happy on April 28, 2013, 03:29:17 PM
โบนส์, สก็อตตี้, เชคอฟและซูลู: เลียวนาร์ด “โบนส์” แม็คคอย แพทย์ประจำยาน ก็อยู่ในระหว่างการตั้งคำถามเช่นกัน เขาตั้งคำถามทิศทางที่ฝูงบินสตาร์ฟลีทกำลังมุ่งหน้าไป “เขามีความกังวลเกี่ยวกับภารกิจนี้ของพวกเขาเพราะมันเป็นภารกิจทางทหารมากกว่าและเขาก็เชื่อว่าฝูงบินสตาร์ฟลีทจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในภารกิจเกี่ยวกับสันติภาพและการสำรวจครับ” คาร์ล เออร์เบิน นักแสดงบู๊ผู้กลับมารับบทนี้อีกครั้ง หลังจากไปรับบทตัวละครแห่งโลกอนาคตใน “Dredd” กล่าว
อารมณ์ขันเจ็บแสบของโบนส์กลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์บนยานเอนเตอร์ไพรซ์ ที่คอยทำให้เคิร์คและสป็อคไม่ถือสาหาความในเรื่องต่างๆ และกันและกันอย่างจริงจังเกินไปนัก แต่ตอนนี้ เขาต้องรับศึกหนักในเรื่องนั้นเมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นทั่วยานเอนเตอร์ไพรซ์ สำหรับเออร์เบิน ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสนาน “สำหรับผม แก่นของ Star Trek คือมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนที่อาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเข้ากันได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นคนที่สามารถก้าวข้ามความแตกต่างเพื่อเอาชนะคู่ปรับที่มีร่วมกันได้” เขาอธิบาย “ผมมองโบนส์ว่าแตกต่างจากสป็อคอย่างสุดขั้ว ถ้าสป็อคเป็นเหตุผล โบนส์ก็จะเป็นความเป็นมนุษย์...ส่วนเคิร์คก็ต้องหาพื้นที่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่ เพื่อเป็นกัปตันที่ยอดเยี่ยม ใน ‘Star Trek Into Darkness’ คุณจะได้เห็นจุดบรรจบที่สำคัญในความสัมพันธ์นั้นขณะที่พวกเขาแต่ละคนพยายามหาคำตอบว่าจะตอบสนองกับภารกิจนี้อย่างไรน่ะครับ”
สก็อตตี้ วิศวกรผู้เอะอะมะเทิ่งของยาน ก็อยู่ระหว่างจุดเปลี่ยนใน “Star Trek Into Darkness” เช่นเดียวกัน ซึ่งมันก็สร้างความตื่นเต้นให้กับนักแสดงและนักแสดงตลกชาวอังกฤษ ไซมอน เพ็กก์ ที่กลับมารับบทนี้อีกครั้งอย่างยิ่ง “มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้รับบทสก็อตตี้อีกครั้ง เพราะลูกเรือเอนเตอร์ไพรซ์กำลังกลายเป็นลูกเรือจริงๆ แล้วในตอนนี้ ในภาคแรก เราก็แค่พบกัน เพื่อหาทางที่จะเดินไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ สก็อตตี้รู้จักทุกคนดีขึ้นแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างการทดลองความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ตามที ยกตัวอย่างเช่น เขายังคงเรียกเชคอฟว่า ‘วี แมน’ น่ะครับ” เพ็กก์กล่าวกลั้วหัวเราะ
แต่คนในยานเอนเตอร์ไพรซ์ที่สก็อตตี้รู้จักดีที่สุดคือ เคิร์ค เพื่อนของเขา และการที่ตอนนี้เขาเป็นกัปตันของยานที่ทรงพลังนี้ก็ไม่ได้หยุดยั้งวิศวกรผู้พูดจาขวานผ่าซากผู้นี้จากการพูดในสิ่งที่คิดเลย แม้ว่ามันจะเสี่ยงต่อหน้าที่การงานของเขาเองก็ตาม เขาเรียกจิมว่า ‘กัปตัน’ เสมอ แต่เขาก็พูดจาตรงไปตรงมากับเขา และในภาคนี้ พวกเขาก็เกิดความขัดแย้งกัน เพราะสก็อตตี้ทดสอบเขาในเวลาที่ไม่เหมาะสม ก็เลยต้องรับผลที่ตามมาครับ” เพ็กก์อธิบาย “ในขณะเดียวกัน มันก็มีความสัมพันธ์จริงๆ อยู่ตรงนั้น สก็อตตี้เคารพเคิร์ค เขามองเคิร์คว่าเป็นกัปตันที่กล้าหาญ มีพรสวรรค์และมีสัญชาตญาณเฉียบคม และเขาก็ชอบความจริงที่ว่าเขาเป็นตัวของตัวเอง เมื่อพวกเขาทะเลาะกันใหญ่โต สก็อตตี้ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์...แต่เขาก็พร้อมที่จะทำสิ่งที่กัปตันของเขาร้องขอด้วย”
ปรากฏว่า ความกังวลในทีแรกของสก็อตตี้เกี่ยวกับอันตรายในภารกิจใหม่ของยานเอนเตอร์ไพรซ์ได้กลายเป็นจริง “สก็อตตี้เป็นนักดื่มนิดๆ เป็นคนเอะอะโวยวายหน่อยๆ และบางครั้งก็งี่เง่าอยู่บ้าง แต่เขาก็เป็นวิศวกรที่เก่งทีเดียวล่ะครับ” เพ็กก์กล่าว
นอกจากนี้ เพ็กก์ยังยินดีกับการได้กลับมาร่วมงานกับเจ.เจ. อับรามส์อีกครั้งด้วย “เขาเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนยานเอนเตอร์ไพรซ์นี้ด้วยความกระตือรือร้น การมองโลกในแง่บวกและความคิดสร้างสรรค์ ที่ทำให้ทุกคนตื่นตัวอยู่เสมอครับ” เขากล่าว
แอนตัน เยลชิน ผู้กลับมาสู่ยานเอนเตอร์ไพรซ์อีกครั้งในบท พาเวล เชคอฟ อัจฉริยะชาวรัสเซีย ก็รู้สึกคล้ายๆ กัน “สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับเจ.เจ.คือเขาใส่ใจในโลกใบนี้และการเดินทางส่วนตัวของตัวละครแต่ละตัวจริงๆ” เขากล่าว “ผมรู้สึกสนุกกับการถูกกำกับโดยเจ.เจ. และการเห็นเขากำกับด้วยครับ”
เชคอฟเป็นผู้มาแทนที่สก็อตตี้ชั่วคราวในตอนที่เขาเกิดปัญหากับเคิร์ค “ในช่วงเวลาที่ร้อนระอุ เคิร์คกับสก็อตตี้มีความเห็นไม่ลงรอยกัน และเคิร์คก็บอกเชคอฟว่า ‘สวมเสื้อสีแดงซะ’ น่ะครับ” เยลชินอธิบาย “มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น มันน่าตื่นเต้นแม้แต่ในระดับสุนทรียศาสตร์เพราะในหนังภาคหนึ่ง ผมสวมเสื้อผ้าสีเดียว แต่ตอนนี้ ผมได้สวมเสื้ออีกสีหนึ่งแล้วน่ะครับ! แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผมรู้สึกเยี่ยมที่ได้แสดงฉากที่เชคอฟจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเขาพร้อมแล้วและสามารถที่จะยืนหยัดและสลับหน้าที่ได้น่ะครับ”
เยลชินเตรียมตัวที่จะกลับมารับบทเชคอฟอีกครั้งด้วยการหวนคืนสู่รากเหง้าของตัวละครตัวนี้ “ผมได้ดูและดูซ้ำหลายๆ เอพิโซดจากซีรีส์ออริจินอล ที่ผมชื่นชอบเชคอฟในนั้นน่ะครับ” เขาอธิบาย “ผมชอบตัวละครตัวนี้จริงๆ และผมก็ตื่นเต้นที่ได้กลับไปอยู่บนยานเอนเตอร์ไพรซ์อีกครั้ง ผมชอบการที่หนังเรื่องนี้ได้นำเสนอธีมเยี่ยมๆ ของการมีชัยชนะและการทำในสิ่งที่ถูกต้อง มันเป็นธีมที่ปรากฏบ่อยครั้งในประวัติศาสตร์วรรณกรรมและหนัง เข้าผสมผสานกับอารมณ์ขันและความชาญฉลาดของโลก Star Trek น่ะครับ”
จอห์น โช ผู้ที่กลับมารับบท ฮิคารุ ซูลู นักบินของยาน ก็กล่าวเห็นพ้องด้วยกับความคิดนั้นว่า “ภาคที่สองให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันซื่อตรงต่อต้นกำเนิดทางจิตวิญญาณของ Star Trek ในแบบที่มันนำเสนอไอเดียและคำถามสำคัญๆ ผ่านทางตัวละครที่คุ้นเคยเหล่านี้น่ะครับ”
สำหรับโช การกลับสู่สะพานเดินเรือร่วมกับเพื่อนร่วมงานของเขาให้ความรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติจริงๆ “มันรู้สึกเหมือนว่าเวลาไม่ได้ผ่านไปเลย” เขารำพึง “มีไม่กี่ครั้งในชีวิตหรอกนะครับที่คุณจะได้รับประสบการณ์ดีๆ และได้ทำแบบเดียวกันนั้นอีกครั้งในรูปแบบที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ผมก็เลยรู้สึกเหมือนได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเลยครับ”แครอล มาร์คัส, คริสโตเฟอร์ ไพค์และผู้บัญชาการ สะพานเดินเรือยานเอนเตอร์ไพรซ์ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในการเดินทางครั้งนี้ด้วย นั่นคือแครอล มาร์คัส เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์พิเศษ ผู้นำความยุ่งยากของตัวเองมาพร้อมกันด้วย ผู้รับบทนักฟิสิกส์ทรงเสน่ห์ผู้นี้ ที่สร้างจากตัวละครที่ปรากฏตัวใน Star Trek เรื่องก่อนๆ คืออลิซ อีฟ นักแสดงหญิงชาวอังกฤษผู้จบจากอ็อกซ์ฟอร์ด ผู้ฝากผลงานไว้ใน “She’s Out of My League” และ “Sex and the City 2”
“เราต้องการคนที่จะให้ความรู้สึกแตกต่างจากทีมนักแสดงคนอื่นๆ แต่ก็สามารถเข้ากับทีมได้ในแบบที่วิเศษสุด เธอจะต้องเป็นคนฉลาดและตลก เธอจะต้องเซ็กซี แต่ก็จะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ และอลิซก็มีคุณสมบัติทั้งหมดนั้นครับ” อับรามส์กล่าว
อีฟรู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมทีมนักแสดง โดยเฉพาะในแบบที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจแบบนี้ “แครอลขึ้นยานเอนเตอร์ไพรซ์มา โดยเรื่องของเธอถูกเก็บเป็นปริศนาค่ะ” อีฟตั้งข้อสังเกต “เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านอาวุธ ที่ได้รับปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ขั้นสูง เธอก็เลยเหมือนทับรอยสป็อคอยู่เล็กๆ แล้วระหว่างแครอลกับเคิร์คก็มีประกายวูบวาบบางอย่าง และสป็อคก็เห็นเรื่องนั้น ดังนั้น บางทีมันอาจจะทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามเล็กๆ ค่ะ”
ประกายความรักวูบวาบที่สร้างปัญหานั้นสนุกเป็นพิเศษเมื่อได้แสดงคู่กับคริส ไพน์ในบทเคิร์ค “แครอลกับเคิร์คมีกลิ่นไอแบบเฮพเบิร์นกับเทรซีค่ะ” เธอรำพึง “ที่มีการปะทะคารมเยี่ยมๆ การทำงานกับคริสก็วิเศษมาก เขาเป็นคนที่เอื้อเฟื้ออย่างเหลือเชื่อ และฉันก็คิดว่าเขาแบกรับหนังเรื่องนี้ได้อย่างงดงามค่ะ”
คริสโตเฟอร์ ไพค์ กัปตันคนเดิมและผู้เป็นอาจารย์สำหรับลูกเรือเอนเตอร์ไพรซ์ ก็มีบทสำคัญใน “Into Darkness” เช่นกัน โดยบรูซ กรีนวู้ด ได้กลับมาเพื่อช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กัปตันเคิร์ค ศิษย์ผู้อ่อนเยาว์ของเขา ในตอนเรื่องเริ่มต้นขึ้น ไพค์โกรธที่เคิร์คล่วงละเมิดกฎสูงสุด อันเป็นกฎของฝูงรบสตาร์ฟลีทที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ ที่นักท่องอวกาศจะต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือทำสิ่งใดที่อาจเปลี่ยนแปลงวิถีของอีกอารยธรรหนึ่ง โดยมันอาจทำให้เขาสูญเสียตำแหน่งของเขาไปได้ “มันเป็นความจริงที่ว่าไพค์รักเคิร์คเหมือนลูกชาย” กรีนวู้ดกล่าว “ที่ทำให้เขาสามารถตัดสินใจแทนเคิร์คและสป็อคได้ แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะเป็นความผิดร้ายแรงก็ตาม”
ไพค์ไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจให้เคิร์คเท่านั้น แต่เขายังกระตุ้นเคิร์คให้กลายเป็นผู้นำที่ดีกว่าเดิมด้วย “ไพค์บอกเคิร์คว่าในตอนที่คุณปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ คุณจะทำให้หลายคนตกอยู่ในความเสี่ยง และคุณอาจจะเปลี่ยนแปลงวิวัฒนากาลของจักรวาลด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้” กรีนวู้ดบอก “เขาบอกเรื่องนี้กับเคิร์คเพราะไพค์รู้ว่าซักวันหนึ่ง เขาอาจจะได้ใช้ฝีมือของตัวเองในการกอบกู้จักรวาลครับ”
ผู้บัญชาการยานในฝูงบินสตาร์ฟลีทอีกคนหนึ่งก็ต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกันใน “Into Darkness” แต่เขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นซะทีเดียว ผู้ที่รับบทตัวละครที่มืดหม่นและลึกลับนี้คือนักแสดง ผู้กำกับและนักประวัติศาสตร์ศิลป์ ปีเตอร์ เวลเลอร์ ผู้เป็นที่รู้จักจากบทบาทที่เข้มข้น ที่หลากหลายตั้งแต่ “Robocop” ไปจนถึงดรามาฆาตกรต่อเนื่องจอมเจ้าเล่ห์ “Dexter” และเขาก็สนใจโอกาสที่ได้นำ Star Trek เข้าสู่โลกอันตรายของแบล็ค ออพส์ หน่วยจู่โจมกองหน้าและความลับของฝูงบินสตาร์ฟลีท
เวลเลอร์ได้รับเลือกให้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยโชคชะตาบันดาลโดยแท้ โดยเขาบังเอิญได้ไปอยู่ที่ออฟฟิศโปรดักชันของแบ๊ด โรบอท เพื่อประชุมเกี่ยวกับการกำกับโปรเจ็กต์โทรทัศน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ในตอนที่อับรามส์เกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา “ตอนที่ผมคุยกับเขา ผมก็ได้แต่คิดว่า อืม เขาน่าจะเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทผู้บัญชาการ” ผู้กำกับเล่า “หลังจากนั้น ผมก็โทรกลับไปหาเขา ยื่นข้อเสนอให้เขาและเขาก็บอกว่าผมเอาด้วย มันเป็นความบังเอิญในการคัดเลือกนักแสดงที่พิลึกที่สุดเท่าที่ผมจำได้เลยครับ”
อับรามส์กล่าวเสริมว่า “เราโชคดีที่ได้ตัวเขา ในแง่หนึ่ง ปีเตอร์เป็นคนที่ละเอียดละออและใส่ใจในเรื่องทุกท่วงท่าและรายละเอียด ส่วนอีกแง่หนึ่ง เขาเป็นคนฉลาด และรอบรู้อย่างเหลือเชื่อ ว่าทำไมเขาถึงพูดในสิ่งที่เขาพูดออกไป แต่เขาก็มีสัญชาตญาณเป็นเยี่ยมด้วย และพอเขาเริ่มคุ้นเคยกับกลไกของสิ่งที่เขาทำอยู่ เขาก็ลืมกลไกพวกนั้นและการได้ดูเขาก็เหลือเชื่อเลยครับ”
เวลเลอร์กระโจนเข้าสู่โอกาสนี้อย่างเต็มตัว “บทหนังเรื่องนี้วิเศษสุดครับ” เขากล่าว “ออร์ซี, เคิร์ทซ์แมนและลินเดลอฟได้ให้วัตถุดิบมากมายกับผม และด้วยการขัดเกลาเพิ่มเติมของเจ.เจ. ผมคิดว่าเราก็สามารถสร้างตัวละครที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ เขาเป็นคนที่มีความรู้สึกของความรักชาติ ผู้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับฝูงบินสตาร์ฟลีท เขาอาจจะไม่ดูเหมือนเป็นตัวร้ายก็จริง แต่มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะครับ”ค้นพบคู่อาฆาต
หัวใจที่มืดหม่นของ “Star Trek Into Darkness” อยู่ในรูปแบบของศัตรูที่ลึกลับ ผู้ก่อการร้ายข้ามจักรวาล ผู้ซึ่งสัญชาตญาณทำลายล้างของเขาดูเหมือนจะไร้ขอบเขตไม่ว่าจะเป็นในโลกหรืออวกาศ เขาคือจอห์น แฮร์ริสัน บุรุษแห่งหายนะผู้กลายเป็นเป้าหมายของกัปตันเคิร์ค
ตั้งแต่ตอนที่ทีมผู้สร้างเริ่มนึกถึงชายที่มีชื่อว่าจอห์น แฮร์ริสัน และความเชื่อมโยงลึกซึ้งที่เขามีต่อตำนานของ Star Trek พวกเขาก็เริ่มค้นหาคนที่มีความสามารถทางการแสดงที่จะมาสวมบทนี้ได้แล้ว
หลังจากได้พบกับนักแสดงมากความสามารถหลายสิบคน อับรามส์ก็ตัดสินใจที่จะเดินไปในเส้นทางที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ เขาได้พลิกความคาดหมายด้วยการมองไปที่เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ นักแสดงชาวอังกฤษ ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทบาทอิงประวัติศาสตร์และพีเรียด ที่มีตั้งแต่ซีรีส์ “Sherlock,” “War Horse,” “Atonement” และ “Tinker Tailor Soldier Spy” ไปจนถึง “The Hobbit” และ “Parade’s End” แม้อาจจะดูเหมือนเขาทำในสิ่งที่พลิกความคาดหมาย แต่อับรามส์ก็เชื่อในทักษะและเสน่ห์ของคัมเบอร์แบทช์
“ในภาคแรก เรามีนักแสดงพิเศษสุดที่สวมบทบาทที่เป็นไอคอนเหล่านี้ แล้วทำให้มันเป็นบทบาทของพวกเขา ด้วยจิตวิญญาณที่ตอกย้ำในสิ่งที่พวกเขาทำเบเนดิคท์ทำในสิ่งเดียวกันกับตัวละครตัวนี้ครับ” อับรามส์อธิบาย “เขาเข้ามาในเรื่องนี้ด้วยทัศนคติ บุคลิก แบ็คกราวน์และความเข้มแข็งแบบใหม่ แต่เขาก็เป็นนักแสดงที่ทรงพลังและมีเสน่ห์น่าติดตามมากจนมันเวิร์ค เขามีวิธีการสวมบทนี้ที่ซับซ้อน ประชดประชันที่เหมาะเหลือเกิน สำหรับผมแล้ว มันขัดความกังวลทุกอย่างที่ว่าเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เราไม่ได้ลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ แต่เขาเป็นตัวละครตัวนี้ในเวอร์ชันของเรา และมันเป็นวิธีที่ถูกต้องเพราะเขาเก่งเหลือเกินครับ”
คัมเบอร์แบทช์เป็นแฟน Star Trek อยู่แล้วในตอนที่เขาได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมได้ดูภาคแรกแล้วและผมก็คิดว่ามันยอดเยี่ยม มันเป็นหนังที่ชาญฉลาด เฉียบคมอย่างน่าทึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ซื่อตรงต่อต้นฉบับด้วย และบทนี้ก็ทำให้ผมสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก” เขากล่าว “เจ.เจ.กับผมคุยกันบ่อยเรื่องตัวละครของผม ว่าเขาเป็นใคร และเขามีบทบาทอะไรในฝูงบินสตาร์ฟลีทครับ”
เป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับคัมเบอร์แบทช์ที่จะได้เดินเข้ามาในฉากยานเอนเตอร์ไพรซ์ ท่ามกลางครอบครัวที่ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะรับบทเป็นคนนอกผู้เป็นภัยคุกคามต่อครอบครัวนั้นก็ตาม “เจ.เจ.ได้สร้างบรรยากาศในกองถ่ายที่สนุกน่าขันครับ” เขาให้ความเห็น “เขามีความเคารพต่อนักแสดงและกระบวนการของพวกเขา ดังนั้น มันก็เลยมีเวลาและสถานที่ทั้งสำหรับการเล่นและการใช้สมาธิเคร่งเครียดเสมอ มันเป็นส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมที่มีในกองถ่ายครับ”
ขณะที่เขาดำดิ่งลงไปในจิตใจที่สับสนของตัวละครตัวนี้ คัมเบอร์แบทช์ก็ได้เข้าฝึกฝนเพื่อเตรียมรับบทบาทที่ใช้พลกำลังมากที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับมา ซึ่งจะทำให้เขาเจอกับฉากต่อสู้และซีเควนซ์ต่อสู้มากมาย เขากล่าวว่าทั้งคริส ไพน์และแซ็คคารี ควินโตได้ช่วยเขาในเรื่องนั้น “แซ็คและคริสเก่งในเรื่องนั้นมาก พวกเขาทั้งแข็งแกร่งและรวดเร็วมาก และพวกเขาก็ใจดีและเอื้อเฟื้อผมมาก” เขากล่าว “พวกเขากังวลเรื่องความปลอดภัยเสมอ แล้วพวกเขาก็ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านออกมาครับ”
อารมณ์ที่ตึงเครียดเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างไพน์และคัมเบอร์แบทช์ เป็นที่รับรู้ได้ของทุกคน “ผมชอบการได้เห็นคริสและเบเนดิคท์ตอนที่พวกเขาเข้าฉากด้วยกันเพราะเกิดประกายวูบวาบขึ้นจริงๆ ครับ” คาร์ล เออร์เบินกล่าว
ไพน์กล่าวเสริมว่า “เบเนดิคท์เจาะลึกตัวละครตัวนี้ราวกับมีดผ่าตัด การแสดงของเขาแม่นยำมาก ผมมองเขาอย่างทึ่งในฐานะแฟนหนังและเพื่อนนักแสดง มันทั้งน่าขนลุก น่าสยดสยองและบอกตามตรงนะครับ ผมคิดว่าเขาได้สร้างช่วงเวลาที่น่าจะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของตำนาน Star Trek ขึ้นมาครับ”
« Last Edit: April 28, 2013, 03:32:34 PM by happy »
Logged