของการใช้มีดสั้น นอกจากการค้นหาตัวละครแล้วนะคะ การจะเป็นบุหงาก็ต้องมีไปเรียนคิวบู๊ เบสิกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นขี่ม้ายิงปืน ฝึกแอคชั่น ทำทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่ในSkillของนักสู้นักฆ่า เขาเรียกว่ามูฟเมนท์ของตัวละคร ซึ่งเป็นพื้นฐานในการรีแอ็คของคาแรคเตอร์ในการสู้กับโจร ซึ่งในเบื้องต้นที่กบต้องเรียนรู้เลยก็คือเรียนอาวุธ เรียนการต่อสู้ เรียนขี่ม้า เพื่อให้เราดูชำนาญ ดูเป็นนักฆ่า"

          และแน่นอนว่าทุกตัวละครที่ปรากฎขึ้นบนจอภาพยนตร์จะมาพร้อมกับเรื่องราวที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงบทบาทและคาแรคเตอร์ของแต่ละตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยสีสัน และความเข้มข้น ซึ่งจะมีความเชื่อมโยง และสะท้อนมิติให้แต่ละตัวละคร แต่ละความสัมพันธ์ ชัดเจนและถูกขับเน้นให้เข้มข้นขึ้น ส่งผลให้เรื่องราวของขุนพันธ์นอกจากจะเต็มไปด้วยสีสัน และมีมิติที่จับต้องได้แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึง ศรัทธา ความดี ที่เป็นแก่นหัวใจของภาพยนตร์ให้ปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านทุกบทบาททุกตัวละคร

          "คือเราพยายามให้ตัวละครทุกตัวละครมันมีมิติ ไม่ได้เป็นตัวละครชั้นเดียว มีเหตุมีผลมีที่มาที่ไปว่าทำไมเขาถึงเป็นสิ่งนี้ อย่างแต่ละฉากก็จะมีเรื่องราวในตัวมันเอง ยกตัวอย่างตัวบุหงา ตัวละครที่น้องกบพิมลรัตน์เล่นอย่างที่บอกคือเราได้เห็นในด้านที่เขาเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก แต่เขาเคลือบตัวเองไว้ด้วยเสื้อผ้าที่มันดูเป็นผู้ชายมากๆ หรือการเป็นผู้ร้าย การเป็นโจรในเรื่องมันก็มีเหตุผลว่าทำไมคนผู้นี้ถึงเลือกที่จะเป็นอย่างนั้น และการเป็นโจรของเขามีเหตุผลอะไร แต่สิ่งที่เขาได้เจอกับขุนพันธ์ และทำให้ขุนพันธ์รับรู้เรื่องของเขา การเลือกฝั่งดีมันก็มีเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นบางทีเราอาจจะเป็นตัวละครที่ยืนอยู่ 2 ฝั่งว่าฉันเป็นตัวละครที่ฉันจะเลือกฝั่งเลวหรือเลือกฝั่งดีหนอ ตัวละครทุกตัวมันจะสะท้อนมิติพวกนี้ออกมาไว้เกือบทุกอันครับ"

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 17, 2016, 09:04:55 AM
ครั้งแรกของ 2 ซูเปอร์สตาร์มือรางวัล “อนันดา VS. น้อย กฤษดา” จากอินเนอร์ที่ลึกที่สุดสู่การเผชิญหน้าและท้าทายทางด้านการแสดงและแอคชั่นสุดชีวิต



          เมื่อมือปราบปะทะมหาโจร คงกระพัน แกร่งกล้า

          เหนืออาคมต่ออาคม วัดกันด้วยพลังศรัทธา

          การวางตัว 2 นักแสดงซูเปอร์สตาร์ชายมือรางวัลระดับแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม (เจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์ทองคำจาก "แฮปปี้เบิร์ดเดย์" และ "ชั่วฟ้าดินสลาย") รับบท "ขุนพันธ์" และ "น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์" (เจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสุพรรณหงส์ทองคำจาก "13 เกมสยอง") รับบท "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้กล้าแกร่งด้วยอาคม เสือร้ายที่ขุนพันธ์ยากจะต่อกร โดยเป็นครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวของการเผชิญหน้าทั้งในส่วนของการเชือดเฉือนบทบาททางด้านการแสดงสุดเข้มข้นรวมไปถึงการปะทะความมันส์ในทุกๆฉากแอคชั่นอย่างเต็มรูปแบบของทั้งคู่ร่วมกัน

          "อย่างตัวขุนพันธ์ เราต้องการไอคอน เราต้องการคนที่มีลักษณะของการถูกจำได้ เป็นต้นแบบเป็นโมเดล แล้วได้การแสดงที่ดี ดราม่าที่ดี เพราะฉะนั้นการเอาอนันดามาแล้วพอติดหนวดเขี้ยวเข้าไปวันแรกที่เราทำงานกันเรารู้สึกว่ามันใช่เลย หน้านี้ถูกต้องเลยมันมีความสู้คน ความเอาจริงเอาจัง นี่คือสิ่งที่ท่านขุนพันธ์มี ดูแววตา เขาบอกนายพลตาเสืออย่างนี้ เพราะฉะนั้นถามว่าตาอนันดาเป็นตาเสือไหม ก็เป็นตาเสือ เมื่อติดหนวดเขี้ยวเข้าไป เรารู้สึกถึงความดุที่มันอยู่ในตัวคน ท่านขุนพันธ์ก็จะเป็นลักษณะนั้น สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้จากนักแสดงอย่างอนันดามันคือการแสดงที่ดี แล้วอนันดาเองเป็นนักแสดงมืออาชีพ ซึ่งเขาเต็มร้อย เพราะในความเป็นแอคชั่นของภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ได้แอคชั่นธรรมดา มันแอคชั่นกันแบบว่าทั้งวันทั้งคืน จ่อย (อนันดา) ไม่เคยหยุดการขี่ม้า ทั้งๆ ก็ตกม้าไปรอบหนึ่ง สปิริตรุนแรงทั้งคู่ครับ ผมเชื่อว่าสำหรับอนันดาขุนพันธ์เป็นหนังแอคชั่นที่สุดที่เคยเล่นมาในชีวิต ปกติเราจะรู้จักอนันดาจากหน้าตาความหล่อ แต่อันนี้เขาขายฝีมือขายการแสดงขายแอคชั่นที่เต็มเหนี่ยวขึ้น เราจะได้เห็นอนันดาเล่นแอคชั่นทุกรูปแบบ ทั้งต่อสู้บนรถไฟ แอคชั่นดวลกันกลางสายฝน หรือการสู้ด้วยมีดด้วยดาบด้วยปืนด้วยคาถาอาคม เราเชื่อว่าอนันดาทำได้ดี คือเมื่อไหร่ที่คนดูเห็นอนันดากับพี่น้อยประชันบทบาทกันนะ เราเชื่อว่าคนดูจะจับได้ถึงเคมีของคน 2 คนซึ่งมอบการแสดงที่ดีมากๆไว้"

          ในขณะที่ตัวอนันดาเองเล่าให้ฟังถึงครั้งแรกที่ได้ยินชื่อโปรเจกต์ขุนพันธ์จากการทาบทามของผู้กำกับที่หาโอกาสร่วมงานกันมานานอย่างก้องเกียรติว่า

          "จำได้ว่าตอนที่คุยโปรเจกต์ขุนพันธ์ครั้งแรกกับพี่โขม จ่อยพี่ขอสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่พี่จะปล่อยของจริงๆ พอได้ยินจากพี่โขมว่าเขาเอาสุด เต็มที่สำหรับเรื่องนี้ก็ตื่นเต้น แรกๆอาจตกใจนิดหน่อย หลังๆ ก็ตื่นเต้น ตื่นเต้นกลายเป็นสนุก เพราะว่าเราได้เริ่มเข้าบทบาท เริ่มซ้อมคิวแอคชั่นอะไรทุกอย่าง ได้ฟิตติ้ง เริ่มติดหนวด ทุกอย่างมันก็เริ่มจริงขึ้น หลังจากนั้นความตื่นเต้นนั้นกลายเป็นความอินครับ คือการที่เราต้องเล่นเป็นคนที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนพอสมควร คือการที่ตัวผมเป็นนักแสดงคนหนึ่ง มีหน้าที่เป็นนักแสดง แต่งานนี้เราก็ต้องเคารพต่อประวัติชีวิตของท่านเองด้วย ก็เลยได้ไปศึกษาพอไปลงลึกก็เห็นว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา จำนวนของโจรที่ท่านปราบนี่คือแบบเป็นหลักร้อยหรือเปล่าคือมันเป็นประวัติหรือเรื่องราวของนายตำรวจที่อาจจะนับว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ว่าได้ ถ้าให้คำจำกัดความ ท่านขุนพันธ์คือนักสู้ นักล่า นักต่อรอง อาวุธหลักที่ท่านใช้ก็เป็นดาบกับปืน ขุนพันธ์มีประโยคเด็ดอยู่ว่า ถ้าพวกมึงยอมสัญญาว่าเลิกเป็นโจร แล้วไปบวชซะ กูจะจับเป็นพวกมึง เป็นประโยคที่ผมชอบมาก ได้เห็นว่าขุนพันธ์เองท่านก็เป็นคนที่เหี้ยมแต่ว่าก็แฟร์ซึ่งอันนี้ก็มาจากประวัติศาสตร์จริงด้วย นอกจากนั้นท่านขุนพันธ์ก็จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ท่านเป็นคนมีวิชาอาคมยึดมั่นในความดีและนับถือความถูกต้อง แล้วก็อยู่ได้ด้วยความศรัทธา สำหรับในภาพยนตร์จริงๆ แล้วขุนพันธ์เวอร์ชั่นนี้เราจะตีความให้มันเป็นแฟนตาซีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพราะถ้าจะให้ตรงกับตัวจริงของท่านคือท่านโด่งดังเรื่องการที่ท่านเป็นคนที่ตัวเล็ก พี่โขมก็รู้สึกว่าอยากให้ขุนพันธ์เวอร์ชั่นเราเป็นคล้ายๆกับขุนพันธ์ในเวอร์ชั่นที่คนเขาร่ำลือกัน ใหญ่กว่าชีวิตจริงหน่อย ซึ่งพอเราได้ศึกษาบท ประวัติของท่าน เราก็ค่อยมาปั้นตัวละครขุนพันธ์อีกทีหนึ่ง ซึ่งในภาพยนตร์ก็จะมีหลายเวอร์ชั่นก็จะเริ่มตั้งแต่เป็นนายร้อยตำรวจฝึกหัด แล้วก็ค่อยมีการเติบโตของตัวละคร คือในหนังเราไม่ได้ตีความว่าเปิดมาแล้วท่านได้เป็นขุนพันธ์ที่เราร่ำลือกันลย ผมก็เลยพยายามมองคาแรคเตอร์ ที่ตีความไว้คือพยายามคิดให้เป็นมนุษย์ให้มากที่สุด เราก็ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม เกิดเหตุอะไรที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นขุนพันธ์ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วก็โชคดีมากครับที่เขาเลือกผม ขอบคุณครับพี่โขม"

          ในขณะที่ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เองยอมรับว่าติดใจในการร่วมงานกับผู้กำกับ โขม ก้องเกียรติจากผลงานก่อนหน้าอย่างอันธพาลไม่น้อย เพราะนอกจากกวาดทั้งเสียงยกย่องจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ทุกสถาบันที่มีการแจกรางวัลรวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำในสาขานักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมแล้ว การร่วมงานกับผู้กำกับในสไตล์เพอร์เฟคชั่นนิสต์แบบนี้ยังเปิดพื้นที่ในการแสดงให้เขาได้จัดเต็มอย่างเต็มที่ และพอรู้ว่าก้องเกียรติเจาะจงตั้งใจเลือกและส่งบท "อัลฮาวียะลู" มหาโจรคงกระพันผู้เหี้ยมโหดคู่ปรับของขุนพันธ์มาให้ ยังไม่ทันอ่านบทก็ตกปากรับคำทันที และพอได้ศึกษาบทก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด และคงเสียใจถ้าไม่ได้รับบทนี้

          "เชื่อว่านักแสดงหลาย ๆ คนมองหาโอกาสที่จะได้เล่นบทร้ายสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพียงแต่ว่าบทร้ายแบบนี้เราจะเล่นอย่างไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ บทอัลฮาวียะลูครั้งนี้เป็นการพลิกและเปลี่ยนคาแรคเตอร์ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาครับ เป็นตัวละครที่ค่อนข้างห่างไกลจากคาแรคเตอร์ตัวจริงผมเหลือเกิน ผมเองก็ไม่เคยเล่นหนังพีเรียดมาก่อน แต่ด้วยที่ตัวบทภาพยนตร์เรื่องนี้มันมีมิติเหลือเกิน แล้วเราก็พยายามเบสคาแรคเตอร์ของเรากับโจรที่เป็นคู่ปรับของขุนพันธ์ตัวจริง มันก็เลยเกิดการตีความ 2 อย่างกับบทนี้ เราก็พยายามทั้งศึกษาว่าโจรสมัยโน้นเขาเชื่อมั่นในสิ่งอะไร จุดยืนเขาอยู่ที่ไหน เขาเกิดมาเป็นอย่างไรถึงคิดกลายเป็นโจร แต่ว่าอีกมุมหนึ่งเราก็พยายามใช้จินตนาการ การตีความ มาสร้างตัวละครตัวนี้ มันก็ยิ่งสนุก มันสามารถสร้างสีสันได้ เราก็พยายามดูว่าเราจะสามารถทำอะไรตรงนี้ได้ อัลฮาวียะลูเขาคือคู่ปรับของขุนพันธ์ เป็นมหาโจรที่ฆ่าไม่ได้ ตายไม่เป็น ขุนพันธ์อาจจะล่าเราได้แต่ฆ่าเราไม่ได้ เพราะตัวอัลฮาวียะลูเองมีรอยสักที่ป้องกันเขาได้ มีอาวุธ มีอาคม คงกระพัน ฉลาดมีไหวพริบ และมีอุดมการณ์ของตัวเอง สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา แล้วชื่ออัลฮาวียะลู แปลว่าหลุมที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งขุนพันธ์จะต้องเข้าไปในหลุมนี้ที่ลึกเหลือเกินเพื่อที่จะปราบอัลฮาวียะลูให้ได้ซึ่งในฉากแอคชั่นสุดท้ายของภาพยนตร์เราจะได้เห็นกันว่าขุนพันธ์ทำได้หรือไม่ ก็คงต้องขอขอบคุณโขม สหมงคลฟิล์ม และบาแรมยู ที่ให้โอกาสเราเล่นบทนี้ เวลาที่เราเป็นนักแสดง เรารู้ว่าการหาโอกาสได้เล่นบท ได้เปลี่ยนคาแรคเตอร์อย่างนี้ เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะมีมาอีกเมื่อไหร่ มันอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ เวลาบทอย่างนี้มา อย่าพลาด พลาดไม่ได้นะ ไม่ว่าจะล้มหรือจะยืนขึ้น ไม่ว่าจะออกมาเป็นยังไง เราก็เลยต้องเต็มที่ แล้วก็จับมัน อย่าปล่อยมัน แล้วผลมันจะออกมาเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่คุณต้องทำให้ดีที่สุดเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงาน1ซีนในสไตล์ของโขมมันจะมีทั้งดราม่าอยู่ในแอคชั่นด้วย ต้องทำทั้ง 2 อย่างให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดง รับบทพูดระหว่างกัน ไปจนถึงแอคชั่นกับการชกต่อยกันจริง ๆ มันคือการถ่ายทอด 2 อย่างในซีนเดียวกัน ซึ่งสำหรับโขมแล้วนี่คือสิ่งที่นักแสดงต้องทำให้ได้ เราต้องเข้าใจว่าเวลาเราเล่นหนังมันมีโอกาสครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นมันก็จะอยู่ไปตลอดชีวิต นั่นคือผลงานของเรา"

          ในขณะที่ผู้กำกับก้องเกียรติเองได้พูดถึงความเต็มร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังทางด้านการแสดงที่น้อยกฤษดาได้มอบให้

          "สำหรับพี่น้อยเรายกย่องแล้วก็ขอบคุณพี่เสมอมา กับการที่พี่ให้การแสดงที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนและสำหรับผมเสมอๆ พี่ทุ่มเทอินเนอร์ของพี่ทุกอย่าง การเปิดตัวคาแรคเตอร์ที่พี่น้อยกำลังนั่งให้พระองค์หนึ่งสักอยู่ แล้วก็ของขึ้น ผมจำได้ว่าพี่เคยมาถามผมว่าของขึ้นคืออะไร เขาเป็นฝรั่งนะ ก็อธิบายให้เขาฟัง ในสปิริตนักแสดงของเขา เขาสามารถถ่ายทอดออกมาความบ้าคลั่งของตัวละครอัลฮาวียะลูได้อย่างน่ากลัวที่สุด อัลฮาวียะลูชื่อนี้มีความหมายแปลว่าหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง เหมือนหุบเหวที่ไร้จุดที่สิ้นสุด มันลึกมาก เพราะฉะนั้นความลึกของตัวละครตัวนี้มันจมดิ่งมากๆ มันเป็นตัวละครที่กดดันแล้วก็นักแสดงคนไหนที่รับบทลักษณะนี่มันมืด มันเหนื่อย เพราะว่ามันแบกชะตากรรมที่หนักมากของตัวละครเอาไว้ ซึ่งพี่น้อยทำได้ดีทั้งหมด แม้กระทั่งการเผชิญหน้ากันกับตำรวจ หรือการเผชิญหน้ากับขุนพันธ์ซึ่งทุกๆ ไดอะล็อกมันมีการปะทะ การเชือดเฉือนกันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะห็นว่ามันไม่ใช่แค่เพียงฉากเดียวที่ 2 คนมาเผชิญหน้ากันแล้วก็ไป แต่ว่าแทบทั้งเรื่องที่ตัวละคร 2 คนนี้ที่ขุนพันธ์กับอัลฮาวียะลูต้องปะทะกันเกือบทั้งเรื่อง เพราะฉะนั้นพี่น้อยรับบทหนักมากพอๆ กัน เราถือว่าถึงชื่อหนังจะชื่อเรื่องขุนพันธ์ก็จริงแต่ว่าอัลฮาวียะลูในเรื่องนี้เป็นบทร้ายที่เทียบเท่ากันในทุกมิติครับ"

          และแน่นอนว่าเมื่อ 2 คาแรคเตอร์ที่ถูกออกแบบดีไซน์มาให้มีความทัดเทียมกัน ทั้งความสามารถ สติปัญญา ไหวพริบสติปัญญา แกร่งกล้าสามารถด้วยอาคม และการต่อสู้ รวมทั้งคงกระพันหนังเหนียวต้องมาเผชิญหน้ากันภายใต้มุมมองการเล่าเรื่องของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่มีลายเซ็นและสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะดึงอารมณ์ดราม่าของนักแสดง มาผสมผสานการเล่นแอคชั่นได้อย่างลงตัวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ 2 สุดยอดซูเปอร์สตาร์ที่เอ่อล้นด้วยพลังดาราแม่เหล็ก อัดแน่นด้วยอินเนอร์และความบ้าพลังทางด้านการแสดงดอย่าง อนันดา และ กฤษดา ด้วยแล้ว ย่อมเป็นการปะทะกันที่ต้องจับตามอง

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 17, 2016, 09:06:05 AM
แอคชั่นกันแบบมาราธอนต่อเนื่อง น้อยกับอนันดาต่อยกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าวันนี้จนไปถึง 6 โมงเช้าอีกวันหนึ่งจนเลยไปถึงเกือบเที่ยง



          "มันเป็นโปรเจกต์ที่เราภูมิใจนำเสนอ เราทำสิ่งที่ยากเกือบทุกสิ่งเลยสำหรับหนังไทยเรื่องหนึ่ง มันถึงกินเวลามาหลายปีมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฉาก เรื่องของเอฟเฟกต์ เรื่องของการดีไซน์คิวแอคชั่น เพราะฉากแอคชั่นหรือสิ่งที่เราคิดมันยากอยู่แล้ว แต่ต้องบอกว่าเราโชคดีมากๆที่เราได้ทีมนักแสดง ทีมงาน ที่ทุกคนต่างให้ใจ ทุ่มชีวิตฝ่าฟันกัน ผมว่าโปรเจกต์นี้มันเหมือนหน่วยทหารที่พอเสร็จแล้วก็คงรักกันไปอีกนาน เราผ่านการถ่ายทำฉากแอคชั่นกันแบบมาราธอนต่อเนื่อง 24-36 ชั่วโมงก็เคยมาแล้ว พี่น้อยกับอนันดานี่ต่อยกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าวันนี้จนไปถึง 6 โมงเช้าอีกวันหนึ่งจนถึงเกือบเที่ยง แอคชั่นทั้งวัน 2 คน ก็ลุยกันมาแล้ว นับถือสปิริตมาก เรามีดีไซน์ที่ฉูดฉาด เรามีประเด็นในสไตล์ของหนังแบบโขมที่รุนแรงพอที่จะกระทบความรู้สึกคนในทุกๆด้านนะครับ ผมว่ามันก็น่าจะเป็นเวอร์ชั่นเข้มข้น แล้วก็น่าจะเป็นหนังที่เราอาจจะเคยเจอกับความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่สมัย 2499 อันธพาลครองเมือง ซึ่งหนังเรื่องขุนพันธ์ก็ยังมีกลิ่นอายแบบนั้นอยู่ เราอยากให้ความรู้สึกของหนังไทยแบบนั้นกลับมาน่ะ"

          "เราทำการบ้านกันสูงมากสำหรับเรื่องนี้ครับ โดยเฉพาะบทซึ่งเป็นแก่นหลักของเรื่อง เขียนบทเป็นปี เราต้องอาศัยการทำงานที่ผ่านการประชุมแล้วประชุมอีก เราว่ามันพิสูจน์อะไรหลายๆอย่างในตัวเราและก็ทีมงานเยอะมาก โปรเจกต์นี้มันใหญ่โตมโหฬาร การถ่ายทำมีกระบวนการขั้นตอนที่กินเวลายาวนานมาก มันคือความท้าทาย มันพิสูจน์ศรัทธา เหมือนขุนพันธ์นะครับที่ท่านตะลุย ท่านบุกขนาดไหนในชีวิต กว่าจะปราบโจรสักคนหนึ่ง เราลงไปที่บ้านท่านแล้วก็ไปไหว้ท่าน ไปขอหลายๆสิ่งหลายๆอย่างว่า ดลบันดาลใจให้เราทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด และไม่เลิกที่จะทำ ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคอะไรก็แล้วแต่ เราจะมีรูปขุนพันธ์อยู่ข้างโต๊ะทำงาน มีดาบแดงอันหนึ่ง เราก็จะหันไปมองตลอด ถ้ายังมีเวลาเราจะทำให้มันดีที่สุด ไม่มีนักแสดงหรือทีมงานคนไหนถอดใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้เลย"

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 17, 2016, 09:07:04 AM
ใส่ความจริงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ บวกจินตนาการผู้กำกับ และทีมบทเข้าไปเพื่อให้เป็นภาพยนตร์ที่ทั้งบันเทิงและสมจริงที่สุด





          "เราเลือกที่จะนำเสนอเหตุการณ์ซึ่งเป็นภารกิจแรกในชีวิตคือการปราบปรามโจรใต้ ตั้งแต่เป็นนายร้อยจบมาใหม่ๆ แล้วขอเสนอตัวรับภารกิจลับเลือกทำในสิ่งที่ไม่มีนายตำรวจคนไหนเคยทำสำเร็จ หรือทำมาก่อนเลยคือการปราบโจรร้ายที่โด่งดังที่สุด โหดเหี้ยมที่สุดที่ชื่อว่า อัลฮาวียะลู คือเป็นโจรที่มีวิชาอาคมมาก ฆ่าคน ด้วยกริชอันหนึ่ง โหดร้าย ได้ยินว่าพอชาวบ้านคนไหนไม่ร่วมด้วยก็จะเอากริชผ่าปากคนพวกนั้น ชื่อเสียงโด่งดังมาก จึงไม่มีตำรวจคนไหนอาสา และนอกนั้นก็ยังมีสมุนเก่งๆอย่างพวก เสือกลับ คำทอง หรือเสือสัง และก็ยังมีเหล่าลูกสมุนอีกหลายคนซึ่งเป็นมือซ้ายขวาที่ขุนพันธ์จะต้องรับมือ โดยตัวภาพยนตร์จะถ่ายทอดเรื่องราวของขุนพันธ์ที่ได้รับภารกิจให้ปลอมตัวเข้าไปจัดการกับโจรคนนี้ ในดินแดนที่ถูกปกครองอยู่ภายใต้อิทธิพลทั้งหมด ซึ่งตำรวจอย่างขุนพันธ์จะต้องเรียนรู้ว่าทำไมคนทั้งภูเขาแห่งนั้นถึงลุกขึ้นมาเป็นโจร ผู้ร้ายตัวจริงมันคืออะไรกันแน่ หรือขุนพันธ์แทนที่จะไปไล่ล่าเขา กลับถูกไล่ล่าเสียเอง นำไปสู่การเผชิญหน้ากันของยอดฝีมือ2ทาง ขุนพันธ์ต้องเผชิญหน้ากับจอมโจรที่เก่งทั้งวิชาอาคมทั้งบู๊ไม่แพ้ตัวเอง เพราะอัลฮาวียะลูนี่โดนขุนพันธ์เอาปืนยิงใส่หน้าระยะเมตรหนึ่ง ยิงๆๆเสร็จ อมลูกกระสุนไว้ในปากหมดเลย ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องมาดู มาพิสูจน์กันว่าระหว่างศรัทธาแห่งความดีกับอานุภาพของกระสุนปืนอะไรจะเหนือกว่ากัน"

          แน่นอนว่าก่อนที่จะสรุปออกมาเป็นแนวทางที่ชัดเจนของภาพยนตร์ ไปจนถึงทิศทางของเรื่องราวที่จะถูกนำเสนอออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวบทภาพยนตร์ที่ผ่านการบ่มเพาะทางความคิด ไอเดียในการสร้างสรรค์จนเกิดเป็นวิช่วลทางด้านภาพซึ่งปรากฎออกมาเป็นภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการจากมุมมองของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่ทั้งเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ได้นั้นจะต้องผ่านการรวบรวมและค้นคว้าข้อมูลนับแรมปีจากบทบันทึกที่มีอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ ข้อมูล ข่าวสาร สารคดี แฟ้มข่าว ตลอดจนรายการวิทยุและโทรทัศน์ เรื่องเล่าอันเป็นตำนาน บทสัมภาษณ์จากบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดรอบตัวไปจนถึงอดีตเสือร้ายซึ่งเป็นคู่ปรับคนสำคัญของ "ขุนพันธ์" ที่ได้รับการบันทึกไว้ รวมถึงการเดินทางไปยังบ้านเกิดของท่านขุนพันธ์ได้ศึกษาถึงที่มาที่ไป หลักคุณธรรมความดีของตัวท่าน ศึกษาถึงชีวิตความเป็นอยู่ วิถีปฏิบัติ แนวความคิด ตัวตน รอยสัก เรื่องราวต่างๆตลอดจนอาวุธประจำตัวท่านซึ่งเป็นที่กล่าวขานหรือแม้กระทั่งวิธีการปราบเสือร้ายโจรซุ่มในยุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วัดเขาอ้อ" สำนักตักศิลาที่ซึ่งบ่มเพาะเหล่ายอดฝีมือทางไสยเวทย์ที่มีการสืบทอดมานับพันปีซึ่งท่านขุนพันธ์เองได้ศึกษาและฝากตัวเป็นศิษย์เอกรวมทั้งได้มีโอกาสสักการะบวงสรวงต่อหน้ารูปปั้นอนุเสาวรีย์ท่านขุนพันธ์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชขอพรเอาฤกษ์เอาชัย เพื่อจุดประกายก่อเกิดแรงบันดาลใจก่อนที่จะเริ่มต้นทุ่มชีวิตและจิตวิญญาณทั้งหมดให้กับโปรเจกต์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท้าทายมากที่สุดในชีวิตการเป็นคนทำหนัง

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 17, 2016, 09:07:31 AM
แอคชั่นจัดเต็ม กับทีมงานมือหนึ่งให้สมกับที่เป็นภาพยนตร์มือปราบไทยแห่งอาคม



          ความใหญ่โตของโปรเจกต์ที่มาพร้อมกับความเป็นภาพยนตร์แอคชั่นอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้งานไอเดียในการออกแบบฉากแอคชั่นที่จะปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ภายใต้โจทย์ที่ถูกวางไว้ถึงความต่างของรายละเอียดและรูปแบบของสไตล์แอคชั่นจากในภาพยนตร์แอคชั่นปกติทั่วไปซึ่งงานนี้ได้ ท็อป วีระพล ภูมาตย์ฝน ผู้กำกับและออกแบบฉากแอคชั่น ศิษย์เอกของ พันนา ฤทธิไกร ปรมาจารย์ผู้กำกับคิวบู๊มือ1ของเมืองไทยที่อยู่เบื้องหลังการดีไซน์ในทุกฉากแอคชั่นสตาร์อย่าง จาพนม ยีรัมย์ และ จีจ้า ญาณิน

          "ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ70ปีที่แล้ว และมีการต่อสู้ด้วยอาคม เรื่องคงกระพันหนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้า ส่งผลให้รูปแบบของคิวบู๊หรือฉากแอคชั่นที่เกิดขึ้นก็จะมีรูปแบบเฉพาะตัวเราต้องมาคิดค้นว่าวิธีการที่เขาจะสู้กันดวลกันด้วยอาวุธในยุคนั้นปืนหรือมีดหรือกริชจะเป็นอย่างไร ให้รู้สึกพิเศษ ให้เห็นถึงความแกร่งกล้าหนังเหนียวของทั้งสองคน เราจะเห็นตัวละครอัลฮาวียะลูของพี่น้อย เสือสัง ของ เดี่ยว ชูพงษ์ หรือ บุหงา นักฆ่าที่ใช้มีดสั้นเป็นอาวุธของกบ หรือกระทั่งขุนพันธ์ของอนันดา รวมไปถึงไฮไลท์ซีนที่เกี่ยวกับแอคชั่นบนหลังม้าทั้งหมด เราจะได้เห็นฉากดีไซน์คิวบู๊ยากๆ อาทิ ขุนพันธ์ขี่ม้ากระโดดขึ้นไปต่อสู้กับพวกเสือสังบนรถไฟ เห็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์อย่างอนันดาถือมีดถือปืนสู้กับเสือสังบนรถไฟ และแอ๊คชั่นอีกหลาหลายฉาก บางฉากกินเวลาเป็นสิบนาทีชั่วโมง พูดได้ว่าเป็นหนังแอคชั่นที่มีครบทุกรสชาติจริงๆ และได้สปิริตของทุกๆคนที่ล้วนแล้วต่างทุ่มเทแรงใจให้กับภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ให้ออกมาลงตัวที่สุด"

          พร้อมกับระดมเหล่าทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังและเชี่ยวชาญพิเศษในสายงานเฉพาะของแอคชั่นในแขนงต่างๆมารวมตัวกันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จนกล่าวได้ว่าเป็นการรวมตัวของทีมสตันท์ที่เยอะที่สุดเพื่อรองรับกับฉากแอคชั่นดีไซน์ที่จะเกิดขึ้นแม้กระทั่งทีมสตันท์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับไฟโดยเฉพาะในฉากที่ตัวละครต้องถูกไฟเผาลุกท่วมร่างกาย, ในฉากแอคชั่นบนหลังม้าโดยได้ ครูแอ้นท์ม้าทมิฬ (วัชรชัย สุนทรศิริ)ผู้เชี่ยวชาญพิเศษในการควบคุมม้าและฝึกฝนสตันท์ม้าที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนในภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศซึ่งดูแล และฝึกฝนนักแสดงในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อยู่เบื้องหลังการรับผิดชอบในฉากแอคชั่นการต่อสู้บนหลังม้าของบางระจัน, ข้าบดินทร์, ชาติพยัคฆ์, นายทองดีฟันขาว มาดูแลในส่วนของฉากแอคชั่นม้าทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่ขุนพันธ์ซึ่งรับบทโดยอนันดา,อัลฮาวียะลูโดยกฤษดา,เสือสัง โดย เดี่ยว ชูพงษ์, บุหงา โดย กบพิมลรัตน์ และเหล่านักแสดงสมทบทั้งหมดที่ต้องมีฉากแอคชั่นต่อสู้บนหลังม้า รวมถึงคิวบู๊ที่เหล่าสตันท์โจรจะต้องเสี่ยงตายตกม้า

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 17, 2016, 09:08:07 AM
สุดยอดโลเคชั่น ที่ทั้งต้องตอบโจทย์เรื่องยุคสมัย ความสมจริง และ ความมหัศจรรย์



          ธนะ เมฆาอัมพุท (เจ้าของรางวัลกำกับศิลป์ยอดเยี่ยมจากไชยา และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาเดียวกันจากอันธพาล)ผู้รับผิดชอบในส่วนของการออกแบบงานสร้างทั้งหมดที่จะปรากฎขึ้นในโลกของภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ฉาก เหตุการณ์ สถานที่ต่างๆรวมไปถึงบรรยากาศตามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ท่านขุนพันธ์ยังเป็นตำรวจนายร้อยฝึกหัด ไปจนถึงเสนอตัวเพื่อออกปฎิบัติการลับ แฝงตัวเข้าไปยังดินแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้โหดเหี้ยวแห่งภาคใต้ โดยผนึกกำลัง กวี จันทรพลพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายสถานที่ในการถ่ายทำ เดินทางเพื่อค้นหาโลเกชั่นในหลายจังหวัดทั่วประเทศเพื่อเลือกหาสถานที่ที่หมาะสมที่สุดโดยมีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นโลเกชั่นหลักในการถ่ายทำเพื่อให้ทีมงานในส่วนออกแบบงานสร้างเนรมิตงานสร้างต่างๆขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

          ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านฝีมือการกำกับภาพของ ทิวา เมยไธสง และ ปราเมศวร์ ชาญกระแส สองผู้กำกับภาพมือรางวัลที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวของ ขุนพันธ์ ฉบับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งการถ่ายฉากแอ็คชั่นบนหลังม้า บนรถไฟ และ อีกหลากหลายวิช่วลใหม่ๆ ที่รับรองว่าไม่เคยได้เห็นในภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนมาก่อน

          อารมณ์ที่ต้องสื่อสารความรู้สึกของเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง อ้างว้าง ตรึงเครียด กดดันในสถานการณ์ต่างๆซึ่งรวมไปถึงการนำเสนอมุมมองของแอคชั่นเหนือจินตนาการ การสื่อความรู้สึกถึงการหยั่งรู้ การต่อสู้ทางจิต ความคงกระพันหนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้าซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของตัวละครขุนพันธ์และอัลฮาวียะลู ซึ่งล้วนแล้วต้องอาศัยกระบวนการคิดสร้างสรรค์ในงานการออกแบบทางด้านการกำกับภาพที่เป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอด และสื่อความหมายแทบทั้งสิ้นจนออกมาตรงตามความตั้งใจของผกก.ก้องเกียรติ โขมศิริมากที่สุดตอบโจทย์ให้ "ขุนพันธ์" เป็นภาพยนตร์แอคชั่น-เหนือจินตนาการเรื่องยิ่งใหญ่ประจำปีของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ล้วนแล้วผ่านความตั้งใจจริงจากการทุ่มเทชีวิต หยาดเหงื่อ และจิตวิญญาณจากทุกส่วนของทีมงานนักแสดงที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างพลังแห่งศรัทธาผ่านเรื่องราวของท่านขุนพันธ์ พร้อมกับพิสูจน์ให้รู้ว่า "ศรัทธาแห่งความดีอย่างที่ท่านขุนพันธ์เลือกที่จะทำและเป็น" คือ สิ่งที่ทุกชีวิตบนผืนดินนี้ควรตระหนักและยึดถือไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงไหนก็ตาม

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 17, 2016, 09:08:46 AM
สหมงคลฟิล์มฯเลือกเชิดชู วีรบุรุษมือปราบ108ปี ไม่ใช่ภาพยนตร์อัตชีวประวัติหรือหนังสารคดี แต่คือภาพยนตร์แอคชั่นเหนือจินตนาการที่มี “ขุนพันธ์” เป็นตัวแทนของสัญลักษณ์แห่ง “ความดี”



          ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" จะหยิบเอาเรื่องราวและเกร็ดประวัติเละตัวตนของ "พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ตลอดจนภารกิจในการปราบโจรผู้ร้ายเสือดังๆที่เลื่องชื่อซึ่งถูกบันทึกว่ามีอยู่จริงในประวัติศาสตร์มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ แต่แนวทางของภาพยนตร์คือการนำเสนอในรูปแบบของภาพยนตร์แอคชั่นที่เน้นอรรถรสความบันเทิงในลักษณะเหนือจริงโดยสร้างอยู่บนความเคารพ และศรัทธาในตัวท่านขุนพันธ์ โดยหยิบเอาเรื่องราวและภารกิจที่มีสีสันของท่านขุนพันธ์ในการปราบโจรมาถ่ายทอดโดยเปรียบท่านขุนพันธ์เป็นดั่งตัวแทนของความดี

          "มันเป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่แล้วก็ตัวบุคคลที่เลือกทำเป็นบุคคลจริงมีตัวตนจริง มีประวัติศาสตร์รองรับมีหลักฐานยืนยันเราก็เลือกการถ่วงดุลระหว่างความจริงแค่ไหนกับความเป็นภาพยนตร์ แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำสารคดี มันคงไม่ใช่เรื่องราวตรงไปซะ 100% ทั้งหมด แต่ว่าเรารักษาหัวใจของความเป็นขุนพันธ์ไว้ให้ได้เยอะที่สุด เรื่องแอคชั่นกับเมจิค การผสมกันแล้วมันมีดราม่าเข้าไปอยู่ในนี้ด้วย การรักษาสมดุลย์ของสิ่งเหล่านี้มันเป็นงานที่ท้าทายนะครับ มันต้องยกย้อนกลับไปที่ธีมของเรื่องเลยก็คือศรัทธา งานที่มันยากก็ต้องยิ่งอาศัยศรัทธาที่สูง คาแรคเตอร์หลักๆเรายังจับหัวใจความเป็นขุนพันธ์อยู่ในเรื่องนี้ เราเลือกนำเสนอในรูปแบบของความเป็นภาพยนตร์ที่เรียกว่าเมจิคอลเรียลลิสซึ่มหรือสัจนิยมมหัศจรรย์ โดยการขยายความหรือว่าเพิ่มบางอย่างที่เป็นเรื่องของภาพยนตร์ลงไป แต่ทั้งหมดในนั้นเราไม่ได้หักข้อมูลเก่าทิ้ง ไม่ได้โกหก ข้อมูลเรื่องคาแรคเตอร์หนวดเขี้ยว การไปปราบโจรที่โน่นที่นี่ หรือแม้กระทั่งเวิร์ดดิ้งประโยคประจำตัวที่ท่านขุนพันธ์พูดตอนไปจับโจร ซึ่งโจรจะพูดเหมือนกันหมดว่าก่อนท่านขุนพันธ์จะปราบจะพูดว่า เฮ้ย ถ้ามึงบวชแล้วเลิกเป็นโจรซะ กูจะจับเป็นมึง แต่ถ้ามึงไม่บวช ก็ยิงกัน เราก็จับหัวใจของสิ่งนี้ที่เป็นแบบนักเลง ก็ยังมียังอยู่ในเรื่องทั้งหมด นี่ไม่ใช่หนังอัตชีวประวัติ แต่เป็นหนังที่ถูกสร้างเพื่อความบันเทิง โดยได้ตัวละครขุนพันธ์เป็นต้นแบบ ให้เป็นไอคอน (สัญลักษณ์) เรื่องของฮีโร่คนหนึ่งที่ไปเจอกับผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งมีวิชาอาคมไม่แพ้กัน แล้วมันคือการที่คนที่ยิงไม่ตาย 2 คนเผชิญหน้ากัน คนหนังเหนียว 2 คนต่อสู้กัน มันเป็นเรื่องของการชิงไหวชิงพริบ หรือการที่ตัวละครตำรวจถูกท้าทายโดยโจรว่า มึงกับกูมันต่างกันแค่เสื้อผ้า หนังเรื่องนี้พยายามจะพูดในทัศนะเรื่องความดีความเลว หรือการเลือกศรัทธาด้านสว่างหรือด้านมืด เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าแรงบันดาลใจสำหรับเรื่องนี้ก็คือการสร้างไอคอนแห่งความดีที่จริงที่สุดโดยมีหัวใจของเรื่องมันก็คือการไล่ล่ากันของคน 2 ฝั่งที่เรียกว่าเจ็บไม่ได้ตายไม่เป็นกันทั้งคู่ครับ" ซึ่งเป็นธีมสำคัญของภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์ที่ผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ ตั้งใจนำเสนอ

          14 ก.ค. มาร่วมกันพิสูจน์ว่า แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาของขุนพันธ์ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 17, 2016, 09:10:09 AM
Movie Guide: อาคมแห่งการต่อสู้ ฤาจะต่อกรกับความดี



ทีเซอร์แรก ขุนพันธ์ (Official Teaser)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MK3jxgnkbZM" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=MK3jxgnkbZM</a>

   เสือโจรทั้งหลายที่โด่งดังในปฐพี......ล้วนถูกปราบโดยนายตำรวจคนหนึ่งเหนือพลังแห่งศรัทธา คือการมุ่งมั่นและยืนหยัดในการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
          คือยอดตำรวจวีรบุรุษ
          คือมือปราบสิบทิศ
          คือมือปราบหนวดเขี้ยว
          คือนายพลหนังเหนียว
          คือ ขุนพันธ์

          ขุนพันธ์

          แรงบันดาลใจสำคัญอันเป็นต้นกำเนิดของ "ขุนพันธ์"
          ภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์ประจำปีพ.ศ. 2559 ของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
          "เมื่อตอนได้ข้อมูลของท่านมาเป็นหนังสือที่ระลึกงานศพ ในหนังสือเราจะเห็นว่ามีพวงหรีดจากในหลวง พระราชินี และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ พลิกเข้าไปด้านในเราได้เห็นรูปถ่ายจริงรูปหนึ่ง เป็นภาพของท่านขุนพันธ์ใส่ชุดนายตำรวจห้อยกระบี่ที่เอวย่อตัวลงกำลังยื่นมือต่อเทียนเล่มหนึ่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในความรู้สึกเราท่านคืออัศวิน ท่านคือทหารพระราชา จากภาพนั้นทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละคือ งานเรา นี่ละโปรเจกต์ต่อเทียน ถูกต้องไม่ถูกต้องเราไม่รู้ แต่เราสู้สุดชีวิต เราจะต่อเทียนกันต่อไป"

FB on June 17, 2016, 09:11:39 AM
Movie: ภาพยนตร์ ขุนพันธ์









กำหนดฉาย 14 กรกฎาคม 2559
แนวภาพยนตร์ แอคชั่นเหนือจินตนาการ
บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทดำเนินงานสร้าง บาแรมยู
กำกับภาพยนตร์ ก้องเกียรติ โขมศิริ
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควมคุมการสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว, สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์
ร่วมควบคุมการสร้าง สิตา วอสเบียน
ประสานงานสร้าง จันทพร ธนโกเศศ
เรื่องและบทภาพยนตร์ ก้องเกียรติ โขมศิริ
ออกแบบและกำกับฉากต่อสู้ วีระพล ภูมาตย์ฝน
ควบคุมดูแลแอคชั่นบนหลังม้า ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ(วัชรชัย สุนทรศิริ)
กำกับภาพ ทิวา เมยไธสง และปราเมศวร์ ชาญกระแส
ลำดับภาพ ปัญญ์สุนิตย์ อัศวินิกุล
ดนตรีประกอบและออกแบบเสียง เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน
บันทึกเสียง ห้องบันทึกเสียงรามอินทรา
ฟิล์มแลบส์ สยามพัฒนาฟิล์ม
ออกแบบเครื่องแต่งกาย นิรชรา วรรณาลัย
ออกแบบงานสร้าง ธนะ เมฆาอัมพุท
แต่งหน้า-เมคอัพเอฟเฟกต์ ศิวกร สุขลังการ
ออกแบบทรงผม เทิด ยอดทอง
ออกแบบและสร้างรอยสัก นิติธร สะอาดดี, ชนัญชิดา ทรงโฉม
นักแสดง อนันดา เอเวอริงแฮม, กฤษดา สุโกศล แคลปป์, เดี่ยว ชู พงษ์ ช่างปรุง, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร, แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี, กานต์พิสชา เกตุมณี

          เรื่องย่อ ขุนพันธ์
          ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัวขึ้น ญี่ปุ่นเริ่มแผ่ขยายอำนาจรุกรานทั่วเอเชีย รวมทั้ง ประเทศไทยที่กำลังเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่เพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่โลกอารยะ ความเจริญเริ่มรุกล้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าผู้คนกลับขัดสนยากจน ถูกกดหัวอยู่ภายใต้อาณัติของเหล่าชุมโจรเสือร้ายที่ก่อร่างสร้างอิทธิพลไปทั่วทุกหัวระแหงโดยหาได้หวั่นเกรงต่อกฎหมายแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าผืนปฐพีจะไร้ซึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่สัตย์ซื่อ ภักดีในความถูกต้อง และยึดมั่นในความยุติธรรม
          จังหวัดชุมพร ปี พ.ศ. 2481 ภายหลังจากเด็ดชีพ เสือกลับ คำทอง และพวกพ้องที่อุกอาจปิดเมืองทั้งเมืองและจับสารวัตรดำเกิงผู้บังคับบัญชาเป็นตัวประกัน "นายบุตร์" หรือ "ร้อยตำรวจโท ขุนพันธรักษ์ราชเดช" (อนันดา เอเวอริงแฮม) นายร้อยตำรวจหนุ่มฝึกหัดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าด้วยกระสุนเพียงนัดก็สามารถกำราบเสือร้ายเลื่องชื่อได้เป็นผลสำเร็จ นั่นเป็นเพราะความสามารถเฉพาะตัวและวิชาที่บ่มเพาะติดตัวมา ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีนายตำรวจมือปราบรายใดในประวัติศาสตร์เคยทำมาก่อน นั่นคือเสนอตัวเข้ารับผิดชอบในภารกิจลับที่เสี่ยงที่สุด อันตรายที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลานับเดือนหรือแรมปีโดยต้องทิ้งชีวิตที่เหลืออยู่เป็นเดิมพัน นั่นคือ การเสาะหาและออกไล่ล่าเพื่อปิดตำนานของ "อัลฮาวียะลู" (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) มหาโจรผู้โหดเหี้ยม ดุดัน แกร่งกล้า ฆ่าไม่ตาย หนำซ้ำ ยังคงกระพันหนังเหนียว ครองอิทธิพล แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วภาคใต้ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันว่าแกร่งกล้าเพราะมีวิชาและของดีอยู่ในตัว
          ขุนพันธ์ในคราบของนายบุตร์จึงแอบแฝงตัวเข้าไปสืบข่าวโดยได้รับความช่วยเหลือจาก "ไข่โถ" (สนธยา ชิตมณี) และ "มาลัย" (กานต์พิสชา เกตุมณี) 2 พี่น้องครอบครัวชาวประมงที่ทำงานในสโมสรงาช้างของ "หลวงโอฬาร" (ภคชนก์ โวอ่อนศรี) ข้าราชการใหญ่ผู้ทรงอำนาจและอิทธิพลจนทุกคนต้องเคารพและยำเกรง ซึ่งทำให้ต้องเผชิญกับ "เสือสัง" (เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง) และ "บุหงา" (กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) 2 มือสังหารข้างกายของมหาโจรที่ว่ากันว่าคือนักฆ่าเลือดเย็นและไร้ความปรานีอย่างที่สุด พร้อมด้วยเหล่าทัพเสือโจรร้ายนับไม่ถ้วน
          ณ ดินแดนแห่งนี้นี่เองที่ทำให้ขุนพันธ์ได้รู้ความจริงว่า เมืองทั้งเมืองคือชุมโจรขนาดใหญ่ ชาวบ้านตกเป็นเครื่องมือโดยมีนักการเมือง ข้าราชการท้องถิ่นรู้เห็นกับมหาโจร คอยชักโยงและอยู่เบื้องหลังเพื่อกอบโกยผลประโยชน์โกงกินและขายชาติ กระทั่งความจริงปรากฎ พวกโจรรู้ว่าขุนพันธ์แฝงตัวเข้ามา การไล่ล่าและเผชิญหน้าระหว่างสุดยอดมือปราบและมหาโจรฆ่าไม่ตายจึงอุบัติขึ้นท่ามกลางห่ากระสุน คาวเลือด และการต่อสู้ อาคมต่ออาคม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ขุนพันธ์ต้องเลือกระหว่างหนีเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด หรือกลับไปช่วยเหลือและเปลี่ยนหัวใจชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาสู้กับโจร.... สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับเมืองนี้... และเพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าแรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธา
          14 กรกฎาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

          บทบาทและคาแรคเตอร์ตัวละครใน "ขุนพันธ์"
          ขุนพันธ์ รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม
          ร้อยตำรวจหนุ่มอายุ 30 ปี เป็นคนมุ่งมั่น กล้าหาญ จริงจังและเปี่ยมด้วยคุณธรรม ยึดมั่นในความดี ศรัทธาในความถูกต้อง ผู้พร้อมจะล้างกฏหมู่ด้วยกฏหมายขุนพันธ์เป็นทั้งนักสู้ นักวางแผน และนักต่อรอง ผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้า คงกระพัน ถนัดในการใช้ปืนและมีดเป็นอาวุธ ปราบเสือมาแล้วมากมาย จนกระทั่งได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกันที่สุด คู่ต่อสู้ที่จับเป็นยังไม่ได้ จับตายแทบไม่มีทาง เขาคือมหาโจร "อัลฮาวียะลู"
          อัลฮาวียะลู รับบทโดย กฤษดา สุโกศล แคลปป์
          มหาโจรผู้มีวิถีความเชื่อตามอุดมการณ์ที่ยึดถือ ผู้ยึดครองดูแลทุกอณูพื้นที่แห่งเทือกเขาบูโด โหด สุขุม เลือดเย็น ฉลาด มีไหวพริบ มีอุดมการณ์ พร้อมจะเชือดทุกคนที่ขวางทางได้อย่างไร้ซึ่งความปรานี มีกริชเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสักและร่องรอยการต่อสู้ทั่วร่าง มหาโจรอย่างอัลฮาวียะลูเป็นคนมีของและอาคมชั้นสูง คงกระพัน เป็นคู่ต่อกรของขุนพันธ์ที่กินกันไม่ลง ทุกครั้งที่ได้เจอกันจะมีการปะทะเชือดเฉือนกันอย่างดุเดือด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน อาคมต่ออาคม
          เสือสัง รับบทโดย เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง
          โจรอำมหิต นิ่ง เลือดเย็น ลูกน้องคนสนิทของอัลฮาวียะลูที่ฆ่าคนได้โดยไม่ลังเล บ้าคลั่งในการต่อสู้ สักยันต์ทั้งตัว ตั้งแต่หน้า คอ แขน หลัง อาวุธหลักของเสือสังคือคารัมบิต ทุกงานที่อัลฮาวียะลูไม่ได้ลงมือจะมีเสือสังเป็นคนจัดการและสำเร็จทุกครั้งไป จนกระทั่งเจอขุนพันธ์ที่มาขวางทางปืน เมื่อถูกสั่งให้ล่าตำรวจหนังเหนียวคนนี้ เสือสังจะไม่ยอมหยุดล่าจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง
          บุหงา รับบทโดย กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร
          หนึ่งในนักฆ่าที่อยู่ใต้อำนาจของอัลฮาวียะลู สวย เท่ห์ โหด พูดน้อย ทำได้ทุกอย่างที่ไม่ต่างกับที่ผู้ชายอย่างเสือสัง เธอซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ใต้แว่นดำ ชุดทะมัดทะแมงคล้ายบุรุษมีมีดสั้นเป็นอาวุธและเก่งการสู้ประชิดตัว และเมื่อเขาพบขุนพันธ์ บุหงาก็รู้เลยว่าคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดา
          หลวงโอฬาร รับบทโดย แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี
          ข้าราชการขี้ฉ้อ เลวในกมลสันดาน เจ้าเล่ห์ ช่างประจบสอพลอ ซ่อนความเลวใต้รอยยิ้ม ขายชาติเพื่อความสุขของตัวเองโดยใช้อารยะ ความเจริญ และการเมืองไต่เต้าสู่ความสำเร็จ เก่งเรื่องการวางหมากชั่วช้า เป็นคนบงการเรื่องเลวๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองนี้โดยไม่สนเรื่องความถูกต้อง ร่วมมือกับอัลฮาวียะลูทำเรื่องผิดกฏหมาย และพร้อมจะจัดการทุกคน จนมาเจอก้างชิ้นใหญ่อย่างขุนพันธ์ เขาจึงต้องการกำจัดนายตำรวจคนนี้ออกไปให้เร็วที่สุด
          มาลัย รับบทโดย กานต์พิสชา เกตุมณี
          สาวชาวบ้านที่อ่อนหวาน บริสุทธิ์ ที่เก็บความรู้สึกแสนเศร้าไว้ข้างใน ด้านหนึ่งเธอคือน้องสาวที่อ่อนโยนสดใสของ ไข่โถ พี่ชายคนเดียวที่เธอมีอยู่ ส่วนอีกด้านเธอคือนักร้องเสียงดีประจำสโมสรงาช้างของหลวงโอฬาร ชีวิตเธอวนเวียนอยู่ซ้ำๆ จนกระทั่งขุนพันธ์ก้าวเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้
          ไข่โถ รับบทโดย สนธยา ชิตมณี
          พี่ชายของมาลัย ชาวเลจิตใจดี ผู้สืบสานวิถีอันดีของชาวใต้ อีกทั้งยังเป็นหลักที่พึ่งพิงทางจิตใจของหมู่บ้านชาวประมง ถูกอำนาจและอิทธิพลครอบงำมาช้านาน จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องผืนน้ำ และแผ่นดินเกิดของตน

FB on June 18, 2016, 09:26:22 PM
อนันดา-กฤษดา ยกทีม 7 นักแสดง ทุ่มสุดตัว ชวนนับถอยหลัง 30วัน เตรียมดู “ขุนพันธ์” สุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี









          เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ "ขุนพันธ์" สุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่นเหนือจินตนาการฟอร์มยักษ์ที่ทุกคนรอคอย โดย บ.สหมงคฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมี คุณอวิกา เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายการตลาด และคุณจาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ รองประธานกรรมการฝ่ายสื่อสารการตลาด พร้อมโปรดิวเซอร์ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ และเหล่าซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าของเมืองไทยอย่าง อนันดา เอเวอริงแฮม, กฤษดา สุโกศล แคลปป์, แฟรงค์ ภคชนก์ โวอ่อนศรี, สนธยา ชิตมณี, เดี่ยว ชูพงษ์ ช่างปรุง, อ้อม กานต์พิสชา เกตุมณี และ กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร รวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ในงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ สตูดิโอ G-Village Co-Creation Hub ลาดพร้าว18 ให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ร่วมเก็บภาพบรรยากาศ และบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครที่เรียกได้ว่ายากที่สุดและท้าทายที่สุด เป็นประสบการณ์การทำงานทางด้านภาพยนตร์ที่สร้างความภูมิใจ และมีค่าที่สุดในชีวิต

          เป็นงานแถลงข่าวที่ให้ความรู้สึก และบรรยากาศย้อนกลับไปถึงการทำงานที่สุดโหด เหนื่อยยาก ของแต่ละคน ตั้งแต่การที่ผู้กำกับก้องเกียรติ ต้องเปลี่ยนทั้ง 7 คาแรคเตอร์ให้เป็น วีรบุรุษมือปราบ, มหาโจรคงกระพัน, นักฆ่าผู้ไร้ความปราณี, นักการเมืองฉ้อฉล, มือสังหารสาว, หนุ่มชาวเลผู้สูญเสีย, หญิงสาวที่ยอมเสียสละทุกอย่างในชีวิต กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซ ถึงแม้บางฉากต้องพึ่งออกซิเจนเพื่อช่วยหายใจในการถ่ายทำ การพลิกบทบาทในการรับบทตัวร้ายที่ถ่ายทอดออกมาในแบบที่หลายคนคาดไม่ถึง การเป็นสุดยอดนักแสดงแอ็คชั่นในทุกรูปแบบ และเพิ่มดีกรีความยากกับการต่อสู้ในทุกสถานการณ์ตั้งแต่ภาคพื้นดิน, บนหลังม้า, บนหลังคารถไฟ นอกจากนี้ในบรรยากาศของงานแถลงข่าวได้มีการแนะนำทีเซอร์เทรลเลอร์ พร้อมด้วยสกู๊ปพิเศษ "ทำไมต้องเป็นขุนพันธ์" พร้อมกับภาพโปรโมทหลักของภาพยนตร์ และภาพของทั้ง 7 คาแรคเตอร์ของภาพยนตร์อยู่ทั่วบริเวณงาน เรียกได้ว่า จัดหนักจัดเต็มให้สมกับความยิ่งใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์ไทยประจำปีนี้ ก่อนที่ช่วงท้ายเหล่านักแสดงทั้ง 7 และผู้กำกับพร้อมด้วย โปรดิวเซอร์จากภาพยนตร์ และ ผู้บริหารจากสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลจะร่วมถ่ายรูปพร้อมกัน

          เตรียมนับถอยหลังเพื่อสัมผัสกับ "ขุนพันธ์" สุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่นเหนือจินตนาการที่ทุกคนรอคอยพร้อมกัน 14กรกฎาคมนี้ ร่วมพิสูจน์กันว่า "พลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่" ของ ยอดตำรวจวีรบุรุษหนังเหนียว ที่สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ และเป็นต้นแบบคำว่า "ตำรวจดี" ยังคงมีอยู่บนผืนดินนี้ร่วมกัน ทุกโรงภาพยนตร์

FB on June 24, 2016, 08:30:41 AM
บทสัมภาษณ์ “อนันดา เอเวอริงแฮม จากภ.ขุนพันธ์









          เป็นมากกว่า การแสดง
          เป็นมากกว่า แอ็คชั่น
          เป็นมากกว่า ตัวละคร
          ทุ่มชีวิตและจิตวิญญาณสู่ศรัทธาอันมุ่งมั่น
          เมื่อ "อนันดา เอเวอริงแฮม" เป็น "ขุนพันธ์"
          " คือ4นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เป็นลองเทคแบบที่ไม่มีคัท โชว์แอ็คชั่นรวดเดียวเลย เป็นฉากยากมากแล้วก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราสัญญากับพี่โขมไว้แล้ว เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องแมนต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ ในฉากนั้นต้องสู้กับสตั้นท์อยู่ 20 กว่าคนพอเราใช้พลังเต็มที่ มาถึงศัตรู2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็กจริงๆ มันคือเฮือกสุดท้าย อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทค พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับถังออกซิเจน ถ้าให้พูดถึงก็น่าจะเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในเรื่องนี้"

          Q. ความรู้สึกครั้งแรก หลังจากที่ถูกทาบทามให้เข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์"
          A. สวัสดีครับ ผมอนันดา เอเวอริงแฮม สำหรับเรื่องนี้ผมเล่นเป็นขุนพันธรักษ์ราชเดชครับ คือจริงๆแล้ว สำหรับผมครั้งแรกที่ผมได้ยินหรือการเอ่ยชื่อถึงท่านขุนพันธ์ ก็คือจะเป็นเรื่องของจตุคามใช่เปล่า ซึ่งตัวผมเองก็อาจจะไม่ใช่คนที่ได้รู้จักอะไรเกี่ยวกับตัวท่านมากไปกว่านั้น เคยได้ยินถึงขุนพันธ์ วันหนึ่งพี่โขม(ก้องเกียรติ โขมศิริ)เขาเอาบทมาให้เขาก็เล่าให้ฟังว่าก็คือคนนั้นแหละ ซึ่งสำหรับตัวผมเองโดยส่วนตัวอยากทำงานกับพี่โขมอยู่แล้ว ลึกๆถึงแม้ผมอาจจะไม่ได้บอกพี่โขม เหมือนในใจก็ได้รับไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นเราก็อาจยังไม่รู้ว่าหนังเกี่ยวข้องกับ ได้รู้จักพี่โขมมานาน ยิ่งคราวนี้ได้รู้ว่ามีพี่น้อยเล่นอีกคนหนึ่งก็ยิ่งอยากเล่นเข้าไปใหญ่ ผมรู้สึกว่าเขาเป็นนักแสดงที่ผมชื่นชอบ นับถือมาตั้งนานก็เลยอยากจะเล่นคู่กับเขา พอกลับไปอ่านบท ก็รู้สึกเลยว่าเป็นบทที่พี่โขมเขาทุ่มเทมาก เขาปล่อยหมดแม็กจริงๆนะครับ ครั้งแรกที่อ่านก็แบบตายแล้ว นี่มันหนังแบบ Pirate of the Caribbean ก็เลยต้องมานั่งคุยกับพี่เขาอีกทีหนึ่งว่า โห พี่จะเอาขนาดนี้เลยเหรอ เขาก็จ่อย พี่ขอสักครั้งหนึ่งในชีวิตพี่ที่จะปล่อยของจริงๆอะไรอย่างนี้ ก็เลยพอได้ยินจากพี่โขมว่าเขาเอาสุดเอาเต็มที่สำหรับเรื่องนี้ก็ตื่นเต้น แรกๆก็อาจจะมีตกใจนิดหน่อย กลายเป็นสนุก เพราะว่าเราได้ไปเริ่มเข้าบทบาท ได้เริ่มซ้อมคิวแอคชั่น พอได้เริ่มฟิตติ้ง เริ่มติดหนวด ทุกอย่างมันก็เริ่มจริงขึ้นก็กลายเป็นความอินครับ
          Q. ความรู้สึกของนักแสดงอย่างอนันดา ที่มีต่อท่านขุนพันธ์...
          A. คือทุกครั้งที่เราต้องเล่นเป็นคนที่มีจริงในประวัติศาสตร์ มันก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนพอสมควร ผมรู้ว่าการที่ผมเป็นนักแสดงคนหนึ่งมีหน้าที่เป็นนักแสดง คือเราก็ต้องเคารพต่อประวัติศาสตร์ของท่านเองด้วย ก็เลยได้ไปศึกษา ผมเองก็ไม่ได้รู้ลึกถึงเรื่องพวกอาคม ก็จะคุยกับพี่โขมตลอดว่าท่านเป็นคนสำคัญต่อประวัติศาสตร์มาก ผมก็รู้สึกว่าเราควรจะต้องเข้าใจประวัติของท่าน ก็พอไปลงลึกก็เห็น หูย ท่านไม่ใช่คนธรรมดาจำนวนของโจรที่ท่านปราบนี่คือแบบเป็นหลักร้อยหรือเปล่า คือมันเป็นประวัติศาสตร์ของนายตำรวจที่อาจจะนับว่าสุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ว่าได้
          Q.ความประทับใจพิเศษที่เกิดขึ้นต่อภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์"
          A. ครับ ก็จากที่ผมเข้าใจก็คือ สหมงคลฟิล์มเองก็อยากจะมีตัวละครที่เป็นสไตล์เจมส์ บอนด์ ซึ่งก็นี่ละครับขุนพันธ์ ก็เป็นเหมือนเจมส์ บอนด์ของจริง อาจจะเรียกว่ายิ่งกว่าเจมส์ บอนด์ ที่แน่นอนก็คือโหดกว่าเจมส์ บอนด์ครับ ความประทับใจที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้มีเยอะมาก เพราะนับได้ว่าเป็นหนังสุดเกือบทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นฉาก เป็นแอคชั่น ตัวละคร มันครบถ้วนจริงๆ พอได้รับบทบาทอย่างนี้เหมือนได้กลับไปเล่นเกมตอนเด็กๆ ไล่จับโจร ทุกครั้งที่ใส่หนวดมันจะมีแบบความรู้สึกที่ค่อนข้างพิเศษหน่อย เหมือนเราได้แปลงร่างครับ ได้มาติดหนวดเขี้ยว จะรู้สึกว่า..เราได้ทำในสิ่งที่ค่อนข้างพิเศษมาก
          Q. คำนิยามเมื่อเอ่ยชื่อท่านขุนพันธ์
          A. ตัวขุนพันธ์เองท่านเป็นคนที่แลกทุกอย่างด้วยความดีครับ ถ้าให้คำจำกัดความ ท่านขุนพันธ์คือนักสู้ นักล่า นักต่อรอง อาวุธหลักที่ท่านใช้ก็เป็นดาบกับปืน แต่นอกเหนือจากนั้นท่านก็จะมีวิชาอาคม
          Q. อนันดามีการกำหนดบทบาท ตีความ และให้ความสำคัญกับ คาแรคเตอร์ตัวละคร ขุนพันธ์ อย่างไร
          A. คาแรคเตอร์ของขุนพันธ์ก็จะเป็นนักสู้ นักล่า แล้วก็นักต่อรองครับ อาวุธหลักของท่านก็จะมีปืนแล้วก็ดาบ ตัวท่านขุนพันธ์เองจะมีประโยคเด็ดของท่านเป็นประโยคที่ผมชอบมากครับ ก็คือ ถ้าพวกมึงสัญญาเลิกเป็นโจรแล้วไปบวชซะ กูสัญญาว่าจะจับเป็นพวกมึง เป็นประโยคที่เท่มากของขุนพันธ์ครับ คือก็ได้เห็นว่า ขุนพันธ์เอง ท่านก็เป็นคนที่เหี้ยม แต่ว่าก็แฟร์ ซึ่งอันนี้ก็มาจากประวัติศาสตร์จริงด้วย นอกจากนั้นท่านขุนพันธ์ก็จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่ว่าท่านเป็นคนที่มีวิชาอาคม ยึดมั่นในความดีและนับถือความถูกต้อง แล้วก็อยู่ได้ด้วยความศรัทธา สำหรับในภาพยนตร์จริงๆแล้ว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับขุนพันธ์ก็คือมาจากพี่โขม แต่สำหรับขุนพันธ์เวอร์ชั่นนี้คือเราจะตีความให้มันเป็นแฟนตาซีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เพราะถ้าจะให้ตรงกับตัวจริงของท่าน คือท่านโด่งดังเรื่องการที่ท่านเป็นคนที่ตัวเล็ก พี่โขมก็รู้สึกว่าอยากให้ขุนพันธ์เวอร์ชั่นเราเป็นคล้ายๆกับขุนพันธ์ในเวอร์ชั่นที่คนเขาร่ำลือกัน ใหญ่กว่าชีวิตจริงหน่อย ซึ่งพอเราได้ศึกษาบท ประวัติของท่าน ซึ่งตัวขุนพันธ์เองในหนังเรื่องนี้ก็จะมีหลายเวอร์ชั่น ก็จะเริ่มตั้งแต่เป็นนายตำรวจอ่อนหัด แล้วก็ค่อยมีการเติบโตของตัวละคร คือในหนังเราไม่ได้ตีความว่าเปิดมาแล้วท่านได้เป็นขุนพันธ์ที่เราร่ำลือกันลย ผมก็เลยพยายามมองคาแรคเตอร์ที่ตีความไว้ คือพยายามคิดให้เป็นมนุษย์ให้มากที่สุด เราก็ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม เกิดเหตุอะไรที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นขุนพันธ์
          สำหรับในการถ่ายทอดคาแรคเตอร์ขุนพันธ์ ที่พยายามทำการบ้านและตีความออกมานี่ คือสิ่งที่ผมเองอยากจะเล่า อยากจะเล่นออกมาให้คนเห็นว่าท่านเอง หรือตัวละครที่เราต้องการสื่อออกมามีการเติบโตเหมือนกัน คือไม่ได้แบบอยู่ดีๆก็มีอาคม อยู่ดีๆก็เป็นคนที่โหดเหี้ยม มันมาจากการที่เขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมรอบตัวเขา ชาวบ้านที่ได้ถูกฆ่าและรังแกหรือทารุณ ไอ้ตรงนั้นมันจุดประกายที่เขารู้สึกว่านี่คือการสู้ไฟด้วยไฟ คือเขารู้สึกว่ามันเป็นทางออกเดียว ณ ตรงนั้น เหมือนผมพยายามจะเพิ่มความแค้นของตัวละครเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เข้าเซ็ตกับพี่น้อย ผมก็จะพยายามดึงของเขามาใช้ เพียงแต่ว่าด้วยกฎของขุนพันธ์นี่คือกฎกติกาของกฎหมาย มันจะมีเส้นบางๆที่มันสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างขุนพันธ์ กับตัวอัลฮาวียะลูที่พี่น้อยเขาเล่น ศัตรูของขุนพันธ์ คือผมรู้สึกมันร้อนเท่ากัน เดือดเท่ากัน เพียงแต่ว่าของขุนพันธ์ต้องมีต้องคุมมันได้ อาศัยกฎหมายที่เป็นหลักการของเขา ผมไม่ได้ตีความว่าขุนพันธ์เป็นพระเอก หรือเป็นคนดีหรือไม่ดี ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นคือเขาเป็นคนที่เดือดพอสมควร เพียงแต่ว่าเขามีกฎหมายที่เป็นหลักการของชีวิต ความถูกต้องของเขา
          Q. เราจะได้เห็นการทำงานในพาร์ทแอ็คชั่นดีไซน์เดือด ชนิดทุ่มเกินร้อยของอนันดาในบทขุนพันธ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึง
          A. ด้วยความเป็นหนังแอคชั่นเต็มรูปแบบทำให้ในภาพยนตร์จะมีฉากแอคชั่นที่สำคัญๆ และน่าสนใจเยอะมากอย่าง ฉากที่ขุนพันธ์ต้องสู้กับ เสือสัง(เดี่ยว ชูพงษ์) มาจากการหลวงโอฬาร(แฟรงค์ ภคชนก์) ได้ให้ อัลฮาวียะลู(น้อย กฤษดา) มาจัดการกับขุนพันธ์แต่จัดการไม่ได้ ก็เลยไปเอาเสือสังมาจัดการกับขุนพันธ์อีกที เมื่อเกิดอันตรายในหมู่บ้านขึ้นมา ขุนพันธ์ก็พยายามจะเอาชาวบ้านหนีขึ้นรถไฟ เกิดการต่อสู้บนโบกี้รถไฟกับเสือสังระหว่างที่ขุนพันธ์พยายามจะเอาชาวบ้านหนี ถือเป็นฉากแอคชั่นใหญ่โตมโหฬารในการไล่ล่า เป็นฉากสู้กับพี่เดี่ยวที่เดือดฮะ ร้อนมาก เกือบตายครับ ผมก็ไม่เข้าใจนะ หนังพวกนี้ทำไมไม่ไปถ่ายในเขาเย็นๆกันบ้าง ต้องไปอยู่ในทุ่งร้อนๆคลุกกับดินคลุกทราย ในพาร์ทที่ต้องต่อสู้กับพี่เดี่ยวมันจะผ่านการต่อสู้กันหลายที่ สู้กันทั้งในโบกี้รถไฟ บนหลังคารถไฟ แล้วก็มีช่วงที่ตกจากรถไฟ กระโดดขึ้นรถไฟอีกรอบ ขี่ม้าตามรถไฟ โอ้โฮ มันเป็นซีเควนซ์ที่ค่อนข้างยาวพอสมควร คือมันอาศัยความถึกนะ ผมว่าผมก็เล่นหนังแอคชั่นมาเยอะพอสมควร ก็อาจจะไม่เคยเจออะไรที่มันเหนื่อยขนาดนี้ ก็พอเล่นเสร็จก็สลบ แบบไม่พูดอะไรกันนะ ไม่มี เฮ้ย ดีนะนาย คือเล่นเสร็จ คัท บางคิวนี่ถึงกับมีออกซิเจนมาด้วย มาสแตนบายเผื่อ เพราะมันจะมีคิวที่ผมต้องเล่นแบบone long takeสู้กับโจร 20-25 คน ทีมงานมีการเตรียมถังออกซิเจนมาเลย พอคัทเสร็จคือหน้ากากหายใจออกซิเจนมา มันโหดร้ายมาก โลเคชั่นที่เขาเลือกกันน่ะ คือมันร้อนจริงๆ ก็ทุกวันอาจจะเสียน้ำไปเป็นแบบสิบๆลิตร พอเหงื่อมันออกพวกเมคอัพพวกหนวด มันก็จะเริ่มหลุดไปทีละอย่างๆ บางทีก็จะอึดอัด เพราะว่าพอเขาคัททุกคนก็จะรุม บางทีเราก็บอกว่า ขอแป๊บนึง ขอหายใจสักสิบวิ แล้วค่อยมารุมต่อ นับว่าเป็นหนังที่ใช้พลังงานสูงมาก ด้วยทักษะการสู้คือจริงๆตัวละครเราจะไม่เท่ากับตัวละครของพี่เดี่ยวเขา ของพี่เดี่ยวเขาก็จะเน้นเร็วและลีลา ของผมก็จะหนักหน่วงแล้วก็จะโดนเขาเยอะฮะ ของเราก็จะเน้นเป็นแบบทีเดียวตายเลย ขอโดนทีเดียวตายแน่นอน แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นก็คือโดนเยอะมากเลย พี่เดี่ยวเขาก็จะมีอาวุธเป็นคารัมบิต คือเขาเน้นใช้ความเร็ว ก็จะมีพลาดกันบ่อย คือนิ้วแหกนิ้วบวมก็ได้เสียเลือดกันบ่อยเหมือนกันกับพี่เดี่ยว แต่ก็เป็นฉากที่น่าสนใจมากเพราะว่ามันได้โชว์หลายอย่างจริงๆ ได้โชว์แอคชั่นแบบที่ใช้อาวุธ ใช้พรอพ ได้โชว์แอคชั่นแบบที่เน้นลีลา ได้โชว์แอคชั่นแบบที่ใช้สลิง มันครบเลย คิวแอคชั่นที่องค์ประกอบมันเยอะ ส่วนมากเราต้องต่อสู้นอกจากตัวละครจะเยอะ เราต้องสู้กับคิวที่จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะบางทีเราต้องสู้ทีแบบ 3-4 คนพร้อมกัน แล้วก็พื้นที่อาจจะจำกัดอย่างเช่นอยู่ในโบกี้รถไฟ พื้นที่มันก็มีอยู่แค่นั้น หลายๆครั้งก็ ถ้าดูในหนังมันก็เป็นคิวที่มันคิดสดเหมือนกัน บางทีเราก็แบบ เฮ้ยมันมีของตรงนี้ เราหยิบไอ้นี่มาทุ่มไหม หรือแบบเรากระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้ตัวนี้ แล้วก็ค่อยกระโดดลงมาฟันหรือเปล่า บางทีดีไซน์สดเลย เดี๋ยวโดดออกหน้าต่าง ขึ้นหลังคาโบกี้แล้วค่อยกลับลงมาอีกฝั่ง แต่ที่เจอกับพี่เดี่ยวจะเป็นฉากบู๊ที่ค่อนข้างยาวมาก
          Q. เมื่ออนันดาพูดถึง น้อย กฤษดา ความลงตัวของเคมีทางด้านการแสดงระหว่าง2นักแสดงพลังล้นเหลือคือ
          A. ส่วนหนึ่งที่รับเรื่องนี้ก็เพราะมีพี่น้อยเล่นอยู่ ได้ยินมาเยอะแล้วไงว่าเขาไม่ธรรมดาซึ่งก็ได้เห็น ผมว่าผมไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนที่จะสวมบทบาทได้ลึกขนาดที่แกทำ บางทีมันถึงขั้นน่ากลัวด้วยซ้ำไป บางที่ผมไม่รู้ว่า..เรียกว่าควบคุมตัวเองไม่อยู่รึเปล่า บางคิวที่แบบทุกคนเป็นห่วงว่า เฮ้ย ตอนคิวสู้กันจะรอดไหม เพราะว่าพี่น้อยเขาจะเล่นแบบสุดตัวจริงๆ เขาก็ห่วงเดี๋ยวจะโดนกันจริง มันก็มีโดนกันจริงหลายรอบ ก็ขอโทษกันไป แต่ว่าสิ่งที่ผมว่ามันน่าสนใจในอัลฮาวียะลู นั้นคือไอ้ความเดือดนั้นมันจะออกมาได้อย่างไร ซึ่งผมว่าพี่น้อยเขาทำได้ดีมาก ทุกวันที่เข้าฉากกับพี่น้อยก็คือผมไม่เตรียมอะไรเลย ตัวละครของผม ผมมีกฎกติกาของผมอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่ตัวละครขุนพันธ์ทำได้ แล้วเราก็จะมาดูว่าพี่น้อยจะมาด้วยอะไร แล้วค่อยรีแอ็คตามเขา เพราะไม่มีทางที่เราจะรู้ว่าแกจะเล่นแบบไหน บางทีแกเปลี่ยนเทคต่อเทคเลยอะไรอย่างนี้ ซึ่งผมว่ามันทำให้ตัวละครเขาน่าสนใจ เดี๋ยวเงียบเดี๋ยวดูสุขุม เดี๋ยวโหวกเหวกโวยวายขึ้นมา คือเราก็ต้องเตรียมพร้อมด้วย เพราะขุนพันธ์เองก็ต้องค่อนข้างแกร่ง จิตต้องแกร่งเหมือนกัน แล้ว2ตัวละครนี้ก็ต้องมาสู้กันด้วยจิตด้วย ซึ่งตอนผมเล่นก็ต้องอย่าไปคล้อยตามแกมากเกินไป คือถึงแม้ว่าเขาเป็นคู่ปรับของเรา แล้วเราแพ้ทางเขาในบางส่วน มันก็ต้องมีบางจุดที่ต้องคอยเตือนตัวเองว่า เฮ้ย อันนี้เราต้องหยุดต้องนิ่งกว่านี้ ไม่ใช่เขาเล่นมาแรงแล้วเราก็พยายามจะปะทะเขาอย่างเดียว เราก็ต้องหาจุดที่มันพอดี ระหว่างเล่นมันต้องมีสมาธิตลอด
          Q. การทำงานร่วมกันกับผู้กำกับ ก้องเกียรติ โขมศิริ
          A. เรารู้จักกันมานานแล้ว ก่อนรู้ว่าจะได้ทำโปรเจกต์นี้ ไม่ต้องมาปรับตัว หรือต้องมาเข้าใจกันอะไรมากมาย เราก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนยังไง เขาจริงจังแค่ไหนกับงานของเขา แล้วเขาเป็นคนที่ค่อนข้างอินกับบท และตัวละคร เขาชอบตีความด้านลึกของตัวละคร คือเขาพยายามจะขุดขึ้นมาให้ได้ว่าตัวละครคือใคร ปมคืออะไร ซึ่งผมก็ชอบมาก ก็สนุก เราก็จะมีช่วงเวลาหลายเดือนก่อนถ่าย เขาจะไปดูโลเคชั่นเลยปราณบุรีลงไป กุยบุรีแถวนั้นนะครับ ก็จะมีบ้านของพี่โปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่เป็นจุดที่ทีมเขาจะไปประชุมกันคุยกันเรื่องของตัวละคร โลเคชั่น การเตรียมงาน ผมจะชอบไป ก็เป็นช่วงเวลาที่ตัวละครของขุนพันธ์มันเริ่มกลมขึ้น เริ่มกลายเป็นคนขึ้นมากเรื่อยๆ ซึ่งทำงานมันจะสนุก มันคือการแชร์กันแล้วก็หาทางออกที่ดีที่สุด ครั้งแรกที่เราอ่านเราว่าเรื่องมันสนุก แต่ว่าตัวละครหลายตัวนี่มันอาจจะยัง เหมือนเราแค่ได้อยู่ผิวเผิน แต่พอในช่วงเวลาที่เราได้ไปคุยกันเยอะๆนั่นก็คือช่วงที่ตัวละครตัวนี้มันจะมีชีวิตขึ้นมา
          Q. เล่าถึงฉากแอ็คชั่นสำคัญที่ทั้งท้าทาย และเปรียบดั่งสัญญาลูกผู้ชายของ ก้องเกียรติ โขมศิริ และอนันดา เอเวอริงแฮม
          A. มันจะมีฉากแอคชั่นอยู่ฉากหนึ่งที่ผมกับพี่โขมเคยคุยกันไว้ มันเกิดมาจากการที่เราถกกัน เราต้องมีสักฉากหนึ่งไหมที่เป็นฉากจำ หรืออย่างน้อยเป็นฉากที่แตกต่างไปจากหนังแอคชั่นทั่วไป ถ้าจะให้ล้ำจริงต้องเป็นเทคเดียวอยู่ แบบที่ไม่มีคัท คือรวดเดียวโชว์แอคชั่นแบบล้วนๆเลย เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่องOld Boy ที่มันจะเป็นการแทรคตัวละครเคลื่อนไปด้านข้างของเฟรมกล้อง แล้วก็สู้กับศัตรูเป็นสิบๆ ก็เลยเกิดการดีไซน์ฉากนี้ขึ้นมาก็ได้ซ้อมกับทีมสตั้นท์ แต่บางทีในห้องซ้อมกับหน้าเซตมันจะต่างกัน พอถึงหน้าเซตนี่แทบจะต้องเริ่มต้นใหม่ ฉากที่อยู่ในโบกี้รถไฟที่เขาผ่าโบกี้รถไฟเป็นครึ่งเพื่อที่เราจะได้เห็นด้านใน แล้วก็เป็นตัวละครสู้จากท้ายโบกี้มาหัวโบกี้ โดยที่ระหว่างนั้นก็จะมีทีมสตั้นท์คอยเข้ามาทีมละ 3-4 คน ทั้งหมดซีนนั้นใช้เวลาประมาณ 4 นาที โดยที่เป็น 4 นาทีที่ต้องจำคิวเป๊ะๆ เราก็ต้องปรับตัวเข้าฉากใช่ไหม หลายอย่างที่เราซ้อมไว้ก็ต้องแก้ไข ปรับ แล้วก็คิดใหม่ ก็เป็นฉากที่นับว่ามันยากมากแล้วมันก็ถอยไม่ได้ เพราะว่าเราก็สัญญากับพี่โขมไว้แล้วว่า เฮ้ย มาซะขนาดนี้แล้ว ต้องแมนต้องทำให้ได้ กี่เทคเราก็ต้องทำให้ได้ แต่บางทีเราลืมไปว่า 4 นาทีนั้นพอเราใช้พลังเต็มที่ พอมาถึงศัตรูแบบ 2-3 คนสุดท้ายนี่คือหมดแม็กจริงๆ ถ้าดูในหนัง ผมว่ามันจะเห็นว่าพอมาถึง 3-4 คนสุดท้าย มันคือแบบเฮือกสุดท้ายจริงๆ อีกนิดเดียวจะเป็นลมอยู่แล้ว พอเล่นเสร็จก็จะมีทีมเข้ามาพร้อมกับออกซิเจน รู้สึกว่าถ่ายไป 9 เทคนะถ้าจำไม่ผิด ถ้าให้พูดถึงก็น่าจะเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในเรื่องนี้ก็หวังว่าพี่โขมไม่ใช้เทคแรกนะ ใช้เทคแรกผมฉุนเลยนะ แต่ก็ยากมากฮะ เพราะว่าผิดพลาดทีก็ต้องเริ่มต้นใหม่แต่พอทำได้ก็เป็นฉากจำสำหรับผม เป็นฉากที่ภาคภูมิใจมาก ในฉากนั้นน่าจะมีสตั้นท์อยู่ 20 กว่าคนนะ ก็คือสตั้นท์ทั้งหมดทีมสตั้นท์น่ะ(ขำ)
          Q. ความน่าตื่นตาตื่นใจที่คนดูจะได้สัมผัสในความเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเหนือจินตนาการซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์แอ็คชั่นทั่วไปที่เราได้ดูกัน
          A. นอกจากแอคชั่นที่ดุเดือด จะมีแอคชั่นที่สู้กันด้วยคาถาอาคม ซึ่งมันก็ให้อีกมิติหนึ่งในเรื่องนี้ ซึ่งผมว่ามันไม่ค่อยได้เห็น ผมว่าสำหรับคนไทยมันจะเป็นฉากที่พิเศษมาก เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องของการไล่ล่าระหว่าง 2 ตัวละครที่จะมีวิชาอาคมมีความสามารถพอๆกันเลย ฆ่าไม่ตายทั้งคู่ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือต่างคนก็ทำด้วยเหตุผลที่ตนเองรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าในโลกของ 2 คนมันอยู่ทั้งคู่ไม่ได้ สุดท้ายมันก็ต้องตายสักคนหนึ่ง มันต้องมีผู้แพ้ ซึ่งจุดนี้น่าสนใจมาก
          Q.เรื่องราวของขุนพันธ์
          A. เรื่องของขุนพันธ์จะเกี่ยวข้องกับนายตำรวจคนหนึ่งที่ตัวเขาเอง ได้ข่าวเรื่องของโจรที่โหดเหี้ยมในเมืองหนึ่ง ก็เลยเดินทางไปที่เมืองนั้น ผมว่ามันจะมี 2 มุมคือเขาจะมีมุมที่เขาอยากจะไปดึงความศรัทธานั้นกลับมาให้ได้ ศรัทธาในความถูกต้องในกฎหมาย แต่พอเขาเข้าไปที่เมืองนั้น ตอนนั้นตัวขุนพันธ์เองก็ยังไม่ได้เป็นขุนพันธ์หนวดเขี้ยวอย่างที่เห็นตอนนี้ เราก็จะเล่าเรื่องของนายตำรวจคนหนึ่งที่เขาไปแฝงตัวอยู่ในสังคมหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่ง เขาที่จะไปปราบโจรอัลฮาวียะลูนี่ละ เขาก็ไปปลอมตัวเป็นไอ้บุตร์ ในเรื่องนี้ผมจะมีหลายลุคมาก รู้สึกว่าจะมี 4-5 ลุคได้มั้ง จะมีนิกเนมสำหรับแต่ละลุค พอเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านเขาก็ได้เห็นว่าในหมู่บ้านนั้นก็ถูกกดขี่ด้วยคอรัปชั่น ด้วยโจร ด้วยตัวละครของอัลฮาวียะลู เขาได้เห็นว่าหมู่บ้านนั้นน่ะก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย ของนักการเมืองท้องถิ่นตรงนั้น ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้พบกับบุหงา(กบ พิมลรัตน์) คือตอนที่ยังเป็นบุตย์เขาก็ได้สนิทกับหลายคนในหมู่บ้าน รวมถึงมาลัย(อ้อม กานต์พิสชา) ซึ่งก็มีเกิดสปาร์ค วันหนึ่งพอเขามาเปิดตัวว่าจริงๆแล้วเขาคือตำรวจ มันก็เกิดเรื่องราวในหมู่บ้านนี้ ณ จุดนั้นคือเขายอมไม่ได้แล้ว เขารู้สึกว่าเขาต้องขึ้นมาเป็นกฎหมายของสังคมนี้ นั่นคือครั้งแรกที่เขาจะไว้หนวดเขี้ยวแล้วก็เป็นขุนพันธ์อย่างเต็มตัว ก็จะเข้าความเข้มข้นระหว่างขุนพันธ์กับอัลฮาวียะลูก็เป็นจากจุดนั้นเป็นต้นไป ก็คือเขาเป็นคู่ปรับกันเป็นเรื่องเป็นราว เขาก็จะสู้กันด้วยหลายวิธีจะมีทั้งดาบทั้งปืน ทั้งสู้กันด้วยจิต ด้วยอาคมอะไรอย่างนี้
          Q.ท้ายนี้ อนันดา อยากพูดอะไรถึงท่านขุนพันธ์
          A. ครับ ท่านก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดานะ ก็อยู่มาได้ถึง 108 ปี เราขอสัก 70 เราก็แฮปปี้แล้ว แต่ที่สำคัญสุดก็คือต้องขอบคุณท่าน แล้วก็ขอบคุณทุกๆคนครอบครัวท่าน ทีมงานทุกคนที่ได้ให้โอกาสผมมาเล่นเป็นขุนพันธรักษ์ราชเดช เพราะว่า ก็นับว่าท่านเป็นคนสำคัญมากสำหรับประวัติศาสตร์ไทย ก็ขอบคุณครับ
« Last Edit: June 24, 2016, 08:42:57 AM by FB »

FB on June 27, 2016, 03:39:42 PM
Movie Guide: กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เป็น อัลฮาวียะลู คู่ปรับที่น่ากลัวที่สุดของขุนพันธ์









[ตัวอย่างเต็ม ขุนพันธ์ (Official Trailer)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68</a>

          Q. เมื่อได้ยินชื่อโปรเจกต์ครั้งแรก และถูกทาบทามให้มาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์
          A. หลายคนทราบว่าผมก็เล่นอันธพาลกับโขมมาก่อน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากสำหรับผม ตอนที่โขมโทรมาชวนรับทันทีเลยครับ พอได้คุยกันปั๊บ ก็ยิ่งอยากเล่น มันเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้นะครับ ตอนแรกที่พอได้อ่านบทก็รู้สึกว่ามันท้าทายมากเลย จะทำได้เปล่า จะทำถึงเปล่า มันยากนะ จำได้ว่ามีซีนหนึ่ง ไม่ใช่ซีนแอคชั่น ส่วนมากน้อยจะเริ่มเครียด และเริ่มคิดว่าจะทำได้เปล่า เป็นซีนที่ต้องพูดเยอะมาก เป็นซีนที่น้อยเผชิญหน้ากับอนันดาครั้งที่ 2 ที่นั่งด้วยกัน ซึ่งเป็นซีนที่หลายคนได้เห็นในทีเซอร์ที่กินลูกกระสุน สิ่งที่ผมต้องพูดกับอนันดานี่เยอะมากเลย เกือบหน้าหนึ่งนะครับ ซึ่งคำที่ใช้ ศัพท์ที่ใช้ เป็นภาษาไทยสมัยก่อนด้วยผมก็เหนื่อย ผมก็ โอ้โห(หัวเราะ)
          Q. ทราบว่าขุนพันธ์เป็นภาพยนตร์แอคชั่นเต็มรูปแบบ ทั้งส่วนของเอฟเฟกต์ ระเบิดกระสุน ไปจนถึงการแสดงที่ต้องเชือดเฉือนกันแบบมันส์หยดเลยทีเดียว โดยเฉพาะน้อย-กฤษดา กับ อนันดา
          A. ใช่ครับอย่างตอนเราอ่านบท ซีนนี้แอคชั่นมันส์แน่เราอยากเล่น แต่นี่เป็นซีนที่เผชิญหน้ากันระหว่าง2ตัวละครสำคัญซึ่งเป็นคู่ปรับกัน แล้วคำที่เราพูดมันลึกเหลือเกิน คือว่าไดอะล็อคมันดีมาก โมโนล็อคมันดีมาก แล้วมันแรงเหลือเกิน มันขึ้นมาจากข้างใน แต่เรานิ่งนะครับ มันเหมือนเปรียบเป็นแอคชั่นในตัวของเรา เพียงแต่เวลาเราพูดจะนิ่งหน่อย สำหรับนักแสดงมันท้าทายมากนะ ทั้งน่ากลัวแล้วก็ทั้งมันส์ ก็เลยตื่นเต้นกับซีนนี้มากเป็นพิเศษเลยครับ
          Q. คาแรคเตอร์ "อัลฮาวียะลู" มหาโจรผู้เหี้ยมโหด ที่ถ่ายทอดการแสดงแบบเกินร้อยของน้อย กฤษดา เป็นอย่างไร
          A. อัลฮาวียะลู ก็คือคู่ปรับของขุนพันธ์ เป็นโจรทางภาคใต้ เขาจะปกครองดูแล และคุ้มครองผู้คนในเขตพื้นที่ของเขานะครับ ในอดีตที่ผ่านมาตัวเขาเอง ครอบครัวได้ผ่านเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ชีวิตเขาเองจะค่อนข้างโดดเดี่ยว หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจใครสักเท่าไหร่ สำหรับเขาแล้วรู้เพียงอย่างเดียวว่านี่คือพื้นที่ของเขา คนพวกนี้เป็นชาวบ้านของเขา เป็นคนของเขา ที่เขาต้องคุ้มครอง และในพื้นที่ของเขาใครจะเข้ามาเขาไม่สน แต่เขาพร้อมจะลุกขึ้นปกป้อง และป้องกัน โดยจะทำทุกอย่างครับ เขาเป็นคนที่มองทุกอย่างเป็นแค่ขาว-ดำเท่านั้น เวลาผมอ่านบทก็จะรู้สึกได้ว่าทุกสิ่งที่เขาพูดมันจะเป็นแบบเหมือนกับการออกคำสั่ง อืม อืม อืม แรงเสมอ
          Q.ถ้าให้คำจำกัดความของอัลฮาวียะลู
          A. อัลฮาวียะลู มหาโจรที่ฆ่าไม่ได้ ตายไม่เป็น ขุนพันธ์อาจจะล่าเราได้แต่ฆ่าเราไม่ได้ เพราะตัวอัลฮาวียะลูเอง มีทั้งความโหดเหี้ยม โหดร้าย คือเป็นโจรที่ฉลาดด้วยนะครับ สามารถฆ่าคนโดยที่ไม่คิดอะไร แต่จะมีอุดมการณ์ของตัวเอง ถ้าเกิดนี่คือที่ของเขาคุณก็จะตายทันที ชื่อของเขาอัลฮาวียะลู แปลว่าหลุมที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งตัวขุนพันธ์ (อนันดา) จะต้องเข้าไปในหลุมนี้ที่ลึกเหลือเกิน เพื่อที่จะดึงความเป็นปมบางอย่างของอัลฮาวียะลู เพื่อที่จะปราบอัลฮาวียะลู เราจะได้เห็นกันว่าขุนพันธ์ทำได้หรือไม่
          Q. เป็นตัวละครที่ไม่ธรรมดา มีทั้งความสามารถพิเศษเฉพาะตัว โดยเฉพาะเรื่องยิงไม่เข้า คงกระพันและมีอาวุธที่ใช้ประจำตัว
          A. อัลฮาวียะลู เขาก็จะมีอาวุธในหลายรูปแบบ นอกเหนือจากการที่เล่นของอยู่แล้ว จะมีกริช มีรอยสักซึ่งเป็นสิ่งที่ป้องกันเขาได้ จริงๆโขมก็เป็นคนบอกมาเองนะครับว่า เวลาเปรียบเทียบพี่น้อยจริงๆแล้วมันไม่ต่างจาก ลอร์ดเวเดอร์นะ ซึ่งจะต้องมีไลท์เซเบอร์ การใช้บังคับคนด้วยจิตได้อะไรอย่างนี้ มีอาวุธ มีอาคม คงกระพัน จริงๆเขาจะค่อนข้างมีทุกอย่างครบถ้วนในคาแรคเตอร์ของเขา และในสุดท้ายเขาจะรู้สึกอย่างนั้นว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้วคิดว่าตัวขุนพันธ์ไม่น่ามาปะทะกับโจรคนไหนที่มีครบทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆอย่างอัลฮาวียะลู เพราะเขาตายไม่เป็น เวลาเราเล่นบทอัลฮาวียะลูนี่รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นทั้งวิญญาณ เป็นมนุษย์ ซึ่งผมว่าขุนพันธ์เองก็น่าจะไม่เคยเจอมาก่อนนะครับ
          Q.ในการที่ต้องถ่ายทอดตัว "อัลฮาวียะลู" หัวหน้าโจรผู้โหดเหี้ยม ที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับตัวตนของ น้อย กฤษดา เลย ต้องมีการเตรียมตัวหรือทำอะไรเป็นพิเศษบ้าง
          A.การเตรียมพร้อมก็จะเริ่มตั้งแต่ยังไม่เปิดกล้อง แล้วพอมาถึงในช่วงของการถ่ายทำ ในแต่ละฉากก่อนเล่น ก็ต้องมีการเตรียมตัว เตรียมพร้อมอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบท อัลฮาวียะลู ซึ่งเป็นตัวละครที่ค่อนข้างห่างไกลจากคาแรคเตอร์เรามาก การที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้มันมีมิติเหลือเกิน แล้วอัลฮาวียะลูเอง อาจไม่ได้เป็นคาแรคเตอร์จริงอย่างขุนพันธ์ แต่ว่าก็ยังมีโจรอีกหลายต่อหลายคน ที่ในชีวิตจริงขุนพันธ์เคยปราบมาแล้วนะครับ เราก็พยายามเบสคาแรคเตอร์ของเรา กับโจรที่เป็นจริงเหล่านั้นครับ เลยเกิดการตีความ 2 อย่างเราก็พยายามทั้งศึกษาว่า โจรสมัยโน้นเขาเชื่อมั่นในสิ่งอะไร จุดยืนเขาอยู่ที่ไหน เขาเกิดมาเป็นอย่างไรถึงคิดกลายเป็นโจรอย่างนั้น อีกอย่างหนึ่งเราก็พยายามใช้จินตนาการ การตีความ อย่างการที่คาแรคเตอร์เราก็ไม่ได้เป็นจริงด้วย เราก็สามารถใช้อิมเมจิเนชั่นมาสร้าง มันสามารถสร้างสีสันได้ เพราะอย่างในเรื่องก็มีคาแรคเตอร์ของอัลฮาวียะลู ที่คล้ายๆของขุนพันธ์ด้วยใช่ไหมครับ ผมก็แบบแอบดูว่าอนันดาเขาเดินยังไง ขาเขาจะเป็นยังนี่ ไม่รู้ว่าภาษาไทยเขาจะเรียกยังไงฮะ ขาเขาจะเขย่งครับ น้อยก็จะเริ่มเดินเหมือนอนันดานิดหน่อยแล้วกัน ให้มีอะไรใกล้เคียงกันในการมูฟเม้นท์นิดหน่อยนะครับ(หัวเราะ)
          Q. ถ้าเปรียบเป็นมวยก็ถือได้ว่าถูกคู่และสมศักดิ์ศรี อนันดา กับน้อย-กฤษดาจับคู่ทางด้านการแสดงรวมไปถึงบู๊แอคชั่น อยากให้พูดถึงการทำงานกับอนันดา
          A. ผมจะอายุมากกว่าอนันดา ห่างกันเกือบเจนเนอเรชั่นหนึ่งด้วยซ้ำ แต่เหมือนอนันดาเข้ามาในวงการก่อนน้อย ก่อนเป็นน้อยวงพรูผมก็จะเห็นอนันดาอยู่แล้ว แล้วเราก็ยังติดภาพมองเขาเป็นซุปเปอร์สตาร์นะครับ แต่ผมก็พอรู้ว่านิสัยเขาเป็นยังไงอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่ติดดินมากครับ แต่ผมจะตื่นเต้นเสมอนะครับ ไม่ว่าจะแสดงกับใครก็ตาม แต่ถ้าเกิดเป็นพวกดาราแบบใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอนันดา หรือว่าชาคริต ผมจะตื่นเต้นเสมอ ผมยังมองเขาเป็นสตาร์ครับ จนกว่ามาเล่นซีนด้วยกันซึ่งอันนั้นผมก็ต้องเริ่มมีสมาธิจริงแล้ว เวลาที่ผมเล่นในขณะนั้นข้างในผมหัวใจกำลังเต้นไวอยู่นะ มันตื่นเต้น โดยเฉพาะซีนแรกครับ สิ่งที่ผมชื่นชม ผมอิจฉานิดหน่อยกับอนันดา เขาเป็นนักแสดงที่รีแลกซ์มากครับ ตั้งใจ เป็นคนที่คอนเซนเทรตได้ทันทีนะครับ การแสดงมันก็สนุกตรงนี้ การรับบทต่อกันแล้วเราก็จะเริ่มเรียนรู้คนนี้แสดงดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอนันดา ซึ่งสิ่งที่เขาทำได้ดี มันเหมือนกับว่าเราเองก็รู้ว่านี่เป็นอนันดาที่เล่นอยู่ใช่ไหมครับ เราจะเชื่อว่าเขาเป็นคาแรคเตอร์นั้น เวลาเขาเล่นบทเป็นขุนพันธ์ เราก็เชื่อว่าเขาเป็นขุนพันธ์ ถึงแม้เราจะรู้ว่านั่นคืออนันดานะ นั่นคือสัญลักษณ์ของนักแสดงที่ดี ที่มีพรสวรรค์ ความสามารถที่พิเศษ ซึ่งบางทีอนันดาอาจจะนิ่งไม่ต้องพูดอะไรมากก็ได้ มันก็เป็นสิ่งที่ผมสังเกตเวลาเล่นกับอนันดานะครับ พลังเขาออกมา แม้เขาจะนิ่งๆ แล้วพอเราแสดงด้วยกันเราก็เริ่มรู้แล้วว่า จะจ้องตากัน สบตากัน หรือจะชกต่อยกัน จะรับกันยังไง เพราะคาแรคเตอร์ผมก็จะแรงเสมอ อนันดาก็จะรับ
          Q. เล่าให้ฟังถึงเบื้องหลังของการทำงานในฉากยากๆว่าเหนื่อยขนาดไหน สาหัสอย่างไร
          A.จริงๆมันก็มี 2 ฉากนะครับ ก็คือฉากไคล์แมกซ์ของภาพยนตร์ที่ต้องสู้กัน ที่ 2 คนต้องมาแรงใส่กัน แล้วมันก็เหนื่อยจริงๆ ฉากแรกที่ผมเจอเขา เขายังปลอมตัวอยู่ ฉากที่ 2 นี่รู้แล้วว่ามึงเป็นใคร แล้วผมเตรียมตัวแบบ รู้ว่า โอเค ยูตื่นเต้นไม่ได้ ยูต้องโฟกัสนะ ตอนนั้นเราก็ถ่ายที่กุยบุรี มันเหมือนเวลาจะขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ที่อิมแพ็คอะไรอย่างนี้ บางทีมันก็ซ้อมก็คิดมาเยอะแล้ว พอถึงจุดนั้นอย่าตื่นเต้น อย่าไปคิดมากเกินไปให้มันรีแลกซ์ เราก็แสดงได้ดีขึ้น ซีนนั้น ผมก็บอกทุกคนว่าผมขอขับรถผมไปได้ไหม ขอขับรถดูวิวของกุยบุรีที่มันมีภูเขา เริ่มต้องเตรียมพร้อมต้องอินแล้วกับซีนนี้ แล้วผมก็เปิดเพลงของเดอะคิลเลอร์ เพลงแร็ป เหมือนกับมันเป็นเพลงสกอร์ภาพยนตร์ให้กับคาแรคเตอร์ผมครับ แล้วเพลงก็แบบแรง ผมก็กำลังมา แล้วผมก็บอกทีมงานว่า เวลาพร้อมก็โทรมาหาน้อยนะ น้อยรีบขับกลับมาเลย ผมก็แต่งตัวอย่างนี้ในชุดอัลฮาวียะลู ผมก็อินกับคาแรคเตอร์แล้ว มาแล้วเว้ย แล้วพอไปถึงฉากมันต้องโฟกัสมากเลยฮะ นั่นก็เลยเป็นฉากที่มันส์ดีแต่ก็เหนื่อยมาก ประมาณ 2-3 เทคฮะ เริ่มไม่พร้อม เหนื่อยแล้วๆ แต่พอเสร็จแล้วอนันดาก็บอก เฮ้ยทุกคน..เป็นไง(หัวเราะ)
          Q. ในภาพยนตร์ขุนพันธ์แล้ว ยังมีอีกตัวละครที่มีความสำคัญมากๆที่จะต้องเกี่ยวพันกับตัวอัลฮาวียะลู นั่นคือหลวงโอฬาร ซึ่งรับบทโดย แฟรงค์ ภคชนม์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันครั้งที่2แล้วหลังจากอันธพาล
          A. กับแฟรงค์นี่เป็นนักแสดงที่ผมให้ความนับถือมากๆครับ ถ้าเกิดที่เมืองนอกเขาจะเรียกว่าคาแรคเตอร์แอคเตอร์ เขาอาจจะไม่ได้เป็นแบรด พิตต์ แต่ละคนที่มีฝีมือเยอะเหลือเกินมีโอกาสให้เขาได้โชว์ฝีมือที่เขาเล่นอย่างนี้ครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นกับแฟรงค์มาก่อนในอันธพาล แล้วพอมาในเรื่องนี้บทก็ไม่เหมือนกันเลย แล้วเวลาผมแสดงกับเขา ผมก็รู้สึกได้เลยว่านี่เป็นนักแสดงที่แท้จริง เขาเหมือนเป็นนักแสดงแล้วพอเขาเปลี่ยนมาเล่นบทอะไรก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง สามารถพลิกบทบาทได้ ให้ตัวละครตัวนั้นโดดเด่น อย่างเรื่องอันธพาลแฟรงค์ก็เป็นตัวไม่ดี อันนี้ก็อีกคาแรคเตอร์หนึ่ง แล้วเขาทำได้ดีมากครับ ผมก็อยากร่วมงานกับแฟรงค์อีกนะครับ
          Q.จากการทำงานที่ผ่านมาในภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์คิดว่าฉากไหนยากที่สุด.
          A. สำหรับฉากที่ยากมันก็จะมี 2 สไตล์ มันจะมีทั้งฉากที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวเลย แค่พูดกันแล้วส่งบทกัน ต้องมีสมาธิมากๆ ซึ่งฉากพวกนั้นจะยากมากอยู่แล้ว อีกฉากหนึ่งก็น่าจะเป็นฉากที่มันเหนื่อยครับ แล้วผมก็ไม่เคยเลยจริงๆนะครับ แสดงอยู่บนเซต ไม่ใช่แค่ 24 ชั่วโมงนะ 36 ชั่วโมง ผมจำได้ถ่ายตั้งแต่เจอกัน 6 โมงเช้า เป็นฉากแอคชั่นสุดท้ายนะครับ6 โมงเช้า ผมก็นึกว่าจะเสร็จภายใน 6 โมงเย็นอย่างนั้น แล้วก็ไปเรื่อยๆอีก จนถึงเที่ยงคืนแล้ว ผมก็เริ่มเหนื่อยแล้ว จนบางที ซีนหนึ่งนี่แสดงๆกันไป แล้วพอคัท เทค 1 เสร็จแล้วก็รอเทค 2 ใหม่ นั่งรอแล้วก็นั่งหลับ เทค 2 โอเค อีกทีหนึ่ง จนต่อถึงเที่ยงวันต่อไป จริงๆนะครับไม่ใช่แค่น้อยคนเดียวนะครับแต่คนอื่นด้วย แต่มันต้องทำให้เสร็จครับ วันนั้นเหนื่อยมากเลย ผมไม่เคยเล่นหนังที่เหนื่อยขนาดนี้มาก่อน มันก็สมควรเหนื่อยนะครับกับฉากนี้ เพราะว่าตอนถ่ายวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายด้วย แล้วก็ซีนแอคชั่นสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย และการที่ต้องมาชกต่อยกัน ยิง แทงกันครับ ก็เหมือนกับเป็นฉากแอคชั่นที่เหนือจริงที่มโหฬาร แล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนการที่นอกเหนือจากการยิงกัน แทงกัน ชกๆๆ แล้วมันก็มีการที่ต้องยกมอเตอร์ไซค์ให้มันลอย ผมเริ่มรู้สึกเหมือนอเวนเจอร์อย่างนี้ (ขำ) เวลาที่เขาไปโพสต์โปรดักชั่นของเขา เราก็ตื่นเต้นนะครับ อยากดูจริงๆว่ามันจะออกมาเป็นยังไง รอบตัวเรามองไปทางไหนก็มีแต่คนเสียชีวิต ที่แบบเลือดไหลอะไรอย่างนี้ แล้วการที่ต้องถ่ายทำกันไปแบบ 16 ชั่วโมง 20 ชั่วโมง มันเหนื่อยแต่มันคุ้มครับแล้วมันคุ้มค่าจริงๆ
          Q.ฟังๆดูแล้วเป็นฉากแอ็คชั่นที่นอกจากยิ่งใหญ่อลังการแล้ว ยังมีรายละอียดค่อนข้างเยอะมากในฉากนี้
          A. ก็คือในซีนนั้นที่เราถ่ายทำไปใน36 ชั่วโมง ถึงแม้ว่ามันก็เหมือนกับเป็นการถ่ายหนังซีนหนึ่ง แต่พอมันคือ1ซีนในสไตล์ของโขมนี่ มันจะยิ่งมีดราม่าในแอคชั่นนะครับ และมันต้องทำทั้ง 2 อย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นดราม่าการแสดง แม้แต่แค่รับบทระหว่างกันและกัน กับการชกต่อยกัน คือการถ่ายทอด 2 อย่างในซีนเดียวกัน ซึ่งสำหรับโขมนี่มันต้องได้ เราต้องเข้าใจว่าเวลาเราเล่นหนังมันมีโอกาสครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นมันก็จะอยู่ในจอ มันจะอยู่ตลอดชีวิตนั่นคือผลงานของเรานะครับ เลยต้องทำให้ถึงทำให้ได้ครับ หลายครั้งถึงเราจะเหนื่อย บางทีเราแสดงก็จะรู้สึกว่าผมอินมาก แต่กลายเป็นไฟดันไม่ได้ บางทีการจะอินแบบ 3-4 เทคก็ยาก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นไฟ ทีมงาน นักแสดงทั้ง 2 คน มันต้องลงล็อคพอดีเลยครับ ยิ่งสำหรับโขมอย่างพวกเราทุกคนนี่ ฉากแอคชั่นมันก็อาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ ทั้งรถไฟ มอเตอร์ไซค์ มันต้องมาชนกันในจุดนั้นพอดี มันก็เลยเหนื่อยนะครับ แต่ว่าเวลาทำถึงแล้วเราก็รู้สึกดีจริงๆครับ มันก็คุ้มค่ากับการที่เราตั้งใจหรือทุ่มเททำกัน เลยทำให้เวลาเราอิน แล้วปรากฎว่ามีการสั่งคัท เราก็แบบคัททำไม(หัวเราะ) เวลาเล่นผมก็จะคอยสังเกต ซึ่งผมไม่ได้เป็นนักแสดงระดับโลก อย่างคริสเตียน เบล หรือว่า แดเนี่ยล เดย์ ลูอิส ที่ผมได้ข่าวว่าเขาจะอินทั้งวันเลย แต่ผมจะอินแค่ช่วงเวลาถ่ายซีนนั้นนะ แบบเวลาคัท ผมก็อาจจะบางทีผมก็ยังเป็นคาแรคเตอร์อัลฮาวียะลูตอบโขมอยู่ (เสียงใหญ่) อะไรนะ อยากให้ทำอะไรอีกนะ โอเคๆ ได้ๆ ซึ่งกลายเป็นว่าผมยังอยู่ในคาแรคเตอร์นั้นนะฮะ (หัวเราะ)
          Q. ความประทับใจที่เกิดขึ้นกับการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้
          A. มันก็มีฉากประทับใจหลายรูปแบบนะครับ เพราะว่าสิ่งที่โขมเขาทำให้มันดีมากๆสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือเขาสามารถผสมผสานแอคชั่นกับดราม่าได้อย่างดี และลงตัวทีเดียว เวลาเราไปเล่นหนังเขานี่ เราจะสามารถรู้หรือสัมผัส ได้รับรสชาติในการแสดงที่หลากหลายทีเดียว ฉากแอคชั่นที่มันส์นี่ มันไม่ใช่แค่ผมสู้กับอนันดาเท่านั้นนะครับ อย่างมันเป็นเพียงแค่ฉากที่ทำให้เราได้มีโอกาสได้ขี่ม้า จริงๆผมเองก็เหมือนกับนักแสดง เหมือนผู้ชายทุกคน เด็กๆฝันขี่ม้า อยากยิงปืน การเป็นนักแสดงเราโชคดีจริงๆที่ได้มีโอกาสเล่นขี่ม้า ยิงปืน เป็นโจรอย่างนี้ครับ ข้างในเราก็มีความเป็นเด็ก ก่อนที่จะแสดงก็ไปหัดขี่ม้ากัน แล้วเป็นฉากแรกของการถ่ายทำในหนังที่ผมได้ขี่ม้ามาลุย มาปราบพวกตำรวจ แล้วก็ยิงๆ แล้วเราเองไม่ใช่แค่เริ่มมีความสัมพันธ์กับนักแสดงคนอื่นๆ แต่เราก็เริ่มมีกับม้าของเราด้วยนะครับ ม้าของเราตัวไหน อยากได้ตัวเดิมนะ มันก็มีความเป็นเด็กของเรานะครับที่แบบขี่แล้วจะเท่ ยิงปืน ผมก็เลยประทับใจกับความรู้สึกตรงนี้ด้วยนะครับ
          Q.ในภาพยนตร์จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้ชมจะได้เห็นความเป็นอัลฮาวียะลู และเป็นอีกฉากที่ผู้ชมจะได้เห็นการแสดงของน้อย กฤษดาที่เข้มข้นมากๆ..
          A. ก็มีฉากหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าเป็นฉากเปิดเผยคาแรคเตอร์อัลฮาวียะลูนะครับ ซึ่งคนที่เล่นของ เขาจะทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะมีอำนาจ เขาจะเป็นคนที่ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อที่จะมีพลังมากขึ้นนะครับ ซึ่งเป็นซีนที่เขามาเผชิญหน้ากับพระรูปหนึ่ง แต่พระรูปนี้ก็มีของ ของอันนั้นก็คือฟันที่งอกขึ้นอยู่ในเพดานของปาก ซึ่งถ้าเกิดรวมกับอีก 2-3 อย่างนี่ มันสามารถให้เขาเพิ่มพลังได้อย่างสูงทีเดียวครับ ซึ่งต้องรอไปดู ผมก็ไม่เคยแสดงฉากนี้มาก่อน ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่คนดูอาจจะได้พบกับพลังของอัลฮาวียะลูครับ ในเบื้องหลังในการเตรียมตัวทำงานก่อนจะเล่นซีนนี้ ผมก็เริ่มฟังเพลง แต่ผมไม่ได้ฟังเพลงน้อย วงพรูนะ แต่ละซีนผมจะมีซาวน์แทรค ครั้งนี้ผมจะฟัง M&M ครับ เพลงแร็พครับเขาจะเหมือนว่าคนนี้กำลังโกรธอยู่ ฟังแล้วก่อนจะเล่นผมก็แบบเตรียมพร้อมมาละ แอคชั่น เวลาที่เราแสดงมันไม่ใช่แค่คิดเกี่ยวกับว่า ได้รับฟันจากเพดานปากนั้นมานะ ผมก็กำลังคิดถึง M&M กับพลังกับเสียงอันแรงของเพลง มันก็บิ้วท์ในสไตล์นี้ครับ สนุกดีครับ
          Q. ขุนพันธ์คือโปรเจกต์แห่งความเป็นที่สุด
          A. ในหนังของโขมนะครับ เขาจะมีบทที่นักแสดงทุกคนอยาก หรือตื่นเต้นที่จะเล่น มีบทที่น่าสนใจเยอะครับ แล้วมันจะสนุก เวลาเราได้เห็นพัฒนาของนักแสดงแต่ละคนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอย่างอ้อม (กานต์พิสชา เกตุมณี) อย่างนี้นะครับ ซึ่งเธอก็เล่นขุนพันธ์ก่อนมาแสดงแม่เบี้ยด้วยซ้ำ การที่เป็นหนังเรื่องแรกของอ้อมนี่ ตอนนี้เธอก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้น เราก็ได้เห็นเธอเดินออกไปเรื่อยๆ มันเหมือนกับสมัยก่อนที่ผมเคยเล่น 13 เกมสยองกับมะเดี่ยว หลังจากถ่ายกันเสร็จก็เจอมาริโอ้ มะเดี่ยวบอกกำลังมีรักแห่งสยาม เด็กคนนี้ก็มีแวว ตอนนี้แบบ โห เป็นซุปเปอร์สตาร์ เวลาเราเห็น เราก็จะติดภาพอนันดาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เวลาเรามาแสดงกับอนันดา มัน โอ้โฮ คนนี้มันเคลื่อนไหวได้คล่องตัว ผมก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ผมก็เคลื่อนไหวเก่งนะ ผมน้อย วงพรูนะเว้ย ผมเต้นเก่งนะ(หัวเราะ) ผมเคลื่อนไหวได้เยอะนะ แต่มันจะอีกแบบหนึ่งครับ แล้วก็อย่างแฟรงค์ที่ผมก็รักมากอยู่แล้วนี่ สำหรับเขาอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย แต่ถ้าเกิดผมได้เล่นบทเป็นนักการเมืองนี่ มันท้าทายมากกว่าสำหรับเขาอย่างนั้นนะครับ คือทุกคนสามารถมีโอกาสได้พลิก(ล็อค)บทได้ในหนังของโขมนะครับ แล้วผมก็สนุกมากกับการแสดงกับทุกคนนะครับ ได้เห็นสไตล์ใหม่ของแต่ละคน แม้แต่อนันดาก็อาจจะดูเท่มากเวลาชกต่อยแต่ว่ามันก็เป็นการแสดง ส่วนเดี่ยวเขาก็มาทางแอคชั่นอยู่แล้วนะครับ ก่อนที่เราจะเปิดกล้องถ่ายทำหนังเรื่องขุนพันธ์นี้ ผม อนันดา เดี่ยว กบ ก็ไปฝึกขี่ม้ากัน ฝึกชกมวยกันด้วย แต่สำหรับเดี่ยว คือเขาเกิดมาเพื่อเดินสายนี้โดยตรงเขาธรรมชาติ แล้วเราก็ได้เรียนรู้จากเขาเยอะมากทีเดียวด้วย ผมว่าเดี่ยวเขาก็มักจะได้เป็นคนดีในหนังแอคชั่นของเขา แต่คราวนี้ขอโทษนะ เดี่ยวก็เป็นมือขวาของน้อยนะครับ ที่มาปะทะกับอนันดา และการแสดงด้วยกันกับเดี่ยวส่วนมากก็จะสื่อสารผ่านสายตา ก็แบบเคลียร์ๆ "ฆ่ามัน"
          Q. เราจะได้เห็นอินเนอร์และการทุ่มเทการแสดงแบบสุดตัว ของนักแสดงทุกๆคน รวมทั้ง น้อย กฤษดา ที่ถึงขนาดว่าติดคาแรคเตอร์ความเกรี้ยวกราดของอัลฮาวียะลูกลับบ้านด้วย
          A. ในการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะกับบทบาทนี้ บางทีเราเองก็เริ่มลืมไปแล้วว่า ตอนนั้นเราอินไปกับบทมากขนาดไหน ผมก็ไม่นึกว่าผมจะเป็นนักแสดงที่เอาบทกลับมาบ้าน เอาคาแรคเตอร์อัลฮาวียะลูบทนี้ติดกลับมาด้วยนะครับ จนมาวันหนึ่งในขณะที่ผมอยู่ที่บ้าน แล้วก็ทะเลาะกับภรรรยาเล็กน้อย แล้วผมก็เริ่มแบบ ชี้หน้า น่าเกลียดมากเลยครับ ผมก็ไม่จริง แล้วภรรยาผมก็ เฮ้ย ยูไม่เคยชี้หน้าไออย่างนี้มาก่อนนะ นี่มันแรงมากเลยนะ ผมลืมไปๆเพราะว่าบทอัลฮาวียะลูเป็นคนที่ชี้บ่อยมาก เป็นคนที่พูดอะไรมักจะออกมาเป็นคำสั่งเสมอ อาจแค่ส่งสายตาอยากให้เบิ้ลความแรงก็จะชี้ ผมก็ขอโทษภรรยา ไอผิด มันไม่ใช่น้อย มันเป็นอัลฮาวียะลู บางทีมันก็เอากลับมาบ้านด้วย ผมไม่นึกว่ามันจะเป็นถึงขนาดนั้นครับ มันเหมือนกับแค่เวลาพูดมันก็เหนื่อยแล้ว เวลาเล่นคาแรคเตอร์นี้ มันก็เป็นความกลัวนิดหน่อยด้วย เวลาแสดงจนไม่กล้าไปดูมอนิเตอร์ รู้สึกแบบมองตัวเองแรง รู้สึกมันไม่ใช่เราอย่างนั้นนะครับ ผมก็รู้สึกว่าหนังไทยบ้านเราช่วงนี้ก็จะเน้นหนังวัยรุ่นเยอะนะครับ ผมก็ไม่ได้เป็นวัยรุ่นแล้วโอกาสที่จะได้เล่นบท ได้เปลี่ยนคาแรคเตอร์อย่างนี้ โอกาสมันจะมีอีกเมื่อไหร่ มันอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ จนกว่าโขมทำหนังอีกเรื่องหนึ่ง จนกว่าสหมงคลฟิล์ม บาแรมยูชวนผมมาเล่นครับ เรารู้ว่าเวลานักแสดงรู้ว่าเวลาบทอย่างนี้มา พลาดไม่ได้นะ ไม่ว่ายูจะล้มหรือจะยืนขึ้น ยูจะพลาดไม่ได้อย่างนี้ครับ เราก็เลยต้องเต็มที่ แล้วก็จับมัน อย่าปล่อยมัน
          Q. ท้ายนี้ น้อย อยากฝากอะไรกับ "ขุนพันธ์"
          A. เราก็รู้สึกว่าเราเป็นนักแสดงที่โชคดีจริงๆนะครับ ที่โขมเขามาให้โอกาสเราเล่นบทนี้ เหมือนกับพวกหนังตลกผมก็เคยลองแสดงมาบ้าง หนังโรแมนติกก็เคยมาบ้าง นักแสดงหลายๆคนก็อยากมีโอกาสได้เล่นบทร้ายสักเรื่องหนึ่งนะครับ แต่ว่าบทร้ายนี่ เราจะได้เล่นอย่างไร ออกมาเป็นอย่างไร นั่นมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ บทร้ายนี่จะ...(ร้ายอย่างไร) ซึ่งมันก็เป็นความสนุกของการแสดงนะครับ เสียงน้อยก็เสียงนิ่มๆอยู่แล้วด้วย แต่เวลาอ่านบทแล้วก็ไปทิศทางนั้นไม่ได้นะครับ มันก็ต้องลองเสี่ยงละกัน ลองเสี่ยงแบบให้เอาแรงที่สุดที่จะแรงให้ได้แล้วกัน ซึ่งลึกๆแล้วผมก็รู้ว่าโขมอยากให้ผมรุนแรง ก็ต้องหัดพูดให้มันแรงกว่านี้ ผมก็ต้องเริ่มแบบดัดเสียงให้ได้ ซึ่งมันก็ยากนะครับ บางวันก็ เอ๊ะ ทำไมวันนี้เสียงมันไม่มา ผมก็ต้องไปฝึกให้ได้ แต่นี่ผมก็เป็นนักร้องนะแต่มันก็ยากครับ สำหรับบทอัลฮาวียะลูครั้งนี้เป็นการพลิก และเปลี่ยนคาแรคเตอร์ที่สุดที่ผมเคยทำมาครับ
« Last Edit: June 28, 2016, 08:08:58 AM by FB »

FB on June 28, 2016, 08:10:07 AM
Movie Guide: เปิดตัวอย่างเต็ม จากตำนานวีรบุรุษ สู่ภาพยนตร์ไทยแอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี “ขุนพันธ์”



ตัวอย่างเต็ม ขุนพันธ์ (Official Trailer)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=J3yjBYtFg68</a>

          หลังปล่อยทีเซอร์บอกเล่าถึงมือปราบแห่งตำนานและมหาโจรผู้เหี้ยมโหดทั้ง 2 ตัวออกมาสร้างกระแสสนั่นโลกโซเชี่ยล และเป็นที่พูดถึงปากต่อปากในวงกว้าง สำหรับภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปีของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลเรื่อง "ขุนพันธ์" ฝีมือการกำกับและเขียนบทโดย "ก้องเกียรติ โขมศิริ" กับการไล่ล่า เชือดเฉือนความเข้มข้นด้วยอาคมต่ออาคมระหว่าง ขุนพันธ์ ที่รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม และ อัลฮาวียะลู ที่รับบทโดยกฤษดา สุโกศล แคลปป์ 2 คู่แค้นที่ฆ่าไม่ได้ และตายไม่เป็น

          ล่าสุดกับตัวอย่างเต็ม ที่ประกาศศักดาความความมันส์แบบเต็มสตรีม กับเรื่องราวเข้มข้น ฉากต่อสู้ดุเดือดสุดท้าทายแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และอาคมต่ออาคม ของ 2 คู่เหมือนที่แตกต่าง คนหนึ่งต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ส่วนอีกคนสู้เพื่ออุดมการณ์ แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่ได้ พิสูจน์ความมันส์แบบ อาคมเหนืออาคม แห่ง "ขุนพันธ์" พร้อมกัน 14 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ

FB on June 29, 2016, 04:11:52 PM
เสาร์ที่ 2 ก.ค.นี้ ชาวนครศรีธรรมราชเตรียมเสียงกรี๊ดให้พร้อม 3 ซูเปอร์สตาร์ อนันดา-กฤษดา-สนธยา พร้อมผู้กำกับจาก “ขุนพันธ์” ประกาศบุกโรงพบแฟนๆ แบบใกล้ชิด!



          วันเดียวเท่านั้นที่ชาวนครศรีธรรมราช ผู้ที่มีจิตศรัทธายึดมั่นในแบบอย่างแห่งความดีของ "ขุนพันธ์" ยอดตำรวจวีรบุรุษหนังเหนียวผู้เป็นตำนานจะได้กระทบไหล่นักแสดงและร่วมสนุกพร้อมรับของที่ระลึกจากมือของ 3 ซูเปอร์สตาร์ อนันดา เอเวอริงแฮม ผู้รับบท ขุนพันธ์, กฤษดา สุโกศล แคลปป์ (น้อย-วงพรู) ผู้รับบท อัลฮาวียะลู และ สนธยา ชิตมณี (สน-เดอะสตาร์) ผู้รับบท ไข่โถ พร้อมด้วย ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง "ขุนพันธ์" อย่างใกล้ชิด ในวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม นี้

          13.30 น. ที่โรงภาพยนตร์ SF cinema โรบินสัน นครศรีธรรมราช

          15.30 น. ที่โรงภาพยนตร์ Major Cineplex สหไทยพลาซ่า นครศรีธรรมราช

          แล้วเตรียมตัวนับถอยหลังสู่ภาพยนตร์แอคชั่นอาคมเหนืออาคมเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี "ขุนพันธ์" 14 ก.ค.นี้ พิสูจน์ "แรงกระสุนหรือจะสู้แรงศรัทธาแห่งความดีอันยิ่งใหญ่ของขุนพันธ์" พร้อมกันในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ

FB on July 05, 2016, 09:05:22 AM
“สหมงคลฟิล์ม” แจก “เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59” พิเศษเฉพาะผู้ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้า “ขุนพันธ์” เปิดขายวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ จำนวนจำกัด 10,000 ชุด ทั่วประเทศ





          สหมงคลฟิล์ม จัดใหญ่ไม่เหมือนใคร พร้อมมอบ "เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่น ขุนพันธ์ 59" เป็นพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อบัตรชมภาพยนตร์ล่วงหน้า (Advance ticket) "ขุนพันธ์" ทุก 2 ที่นั่ง จะได้รับเหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ 59 จำนวน 1 เหรียญ โดยขอสงวนสิทธิ์เฉพาะการซื้อตั๋วที่หน้าโรงภาพยนตร์เท่านั้น (ยกเว้น การซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์) เปิดขายในวันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 59 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ทุกโรงภาพยนตร์ ทุกสาขา ทั่วประเทศ จำนวนจำกัด เพียง 10,000 ชุดแรกเท่านั้น โดยไม่มีการวางจำหน่ายที่ใดทั้งสิ้น มาก่อนมีสิทธิ์ก่อน

          "เหรียญเสมาหลวงปู่ทวด รุ่นขุนพันธ์ ปี 59" พิเศษนี้จัดทำเพื่อผู้ชมที่ตั้งตารอภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี "ขุนพันธ์" โดยจัดพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปพระอริยสงฆ์ที่คนไทยต่างศรัทธา "หลวงปู่ทวด" ส่วนด้านหลังเป็นรูปของ "ขุนพันธ์" ตำรวจมือปราบผู้ผดุงคุณธรรมและศรัทธาในความดี ซึ่งเหรียญฯ มีพิธีพุทธาภิเษกแล้วถึง 3 วาระ ครั้งแรกที่ศาลพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง จ.นครศรีธรรมราช ดินแดนบ้านเกิดของขุนพันธรักษ์ราชเดช ครั้งที่ 2 ทำพิธีปลุกเสกแบบโบราณ 8 ทิศ ที่ วัดพระมหาธาตุฯ จ.นครศรีธรรมราช โดยคณาจารย์สายเขาอ้อและภาคใต้ และครั้งที่ 3 นับเป็นการพุทธาภิเษกครั้งสุดท้าย ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่วัดลาดปลาดุก โดยมีพระอาจารย์ร่วมนั่งปรกเจริญพระพุทธมนต์รวม 19 รูป

          เตรียมพบกับภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์ เรื่องราวของมือปราบแห่งอาคมใน "ขุนพันธ์" 14 กรกฎาคม นี้ทุกโรงภาพยนตร์

          รายชื่อโรงภาพยนตร์ที่ร่วมโปรโมชั่น ได้แก่ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป , โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ , เซ็นจูรี่ , ธนา ซีนีเพล็กซ์ , MVP , เนวาด้า , โคลีเซียม และเครืออื่นๆ (ยกเว้น โรงภาพในเครือ เมเจอร์ ฮอลลีวูด)