Movie: Prometheus
เซอร์ ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังที่สร้างภาพยนตร์แนวไซไฟรูปแบบใหม่ขึ้นมา เขาเคยทำหน้าที่ควบคุมภาพยนตร์ที่มีการผสมผสานระหว่างแนวไซไฟกับแนวสยองขวัญอย่างโด่งดัง เรื่อง Alien ตามมาด้วยเรื่อง Blade Runner ซึ่งเป็นหนังที่ได้รับการนับถือและมีอิทธิพลในยุคของเรามาก ภาพยนตร์ได้นำเสนอเอกลักษณ์ของเขาด้านแอ็คชั่น ความตื่นเต้น ความน่ากลัว และทวีตัวเพิ่มขึ้นเมื่อภาพยนตร์เรื่อง Prometheus จะมีการฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกเดือนมิถุนายนนี้
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Prometheus สก็อตต์ได้สร้างตำนานใหม่ขึ้นมาในรูปแบบของทีมของผู้สำรวจที่ค้นพบเบาะแสต้นกำเนิดของมนุษย์บนโลก ซึ่งพาพวกเขาไปสู่การเดินทางสุดระทึกขวัญโดยยานอวกาศโพรมีธีอุสเพื่อไปยังดินแดนลึกลับแห่งจักรวาล ที่นั่นพวกเขาต้องต่อสู้บนสังเวียนที่น่าสยองเพื่อปกป้องชะตากรรมของมวลมนุษย์
แม้ว่าริดลีย์ไม่ได้ควบคุมหนังไซไฟมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว แต่เขายังคงให้ความสนใจในหนังแนวนี้มากเท่าเดิม เขาเคยสร้างภาพยนตร์สองเรื่องที่มีการนับถือมากที่สุดตลอดกาล การหวนกลับมาของเขาเป็นเพียงชนวนจากไอเดียอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของเขาเท่านั้น “ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา พวกเราได้สัมผัส ‘หนังแอ็คชั่นสุดมัน’ และ ‘สัตว์ประหลาดสุดสยอง’ และ ‘หนังไซไฟที่สนุก” สก็อตต์กล่าว “คำถามพื้นๆ คือเราจะสร้างความเป็นต้นฉบับขึ้นมาได้อย่างไร?”
“เหตุผลที่หลายปีนี้ผมไม่สร้างหนังไซไฟเรื่องอื่นขึ้นมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมยุ่งกับการสร้างหนังเรื่องอื่นและศึกษาหนังแนวอื่น และบอกตามตรงว่าผมไม่พบสิ่งที่คุ้มค่าพอให้ผมสร้าง มันต้องมีข้อมูลจริง ความแปลกใหม่ ความเข้มข้นอยู่มากพอ ซึ่งหนังเรื่อง Prometheus มีครบทั้งสามประการ”
แนวคิดของเรื่อง Prometheus เริ่มจากการจินตนาการนึกถึงเรื่อง Alien เพียงช่วงสั้นๆ ซึ่งอาจจะถูกหลงลืมหลังจากที่ชื่อเรื่องเคยปรากฏบนหน้าจอภาพยนตร์ แต่สิ่งมีชีวิตลึกลับนั้นเป็นซากสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ระเบิดหน้าอกออกมาได้ ซึ่งทำให้นามของ สเปซ จ็อคกีย์ เป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นผู้ที่ปลุกชีพของมันขึ้นมา “สิ่งที่ยังคงอยู่กับผมตั้งแต่เรื่อง Alien คือความลึกลับที่อยู่เบื้องหลังมัน” สก็อตต์กล่าว เขาเป็นใคร? เขามาจากไหน? เขามาทำอะไร? เขามีเครื่องยนต์กลไกอย่างไร? ผมคิดว่าคำถามเหล่านั้นเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียที่มีความยิ่งใหญ่มากขึ้น”
เพราะฉะนั้นแน่นอนว่า Prometheus เริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อหลายปีที่แล้ว ราวกับเป็นภาพยนตร์ก่อนเรื่อง Alien ที่สก็อตต์ใส่ไว้ใน “อีกโลกหนึ่ง” ภาพยนตร์มีความเกี่ยวข้องและให้นิยามถึงแนวคิดและคำถามใหม่ๆ ที่ถ่ายทอดจินตนาการอันน่ากลัวของผู้สร้างภาพยนตร์ออกมา สก็อตต์เล่าว่า “ตำนานอลังการฉบับใหม่ได้ก่อกำเนิดเป็นภาพยนตร์จากขั้นตอนการสร้างสรรค์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดั้งเดิม แฟนๆ ที่มีความช่างสังเกตจะนึกถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของดีเอ็นเอในเรื่อง Alien แต่พูดได้ว่าไอเดียต่างๆ ที่ควบคุมหนังเรื่องนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ เข้าถึงยากและมีความเร้าใจ ภาพยนตร์เรื่อง Prometheus เป็นเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์อย่างที่ผมค้นหา”
จอน สเปตส์ ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์กล่าวเสริม “ความลำบากที่สุดสำหรับการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา คือการไม่ได้รับข้อมูลใดเลย ต้องสร้างเรื่องขึ้นมาทุกอย่าง ในการสร้างโลกทั้งใบขึ้นมาร่วมกับริดลีย์ สก็อตต์ เหมือนผมมีผ้าใบผืนยักษ์ไว้วาดภาพ” และเดม่อน ลินดีลอฟ ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์/ผู้อำนวยการสร้างบริหาร กล่าวว่า “ผมติดภาพกับจินตนาการที่สร้างสรรค์ของริดลีย์สำหรับหนังเรื่องนี้อย่างน่าเหลือเชื่อ มันมีความกล้าหาญ มีการใช้สัญชาตญาณและมีความหวัง ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้”
เมื่อบทภาพยนตร์มีการพัฒนาขึ้นมา ไอเดียต่างๆ ของเรื่องที่มีความสำคัญก็เกิดขึ้น: ในระหว่างการเดินทางเพื่อไปพบกับสิ่งที่ทีมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็น “ผู้สร้าง” ของพวกเขา ซึ่งน่าจะเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาบนโลกของเรา ลูกเรือของยานโพรมีธีอุสและบริษัทขนาดยักษ์ที่เป็นกองทุนให้ภารกิจนับล้านล้านกำลังตั้งใจท้าทายพระเจ้า และเมื่อได้พบกับสิ่งมีชีวิตตามตำนานกรีกซึ่งเป็นที่มาของชื่อยานแล้ว การท้าทายกับพระเจ้าจึงเป็นไอเดียที่แย่มาก
“ใจความของการเปรียบเทียบในภาพยนตร์หมายถึง โพรมีธีอุส ไททันแห่งกรีกผู้ท้าทายอำนาจพระเจ้าด้วยการมอบลูกไฟประทานให้กับมวลมนุษย์ เขาจึงถูกลงโทษอย่างน่าสยอง” สก็อตต์อธิบาย “เมื่อเราพูดถึงตำนานอันเป็นที่อ้างอิงของชื่อเรื่องแล้ว เรากำลังเข้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้สร้างเรามา และสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราท้าทายอำนาจพระเจ้า”
แต่สุดท้ายแล้วโพรมีธีอุสคือจุดศูนย์กลางของ … พวกเรา ลินดีลอฟกล่าว “มันเป็นเรื่องของมนุษยชาติในอนาคต การท้าทายกับความสามารถของหลักวิทยาศาสตร์ที่เราชื่นชมมากที่สุดกับแนวคิดตามหลักเหตุและผล”
ทีมนักวิทยาศาสตร์และผู้สำรวจบนยานโพรมีธีอุส ไม่มีจุดหมายใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเดินทางไปหาคำตอบในข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่มีความลึกซึ้ง นักวิทยาศาสตร์หนุ่มมสาวผู้อัจฉริยะทั้งสอง ชอว์ (นูมี ราเพซ) และ ฮอลโลเวย์ (โลแกน มาร์แชล-กรีน) ซึ่งมีแรงจูงใจตรงกันข้ามกันเป็นผู้นำการเดินทาง ชอว์เป็นผู้มีความศรัทธา เธออยากพบกับ “พระเจ้า” ในแบบที่ใกล้เคียงกับจินตนาการของเธอด้านศาสนาที่เก่าแก่ ขณะที่ฮอลโลเวย์กำลังมองหาข้อหักล้างความคิดทางศาสนาพวกนี้ จากภารกิจของพวกเขาในฐานะของนักโบราณคดี พวกเขาได้พบกับร่องรอยพิคโทรแกรมในถ้ำของอารยธรรมโบราณจากทั่วโลก ทั้งหมดเจาะจงไปที่สถานที่แห่งเดียวกันในจักรวาลอันไกลลับตา จึงมีการโน้มน้าวบริษัท Weyland Industries ให้มาจัดสรรทุนสำหรับภารกิจนี้
นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับความน่ากลัวที่พวกเขาต้องพบอย่างคาดไม่ถึงมาก่อน “ตอนที่ชอว์กับฮอลโลเวย์นึกถึงภารกิจ พวกเขาคิดว่าจะได้พบกับสิ่งที่มีความเมตตา ซึ่งอาจมีคำตอบให้กับปริศนาเรื่องสำคัญของเรา” ไมเคิล เอลเลนเบิร์ก ผู้อำนวยการสร้างบริหารเล่า “พูดอีกแง่หนึ่งคือพวกเขาหวังว่าจะได้พบกับพระเจ้า และคนเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความหลงใหล พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่อันตรายจากคำว่าเหนือมนุษย์”
“ลูกเรือของยานโพรมีธีอุสคิดว่ากำลังมุ่งหน้าสู่สรวงสวรรค์ เพื่อพบกับคำตอบให้กับปริศนาทั้งหมด แต่สิ่งที่พวกเขาพบกลับเป็นโลกที่มีความลึกลับ มีความพลิกผันและน่าหวาดผวา ซึ่งเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้” จอน สเปตส์ กล่าวเสริมว่า “ความเยือกเย็นและบรรยากาศที่เลวร้ายมันเหมือนกับนรกมากกว่าสวรรค์”
ในภาพยนตร์ของริดลีย์ สก็อตต์ซึ่งรวมถึงเรื่อง Prometheus การค้นพบที่สำคัญมักขัดกับสิ่งที่คาดคิดไว้เสมอ “นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวมีความสนุก” ผู้สร้างภาพยนตร์กล่าว “เรื่องราวของเราเกี่ยวกับความเป็นจริงเรื่องสิ่งที่อาจอยู่ที่นั่น ซึ่งในที่นี้เป็นมุมมองที่น่าตกใจมาก ความเป็นไปได้มักสร้างเรื่องราวดราม่าที่ยอดเยี่ยมและน่ากลัวได้เสมอ และเป็นโอกาสให้ผมได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคน”
ในโลกใบนั้นทีมสำรวจได้พบกับอารยธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งถูกควบคุมโดยองค์ประกอบที่น่ากลัว รวมถึงลักษณะทางชีววิทยาและชีวกลศาสตร์เพียงชั่วพริบตาก็สามารถทำลายเหยื่อหรือเลวร้ายกว่านั้นได้ “มันทำให้เราเกิดข้อสงสัย” สก็อตต์กล่าว “ผลที่ตามมาจากการพบกับสิ่งมีชีวิตที่สูงกว่า ซึ่งมีความสามารถเหนือกว่าเราและมีพลังราวกับเป็นพระเจ้าคืออะไร?”
หรืออีกแง่หนึ่ง: อาจมีความยิ่งใหญ่บางสิ่งที่ไม่ควรถูกค้นพบ
ลูกเรือของยานโพรมีธีอุส
การมีนักแสดงนำหญิงที่มีความเข้มแข็งคือจุดเด่นอย่างหนึ่งของริดลีย์ สก็อตต์: ซิกอร์นีย์ วีเวอร์ รับบทเป็น ริปลีย์ ในเรื่อง Alien, จีน่า เดวิส และ ซูซาน ซารานดอน ในเรื่อง Thelma and Louise, เดมี่ มัวร์ ในเรื่อง GI Jane… และคนอื่นๆ ภาพยนตร์เรื่อง Prometheus ไม่ได้มีตัวเอกสำคัญเพียงคนเดียว แต่ยังมีนักแสดงนำหญิงที่มีความแข็งแกร่งถึงสองคนที่มาเพิ่มความประทับใจให้แบบฉบับของสก็อตต์มากยิ่งขึ้น ตัวละครเอลิซาเบ็ธ ชอว์ของนูมี ราเพซเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความศรัทธาและความหวัง แต่พลิกบทเป็นนักสู้เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่เธอพบยังจุดหมายปลายทางของเธอ; วิคเกอร์ส ตัวละครของชาร์ลีซ ธีรอนเป็น “สัญลักษณ์” ที่แสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจของบริษัทกองทุนที่ยิ่งใหญ่ที่เดินทางไปยังโลกที่ส่อแววจะมีเรื่องร้ายๆ ที่อยู่แสนไกล
ความแข็งแกร่งของราเพซและการแสดงที่ดูอ่อนโยนในภาพยนตร์ต้นฉบับ เรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo ภาพยนตร์ตอนแรกของไตรภาคที่อิงมาจาก Millennium Trilogy สตีก ลาร์สสันที่สร้างความน่าสนใจให้ทั่วโลก รวมถึงความน่าสนใจของสก็อตต์ด้วย “นูมีผสมผสานไหวพริบที่หาได้ยากและบุคลิกของเธอไว้ในบทบาท” ผู้สร้างภาพยนตร์กล่าว “เธอรับบทนั้นในเรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo ซึ่งมีพลังมาก ตอนที่ผมพบกับนูมี ผมคิดว่าเธอจะเป็นคนน่ากลัวและแข็งแกร่ง แต่ในทางกลับกันนูมีเป็นคนน่ารัก ใจดีและฉลาด มันเป็นการผสมผสานที่ยอดเยียมซึ่งทำให้เธอแสดงบทของชอว์ได้อย่างดี”
โทรศัพท์จากริดลีย์ สก็อตต์เป็นเหมือนช่วงเวลาที่กำหนดเส้นทางอาชีพของนักแสดงทุกคน ซึ่งรวมถึงราเพซด้วย “หลังได้พบกับริดลีย์ ฉันคิดว่าหากสุดท้ายไม่ได้ร่วมงานกับเขาในเรื่อง Prometheus ฉันก็มีความสุขเพราะฉันมีช่วงเวลานี้ร่วมกับเขา” ปรากฏว่าบทบาท ชอว์ เป็นตัวละครที่สก็อตต์ต้องใช้เวลาคัดเลือกอยู่นานหลังจากทดสอบหน้ากล้องที่เขาร่วมงานกับผู้กำกับภาพ ดาริอุส วอลสกี, ASC. “เราใช้อุปกรณ์การเก็บของ Panavision ที่ผู้ออกแบบฉาก อาเธอร์ แม็กซ์ ตกแต่งเพื่อให้ได้บรรยากาศที่ดูเป็นอุตสาหกรรม มีความลึกลับและสยอง แต่นูมีก็ทำลายบรรยากาศไปจนหมด” เอลเลนเบิร์กกล่าว “พวกเราต่างรู้สึกตะลึงไปกับความโหด การมีพลังและการแสดงบนจอของเธอ”
พลังที่แตกต่างกันแสดงออกให้เห็นในบทของ เมเรดิธ วิคเกอร์ส ผู้บริหาร Weyland Industries ที่อยู่บนยานโพรมีธีอุสเพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ลึกลับของบริษัท เมื่อชาร์ลีซ ธีรอนตกลงรับบทบาท ตัวละครวิคเกอร์สก็มีทิศทางที่น่าสนใจในแบบใหม่ ลินดีลอฟเล่าว่า “ชาร์ลีซกับผมทำงานร่วมกันเพื่อทำให้ตัวละครมีความซับซ้อนมากขึ้น วิคเกอร์สเป็นตัวละครที่ผู้ชมอดที่จะเกลียดไม่ได้ แต่ก็มีหลายช่วงที่เราจะได้เห็นความอ่อนแอของเธอ และเริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมและเพราะอะไรเธอกลายเป็นคนโลภที่มีความแข็งแกร่งมาก จุดนี้ทำให้เธอมีความน่าสนใจมากกว่าชอว์”
ธีรอนสนใจในโอกาสที่จะได้สำรวจประเด็นต่างๆ ที่มีความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์จากทัศนคติที่แตกต่างร่วมกับทีมงานที่เหลือของภาพยนตร์ “สำหรับตัวละครวิคเกอร์ส การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ไปยังอีกโลกเป็นเวลาสองปีถูกย่อส่วนลงมาให้เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจ เธอมีความคิดที่ค่อนข้างเรียบง่าย” นักแสดงหญิงกล่าว
ถึงแม้มีการคำนึงถึงภารกิจ แต่มีความซับซ้อนและความลึกลับในเป้าหมายพื้นฐานของวิคเกอร์สยิ่งขึ้น “เธอเป็นคนลึกลับซับซ้อนและมีเงื่อนงำรายล้อมอยู่รอบตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันชอบมาก” ธีรอนกล่าว “วิคเกอร์สเป็นคนจริงจังและต้องการควบคุมสถานการณ์อย่างเสร็จสรรพ เธอต่อสู้กับทุกสิ่งที่ทุกคนในที่นั้นทำ และมันเห็นได้ชัดว่าเธอมีจุดมุ่งหมายเพียงสิ่งเดียวหรือซ่อนบางอย่างเอาไว้”
การทำหน้าที่ที่ดูเย็นชาของวิคเกอร์สอาจบรรยายได้ว่าดูราวกับเครื่องจักร แต่ลูกเรือบนยานอีกคนหนึ่ง เดวิด ที่รับบทแสดงโดยไมเคิล ฟาสเบนเดอร์คือเครื่องจักรตัวจริง เขาเป็นแอนดรอยด์ของบริษัทที่สร้างขึ้นมา ขณะที่เดวิดมีความอัจฉริยะเหนือธรรมดาและมีความสามารถด้านอื่นๆ สก็อตต์เล่าว่าหน้าที่ของเขาบนยานโพรมีธีอุสคือการเป็นทาสรับใช้ “โดยทั่วไปแล้วเขาเป็นคนทำความสะอาดยาน คอยจับตาดูทุกอย่างขณะที่ลูกเรือที่เป็นมนุษย์ถูกหยุดการเคลื่อนไหว [มีความสำคัญต่อการเดินทางในช่วงสองปี]”
ถึงอย่างไรเดวิดก็มีความเป็น “มนุษย์” มากกว่าที่คิดว่ามนุษย์สังเคราะห์จะเป็นได้ ลินดีลอฟอธิบายว่า: “เดวิดถูกวางโปรแกรมมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ลูกเรือ แต่เขาคิดว่าภารกิจเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเขาอยู่ในบริษัทของผู้สร้างของเขา นั่นคือ มนุษย์ และเขารู้สึกไม่ประทับใจกับพวกเขาเลยสักนิด ผมถูกผลักดันไอเดียให้เขาโดนดูถูกอย่างชัดเจนเหมือนเขาถูกวางโปรแกรมมาให้โดนแบบนั้น”
การผสมผสานกันระหว่างความฉลาดของเดวิดกับคำสั่งที่เขาต้องเป็นผู้รับใช้ ทำให้ภาพยนตร์มีช่วงที่ตลกอย่างไม่ทันตั้งตัว ตอนที่เราพบกับเดวิด เขาเหมือนกับเด็กที่อยู่ในสนามเด็กเล่น เพียงแต่สนามเด็กเล่นของเขาคือโพรมีธีอุส “ระหว่างที่ลูกเรือคนอื่นต้องจำศีล เดวิดสนุกสนานกับตัวเองด้วยการซ่อมแซมยานด้วยเทคนิคต่างๆ ได้อย่างน่าประหลาด” ฟาสเบนเดอร์กล่าว และเดวิดก็เหมือนเด็กที่สนุกกับการดูหนังเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพยนตร์ที่น่าประทับใจของเขาคือผลงานชิ้นเอกเรื่องยิ่งใหญ่ของเดวิด ลีน เรื่อง Lawrence of Arabia; เดวิดเหมือนกับ ที.อี.ลอว์เรนซ์ ของปีเตอร์ โอ’ทูลในผู้ชายที่มีหลากหลายรูปแบบ ลินดีลอฟกล่าวเสริมว่า “ลอว์เรนซ์เหมือนคนต่างถิ่นที่ไปอยู่ต่างเมือง เขาจินตนาการว่าตัวเองเป็นนักกู้อิสรภาพ และทุกอย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของเดวิด”
นอกจากนั้นเดวิดมีมุมมองเกี่ยวกับลูกเรือที่เป็นมนุษย์ว่าเหมือนเด็ก “เขาขี้อิจฉาและหยิ่งเพราะคิดว่าความรู้ของเขามันครอบคลุมทุกอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเหนือกว่าพวกมนุษย์” ฟาสเบนเดอร์กล่าว “เดวิดอยากเป็นที่นับถือและได้รับการยกย่องในความฉลาดของเขา แต่ยังไม่มีใครมีเวลาใส่ใจเขา พวกเขาไม่ยอมรับเดวิดและนั่นทำให้เขาผิดหวัง เดวิดก็เหมือนกับเด็กที่อาจกล้าตัดสินใจมีการตัดสินใจที่ชัดเจน”
สก็อตต์บรรยายถึง เจเน็ค กัปตันของยานโพรมีธีอุสไว้ว่าเป็น “ลูกเรืออาวุโส” – ลูกเรือสมัยก่อนสุดคลาสสิคและเป็นคนที่มีความชัดเจนในภารกิจตั้งแต่แรกเริ่มว่าต้องปกป้องยานและลูกเรือ ความมุ่งมั่นและหน้าที่ของเขาทำให้เขามีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นของชอว์และฮอลโลเวย์ และผลประโยชน์ของบริษัทที่เลวร้ายอย่างวิคเกอร์ส
ไอดริส เอลบ้า นักแสดงชายชาวอังกฤษผู้รับบท เจเน็ค กลับมาร่วมงานอีกครั้งหลังจากที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล เรื่อง American Gangster ท่าทางที่น่ากลัวของเอลบ้าและการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้สก็อตต์เกิดความประทับใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับการแสดงสุดแสบของนักแสดงชายที่รับบทเป็นผู้ค้ายาที่มีอิทธิพล สตริงเกอร์ เบล ในซีรี่ส์เรื่อง The Wire และเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีความซับซ้อนในเรื่อง Luther
เอลบ้าบรรยายถึงตัวละครเจเน็คว่า “เป็นทั้งผู้ดูแลเรือและเป็นลูกเรือ นั่นล่ะชีวิตของเขาและชีวิตลูกเรือคือหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ในที่สุดเขาได้มีการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่เพิ่มความเป็นมนุษย์ให้เขาขึ้นมา”
โลแกน มาร์แชล-กรีนรับบทแสดงเป็น ฮอลโลเวย์ คู่คิดของชอว์ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ผู้ร่วมภารกิจค้นหาคำตอบของข้อสงสัยที่มีความหมายต่อมวลมนุษย์เป็นอย่างมาก ฮอลโลเวย์ต้องการคำตอบไม่ต่างจากชอว์ แต่เขาคิดว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการค้นหาของพวกเขาจะต่างจากที่ชอว์คาดไว้
“ชอว์เป็นหัวใจสำคัญของการค้นหา; ส่วนฮอลโลเวย์เป็นเหมือนไหวพริบ” มาร์แชล-กรีนกล่าวเสริม “ผมคิดว่าฮอลโลเวย์กำลังหาคำตอบในข้อสงสัยที่สำคัญทั้งหลาย เพราะเขาจะเต็มที่ตลอดเวลา เขาเต็มที่กับทุกสิ่งที่เขาทำ บางครั้งก็ทำให้ทีมดีขึ้นหรือแย่ลง ผมคิดว่าสิ่งที่ผลักดันเขาคือความตื่นเต้นของการค้นหา”