MSN on June 25, 2018, 08:25:39 AM
บทความจากสัมมนา TFEX Trader Day 2018 ครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2561 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


สร้างกลยุทธ์เทรด TFEX ขั้นเทพตีแตกกลยุทธ์ ทำกำไร TFEX ในทุกสถานการณ์ วิทยากรโดยคุณหยง ธำรงชัย เอกอมรวงศ์
   
ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ TFEX ยังคงมุ่งมั่น และไม่หยุดยั้งในการส่งเสริมความรู้แก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การปูพื้นฐานให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนมือใหม่ไปจนถึงการเดินหน้าเสริมคมความรู้ และแชร์ไอเดียให้แก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะเรื่องกลยุทธ์และเทคนิคในการเทรด TFEX เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถนำไปประยุกต์และปรับใช้ให้เข้ากับตัวของผู้ลงทุนเอง

“คุณหยง ธำรงชัย เอกอมรวงศ์”Trader อิสระ และเป็นผู้เขียนหนังสือ “หยงเกิดมาเทรด” ได้ร่วมแชร์มุมมองและเสริมภูมิให้แก่ผู้ลงทุนในหัวข้อ “สร้างกลยุทธ์เทรด TFEXขั้นเทพ ตีแตกกลยุทธ์ทำกำไร TFEX ในทุกสถานการณ์”เพื่อให้ผู้ลงทุนได้นำไปประยุกต์ใช้และเป็นไอเดียการเทรดในตลาด TFEX โดยไอเดียวันนี้ไม่ได้พุ่งเป้าแนะนำให้ผู้ลงทุนใช้กราฟหรือซื้อเลยขายเลยโดยไร้หลักการ

แต่แนวคิดครั้งนี้เสนอแนะให้ผู้ลงทุนต้องคำนึงว่า แนวทางการเทรดในตลาด TFEX ของคุณนั้น ต้องสามารถเข้ากับตัวคุณ หรือเหมาะสมกับคุณหรือไม่ เพราะการลงทุนไม่ว่าตลาดหุ้น หรือตลาด TFEX มักจะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ลงทุนไม่ได้คาดหวัง และเหตุการณ์ไม่คาดฝันดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อพอร์ตที่คุณลงทุน

ดังนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง สิ่งที่ต้องการให้ผู้ลงทุนเรียนรู้นั่นก็คือ คุณจะรับมือกับสถานการณ์ตรงนั้นอย่างไร และคุณจะบริหารความเสี่ยงที่คุณต้องเผชิญหรือกำลังจะเผชิญตรงหน้านั้นอย่างไร

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น กรณีของการลงทุนในหุ้น ถ้าคุณซื้อหุ้น 1 ตัว แล้วหุ้นขึ้น 10% แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อ....หรือ ถ้าคุณซื้อหุ้น 1 ตัวแล้วหุ้นดิ่งลง แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อ...หรือกรณีคุณเทรดใน TFEX ถ้า Long แล้วขึ้น หรือ Long แล้วลง คุณจะทำอย่างไร

ดังนั้นก่อนที่คุณจะลงทุน ควรจะต้องมีการวางแผนหรือต้องวางกลยุทธ์ในการลงทุน เพราะเมื่อคุณมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า หากเกิดสถานการณ์ต่างๆ จะทำให้คุณสามารถบริหารความเสี่ยงและรับมือกับความเสี่ยงได้ ที่สำคัญเมื่อคุณมีการวางแผนแล้วจะทำให้คุณไม่เสียหายเกินกรอบที่คุณออกแบบไว้ หรือหากคุณได้กำไรก็ไม่ได้เกิดจากดวง แต่เกิดจากการวางแผน หรือตามกลยุทธ์ที่คุณวางไว้ พูดง่ายๆ ว่า “เทรดแบบมีกลยุทธ์ คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ แล้วเรารู้ว่าเราควรทำอะไร และห้ามเสียเกินกว่าที่ออกแบบเอาไว้”

นอกจากนี้ สิ่งที่คุณหยงตอกย้ำให้ผู้ลงทุนตระหนักตลอดเวลาก็คือ “ไม่ว่าคุณจะเก่งขนาดไหนการลงทุนนั้น เราไม่ควรลงทุนในสินค้าใดสินค้าหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยในพอร์ตของคนที่เทรด TFEX ก็ควรมีการลงทุนในหุ้นด้วย หรือควรมีการกระจายความเสี่ยงด้วยนั่นเองสำหรับคำแนะนำในการใช้โปรแกรมกราฟหากผู้ลงทุนต้องการซื้อขายโดยใช้วิธีดูกราฟจริงๆ ควรเลือกดูกราฟตัวที่คุณคุ้นเคย และไม่มีค่าใช้จ่าย”

ส่วนการเทรดOptionsคุณหยงบอกว่า ห้ามมองตัวเองเป็นนักเก็งกำไร เพราะคุณสามารถเก็งกำไรด้วยFuturesได้อยู่แล้ว ดังนั้นการเทรดOptions ผู้ลงทุนควรมองตัวเองเป็นนายธนาคาร หรือแบงเกอร์ เพราะการเป็นแบงเกอร์ จะหากินกับเวลาอย่างกรณีOptions คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้Options หมดอายุแล้วราคาไม่มากินทุนของคุณ แล้วก็จะทำเช่นนั้นเวียนไปเรื่อยๆ สำหรับการเทรดOptions ของคุณหยง90-95%คือ Short Options ซึ่งควรลองเอาไอเดียไปพิจารณา

อย่างไรก็ตาม คุณหยงได้สรุปกลยุทธ์การเทรด Futures และ Options ซึ่งไม่ยุ่งยากและสามารถนำแนวความคิดไปปรับใช้เพื่อทำกำไรใน TFEX ได้ดังนี้

1.การลงทุนเป็น Spectrum ไม่ใช่ Level คุณไม่ได้เริ่มต้นจากเดย์เทรดไปสวิงเทรด คุณต้องประเมินว่าคุณเหมาะกับแนวไหน แล้วลองแนวนั้นดูสักระยะหนึ่ง ว่ามันใช่หรือไม่ใช่
2.การลงทุนอาจทำให้เกิดDunning–Kruger Effectคือ อาการของคนไม่เก่งแต่คิดว่าตัวเองเก่ง ดังนั้น แม้การลงทุนช่วงแรกจะทำได้ดีมาก แต่ก็ยังไม่พอ คุณต้องลองทำไปสักพัก เรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม จนระยะเวลาของคุณดีสม่ำเสมอประมาณ2ปีถึงจะถือว่าพอใช้ได้
3.Pattern ซับซ้อนจะเกิดขึ้นน้อยกว่า ดังนั้นผู้ลงทุนควรเล่นอะไรให้ง่ายๆ เข้าไว้
4.ไม่ได้ดูกราฟเพื่อหาเทคนิค แต่ดูกราฟเพื่อดูว่าคนที่ร่วมเล่นคิดอะไรอยู่ หวังเท่าไร ทำไมแถวนี้ขึ้นมาแล้วขึ้นต่อ ทำไมแถวนี้ขึ้นมาแล้วถูกตบลง ต้องหาให้เจอว่าสมาร์ทมันนี่คือใครซึ่งสมาร์ทมันนี่นั้น เป็นแท่งเทียนที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เช่น แท่งที่ชูทขึ้นมาในช่วงขาลง หรือแท่งแดงลงมาในช่วงขาขึ้น เป็นแท่งที่กำหนดทิศทางระยะสั้นของราคาหุ้นได้ ไม่ใช่เทรนด์
5.เล่นให้น้อยได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่ห้ามเสียเกินกว่าที่ออกแบบไว้ ถ้ากราฟไม่ชัวร์ ก็เล่นให้น้อยลง คุณห้ามไม่เล่นเลย เพราะการไม่เล่นเลย จะทำให้เกิดความคิดว่าเงื่อนไขต้องครบแล้วถึงเข้า จะเป็นการหลอกตัวเอง สะกดจิตตัวเอง ทำให้คุณเสียรอบดีๆ ไปมหาศาล เพราะไปมองว่าเงื่อนไขต้องครบ
6. ไปเก็บเบสิค โดยเฉพาะเรื่องOptions พยายามเป็นแบงเกอร์ในOptions ให้ได้ คุณจะได้เงินน้อยที่ความเสี่ยงต่ำ แต่จะได้เรื่อยๆอย่าคิดว่าเล่นออปชั่นแล้วรวยเปรี้ยง เป็นการความคิดที่เป็นการตลาด เทรดเดอร์ที่ทำจริงเขาไม่คิดรวยเปรี้ยงจากออปชั่น เขาคิดสร้าง Cash Flow จากการขายOptions และรอให้หมดเวลา
« Last Edit: June 25, 2018, 09:50:22 PM by MSN »

MSN on June 25, 2018, 09:52:18 PM
ประชันไอเดียกับ “ดร.สุทธิสิทธิ์ แจ่มดี” จับจังหวะเทรด “Futures-Options” ให้ได้กำไร วิทยากรโดย ดร.สุทธิสิทธิ์ แจ่มดี



ถ้าหากเปรียบเทียบการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ กับชีวิตของคนทั่วไป กว่าจะเดินหลังตรงและแข็งแรงได้ ก็เริ่มต้นมาจากการคลาน เดินเตาะแตะ เดินเร็ว และเดินหลังตรงได้ในที่สุด เฉกเช่นเดียวกับ ตลาดตราสารอนุพันธ์ที่ยุคต้นๆ อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ โดยผู้ลงทุนอาจมองว่าเป็นการลงทุนที่ซับซ้อน และลงทุนยาก จึงทำให้ช่วงเริ่มต้น การสร้างการรับรู้และการเข้าถึง ถือเป็นเรื่องยากแต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ การซื้อขาย Futures-Options เติบโตอย่างต่อเนื่อง อาจจะอยู่ในระดับที่เรียกว่าเริ่มเดินเร็วขึ้น และกำลังจะวิ่งเนื่องจากตลอดช่วงที่ผ่านมา ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX ได้เสริมสร้างภูมิความรู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก๋าอยู่ตลอดเวลา และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ลงทุนเห็นประโยชน์ และเร่งเรียนรู้กันมากขึ้นรวมถึงรับรู้แล้วว่า การซื้อขายอนุพันธ์ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดแถมยังใช้ช่วยกระจายความเสี่ยง และสร้างกำไรได้ตลอด หากจับจังหวะการเทรดได้ถูกต้อง

สอดคล้องกับมุมมองของ “ดร.สุทธิสิทธิ์ แจ่มดี” รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ธุรกิจหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ซึ่งได้มาแชร์มุมมองที่น่าสนใจในหัวข้อ จับจังหวะเทรด “Futures-Options” ให้ได้กำไร โดยมองว่า ในความเป็นจริงแล้ว การซื้อขายFutures-Options ไม่ได้ยากหรือซับซ้อนอย่างที่ผู้ลงทุนคิด เพราะที่ผ่านมา ผู้ลงทุนหลายคนก็ได้ซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชั่นด้วยตัวเองมานานแล้วแบบไม่รู้ตัว เช่น การลงทุนในวอร์แรนท์ (Warrant) และดีดับบลิว (Derivatives Warrant)

“ผมมีความพยายามที่จะผลักดันให้ตลาดOptions เกิดเหมือนเมืองนอก เพราะหากคุณมีความเข้าใจ จะเป็นตราสารที่ซื้อขายได้สนุกที่สุด สำหรับตลาดออปชั่นของไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มเติบโตมากขึ้น ซึ่งถึงเวลาที่ต้องเดินเร็วขึ้น และต้องวิ่งได้แล้ว”   

ดร.สุทธิสิทธิ์ ยังเล่าให้เห็นถึงความสนุกและความแตกต่างของออปชั่นกับหุ้นว่า เวลาคนจะซื้อหรือขายหุ้น คือจะมอง หรือคิดอย่างเดียวว่า หุ้นที่ซื้อจะไปในทิศทางไหน จะขึ้นหรือลง เพราะถ้าเราคิดว่าหุ้นจะขึ้น ก็จะเข้าไปซื้อหุ้น(Long Stock)หรือมองว่าหุ้นเอาไว้ทำกำไรขาขึ้นอย่างเดียว โดยพวกคุณจะรอให้หุ้นตกลงมาจากนั้นถึงเข้าไปซื้อ หรือหวังว่าหุ้นจะขึ้นถึงค่อยขาย

หรือถ้ามั่นใจทิศทาง เช่น ถ้ามองว่าหุ้นจะลงหนัก และมีหุ้นอยู่ในพอร์ต คุณก็ขายหุ้นที่อยู่ในพอร์ตออกไปก่อนบางส่วน แล้วค่อยไปซื้อกลับมาเท่าเดิม คือเท่ากับจำนวนที่คุณขายออกไปในช่วงที่หุ้นลง แบบนี้เรียกว่าเป็นการShort against port ซึ่งวิธีแบบนี้จะช่วย Saveการขาดทุน แต่ยังไม่ได้ทำเงินให้พอร์ตคุณ

แต่ถ้าคุณไม่มีหุ้นในพอร์ต คุณสามารถไปยืมหุ้นเขามาขาย(Shortหุ้น) ก่อนได้ โดยการไปขอยืมหุ้นจากโบรกเกอร์มา ซึ่งเรียกว่าบริการยืมหุ้น หรือให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending: SBL) หรือบริการเอสบีแอล ซึ่งวิธีนี้ เวลาคุณคิดว่าหุ้นจะลง แต่ไม่มีหุ้นในพอร์ต ก็ไปยืมหุ้นคนอื่นมาขายในราคาสูง แล้วพอหุ้นลงก็ไปซื้อกลับในราคาที่ถูก ซึ่งเมื่อได้หุ้นแล้ว ก็ค่อยเอากลับไปคืนเจ้าของหุ้น ในส่วนของคุณก็จะเก็บส่วนต่างกำไร และจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าของหุ้นที่คุณยืมมา อันนี้เรียกShort Selling และนี่ก็คือการจับจังหวะการทำกำไรจากการลงทุนในหุ้น

“เรียกว่าการทำกำไรหรือการขาดทุน ถ้าคุณมองถูกทางว่าหุ้นขึ้น คุณจะได้กำไรไม่อั้น แต่ถ้าผิดทางก็จะขาดทุนอย่างมหัศจรรย์เช่นกัน”

ขณะที่วันนี้ TFEX เติบโตขึ้นมาจนมีอายุได้12 ปี สิ่งที่เกิดขึ้น คือการมีอนุพันธ์ให้ผู้ลงทุนได้เลือกซื้อขาย ซึ่งอนุพันธ์ตัวแรกนั่นก็คือ Futures ที่อ้างอิงกับดัชนีหุ้น แต่การเทรดหุ้น หรือการเทรดFutures ก็จะคิดแค่ทางเดียว คือ ทิศทางจะขึ้นหรือลง ตัวอย่างเช่นเวลาคุณซื้อขายฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ถ้าดัชนีหุ้นขึ้น คุณก็จะกำไรได้เรื่อยๆ แต่ถ้าดัชนีหุ้นลงคุณก็จะขาดทุน

ดังนั้นการที่ต้องมองว่าทิศทางจะขึ้นหรือลงเท่านั้นไม่สามารถตอบโจทย์ได้จริง เพราะในความเป็นจริง ดัชนีหุ้นไม่ใช่มีแค่เพียงขาขึ้นกับขาลง แต่มี Sideway ด้วย ดังนั้นหากดัชนีหุ้นมีอาการ Sideway คนที่มีหุ้น หรือมีฟิวเจอร์สอยู่ในพอร์ตจะทำอะไรไม่ถูก เพราะราคาจะไม่ไปไหน และยิ่งถ้าหากราคาหุ้นลงคุณก็จะเกิดอาการตื่นเต้นและขายหุ้นออก แล้วยอมขายขาดทุน แต่พอเห็นหุ้นขยับขึ้นนิดหน่อย ก็รีบเข้าไปซื้อเพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้น แต่หุ้นกลับลง แล้วคุณก็ขาย และขาดทุนรอบสองทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะเสียค่าคอมมิชชั่นโดยเปล่าประโยชน์

ในสภาพตลาดหุ้น Sideway ต่อให้คุณมีเทคนิคเข้ามาช่วย ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตการลงทุนของคุณง่ายอย่างที่คิด จะเห็นได้ว่าหากดัชนี Sidewayหุ้นและฟิวเจอร์สไม่สามารถตอบโจทย์คนที่ถืออยู่ได้แต่ถ้าทิศทางตลาดหุ้นมีอาการSidewayออปชั่นสามารถตอบโจทย์การลงทุนและเปิดช่องให้คุณสามารถทำกำไรได้ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าคนที่ซื้อขายออปชั่นกำไรมหาศาล แต่คนซื้อขายฟิวเจอร์สเทรดได้ยากมากเพราะตลาดค่อนข้าง Sideway

สำหรับการเทรดออปชั่นฝั่ง Long (Long Call,Long Put) การทำกำไรจะมีโอกาสทำกำไรได้ไม่อั้น แต่เวลาขาดทุน จะขาดทุนอย่างจำกัด แต่กรณีของการเทรดออปชั่นฝั่งชอร์ต (Short Call, Short Put) เวลาขาดทุนมีโอกาสขาดทุนแบบไม่จำกัด ซึ่งเป็นลักษณะของคู่สัญญา มีฝั่งหนึ่งได้ ก็ต้องมีฝั่งหนึ่งเสีย

ดร.สุทธิสิทธิ์ เล่าตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆว่า “ถ้ามองว่าดัชนีหุ้นจะSideway ไปถึงสิ้นปี ผมซื้อขายหุ้นไปก็เท่านั้น ผมขายออปชั่นใครไม่รู้มาซื้อแต่เขาต้องจ่ายเงินบางส่วนให้ผม เขาซื้อจากผมเขาต้องจ่ายเงินให้ผมกรณีดัชนีไม่ไปไหน คนซื้อออปชั่นจากผมก็ไม่ได้ใช้สิทธ์ แต่ผมเก็บเงินก้อนนี้ที่เขาจ่ายให้ผมใส่ในกระเป๋า พอหมดอายุ ผมก็ได้กำไรง่ายๆ”

ส่วนแนวคิดการสร้างกลยุทธ์นั้น ดร.สุทธิสิทธิ์ บอกว่า การลงทุนในออปชั่นจะประสบความสำเร็จได้ ต้องได้เงินกลับบ้านไปอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงไม่สนับสนุนให้เล่นออปชั่นแบบเก็งกำไร แต่ถ้าต้องการเก็งกำไรจริงจะต้องได้เงิน

ดังนั้นแนวคิดการสร้างกลยุทธ์จากนี้ไป ต้องประเมินว่าดัชนีมีแนวโน้มจะอยู่ในระดับใด โดยการคาดการณ์นั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลที่ดี มีการวิเคราะห์ที่ดี และมีการประมวลผลที่ดี ซึ่งเมื่อได้มุมมองทิศทางในหัวตัวเองแล้วจึงค่อยหยิบเครื่องมือที่อยู่ตรงหน้าเรามาทำเป็นกลยุทธ์หาเงิน

จากนั้นก็เป็นการซื้อขายจริง โดยจะต้องดำเนินการให้จบรอบ พร้อมติดตามผล โดยดูว่าผลที่ได้ออกมาดีหรือไม่ และต้องประเมินด้วยว่า ดีเพราะอะไร หรือไม่ดีเพราะอะไร แล้วก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ“นี่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ส่วนตัว ต้องบอกได้ด้วยว่าระยะสั้น กลาง ยาวเป็นอย่างไรจะขึ้นหรือลง เรียกว่าต้องมีกรอบของเวลาเข้ามาด้วย”

ทั้งนี้เมื่อเรามีเป้าหมายที่เราคาดการณ์แล้ว ก็จะต้องมีข้อมูล ซึ่งข้อมูลนั้น จะต้องเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีและยิ่งมีปริมาณมากจะยิ่งส่งผลดี ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลพื้นฐาน เช่น นโยบายภาครัฐของในประเทศและต่างประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจ การเมือง เงินทุนไหลเข้าออก ตัวเลขสถิติที่สำคัญ เช่น กำไรบริษัทจดทะเบียน ตัวเลขนักท่องเที่ยว รวมถึงค่าความผันผวน เช่น ค่าความผันผวนของตลาดหุ้นไทย และประเด็นข่าวสำคัญที่ต้องติดตาม ดังนั้นคนที่ซื้อขายออปชั่น แล้วทำการบ้านเยอะ ก็มีโอกาสจะได้เงินของอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นคู่สัญญาที่ทำการบ้านมาน้อยกว่า

ค่าความผันผวนของดัชนีหุ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคนที่ซื้อขายออปชั่น โดยปกติค่าความผันผวนของดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 10% เวลาที่ผันผวนต่ำดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 10จุด ส่วนช่วงผันผวนสูงดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 30 – 40 จุดซึ่งค่าความผันผวนนี้ จะเป็นตัวส่งสัญญาณว่า ดัชนีหุ้นจะขึ้นหรือลง ยิ่งถ้าค่าความผันผวนต่ำมากๆ จะเป็นสัญญาณว่าดัชนีหุ้นกำลังจะเด้งขึ้น (ค่าความผันผวนจะมีค่าต่ำกว่า 0 ไม่ได้)แต่ถ้าค่าความผันผวนสูงมากๆ จะเป็นสัญญาณว่าดัชนีหุ้นกำลังจะดิ่งลง ดังนั้นเมื่อเห็นค่าความผันผวนต่ำมากๆนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราควรจะเข้าไปซื้อออปชั่นทั้งนี้ หากเรามาดูสภาพคล่องการซื้อขาย Options ของประเทศไทย นับว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัญญาคงค้างจำนวนมาก และในช่วง2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตมากกว่า 100%

MSN on June 25, 2018, 09:53:34 PM
ทำกำไรใน “Futures-Options” ไม่ยากด้วยกลยุทธ์ Calendar Spread จับทางถูกเสี่ยงต่ำ วิทยากรโดย คุณธวัชชัย ทองดี



แม้เราจะมีประสบการณ์ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX มายาวนาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเก่งและเอาชนะการซื้อขายFutures-Options ในตลาด หรือหอบหิ้วกำไรกลับบ้านไปได้เสมอไป โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนโดยไม่ได้ดูว่า สิ่งที่เราลงทุนนั้นเหมาะสมกับเราหรือไม่

เช่นเดียวกับมุมคิดของ คุณธวัชชัย ทองดีผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียเวลท์ ที่มาร่วมแชร์ไอเดียในงาน “TFEX Trader Day ค้นหาไอเดียเทรด สร้างกลยุทธ์ทำกำไร” ในหัวข้อ “จับจังหวะเทรด Futures-Options ให้กำไร” โดยตอกย้ำให้เห็นว่า หากเกมการลงทุนไม่เหมาะสมกับเรา แม้จะพยายามมากแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวเงินหน้าตักก็หมด โดยเฉพาะพวกนักเก็งกำไร หรือแม้แต่นักเทคนิเคิลที่นั่งดูกราฟหรืออ่านกราฟแล้วก็ตาม เพราะตลาด Futures-Optionsมีผู้ร่วมตลาดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรายย่อย รายใหญ่ ต่างชาติ หรือแม้แต่กองทุน 

แม้จะเป็นเกมที่ไม่ง่ายสำหรับรายย่อย แต่รายย่อยต้องพยายามอ่านเกมให้ออก โดยการอ่านแรงซื้อแรงขาย หรือ Flows ของPlayer ที่สำคัญให้ออกแล้วนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์เทรดเก็งกำไรแบบ Calendar Spreadสวน ซึ่งรายย่อยอาจคิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ยาก แต่ในความเป็นจริงไม่ยากอย่างที่คิด

ทั้งนี้ อันดับแรก เราต้องดูภาพรวมของแรงซื้อแรงขาย หรือ Flows ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติก่อน โดยในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2552นักลงทุนต่างชาติมีแรงซื้อหุ้นเข้าพอร์ตซึ่งช่วงนั้นดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 400 จุดจนถึงปัจจุบันไต่มาที่ระดับ1,800 จุด ก่อนที่จะย่อตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ1,700 จุดในขณะนี้ ดังนั้น หากเปรียบเทียบแรงซื้อของต่างชาติตั้งแต่ปี 2552-2556 พบว่าต่างชาติซื้อสุทธิสะสมแตะ 2 แสนล้านบาท และยอดซื้อสะสมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีการขายออกมาบ้างก็ตาม

“ลองเทียบดัชนีจาก 400 จุดในปี 2552กับดัชนีที่ขึ้นมาสูงสุดในช่วงต้นปี 2556 ที่ 1,640 จุด จังหวะนั้นต่างชาติซื้อเก็บตลอด แต่หลังจากปี 2556เป็นต้นมา ต่างชาติก็เริ่มขายหุ้นจนถึงปัจจุบันขายสุทธิไปแล้ว 275,000 ล้านบาท”

คุณธวัชชัย ชี้ให้เห็นภาพมากขึ้นว่า แม้ตลาดทำนิวไฮหรือต่างชาติมีแรงซื้องัดกลับขึ้นมาบ้างในปี 2559จากขายสุทธิ200,000 ล้านบาท มีแรงซื้อกลับทำให้ยอดขายสุทธิเหลือ 50,000 ล้านบาท นั่นแสดงว่าต่างชาติมีแรงซื้อกลับเข้ามา 150,000 ล้านบาท จึงทำให้ดัชนีช่วงนั้นปรับจากระดับ 1,200 จุด ขึ้นไป 1500 จุด แต่หลังจากนั้นต่างชาติก็มีแรงขายออกมาอีก จนทำให้ปัจจุบันกลับมาเป็นแรงขายสุทธิ275,000 ล้านบาท

“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาต่างชาติจากซื้อสุทธิ 200,000 ล้านบาท เปลี่ยนมาเป็นขายสุทธิ 275,000 ล้านบาท หรือเป็นการขายสุทธิไปแล้ว 475,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการเทขายหนักมาก ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวจึงทำให้ดัชนีหุ้นไทยย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน คือระหว่าง 1,600-1,800 จุด ส่วนแรงขายของเขาจะหมดเมื่อไรคงตอบยาก แต่ก็มีบางช่วงที่ขายไปแล้ว และยังอาจจะขายได้อีก เพราะหน้าตักเขายังมีกำไรเก่าอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นการขายSET50 Index Futuresร่วมด้วย”

ส่วนเหตุผลที่มองว่านักลงทุนต่างชาติ อาจจะมีการขาย SET50 Index Futuresด้วย ก็ดูได้จาก ยอดซื้อขายสะสมของSET50 Index Futures ในแต่ละวัน ถ้าต่างชาติ Net Long จะเป็นบวก แต่ถ้า Net Short ก็จะเป็นลบ เพราะต่างชาติจะเล่นตามเทรนด์ของเขา ดูพฤติกรรมดังกล่าวได้

อย่างไรก็ตาม ราวเดือนก.ค.-ส.ค.คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะปิดShort Futures เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนจะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสสองออกมา ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสปรับตัวลดลง และในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วง Low Season ด้วย ดังนั้นมีโอกาสมากที่นักลงทุนต่างชาติจะ Rollover จากซีรี่ย์ M ไปซีรีย์ U แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า กองทุน และผู้ลงทุนรายย่อยมีโอกาสกลับมาร่วมกันซื้อสุทธิก็ได้ดังนั้นสิ่งที่รายย่อยพอจะสู้หรือทำได้ คือ หาประโยชน์จาก Position การ Net Short ของนักลงทุนต่างชาติแสนล้านตรงนี้ ด้วยกลยุทธ์เล่นเก็งกำไรแบบ Calendar Spread คือ ถ้ามองว่าค่า Spreadจะมีค่าสูงขึ้นให้ Long Spreadถ้ามองว่าค่า Spreadจะมีค่าลดลงให้ Short Spreadเนื่องจากเรารู้กรอบต่ำสุดของเขาแล้วว่าอยู่ในช่วงเดือน ก.ค.- ส.ค. โดยนักลงทุนต่างชาติก็จะ RolloverShort ไปยัง ซีรี่ย์ถัดไป

“Calendar Spread” เล่นไม่ยาก มีเพียง 2Position ให้เลือกเปิดสถานะ นั่นก็คือ “Long หรือShort” สัญญา Futures ต่างซีรี่ย์กันโดยให้มองซีรีย์ไกลเป็นหลัก เช่น ถ้าเรามองว่าค่า Spread จะมีค่าเพิ่มขึ้น เราก็จะ Long ซีรีย์ Uสัญญาไกล (สัญญาหมดอายุเดือนกันยายน)ขณะเดียวกัน เราก็จะ Shortซีรี่ย์ Mสัญญาใกล้ (สัญญาหมดอายุเดือนมิถุนายน) ซึ่งกลยุทธ์ลักษณะนี้เราเรียกกันว่า Long Spread

นอกจากนั้น จากข้อมูลการซื้อขายของต่างชาติ ซึ่งปัจุบันเป็นการขายสุทธิ (Net Short)SET50 Index Futures ในซีรีย์ M ดังนั้นเมื่อใกล้วันหมดอายุหากเกิดการRollover สถานะจากซีรีย์ M ไปซีรีย์ U ก็ทำได้โดยการ Short Spreadคือ การ Long ซีรีย์ M (ปิดสัญญา) และเปิด Short ซีรีย์ U ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ค่า Spreadต่ำ และจะทำในกรณีที่อยากถือฝั่ง Short ต่อ โดยมักจะเกิดช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนสัญญาหมดอายุ

คุณธวัชชัย ย้ำว่า กลยุทธ์การซื้อขาย Spreadเป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีความซับซ้อน และเป็นกลยุทธ์ที่ผู้ลงทุนสามารถทำกำไรได้จริง อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ลองทำความเข้าใจ แล้วค่อยไปเทรดจริงเพราะหากเราไม่เข้าใจ และนำไปใช้ผิดหรือเข้าผิดเกมจะทำให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกัน