MSN on December 12, 2019, 02:34:27 PM


แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2563 – ปีของหนูสองตัว ดร. อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย



ผลกระทบจากสงครามการค้ากำลังคืบคลานเข้ามาในประเทศ

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนส่งผลต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคในประเทศได้อย่างไร? เมื่อการส่งออกหดตัวตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้าลงและจากความไม่แน่นอนในนโยบายภาษีเพื่อกีดกันสินค้า ผู้ส่งออกก็ลดการสั่งซื้อจากผู้ผลิต และเมื่อผู้ผลิตเผชิญปัญหาขายของได้น้อยลง เกิดอุปทานส่วนเกิน ก็ลดกำลังการผลิตลง ดังเห็นได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิต (capacity utilization rate) ลดลงและดัชนีภาคการผลิต (Manufacturing Production Index - MPI) หดตัว หลายบริษัทได้ลดชั่วโมงการทำงานลงส่งผลให้รายได้ล่วงเวลา หรือ OT ลดลง ผู้บริโภคก็ได้ผลกระทบจากรายได้นอกภาคเกษตรที่หดตัว ขณะที่รายได้ภาคเกษตรก็มีความไม่แน่นอนจากภาวะภัยแล้งและน้ำท่วมซึ่งกระทบผลผลิตภาคเกษตร ขณะเดียวกัน ภาครัฐบาลก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้มาตรการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการ หรือมาตรการกระตุ้นการบริโภคต่างๆ เพื่อหวังประคองกำลังซื้อ ซึ่งนับว่าเป็นความพยายามที่ท้าทายมากในภาวะที่รายได้ครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำและความเชื่อมั่นอ่อนแอ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ได้ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสองครั้ง จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.25 และกำลังรอผลการส่งผ่านของการลดดอกเบี้ยให้สภาพคล่องในตลาดการเงินสูงขึ้น เพื่อหวังผลให้มีการลงทุนและบริโภคมากขึ้น แต่แม้จะมีการลดดอกเบี้ยลงและธปท. ได้ผ่อนคลายทุนเคลื่อนย้าย เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐและสกุลเงินประเทศคู่ค้าซึ่งส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่โตช้า

เศรษฐกิจจะโตช้าไปอีกไหม?

สภาพัฒน์รายงานว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามขยายตัวร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหรือร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาล ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่ช้าลงและต่อเนื่อง ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยเติบโตช้าลงจากไตรมาสก่อนหน้าเช่นนี้ไปอีก เศรษฐกิจไทยก็จะมีความเสี่ยงเข้าสู่การถดถอยทางเทคนิค หรือ technical recession ซึ่งนิยามว่าเกิดการหดตัวเทียบไตรมาสต่อไตรมาสเป็นเวลา 2 ไตรมาสติดต่อกัน แม้ว่าเรายังไม่ได้คาดการณ์เช่นนั้นแต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เรายังมองเศรษฐกิจไทยในด้านบวกอยู่นั่นคือการเติบโตช้าๆ ต่อเนื่อง

เราจะคาดหวังอะไรได้ในไตรมาสที่ 4 นี้

แม้เศรษฐกิจไทยได้โตช้าลง แต่เราก็มีสัญญาณเชิงบวกบางอย่างที่ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในอนาคต ประการแรก เราสามารถคาดหวังว่าการส่งออกสุทธิ (ส่งออกหักนำเข้า) จะเติบโตได้ดี การส่งออกน่าจะลดลงเล็กน้อยตามภาวะตลาดโลก แต่การนำเข้าน่าจะยังหดตัวพอสมควรตามการซื้อเครื่องจักรที่ชะลอ ราคาน้ำมันที่ลดลง และสต๊อกสินค้าคงคลังที่ยังสูง ซึ่งจะมีผลให้ไทยเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับรายได้จากการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นล้วนมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย ประการที่สอง การลงทุนกำลังจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือในการลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือ public-private partnership (PPP) นอกจากนี้ โครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC น่าจะส่งสัญญาณการลงทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ประการที่สาม การบริโภคภาคเอกชนในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดี เช่น โรงแรมและร้านอาหาร และเครื่องดื่มประเภทที่ไม่ใช่แอลกอฮอลล์ ขณะที่สินค้าบางกลุ่มที่เกี่ยวกับคนรายได้น้อยยังอ่อนแอ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า หรือแม้แต่รถยนต์ที่หดตัวตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง ประการที่สี่ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐยังเป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่องบประมาณประจำปีผ่านรัฐสภาในช่วงเดือนมกราคม 2563

แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2563 – ปีของหนูสองตัว

ปี 2563 ที่กำลังจะมาถึงนี้ถือว่าเป็นนักษัตรปีหนูหรือปีชวด ในทางโหราศาสตร์พยากรณ์จะเป็นเช่นไรก็สุดแล้วจะคาดการณ์ แต่ในทางเศรษฐกิจ ผมขอพยากรณ์ว่าปีหน้าจะมีหนูสองตัว คือมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ขอใช้คำว่าชวดดังอักษรตัว ช-ว-ด ในการพยากรณ์นี้

ในด้านปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจนั้น ผมคาดหวังใน 1. ช – เชิญชวนย้ายฐาน 2. ว -– วาดแผนการคลัง และ 3. ด -–ดันท่องเที่ยวหนุนไทย ในส่วนแรก เชิญชวนย้ายฐาน เปรียบเหมือนการเร่งผลักดันให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาสู่ไทย โดยเฉพาะในเขต EEC เพื่อเลี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และสามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียนได้ ซึ่งเมื่อมีการเร่งการย้ายฐานเพิ่มขึ้น นักลงทุนจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตและจะสร้างรายได้นอกภาคเกษตรให้ครัวเรือน อีกทั้งจะสนับสนุนให้การส่งออกเร่งตัวขึ้นได้ ในส่วนที่สอง วาดแผนการคลังเป็นสัญญาณบวกด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากที่งบประมาณประจำปี 2563 ผ่านรัฐสภาในช่วงปลายเดือนมกราคม เราคาดหวังว่า นอกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแล้ว รัฐบาลอาจมีมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนหรือการลดภาษี ซึ่งจะเพิ่มกำลังซื้อให้คนชั้นกลางมากขึ้น อีกทั้งทางธปท. ที่แม้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ตลอดทั้งปี แต่อาจใช้มาตรการผ่อนคลายอื่นเพิ่มเติมหรือผ่อนปรนเกณฑ์สินเชื่อหรือแม้แต่ลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อหวังเสริมสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจหากมีความจำเป็น ในส่วนที่สาม ดันท่องเที่ยวหนุนไทย สะท้อนเรื่องการท่องเที่ยวที่ยังเป็นปัจจัยบวกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหลังจากที่นักท่องเที่ยวจีนกลับมาเยือนประเทศไทยมากขึ้นนับจากไตรมาสที่สามเป็นต้นมา นอกจากนี้ พลังจากการท่องเที่ยวยังช่วยส่งผ่านถึงการบริโภคสินค้ากลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร อาหารและเครื่องดื่มในช่วงที่กำลังซื้อคนในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ส่วนในด้านความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจทำให้ขยายตัวต่ำกว่าคาดนั้น ผมขอให้ระวัง 1. ช – ช้ำ บ้านล้นตลาด 2. ว – วุ่น ค่าบาทผันผวน และ 3. ด – ดวลเดือด จีน-มะกัน ความเสี่ยงแรก ช้ำบ้านล้นตลาด คือทางด้านอุปทานส่วนเกินของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับมาตรการคุมเข้มจากธปท. ในการปล่อยสินเชื่อบ้านซึ่งอาจกระทบภาพรวมการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี ปัญหาอุปทานล้นตลาดนี้คาดว่าจะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่นอกแนวรถไฟฟ้า หรือในกลุ่มที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทซึ่งสะท้อนกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอของคนรายได้ระดับกลาง-ล่าง ในส่วนคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่ราคาสูงอาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่อาจใช้เวลาในการขายนานกว่าในอดีตจากภาวะเศรษฐกิจที่โตช้าและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง ความเสี่ยงที่สอง วุ่นค่าบาทผันผวน คือ ภาวะที่เงินบาทแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐและค่าเงินประเทศคู่ค้าจนกระทบผู้ส่งออกและผู้ลงทุนในประเทศ ซึ่งเราคาดว่าในปี 2563 นี้มีความเป็นไปได้ที่บาทยังคงผันผวนในทิศทางแข็งค่าจากปัจจัยสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องและจากการที่ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง เงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทจะกระทบการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ทำให้รายได้ภาคเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำได้ ส่วนการท่องเที่ยวนั้น แม้อาจกระทบการท่องเที่ยวบ้างจากค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะสูงขึ้นตามเงินบาทที่แข็งค่า แต่เราเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงเติบโตได้ตามความต้องการเดินทางออกนอกประเทศโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีน ความเสี่ยงที่สาม ดวลเดือดจีน-มะกัน คือปัญหาสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง แม้ในปี 2563 นี้เราเชื่อว่าสงครามการค้าจะไม่ทวีความรุนแรงขึ้นอีก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนปรับตัวได้ ไม่ว่าภาษีนำเข้าจะอยู่ที่ระดับใดก็ตาม เพียงขอให้มีความชัดเจน อย่างไรก็ดี หากสงครามการค้าระอุขึ้นอีก จากภาษีที่สูงขึ้นหรือจากมีประเทศอื่นอีกที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ หรือหากสงครามการค้าลามไปสู่สงครามค่าเงินหรือสงครามเทคโนโลยี เศรษฐกิจโลกคงจะชะลอลงอีกซึ่งจะกระทบการส่งออกไทยและอุปสงค์ในประเทศได้ ด้วยทั้งภาวะโอกาสและความเสี่ยงในปีชวดนี้ เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 2.7 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.4 ในปี 2562

แนวโน้มค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยน

เราเชื่อว่าทางกนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับร้อยละ 1.25 ตลอดทั้งปี 2563 ซึ่งทางธปท. อาจติดตามการส่งผ่านของมาตรการลดดอกเบี้ยสู่ตลาดการเงินก่อนตัดสินใจลดดอกเบี้ยอีกครั้งในอนาคต นอกจากนี้ สภาพคล่องในระบบที่สูงจากสินเชื่อภาคธุรกิจที่ขยายตัวช้า โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SME ส่วนสินเชื่อเพื่อการบริโภคก็ชะลอลงจากทั้งมาตรการคุมเข้มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและจากความกังวลของธนาคารพาณิชย์ต่อหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตลาดการเงินไทยยังไม่ได้ตกอยู่ในภาวะสภาพคล่องตึงตัวจนต้องลดดอกเบี้ยเพิ่ม ในทางตรงข้าม เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านเสถียรภาพจากสภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ส่งผลให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยอาจไม่ได้ประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ซึ่งเราเห็นว่าทางธปท. น่าจะเลือกใช้การสนับสนุนให้เงินไหลออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นเพื่อให้บาทอ่อนค่าหรืออาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทในอนาคต ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เราคาดว่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี 2563 โดยเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจากการที่ไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงต่อเนื่อง การนำเข้าอาจยังไม่ฟื้นตัวจากคลังสินค้าที่อยู่ในระดับสูงและเอกชนกำลังระบายสต๊อกเก่าก่อนสั่งซื้อวัตถุดิบใหม่ อีกทั้งราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวยังมีทิศทางเติบโตได้ดีจากนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาไทยมากขึ้น ซึ่งรายได้เข้าประเทศมากกว่ารายจ่ายออกนี้ยังสนับสนุนให้บาทแข็งค่า และคาดว่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI น่าจะเร่งตัวขึ้นตามยอดการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ซึ่งจะยิ่งให้เงินไหลเข้ามาต่อเนื่อง