pooklook on February 14, 2010, 07:38:55 PM


ปลดป้ายยี่ห้อทายาทคนโตของ "เฮีย ฮ้อ" สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ นายใหญ่แห่งอาร์เอส ออกไปก่อน เพราะตอนนี้เรากำลังพูดถึง ป็อป - เชษฐ เชษฐโชติศักดิ์
 
   หนุ่มน้อยวัย 19 ปี หนึ่งในสมาชิก วง The Papers ศิลปินที่นิตยสาร DDT การันตีไว้ในฉบับ Superband 2009 ว่า นี่คือ 1 ใน 55 แบนด์โคตรจะมาแรงแห่งปี (ที่แล้ว)

 
   เป็นที่รู้กันว่า 10 เพลงจากปลายปากกาของเขา ถือเป็นอีกส่วนผสมที่ทำให้ชื่อของ "คนทำหนังสือพิมพ์" กลุ่มนี้ รู้จักในหมู่คนฟังเพลง ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ขอยอมรับเครดิตในเรื่องนี้

 
   "ผมไม่ใช่นักดนตรี" น้ำเสียงของเขายืนยันชัดเจน และหากลองประเมินจากสายตาตัวเองในวันนี้แล้ว อัลบั้มแรกถือว่ายังมีอะไรที่ต้องแก้ไขอยู่ เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังอัลบั้มทุกอย่างเสร็จสิ้น ตัวป็อปเองยอมรับว่า ไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากอะไร

 
   "มันเป็นธรรมชาติของเราเวลาเขียนเพลงเพลง หนึ่งเสร็จแล้ว พอมาฟังในสตูดิโอ หรือฟังในห้องมันเหมือนแม่คลอดลูก ลูกก็ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เรามองจากสายตาคนนอกไปแล้ว และทุกครั้งที่เล่นสดมันก็จะรู้สึกแปลกๆ เหมือนพยายามจะเล่นคัฟเวอร์คนอื่น มันเหมือนขัดแย้งอยู่กับข้างในของตัวเองตลอดเวลา"
 
   ถ้ามองในแง่ดี ป็อป คิดว่าการไม่ค่อยเข้าใจอะไรในขณะนั้น จะทำการสร้างงานขึ้นใหม่แต่ละครั้ง "สด" อยู่เสมอ รวมทั้งเวลาอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตด้วย
 
   "พอสุดท้ายทำเสร็จก็จะพบว่าตัวเองว่าง เปล่าอีกแล้ว เราจะรู้สึก ว่านี่ไม่ใช่เพลงของเรา มันไม่ใช่ตัวเรา ก็ไม่รู้สึกเหลืออะไรตกค้างที่จะไปปะปนกับงานชุดใหม่ที่จะทำต่อ แต่ก็จะมีความเบื่อเข้ามาเยอะหน่อย เหมือนจะทำให้ดาวน์ได้ มันก็งงๆ แล้วก็จะเบื่อ ไม่อยากเล่น"
 
   "สมมติบางคนพอฟังเพลงเสร็จจะภูมิใจในเพลงนั้น เพราะเพลงนั้นดัง คอนเสิร์ตทุกครั้งก็จะเล่นแต่เพลงนั้น เหมือนกับทำให้คนชอบ ได้รับการตอบรับ เขาก็มีความสุข แต่เราจะไม่เป็นอย่างนั้น เวลาเล่นเพลงจะชอบจ้องหน้าคนดู ส่วนใหญ่ที่เห็นเขาจะทำหน้างงๆ รู้สึกแบบไม่เข้าใจเลย มันทำให้รู้สึกดี ถ้าเขายิ้มแล้วทำท่าเย้วๆ จะรู้สึกแปลกๆ เหมือนเราไม่ได้เล่นเพลงเราให้เขาฟังแล้ว แต่ถ้าเขาทำหน้าแปลกๆ มันตอบตรงนั้นข้างใน ถ้าเขายิ่งไม่เข้าใจ แต่ยืนดูนั่นถือว่าเราพอใจในการเล่นตรงนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่แคร์คนดูนะ ที่เขายืนดูก็แสดงว่าอาจจะสนใจหรือไม่สนใจ ไม่ใช่ประเด็น แต่เขายืนดู เขายิ่งไม่เข้าใจมันก็ยิ่งทำให้เราไม่ เข้าใจตัวเอง เราก็ไม่เข้าใจเขา เขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง เขาก็ไม่เข้าใจเพลง มัน เป็นความเข้าใจโดยสมบูรณ์แบบไป"
 
   ป็อปยอมรับว่ามุมมองที่ เป็นเอกลักษณ์ และตัวตนเฉพาะทางของเขาส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างสังคม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศมากกว่า การหล่อหลอมดังกล่าวยังเกี่ยวพันไปถึงทัศนคติทางดนตรีของตัวเองด้วย
 
   "ใช้ชีวิตไฮสกูลอยู่ที่ออสเตรเลียอยู่ 11 ปี มาอยู่เมืองไทยมันก็ค่อนข้างแตกต่างอยู่พอสมควร อยู่ที่นี่เหมือนเป็นระเบียบขึ้น ซึ่งมันก็มีข้อดี (ยิ้ม) มีคนเคยพูดว่าคุณต้องมีแบบแผน และมีรูปแบบที่มั่นคงในชีวิตปกติ เพื่อที่คุณจะสามารถใส่ตัวตนได้ในงานของคุณ มันทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเอง การที่เราเป็นคนปกติ มันทำให้การทำงานมันสามารถพัฒนามากขึ้น เหมือนกับเวลาคนทำดนตรีแล้วต้องดูสกปรก ดูเซอร์ มันก็เหมือนถูกดนตรีกินตัวเองไป"
 
   เมื่อพูดถึงนิยามของเพลงสำหรับหนุ่มมาดเซอร์คนนี้ให้ความเห็นว่า น่าจะหมายถึงชิ้นงานที่ปรุงแต่งขึ้นมาโดยปราศจากปัจจัยแวดล้อม เพราะอารมณ์และตัวตนของคนทำจะถูกดึงออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่ สุด
 
   "เวลาคนทำเพลงไปโฟกัสกับตัวศิลปิน โฟกัสกับสิ่งต่างๆ มากมายในกระบวนการผลิตทัศนคติทางธุรกิจ แบบแผนวิธีการ โดยไม่ให้คุณค่ากับเพลงนั้นอย่างแท้ จริง มันก็ทำให้เพลงไม่เป็นเพลง แต่จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรถูกอะไรผิดนะในความรู้สึกผม แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างมันมีมาอยู่แล้ว และคนคนหนึ่งมันก็ทำให้ทุกอย่างสมดุลอยู่แล้ว"
 
   ในยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกๆ ส่วนของสังคม ตัวป็อปเองก็มองว่า ความไฮเทคเหล่านี้ล้วนมีส่วนเข้ามาเปลี่ยนแปลง และส่งอิทธิพลต่อวงการเพลงอย่างมากในอนาคต เหมือนชิ้นงานบางส่วนในอัลบั้มที่ผ่านมาเขาก็ได้มีโอกาสทดลองกับสิ่งเหล่า นี้อยู่เหมือนกัน
 
   "โลกยุคดิจิทัลเข้ามา ข่าวสารก็เปลี่ยนไป ก็สามารถทำให้คนเราสามารถทำอะไรหลายอย่างได้เพิ่มขึ้น อีกด้านก็คือ ไลฟ์สไตล์ เพลงในยุคดิจิทัล ก็จะไม่เหมือนเพลงในยุคอนาล็อกแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีกว่า นักดนตรีบางคนอาจจะบอกว่าต้องอนาล็อก แต่จริงๆ ไม่มีอะไรตายตัวแล้ว เพราะเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มันก็สามารถสร้างงานได้อยู่ที่คนทำมากกว่า ถ้าคนทำปิด ดนตรีก็ปิดไปแล้ว มันเหมือนเป็นอะไรที่เอื้ออำนวยมาก ทำจังหวะกลองในคอมพิวเตอร์ มันเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ต่างจากการเล่นกีตาร์สด ในคอมพิวเตอร์มันก็ไม่ต้องเอาตัวคุณไปละลายลงในนั้นทั้งหมด แต่มันสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของมันเอง แล้วคุณก็แค่คุยกับมันเท่านั้น ผมก็ได้ลองทำอยู่บ้าง แต่ทำแบบมั่วๆ เพราะยังไม่ค่อยรู้อะไร"
 
   หลังจากเคลียร์คิวงานทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ The Papers ถือว่าอยู่ในช่วงพักวง เนื่องจากภาระหน้าที่ของแต่ละคน ซึ่งก็หมายถึงการเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกาของเขาด้วย
 
"ช้ามาเยอะแล้วครับ ถึงเวลาที่จะต้องรีบไปเรียนให้จบเสียที"
 
   ไม่ต้องถามว่าอีก 2 ปีข้างหน้า หลังจากคว้าใบปริญญากลับมาแล้ว หนุ่มป็อปจะกลับมาลุยงาน เพลงชุดที่สอง หรือหันมาเอาดีด้านสายงานบริหารเพื่อเตรียมตัวรับช่วงต่อจาก "เฮีย" หรือไม่ เพราะเจ้าตัวยืนยันเหมือนกันว่า นั่นเป็นเรื่องของอนาคต แต่หากจะลองทำอะไรจริงๆ เขาอยากเริ่มต้นจากอะไรที่มีอยู่ในตัวเองและเพื่อนๆ เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากกว่า
 
   "อาจจะเป็นเว็บไซต์อะไรที่เหมาะสมกับโลก ที่มันเปลี่ยนไป อยากผสมผสานกันได้ แต่ไม่ใช่อายุ 35 ปี แล้วยังต้องมานั่งใส่สูทพูดแบบนี้อยู่" เขาบอก