เบื้องหลังการสร้าง
มันถูกเรียกว่าคุกที่เลวร้ายที่สุดในเม็กซิโก ทั้งเรื่องความรุนแรง การคอรัปชั่น และจำนวนนักโทษอันมหาศาล มันชื่อ เอล ปัวบลิโต สังคมที่อยู่หลังลูกกรงที่มีนักโทษเป็นผู้คุมทุกอย่าง ยาเสพติดถูกซื้อขายกันอย่างเสรี ไม่ว่าใครก็ตามก็สามารถเข้ามาเยี่ยมได้ทุกเมื่อ ตราบใดด็ตามที่ผู้คุมได้รับค่าตอบแทนอย่างดี
เอล ปัวบลิโต ถูกสร้างขึ้นในปี 1956 ที่ทิฮัวนา เพื่อรองรับนักโทษจำนวน 2,000 คนในการทดลองระบบแบบใหม่ ที่สุดท้ายแล้วผิดพลาดอย่างร้ายแรง เมื่อพวกเขาอนุญาตให้ครอบครัวได้มาอาศัยอยู่ด้วย ด้วยความหวังที่จะทำให้นักโทษไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกตัดขาดจากสังคมและโลกภายนอก ทำให้ภรรยา ลูก แฟน และทุกคนในครอบครัวเข้ามาอยู่ในคุก บางคนก็มาอยู่ถาวร บางคนก็ไปๆมาๆ ในนี้มีทั้งการแต่งงาน เด็กเกิดใหม่ และคนแก่ที่เสียชีวิต
เอล ปัวบลิโต หมายความว่า "เมืองเล็ก" ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในสถานที่แห่งนี้มีบ้านโทรมๆทั้งหมด 700 หลังคาเรือน และร้านค้าที่ถูกจัดตั้งขึ้นในลานอเนกประสงค์ ร้านค้ามีการขายของทุกอย่างที่ต้องการ และทุกคนก็สามารถซื้อได้ทุกอย่างตามราคาค่างวด
เงินคืออำนาจ มันสามารถซื้อทุกอย่างได้ตั้งแต่ยาเสพติด จนไปถึงความคุ้มครองจากอันตรายจากโลกภายในคุก การเป็นนักโทษถูกตีความใหม่ขึ้นมา เมื่อนักโทษยังสามารถก่ออาชญากรรมได้จากทั้งในและนอกสถานที่ โดยมี เอล ปัวบลิโต เป็นเหมือนโลกที่ถูกปกป้องเอาไว้
กลุ่มที่ทรงอำนาจมากที่สุดใน เอล ปัวบลิโต ถูกเรียกว่า ไมซีโรนส์ ที่แปลว่า "หมูกินข้าวโพธ" พวกเขามีกลุ่มรักษาความปลอดภัยเป็นของตัวเอง กองกำลังมีอาวุธทุกชนิด ตั้งแต่ .38 ไปจนถึง อูซี่ เดอะ ไมซีโรนส์ ถือเป็นกลุ่มที่ควบคุมทุกอย่างภายในบริเวณคุก ซึ่งก็รวมถึงเจ้าหน้าที่คุกกว่า 400 ชีวิตที่รับเงินใต้โต๊ะ เพื่อที่จะทำเป็นไม่เห็นเมื่อมีการลำเลียงอาวุธและยาเสพติด หรือนำของฟุ่มเฟือย เช่น อ่างจากุซซี่หรือตู้เย็นเข้ามาในฐานทัพอันโอ่โถงของ เดอะ มาซิโรนส์
ในวันที่ 20 สิงหาคม 2002 ในตอนเช้าตรู่ กองทัพทหารเม็กซิกันกว่า 2,000 นาย บุกเข้ามาใน เอล ปัวบลิโต เพื่อที่จะย้ายนักโทษทั้งหมดไปที่ เอล ฮอนโก ไม่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เอล ปัวบลิโต ก็กลายเป็นอดีต โดยในช่วงระหว่างการบุกยึด มีนักโทษชาวอเมริกันกว่า 80 คน และมีเด็กและผู้หญิงกว่า 600 คนที่ที่อยู่ท่ามกลางนักโทษกว่า 6,000 คน
How I Spent My Summer Vacation ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการถ่ายทำในที่ เวรา ครูซ ที่สถานกักกัน อิกนาซิโอ อัลเลนเด้ ซึ่งถูกใช้แทนที่ เอล ปัวบลิโต โดยนี่คือครั้งที่สองที่ เมล กิ๊บสัน และทีมงานของเขามาถ่ายทำหนังใน เวรา ครูซ หลังจากครั้งแรกกับหนังเรื่อง Apocalypto ในปี 2006
สถานกักกัน อิกนาซิโอ อัลเลนเด้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 105 ปีที่แล้ว เพื่อใช้แทนคุกเก่าที่อยู่ใต้ดินของอาคารเทศบาล แห่งพอร์ท ซิตี้ ซึ่งคุกแห่งนี้ก็กลายเป็นต้นแบบของสถานที่กักกันอื่นๆทั่วทั้งเม็กซิโก โดยในเดือนมกราคม ปี 2010 นักโทษ 300 คนสุดท้ายก็ถูกย้ายไปยังสถานที่กักกันที่ทันสมัยกว่า
มันเป็นงานสร้างของ เบอร์นาโด ทรูจิลโล ผู้ออกแบบงานสร้างที่ช่วยทำให้มันเหมือนมสภาพจริงมากที่สุด โลกของ เอล ปัวบลิโต ภายในสถานกักกัน อิกนาซิโอ อัลเลนเด และด้วยวิสัยทัศน์การสร้างสรรค์และการทำงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของผู้กำกับศิลป์ เจย์ อารอสตี้ และผู้ออกแบบฉาก จูเลียตต้า อัลวาเลส ทำให้โลกของ เอล ปัวบลิโต กลายเป็นจริง
เบอนาร์โด ทรูจิโล เผยถึงการสร้างว่า "เอล ปัวบลิโต เป็นสถานที่ที่วุ่นวายมากที่สุด ที่ถูกสร้างขึ้นจากความฝันที่จะให้นักโทษได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระภายในคุก แต่แล้วมันก็กลับกลายเป็นการทดลองที่ล้มเหลว มีทั้งเรื่องการคอรัปชั่นและความรุนแรงเกิดขึ้นตลอดเวลา พวกเราจึงต้องสร้างความสมจริงของสถานที่ที่ไม่มีการจัดระเบียบใดๆทั้งสิ้น โชคดีที่ว่าคุก อิกนาซิโอ อัลเลนเด้ อนุญาตให้เราทำกับสถานที่ได้อย่างเต็มที่ พวกเราทำลายกำแพงทิ้ง เพื่อสร้างสถานที่จากไม่มีอะไรเลย"
แต่ตอนที่คุก อัลเลนเด้ ยกเลิกการใช้งาน ทางการคิดว่าพวกเขาช่วยเหลือทีมงาน ด้วยการทาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีขาวทั้งหมด ผู้กำกับศิลป์ เจย์ อาโรสตี้ เล่าว่า "พวกเราต้องทำให้มันกลับมามีลวดลายและสีของกำแพงก่อนที่จะถูกทาเป็นสีขาว และเรายังต้องจัดสรรพื้นที่ใหม่ทั้งหมด เพราะด้วยความคับแคบของแต่ละโซน เราต้องทำลายกำแพงแบ่งทิ้งเพื่อใช้มันเป็นลานหลักที่ถูกใช้เป็นตลาดในเรื่อง"
อาโรสตี้ เล่าต่อว่า "การดัดแปลงโครงสร้างของคุก เริ่มต้นหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่ทางการจะอพยพนักโทษหมดทุกคน ทีมงานทำใช้เวลา 5 สัปดาห์ในการรื้อถอนและสร้างทุกอย่าง เพื่อที่จะทำให้มันกลายเป็น เอล ปัวบลิโต ที่เหมือนกับของจริงมากจนคิดว่าทุกคนเชื่อว่าพวกเราได้เข้าไปถ่ายในที่นั่นจริงๆ”
ทรูจิโล พูดถึงแรงบันดาลใจที่เขาได้จากคุก เอล ปัวปลิโต ว่า "เมื่อคุณเดินเข้าไปในห้องขัง คุณก็จะรู้สึกและได้กลิ่นว่ามันมีความสมจริง เพราะมันเป็นคุกที่ถูกใช้งานจริงมาก่อน คุณก็จะได้เห็นร่องรอยของการใช้ชีวิตว่านักโทษอยู่กันมายังไง พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ถือเป็นตัวแทนตัวตนของคุณ พวกเราได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่คุณเห็นในตัวนักโทษ การสร้างความรู้สึกให้เหมือนกับบ้าน ในพื้นที่ที่น่าหดหู่มากที่สุดอย่างเช่นคุก นี่ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เอล ปัวปลิโตมีความแตกต่าง"
ทรูจิลโล สรุปว่า "จากการค้นคว้าข้อมูล ผมพบว่าอารมณ์ขันก็มักจะเกิดขึ้นในคุก ตั้งแต่คุกเม็กซิกัน จนถึงคุกในลาตินอเมริกา จนถึงคุกในแอฟริกา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกนั่นก็คือ ผู้คนจะสามารถหาอารมณ์ขันได้จากสถานการณ์ที่กำลังเจอ และผู้คนที่หาความงามของชีวิตได้ในสถานที่ที่คุณคิดไม่ถึง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในแอฟริกา อินโดนิเซีย หรือเม็กซิโก มันจะมีความคล้ายคลึงกัน พวกเขาพยายามทำให้ชีวิตที่ซ้ำซากให้มีสีสันและมีสันทนาการมากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นอารมณ์ที่เราต้องการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้"
ทีมนักแสดง
เมล กิ๊บสัน (รับบทเป็น ไดรเวอร์ / ร่วมเขียนบท / อำนวยการสร้าง)
เมล กิ๊บสัน เกิดเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1956 เป็นนักแสดง ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง ที่เกิดในอเมริกาแต่เติบโตในออสเตรเลียเขาแจ้งเกิดจากการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Mad Max และในปีเดียวกันนั้นเองเขาก็ได้รับรางวัลจาก Australian Film Institute ในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง Gallipoli และได้รับรางวัลเป็นครั้งที่สองจากภาคต่อ Mad Max 2: The Road Warrior
เขาได้เริ่มทำงานร่วมกับ ปีเตอร์ เวียร์ อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Year of Living Dangerously ก่อนที่จะก้าวเข้ามาในฮอลลิวู้ดโดยแสดงคู่กับ ซิสซี่ สปาเซค ในเรื่อง The River และภาพยนตร์รีเมคชื่อดังในบท เฟรทเชอร์ คริสตียน เรื่อง The Bounty รวมถึงบทนักโทษหนุ่มที่มีความสามารถพิเศษในเรื่อง Mrs. Soffel
เมล กิบสัน ได้แสดงภาคสามของ Mad Max ที่ชื่อ Mad Max Beyond Thunderdome และต่อมากับภาพยนตร์แนวบู๊ผจญภัย เรื่อง Lethal Weapon ที่ถูกสร้างภาคต่ออกมาอีกถึงสามภาค เขายังแสดงหนังสงครามเวียดนามเรื่อง Air America และหนังแอ็คชั่น Bird on a Wire โดยเขายังมีผลงานต่อมาอีกหลายเรื่อง เช่น Forever Young, Maverick, Payback รวมถึง Ransom ซึ่งเขาได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และภาพยนตร์ของ ริชาร์ด ดอนเนอร์ Conspiracy Theory กิบสันยังได้เริ่มงานการกำกับเป็นครั้งแรกในเรื่อง The Man Without a Face
ในปี 1995 กิบสัน ได้ร่วมอำนวยการสร้าง กำกับการแสดง และร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จของบ็อกซ์ออฟฟิสเรื่อง Braveheart ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลออสการ์ถึง 10 รางวัลและได้รับรางวัลถึง 5 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2000 กิบสัน กลายเป็นดาราคนแรกที่แสดงหนังถึงสามเรื่องในปีเดียวที่ทำรายได้ถึง 100 ล้านเหรียญ ในภาพยนตร์ของ โรแลนด์ เอมเมอร์ริช เรื่อง The Patriot การให้เสียงพากษ์เป็นไก่ที่ชื่อ ร๊อคกี้ ในอนิเมชั่นเรื่อง Chicken Run และปลายปีนั้นเขาก็รับบทเป็น นิค มาร์เชล ผู้บริหารนักโฆษณาชาตินิยม ในภาพยนตร์เรื่อง What Women Want แสดงร่วมกับ เฮเลน ฮันท์ ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลลูกโลกทองคำอีกด้วย
ในปี 2004 เมล กิบสัน ได้กำกับภาพยนตร์ศาสนาเรื่อง The Passion of the Christ ที่ทำรายได้ถล่มทลายถึง 370 ล้านเหรีญ และเข้าชิงถึง 3 รางวัลออสการ์ ต่อมาในปี 2006 เขาก็ได้กำกับหนังแอ็คชั่นเรื่อง Apocalypto ที่พูดถึงการล่มสลายของชาวมายัน จนในที่สุดหลังจากการหายไปจากหน้าจอภาพยนตร์กว่า 8 ปี เขาก็ได้กลับมารับบนำใน Edge of Darkness ในปี 2010 และรับบบทนำในหนังดราม่าเรื่อง The Beaver ของ โจดี้ ฟอสเตอร์ ในปี 2011
ปีเตอร์ สตอแมร์ (รับบทเป็น แฟรงค์)
ผลงาน >>> Constantine, Armageddon, The Brother Grimm, ซีรี่ย์ Prison Break
ดีน นอร์ริส (รับบทเป็น บิล)
ผลงาน >>> ซีรี่ย์ Breaking Bad, Terminator 2: Judgment Day, Total Recall
บ็อบ กันตั้น (รับบทเป็น โทมัส)
ผลงาน >>> The Shawshank Redemption, Patch Adams, Demolition Man
ทีมงาน
เอเดรียน กรุนเบิร์ก (ผู้กำกับ, ร่วมเขียนบท)
ผลงาน >>> ผู้ช่วยผู้กำกับ Apocalypto, Edge of Darkness, The Legend of Zorro, Man on Fire
เบนวา เดบีย์ (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน >>> The Runaways, Joshua, Vinyan
สตีเว่น โรเซนบอม (ผู้ตัดต่อภาพ)
ผลงาน >>> Braveheart, X-Men, The Last Samurai
เบอนาร์โด ทรูจิโล (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> Babel, The Mask of Zorro
แอนโตนิโอ พินโต (ประพันธ์เพลง)
ผลงาน >>> Love in the Time of Cholera, City of God
ตัวอย่าง How I Spent my Summer Vacation