Recent Posts

Pages: 1 [2] 3 4 ... 10
11
อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประกาศความพร้อมในงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024
พร้อมเปิดประตูสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียน
พบนวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ๆ จากผู้ผลิตกว่า1,500 แบรนด์ทั่วโลก


กรุงเทพฯ : Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 งานแสดงสินค้าความงามระดับโลกเริ่มแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13-15 มิ.ย. 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้จัดงานฯ มั่นใจนวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ๆ จากผู้ผลิตกว่า 1,500 แบรนด์ทั่วโลก จะช่วยผลักดันธุรกิจอุตสาหกรรมความงามในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเติบโตต่อเนื่อง

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า หากดูข้อมูลของ EUROMONITOR INTERNATIONALจะพบว่าอุตสาหกรรมความงามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นทุกปี โดยถือเป็นการเติบโตแบบ Double-Digit ตั้งแต่ปี 2566 -2567 และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในตลาดที่มีการดำเนินงานดีที่สุดในภูมิภาค โดยคาดว่าตลาดความงามของไทยจะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11% เมื่อเทียบกับปี 2566ทั้งนี้การจัดงานแสดงสินค้าความงามระดับโลก หรือ Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 มิ.ย. 67 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง 3 ผู้จัดงานระดับโลก BolognaFiere, Informa Markets และ Shanghai Baiwen Exhibition Co Ltd. โดยเชื่อมั่นว่างานนี้จะช่วยเป็นเวทีกลางการเจรจาธุรกิจของอุตสาหกรรมความงามอาเซียน และเป็นศูนย์รวมด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีความงามจากนานาประเทศเข้าจัดแสดงไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมความรู้ด้านธุรกิจความงาม พร้อมสร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจที่มีศักยภาพผ่านกิจกรรมต่างๆภายในงานอีกด้วย



นางสาวแองเจิล ฟู ผู้อำนวยการโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ (Ms. Angel Fu Event Director, Informa Markets) กล่าวว่า เราเชื่อว่างาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 จะช่วยผลักดันและตอกย้ำการเติบโตของตลาดความงามอาเซียน รวมถึงประเทศไทยได้เป็นอย่างดี โดยภายในงานมีผู้ผลิตสินค้าและนวัตกรรมเกี่ยวกับความงามร่วมงานมากกว่า 1,500 แบรนด์ และคาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนเข้าชมงานแสดงสินค้ามากกว่า 14,000 คน ทั้งคนไทย และนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, จีน, ฝรั่งเศส, ฮ่องกง, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, โปรตุเกส, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ไทย, สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม ขณะเดียวกันภายในงานยังมีพาวิลเลียนจัดแสดงสินค้าอีก 4 ประเทศ ได้แก่ จีน อิตาลี เกาหลีใต้ และไทยมาช่วยเพิ่มประสบการณ์และสร้างสีสันให้กับผู้เข้าชมงานอีกด้วย


นางสาวฟรานเชสกา โดนาติ ผู้บริหารด้านการตลาดระหว่างประเทศ เอเชีย โบโลญญาเฟียร์ คอสโมพรอฟ (Ms. Francesca Donati Head of International Marketing for Asia, Bolognafiere Cosmoprof) กล่าวว่า เราได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์ม Match&Meet ที่จะช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย สามารถกำหนดเวลาการนัดหมายเจรจาธุรกิจ หรือพูดคุยออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นตามความต้องการ ผ่านแพลตฟอร์มเจรจาธุรกิจออนไลน์ที่เราเตรียมไว้ให้ ทั้งนี้ภายในงานยังประกอบไปด้วยโซนแสดงสินค้าหลากหลายประเภทหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น สปาไทย, MEDICAL BEAUTY, BEAUTY MADE IN THAILAND, FOOD SUPPLEMENTS และ THAI PREMIUM BRANDS เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสัมมนาความรู้อย่าง CosmoTalks ซึ่งเป็นเวทีสัมมนาการพูดคุยเชิงกลยุทธ์ แนวโน้ม และภาพรวมต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะส่งผลต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียน เช่น ผลกระทบของความยั่งยืนใน Supply Chain รวมไปถึง แนวโน้มที่พฤติกรรมการซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์ความงามของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เป็นต้น


นางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานคลัสเตอร์ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดความงามและเครื่องสำอางไทยในปี 2023 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 250,380 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11.5% โดยแบ่งเป็นสินค้ากลุ่มพรีเมียมที่นำเข้าจากต่างประเทศ 46,012.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7% และกลุ่มสินค้าทั่วไปที่ผลิตในประเทศ 204,368.15 ล้านบาท ทั้งนี้การเติบโตของสินค้าส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มสกินแคร์ 41% กลุ่มดูแลเส้นผม 16% และกลุ่มเครื่องสำอาง 12% โดยเราพบว่ากว่า 72% ของสินค้าที่ขายดีนั้นผลิตในประเทศไทย โดยปัจจุบันตลาดความงามและเครื่องสำอางของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 19 ของด้วยส่วนแบ่ง 1.5% (ยกเว้นผ้าอนามัยและผลิตภัณฑ์สปา)


อย่างไรก็ตามหากดูข้อมูลจาก GRAND VIEW RESEARCH ระบุว่า มูลค่าเครื่องสำอางของโลกในปี 2030 จะอยู่ที่ 12.38 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 13,146 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าเครื่องสำอางของประเทศไทยในปี 2030 คาดการณ์อยู่ที่ 323,000 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโต 1.5 เท่าของปี 2022 โดยแบ่งเป็นสัดส่วนกลุ่มสินค้าทั่วไปที่ผลิตในประเทศ 85% และสินค้ากลุ่มพรีเมียมที่นำเข้าจากต่างประเทศ 15%

สำหรับเทรนด์ความงามและการดูแลส่วนบุคคลในปี 2024 นี้ ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคส่งผลให้กลุ่ม Clean Beauty จะทำให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยเป็นมิตรกับธรรมชาติ, เครื่องสำอางที่ไม่ได้ทำการทดสอบกับสัตว์ หรือ Cruelty Free, ความต้องการผลิตภัณฑ์ความงามจากธรรมชาติ หรือสินค้าออร์แกนิค รวมถึงเครื่องสำอางที่ให้ความสำคัญของผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ หรือ เมคอัพเบา ๆ จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ที่ไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนด้วย



"เราเชื่อว่า 4 ปีต่อจากนี้ (2024-2028) อุตสาหกรรมความงาม และเครื่องสำอางไทยจะยังคงเติบโตต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งผู้ผลิตทั้ง OEM/EDM หรือการหาซัพพลายเออร์หลักเพื่อส่งไปยังตลาดหลักๆ เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันแบรนด์จากต่างประเทศจำนวนมากได้เลือกไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต เนื่องจากรัฐบาลได้เสนอการลงทุนสำหรับแบรนด์เครื่องสำอางนานถึง 8 ปี ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงวัตถุดิบคุณภาพดีได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญต้นทุนการผลิตไม่ได้สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน"

ทั้งนี้งานแสดงสินค้าความงาม Cosmoprof CBE ASEAN 2024 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 มิ.ย. 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยผู้เข้าร่วมชมงานจะได้พบกับผู้ประกอบการชั้นนำด้านธุรกิจความงาม ครบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งในส่วนของโซนกลุ่มผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Branded Finished Products) จะมีผลิตภัณฑ์เช่นเครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์ร้านเสริมความงามและสปา, กลุ่มผมและเล็บ, กลุ่มธรรมชาติและออร์แกนิค, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้ได้เลือกจับคู่ธุรกิจด้วยเช่นกัน



นอกจากนี้ยังมีโซนที่ตอบโจทย์กลุ่มการผลิตทั้งอย่างโซน Supply Chain ที่ประกอบด้วยสินค้ากลุ่ม OEM&ODM, เครื่องจักรและอุปกรณ์, วัตถุดิบและส่วนผสม, บรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ภายในงานยังมีโซนจัดแสดงพิเศษ ที่จะมาเติมเต็มความรู้เรื่องเทรนด์ความงามและข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรม รวมถึงความก้าวหน้าของนวัตกรรมความงามจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย นายสรรชาย กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามข่าวสารและรายละเอียดงานเพิ่มเติมได้ที่ http://www.cosmoprofcbeasean.com
ลงทะเบียนออนไลน์เพื่อเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.cosmoprofcbeasean.com/registration
12
MOVE EV X ชวนผู้ประกอบการเปิดสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่
พร้อมการันตีรายได้หรือเลือกรับสิทธิพิเศษอื่น ๆ


             MOVE EV X (มูฟ-อี-วี-เอกซ์) ธุรกิจขายและให้บริการสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า จัดแสดงนวัตกรรมสะอาดหรือสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ในงาน Money Expo 2024 เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ชมการสาธิต และทดลองใช้งานสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ MOVE EV X โดยผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจกับ MOVE EV X ในรูปแบบ S วงเงินการลงทุนเริ่มต้น 679,000 บาท และรูปแบบ M วงเงินการลงทุนเริ่มต้น 1,969,000 บาท พิเศษลูกค้าที่สั่งจองและมัดจำภายในงาน สามารถเลือกการการันตีรายได้ 26,730 บาทต่อเดือน (ระยะเวลา 12 เดือนในพื้นที่ Hot Zone) หรือ รับทองคำแท่งน้ำหนัก 1 - 3 บาท (ขึ้นอยู่กับโมเดลธุรกิจที่ลงทุน) พบกันที่งาน Money Expo 2024 บูธ S6 ชาเลนเจอร์ 2 - 3 อิมแพค เมืองทองธานี วันที่ 16 – 19 พฤษภาคมนี้

###

เกี่ยวกับ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด

บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด (H SEM Motor Co., Ltd.) บริษัทในเครือ ฮั้วเฮงหลี กรุ๊ป ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รถกอล์ฟไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถสามล้อเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ภายใต้ชื่อ “เอช เซม” เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทั้งในกลุ่มเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการใช้ระบบขนส่งที่มีความคล่องตัว ประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม ในราคาที่จับต้องได้ ดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hsemmotor.com/ หรือ www.facebook.com/hsemmotor.sev  และ www.facebook.com/hsemmotor.stc

เกี่ยวกับ บริษัท เอช เซม เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด

บริษัท เอช เซม เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (H SEM Trading Corporation Co.,Ltd.) บริษัทในเครือ ฮั้วเฮงหลี กรุ๊ป เป็นบริษัทรับผิดชอบดูแลการจัดจำหน่าย แต่งตั้งดีลเลอร์ และกำหนดกลยุทธ์การตลาดให้กับสินค้าของ เอช เซม ทั้งในประเทศไทยและประเทศในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หรือ CLMV ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่เวบไซต์ https://www.hsemmotor.com/ หรือแฟนเพจ www.facebook.com/hsemmotor.sev และ www.facebook.com/hsemmotor.stc
13
okmd จับมือ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ
สนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้ “ติดอาวุธการเรียนรู้สมัยใหม่” ให้กับประชาชน


              สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ร่วมกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการสนับสนุนให้มีการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในงานบริการองค์ความรู้แก่ประชาชน รองรับการเปิด “ศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ” ต้นแบบแหล่งเรียนรู้สาธารณะสมัยใหม่ ขนาดใหญ่แห่งใหม่ บน ถ.ราชดำเนิน มุ่งสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความรู้ พร้อมส่งเสริมพัฒนาทักษะและศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย ด้วยบริการความรู้ และกิจกรรมความรู้ที่มีประสิทธิภาพหลากหลาย ครบวงจร ในปี 2570 นี้

              ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ กล่าวว่า “โลกปัจจุบันมีการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้และทักษะใหม่ๆ แก่ประชาชน ให้ปรับตัวเข้ากับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ พัฒนาศักยภาพ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน OKMD จึงเล็งเห็นความสำคัญว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนาพื้นที่เรียนรู้ หรือแหล่งเรียนรู้สาธารณะสมัยใหม่ที่มีมาตรฐานการให้บริการในระดับสากล สามารถให้บริการความรู้ด้วยรูปแบบ กระบวนการ และเทคโนโลยีที่หลากหลาย เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของคนไทยในแต่ละช่วงวัย และเปิดโอกาสให้ได้พัฒนาความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ผ่านกิจกรรมกระตุ้นความสนใจเรียนรู้ จึงได้เตรียมพร้อมเปิดให้บริการศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ บน ถ.ราชดำเนิน พื้นที่รวมกว่า 20,000 ตารางเมตร ภายในปี 2570 นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมาใช้บริการไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านคนต่อปี รวมถึงเข้าใช้บริการการเรียนรู้ออนไลน์ไม่น้อยกว่า 100 ล้านคน/ครั้ง ต่อปี ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความทันสมัย สามารถรองรับกับกิจกรรมทุกๆ รูปแบบที่จะเกิดขึ้น”

              “การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคม และดิจิทัลชั้นนำของประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุด และมีศักยภาพสูงในการนำเอาดิจิทัลมาให้บริการแก่ประชาชน โดยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกับแนวทางการบริหารจัดการความรู้สมัยใหม่ที่ช่วยในการขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์และเชื่อมต่อทุกองค์ความรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล จะเป็นการติดอาวุธการเรียนรู้สมัยใหม่ให้เกิดกับคนไทยทุกคน” ดร.ทวารัฐ กล่าว

              ด้านพันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การศึกษาและพัฒนาแนวทางพัฒนาองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและดิจิทัลที่เกี่ยวข้องร่วมกัน รวมทั้งแนวทางการใช้ทรัพยากรซึ่งกันและกันในการให้บริการแก่ประชาชน เช่น อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ทรัพยากรบุคคล สถานที่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังศึกษาและพัฒนาแนวทางในการนำนวัตกรรมด้านดิจิทัลและ AI ไปใช้พัฒนาศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการความรู้ที่ครบวงจรแก่ประชาชน โดยจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมในการศึกษาการดำเนินการร่วมกันระหว่าง OKMD และ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติในลำดับต่อไป”
14
คาเฟ่ แคนทารี จัดเต็มเมนูคลายร้อนหวานเย็นชื่นใจ
กับ “Kakigori” 3 รสชาติใหม่ต้องลอง ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2567


             ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2567 คาเฟ่ แคนทารี ขอเชิญชวนทุกท่านมาลิ้มลองเมนูใหม่ หวานเย็นชื่นใจกับ “คากิโกริ (Kakigori)” ทั้ง 3 รสชาติ “บลูเบอร์รีชีสพาย” กรุบกรอบกับชีสแครกเกอร์  และ แยมบลูเบอร์รีที่เข้ากันอย่างลงตัวกับน้ำแข็งใสเนื้อนุ่มฟูดุจปุยหิมะ ท็อปด้วยครีมพรีเมียมสูตรพิเศษสไตล์คาเฟ่ แคนทารี ในราคาเริ่มต้น 185 บาทสุทธิ ณ คาเฟ่ แคนทารี สาขาอยุธยา ปราจีนบุรี และเกาะยาวน้อย,  “ชาไทย” คากิโกริรสชาไทยเข้มข้นหวานมัน หอมอร่อยเต็มคำพร้อมความหนึบหนับเคี้ยวเพลินของเม็ดบุกบราวน์ชูการ์ ในราคาเริ่มต้น 175 บาทสุทธิ ณ คาเฟ่ แคนทารี สาขาอยุธยา และ เกาะยาวน้อย, “ทรอปิคอลฟรุ๊ตเจลลี่” สดชื่นกับคากิโกริรสผลไม้ ผสานความอร่อยกับรสเปรี้ยวหวานของสับปะรด เงาะ ลิ้นจี่ และปีโป้  ในราคาเพียง 185 บาทสุทธิ ณ คาเฟ่ แคนทารี ปราจีนบุรี






             สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Centre: 1627 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์www.cafekantary.com

*โรงแรมในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและเงื่อนไข
โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าผ่านทางช่องทางการติดต่อสื่อสารของโรงแรมฯ
15
Absorba แบรนด์พรีเมี่ยมจากฝรั่งเศส เปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มเบบี้แคร์สูตรออร์แกนิกเอาใจกลุ่มคุณแม่ยุคใหม่


             Absorba แบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของเสื้อผ้าเด็กแรกเกิดมายาวนานมากกว่า 30 ปี นอกจากเสื้อผ้าของแบรนด์ที่มีคอนเซปต์หลัก คือ การคัดเลือกผ้าคอตตอนที่สัมผัสนุ่มและอ่อนโยนต่อผิวเด็กแรกเกิด แบรนด์ยังต่อยอดด้วยการออกผลิตภัณฑ์มาตอบโจทย์ของคุณแม่ยุคใหม่ที่ต้องการดูแลลูกอย่างอ่อนโยนด้วยสูตรออร์แกนิกทั้งหมด 3 ผลิตภัณฑ์ ที่มีสารสกัดหลักมาจากธรรมชาติ เพราะแบรนด์ใส่ใจในเรื่องของความอ่อนโยนเป็นอันดับ 1




ผลิตภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์ Absorba มีด้วยกันทั้งหมด 3 ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ของคุณแม่ยุคใหม่ ได้แก่




             1.      Absorba Organic extra Moisture Lotion โลชั่นบำรุงผิวกายสูตรอ่อนโยน ให้ชุ่มชื้นยาวนาน 24 ชั่วโมง (ขวดสีชมพู) โลชั่นบำรุงผิวกาย ใช้ทาผิวเด็กเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เนียนนุ่ม ล็อกความชุ่มชื้นยาวนานถึง 24 ชั่วโมง ด้วยคุณค่าจากสารสกัด Bisabolol จากน้ำมันแคนเดีย ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี เนื้อครีมเข้มข้น ซึมซาบไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ให้ลูกรู้สึกสบายผิวมากขึ้

             2.      Absorba Organic Baby Shampoo แชมพูเด็ก มีสารสกัดจากดอกคาโมไมล์ ประเทศฝรั่งเศส อ่อนโยนต่อเส้นผม และหนังศีรษะ ทำให้ผมดูเงางามอย่างมีสุขภาพดี และนอกจากใช้กับลูกแล้ว ก็สามารถใช้ได้กับทุกคนในครอบครัวอีกด้วย

             3.      Absorba Organic Baby hair moisture conditioner (ขวดสีฟ้าขวามือ) ครีมนวดผมสูตรอ่อนโยนพิเศษ ให้ผมนุ่มลื่น ไม่พันกันครีมนวดผมสำหรับเด็ก บำรุงเส้นผมอย่างอ่อนโยน โดยนำมาใช้คู่กันกับแชมพูสระผม จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยบำรุงให้ผมนุ่มลื่น ไม่พันกัน ผมมีความเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ

             สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่กำลังมองหา ผลิตภัณฑ์เด็ก ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวที่บอบบาง Absorba ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะเน้นเอสเซนส์ออร์แกนิกแล้ว ยังผ่านการทดสอบDermatologically Tested ผ่านการทดสอบการระคายเคืองภายใต้การควบคุมของแพทย์จากสถาบันทดสอบทางผิวหนัง ช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ใช้อย่างแน่นอน

             หากสนใจผลิตภัณฑ์ Absorba สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางของแบรนด์ FB : Absorba TH หรือ IG : absorba.thailand หรือ TikTok: absorbath เลือกซื้อสินค้าได้ที่สาขาหน้าร้าน CENTRAL ,The Mall ,Robinson , Icon Siam ทั่วประเทศ หรือซื้อออนไลน์ได้ทาง Shopee: https://citly.me/y471w และ Lazada: https://citly.me/oCa8D
16
ย้อนระลึกถึง “บัณฑิต ฤทธิ์ถกล” กับผลงานที่ฝากไว้ใน "สาบเสือที่ลำน้ำกษัตริย์" ดูสนุกที่ทรูโฟร์ยู ช่อง 24


              หากพูดถึงผู้กำกับหนังที่เป็นตำนานอย่าง “บัณฑิต ฤทธิ์ถกล” ทุกคนจะนึกถึงการทำงานที่ละเมียดและใส่ใจทุกขั้นตอนจนได้รับฉายานามว่า “ผู้กำกับเม็ดทราย” ทรูโฟร์ยูจึงไม่พลาดที่จะนำภาพยนตร์ดัง "สาบเสือที่ลำน้ำกษัตริย์" มาให้ท่านผู้ชมได้ชมความสนุกและรำลึกถึงผลงานคุณภาพไปพร้อมกัน






              "สาบเสือที่ลำน้ำกษัตริย์" จะบอกเล่าถึงช่วงสมัยต้นรัชกาลที่ 5  เมื่อปีเตอร์อดีตนายทหารอังกฤษซึ่งถูกบังคับให้ร่วมคณะพรานป่าออกล่าเสือ ขณะเดียวกัน วัน (ภาณุ สุวรรณโณ) ภิกษุหนุ่มอดีตพรานป่าได้ลาสิกขาเพราะถูก เนียน (ปรางทอง ชั่งธรรม) วิญญาณอาฆาตที่สิงอยู่ในร่างเสือคุกคาม วันและปีเตอร์ต่างเดินทางสู่หมู่บ้านกลางดงลึกจนมาถึงลำน้ำกษัตริย์ ก็พบ จูเลีย (สุนิสสา บราวน์) พรานสาวลูกครึ่งอเมริกันกะเหรี่ยงกำลังถูกเสือขย้ำด้วยความเคียดแค้น เพราะจูเลียเคยเป็นอริกับเนียนในชาติปางก่อน เรื่องราวจะจบลงอย่างไร ติดตามชมต่อได้ในภาพยนต์ "สาบเสือที่ลำน้ำกษัตริย์" วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคมนี้ เวลา 19.00 นชมฟรีดูสนุกทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และทาง https://true4u.com/live 
17
สจล. เปิดรับสมัครบุคคล เพื่อสอบเข้าคัดเลือกบรรจุเข้าเป็นพนักงานสถาบัน
สายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์ 32 อัตรา


            สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มีความประสงค์เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานสถาบันสายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์ ประจำปี งบประมาณ 2567 ครั้งที่ 2 จำนวน 32 อัตรา ได้แก่ คณะเทคโนโลยีการเกษตร I คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ I คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี I คณะทันตแพทยศาสตร์ I คณะบริหารธุรกิจ I คณะวิทยาศาสตร์ I คณะวิศวกรรมศาสตร์ I คณะอุตสาหกรรมอาหาร I วิทยาเขตชุมพรเขตอุดมศักดิ์ I วิทยาลัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุ I วิทยาลัยนวัตกรรมการผลิตขั้นสูง และวิทยาลัยวิศวกรรมสังคีต

            ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้แล้วตั้งแต่บัดนี้  - 31 พฤษภาคม 2567 ได้ที่เว็บไซต์ www.hr.kmitl.ac.th หรือส่งหลักฐานการสมัครได้ทางอีเมล hr@kmitl.ac.th หรือโทรศัพท์ที่ 02-329-8000 ต่อ 3272 ในวันและเวลาทำการ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบคัดเลือกในวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ทางเวบไซต์ www.hr.kmitl.ac.th และกำหนดการสอบคัดเลือกในวันที่ 10 - 14 มิถุนายน 2567  ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกในวันที่ 27 มิถุนายน 2567

            ติดตามความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ทาง https://www.facebook.com/kmitlofficial และเว็บไซต์ https://www.kmitl.ac.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-329-8000
18
"อีเอ็ม มอเตอร์" เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EM Qarez ตอบโจทย์ Gen Z
หลังโตก้าวกระโดด คาดปีนี้กวาดยอดขายทะลุ 600 ล้านบาท
พร้อมลงทุนงบกว่า 150 ล้าน ขึ้นแท่นผู้นำตลาดจักรยานยนต์ไฟฟ้าไทย


บริษัท อีเอ็ม มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายจักรยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทย บุกตลาดครั้งใหญ่ เปิดตัวจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ EM Qarez ภายใต้แบรนด์ EM ด้วยขนาดมอเตอร์ 2,000 วัตต์ ทำความเร็วสูงสุด 65-70 กม./ชม. สมรรถนะสูงจากพลังงานสะอาด ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ โดดเด่น สวยงาม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่น Gen Z น่ารัก ชิคๆ คูลๆ ด้วยคอนเซ็ปต์ Chic & Cool สีสันสุดอินเทรนด์ ตั้งเป้ายอดขาย 2,000 คันในปีแรก พร้อมประกาศลงทุนเพิ่ม 150 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิต 20,000 คันต่อปี หลังมียอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด 6-8 เท่าตัว ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 67 กว่า 600 ล้านบาท ขึ้นแท่นเบอร์ต้นผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

นายธานัท ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเอ็ม มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า อีเอ็ม เปิดเกมรุกตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ปี 2024 ด้วยการเปิดตัว EM Qarez ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก "เทรนด์รักษ์โลก" ในปัจจุบัน พร้อมตอบกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วยลดมลภาวะและแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างยั่งยืน ก้าวเข้าสู่โลก Green Technology อย่างเต็มรูปแบบ



ซึ่งในปีนี้ เราได้เปิดตัวจักรยานยนต์ไฟฟ้า "EM Qarez" ตอบโจทย์วัยรุ่น Gen Z ผู้รักความทันสมัย ด้วยดีไซน์ Chic & Cool รูปลักษณ์ที่โดดเด่น ในคอนเซ็ปต์ Urban Fashion Scooter ที่กำลังนิยมในหมู่นักขับขี่ทั่วโลก เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะในการขับขี่แบบยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยระยะทางที่ไกลมากขึ้นถึง 50-70 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จ ซึ่งเหมาะกับการขับขี่การใช้งานที่สะดวกสบายในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังประหยัดเพราะหนึ่งการชาร์จจ่ายค่าไฟฟ้าเพียง 1.7 หน่วยหรือประมาณ 7 บาทเท่านั้น ประหยัดกว่าจักรยานยนต์น้ำมัน 8-10 เท่า พร้อมรับประกันมอเตอร์นาน 5 ปี หรือ 30,000 กม. และรับประกันกล่องคอนโทรลเลอร์ และแบตเตอรี่ เวลา 3 ปี หรือ 20,000 กม. และระบบไฟฟ้า 1 ปี หรือ 5,000 กม.

เพราะฉะนั้น EM Qarez คือทางเลือกที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนเมืองที่ชื่นชอบความประหยัด ที่สำคัญ EM Qarez ได้ส่วนลด 18,000 บาท จากภาครัฐ ราคาสุดคุ้ม เหลือเพียง 38,340 บาท จากราคาปกติ 57,600 บาท



นายธานัท ธรรมพรหมกุล กล่าวต่ออีกว่า ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา EM มอเตอร์ เราได้พัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงบันดาลใจมุ่งเน้น "จักรยานเพื่อครอบครัว" จึงเริ่มต้นนำเข้าจักรยานไฟฟ้าจากประเทศจีนมาจำหน่ายครั้งแรกในประเทศไทย กระแสตอบรับในตอนนั้นดีมากเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปด้วยกระแสการรักสุขภาพและรักษ์โลก โดยมีปัจจัยจาก 1. สิ่งแวดล้อม 2. ฝุ่น PM 2.5 และ 3. ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทั้ง 3 ปัจจัยนี้ คือ จุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ EM ในปี 2018

"เราค่อย ๆ พัฒนาแบรนด์ EM ให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาในปี 2020 เราตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐาน และอีกหนึ่งหัวใจหลักของจักรยานยนต์ไฟฟ้า คือ แบตเตอรี่ เราจึงคิดว่าจะดีแค่ไหนหากเรา มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ของเราเอง จึงเป็นอีกครั้งที่ EM ตัดสินใจลงทุนเปิดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ โดยเราใช้เงินลงทุนทั้งสองโรงงานอยู่ที่ 150 ล้านบาท"



ในปัจจุบันเรามีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 500 สาขา แยกเป็นจักรยานยนต์ไฟฟ้า 50 สาขา และ จักรยานไฟฟ้า 450 สาขา โดยในปีที่ผ่าน สามารถกวาดยอดขายได้สูงถึง 300 ล้านบาท และเราตั้งเป้ายอดขายในปี 2567 นี้ไว้ที่ 600 ล้านบาท พร้อมวางแผนลงทุนเพิ่มอีก 150 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตรถจักรยาน และจักรยานยนต์ไฟฟ้าอีกแห่งภายในปี 2568"

"EM คือ ผู้ผลิต และจำหน่ายรถจักรยานไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้า เมดอินไทยแลนด์ เจ้าแรกของเมืองไทย ปัจจุบันเราครองอันดับ 3 ของตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ของตลาดมอเตอร์ไซค์จะแบ่งเป็น มอเตอร์ไซค์น้ำมัน 99 เปอร์เซ็นต์ และจักรยานยนต์ไฟฟ้ามีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ตลาดเติบโต คือ เทรนด์การรักษ์โลก, มลพิษทางอากาศ และ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาด้านพลังงาน ดังนั้นจึงทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากคือ การสนับสนุนจากภาครัฐ" นายธานัท กล่าว และกล่าวปิดท้ายว่า



ดังนั้น EM จึงมุ่งมั่นที่จะผลิต และพัฒนาจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ราคาย่อมเยาว์ แบตเตอรี่คงทน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เรายังมีบริการหลังการขายที่ทำให้ลูกค้าอุ่นใจ ด้วยตัวแทนจำหน่ายที่เข้าใจผลิตภัณฑ์ ทีมช่างที่มีคุณภาพ เพราะเราเชื่อว่า "ถ้าเราผลิตสินค้าที่ดี มีบริการหลังการหลังการขายที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น ทีมงานช่างมืออาชีพ" สินค้าของเราก็จะเป็นที่ยอมรับ และทำให้ค่อย ๆ เติบโตขึ้น โดยเราตั้งใจว่าอีก 3 ปีข้างหน้า เราจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างแน่นอน

ผู้ที่สนใจ หรือ ทดลองขับขี่ สามารถติดต่อตัวแทนจำหน่าย EM MOTOR ใกล้บ้านท่าน ทั่วประเทศ หรือ ติดต่อ FB : EM Motor Thailand
19
ด่วน เอาใจอนาคตนักบิน รชค.มนพร สั่งเพิ่มที่นั่งอบรมพร้อมทดสอบภาษาอังกฤษ ฟรี


              นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายให้ สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) สนับสนุนการจัดโครงการแนะแนวสอบนักเรียน – นักบิน (Student Pilot 2024) และแนะแนวอาชีพด้านการบิน ฟรี โดย สบพ. ร่วมกับนายวิพุธ ศรีวะอุไร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตบางรัก ศิษย์เก่า สบพ. ในหลักสูตรระดับปริญญาตรี Aviation Management (AVM10) สาขาวิชา Air Traffic Management (ATC47) และหลักสูตรนักบินพาณิชย์ตรี - เครื่องบิน รุ่น AP96 เป็นนักเรียนทุนของบริษัทการบินไทย ได้จัดกิจกรรมดังกล่าวรอบแรก ในวันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการจำนวนมากกว่า 80 คน ณ สถาบันการบินพลเรือน จตุจักร กรุงเทพฯ


              นายวิพุธฯ ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการจัดโครงการฯดังกล่าว ว่าได้รับความสนใจ และมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก  สำหรับการจัดกิจกรรมรุ่นที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2567 เวลา 0900 – 1130 น. ณ สถาบันการบินพลเรือนมีแผนรับรุ่นละ 80 คน แต่เมื่อทำการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ พบว่ามีผู้สนใจจากทั่วประเทศติดต่อสอบถามมายังสถาบันการบินพลเรือนเป็นจำนวนมาก ทางท่าน รชค.มนพรฯ จึงหารือคณะผู้จัดให้เพิ่มจำนวนที่นั่ง  ซึ่งได้เสนอให้มีการรับสมัครเพิ่มเติมอีกจำนวน 40 คน รวมเป็น 120 คน  โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมในรุ่นที่ 2 สบพ. ได้จัดให้มีการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อวัดระดับความรู้  โดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการโดยสแกน QR Code ด้านล่าง


              โครงการแนะแนวสอบนักเรียน – นักบิน (Student Pilot 2024) และแนะแนวอาชีพด้านการบิน มีวัตถุประสงค์เพื่อนำประสบการณ์ความรู้ที่มีมาถ่ายทอดและสร้างโอกาสให้กับสังคมและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบิน ตลอดจนแนะแนวอาชีพสร้างโอกาสเตรียมความพร้อมให้น้องๆได้รับความรู้เกี่ยวกับแนวทางการก้าวเข้าสู่อาชีพในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะช่วยให้น้อง ๆ มีความมั่นใจ และสร้างความเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการบินกลับมาแล้ว สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่มีการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค และในฐานะที่ สบพ. เป็นหน่วยงานหลักในการผลิตและพัฒนาบุคลากรการบินให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการบินทั้งหมด สบพ.จึงพร้อมอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ และอยู่ระหว่างการหารือกับนายวิพุธฯและคณะในการเพิ่มรอบการจัดกิจกรรมให้กับผู้สนใจต่อไป รายละเอียดติดตามได้ที่ http://www.catc.or.th และ Facebook สถาบันการบินพลเรือน

              ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนได้ผ่านทางลิงก์ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe3FZreoFhZGmVGhyKnBFigJxmiQHDsGa6s97cLyrktuWHuQQ/viewform





20
เต็มอิ่มจุใจกับ “เทศกาลอาหารเกาหลีสไตล์บุฟเฟ่ต์”
ส่งตรงความอร่อยจากแดนกิมจิ ณ ห้องอาหารนัมเบอร์ 43 อิตาเลียน บิสโทร
โรงแรมแคนทารี เบย์ ระยอง




             28 – 30 พฤษภาคม 2567 อร่อยฟินเหมือนบินไปเกาหลีกับ “เทศกาลอาหารเกาหลีสไตล์บุฟเฟ่ต์” ณ ห้องอาหารนัมเบอร์ 43 อิตาเลียน บิสโทร โรงแรมแคนทารี เบย์ ระยอง พร้อมเสิร์ฟบุฟเฟ่ต์มื้อค่ำรสชาติต้นตำรับจากประเทศเกาหลี ทั้งวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่ถูกเชฟคัดสรรมาอย่างดี ตระการตากับเมนูยอดฮิต อาทิ เนื้อย่างเกาหลี ข้าวยำบิบิมบับ กุ้งดอง แซลมอนดอง กิมจิ และเมนูอื่นๆอีกมากมาย พร้อมของหวานตบท้ายมื้ออร่อย อาทิ ไอศกรีมชาเขียว และเค้กรสเลิศต่างๆในราคา 750 บาท (สุทธิ) ต่อท่าน สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี หรือส่วนสูงไม่เกิน 120 ซม. ลดครึ่งราคา ในวันที่ 28 – 30 พฤษภาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น.






             สำรองที่นั่งล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงแรมแคนทารี เบย์ ระยอง โทร. 038 804 844 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.kantarybay-rayong.com/
Pages: 1 [2] 3 4 ... 10