Movie Guide: McQUEEN กำกับโดย เอียน บอนโฮต 111 นาที / 2018
www.mcqueen.film "โชว์ของผมเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์, ยาเสพติด และเพลงร็อคแอนด์โรล มันคือความตื่นเต้นและความขนลุก ผมอยากหัวใจวาย ผมอยากขึ้นไปอยู่บนรถพยาบาล"
- อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน
เรื่องย่อ
McQueen คือภาพยนตร์สารคดีที่พาไปตามติดชีวิตอันน่าอัศจรรย์ เส้นทางอาชีพ และความเป็นศิลปินของยอดดีไซเนอร์นามว่า อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน ผ่านการให้สัมภาษณ์ของเครือญาติมิตรสหายผู้ใกล้ชิด ภาพเก่าๆ ที่ถูกเก็บไว้ และภาพและเสียงอันน่าตื่นตา McQueen คือการเฉลิมฉลองและการจับภาพอันน่าทึ่งของผู้ที่ทั้งมอบแรงบันดาลใจ และปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของวงการแฟชั่นอย่างแท้จริง ภาพยนตร์เรื่องนี้คือผลงานการกำกับของ เอียน บอนโฮต และยังร่วมกำกับและเขียนบทโดย ปีเตอร์ เอทเทตกุย
เรื่องราวงานสร้าง
"แฟชั่นเปรียบได้กับฟองสบู่ขนาดใหญ่ และบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองระเบิดออกมา"
ลี อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน เกิดและโตในชุมชนชนชั้นแรงงานแถบเมืองสแตรทฟอร์ท ลอนดอนตะวันออก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวกำหนดอนาคตของเขา แม็คควีนเป็นลูกชายคนเล็กจากบรดาลูก 6 คนของครอบครัว ลีอาจเคยถูกคาดหวังว่าอยากเป็นช่างประปา ช่างก่ออิฐ รวมถึงคนขับแท็กซี่แบบเดียวกับพ่อเขา แต่กลายเป็นว่า ศิลปะจินตนิยมอันดุร้ายและเพลงแนวพังค์ช่วยให้เขาสร้างสรรค์สิ่งที่เรียกว่า "Cool Britanian" ขึ้นมาในยุค 1990s เป็นศิลปะที่เฉลิมฉลองยุคสมัยของคนวัยหนุ่มสาวในสหราชอาณาจักร และน่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ในยุค 1960s ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา เด็กหนุ่มจากลอนดอนตะวันออกมีความสามารถและกลายเป็นศิลปินผู้มีความเป้นต้นแบบและมีอิทธิพลมากที่สุดตลอดกาล
2 นักทำหนัง เอียน บอนโฮต และ ปีเตอร์ เอทเทตกุย ได้จับเอาภาพของเขาและผลงานของเขาอันเปี่ยมเอกลักษณ์ในยุคที่เขาขบถสุดขีดมาถ่ายทอดในหนังเรื่องใหม่ชื่อว่า McQueen พวกเขานำเสนอชีวิตอันน่าตื่นตาของแม็คควีนและปมส่วนตัวอันซับซ้อน พาคนดูไปดูการเขย่าโลกแฟชั่นของเขาด้วยวิธีการอันน่าขนลุก จากการฝึกงานที่ห้องตัดเสื้อ Savile Row ที่ซึ่งเขาได้แสดงความสามารถอันเหนือชั้นในการตัดเสื้อสู่การจบชีวิตลงในวัย 40 ปีเพียงเท่านั้น ภาพยนตร์ทำลายกฎเกณฑ์การเล่าเรื่องของหนังสารคดีด้วยการแตกช็อตภาพเดี่ยวๆ ออกมาหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละรูปจะค่อยๆ เพิ่มและรวมตัวกันจนกลายเป็นภาพใบหน้าของเขาอันแหวกแนว
ภาพยนตร์ใช้วิธ๊การสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ทั้งคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ใช้ภาพที่บันทึกไว้จากการแสดงผลงานของเขา รวมทั้งภาพที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนเกี่ยวกับแม็คควีนในขณะที่เขากำลังเผยให้เห็นถึงความสามารถอันน่าตื่นตะลึงซึ่งแสดงให้เห็นแฟนตาซีอันแสนมืดหม่น และความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ซึ่งแฝงอยู่ในงานออกแบบปฏิวัติวงการและการจัดแสดงอย่างน่าตื่นตา โดยสิ่งที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ประกอบไปด้วยตำนานปรัมปราและเทพนิยายเกี่ยวกับโยราบุ, Inferno ของดันเต้, และตำนานของเมืองแอตแลนติส เช่นเดียวกับความลุ่มหลงส่วนตัวในประวัติศาสตร์ ความฝัน ทั้งฝันดีและฝันร้าย ความกลัว และความปรารถนา
ภาพยนตร์นำเสนอให้เห็นถึงจินตนาการอันป่วยไข้ของเขา และผสมผสานด้วยศาสตร์ต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ ศิลปะ ดนตรี ประวัติศาสตร์ การเต้นรำ และเทคโนโลยีที่กระตุ้นทั้งความฉาวโฉ่และความปลื้มปริ่มยินดี หากไม่ทำให้ติดใจก็จะขับไล่ไสส่งผู้คนออกไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าเบือนหน้าหนีหรือลืมในสิ่งที่เห็นได้ลงเลย
McQueen แบ่งเนื้อหาถ่ายทอดออกมา 5 บทด้วยกัน โดยแต่ละช่วงจะนำเสนอผลงานอันน่าทึ่งของเขาแต่ละชุดซึ่งเขาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวเองที่สุด ประกอบไปด้วย "Jack the Ripper Stalks His Victims," ผลงานในปี 1992 ของเขาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย, "Highland Rape" ผลงานในยุคแรกที่อื้อฉาวที่สุดของเขา, "Search for the Golden Fleece" ผลงานชุดแรกที่เขาทำให้กับ Givenchy แบรนด์ยักษ์ใหญ่ของวงการแฟชั่น, "Voss" ผลงานที่พาทุกคนไปสำรวจความงดงามและความบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน และบทสุดท้าย "Plato's Atlantis" ผลงานที่เขาอุทิศให้กับเพื่อนที่แสนดีของเขา อิซาเบลล่า โบลว์ หลังจากที่เธอฆ่าตัวตาย และนี่ยังเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาไปโดยปริยายเนื่องจากหลังจากนั้นไม่นาน เขาได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองตามไป
อาณาจักรที่แม็คควีนสร้าง
"แฟชั่นดีไซเนอร์ทุกคนต้องอยากสร้างภาพมายาขึ้นมา เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกสะพรั่นพรึง"
เอียน บอนโฮต เป็นผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างโฆษณา มิวสิควิดีโอ และงานเกี่ยวกับแฟชั่นมือรางวัล ด้วยผลงานเหล่านี้ทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับการมาคุมบังเหียนหนังเกี่ยวกับศิลปินตัวพ่อ "ผมไม่เคยทำหนังสารคดีมาก่อนเลย แต่ที่ Pulse Films เราเคยสร้างสารคดีดนตรีมากกว่า 10 ชิ้นรวมทั้ง 20,000 Days on Earth ซึ่งได้เข้าชิงรางวัล BAFTA ดัผมเลยรู้สึกสนใจอยากทำแต่ไม่เคยเจอเรื่องราวที่ใช่เลย ตอนที่ผมย้ายมาอยู่ลอนดอนช่วงยุค 90s ตอนนั้นชื่อของ อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน กำลังโด่งดังพอดี ไม่เพียงแค่ในวงการแฟชั่นเท่านั้น การร่วมงานกับศิลปินในวงการเพลงและวงการวิจิตรศิลป์หลุดเข้ามาสู่วัฒนธรรมกระแสหลัก สไตล์ของเขาสื่อความหมายถึงพลังอันดิบเถื่อนและกระสับกระส่าย ตอนที่บริษัทสร้างหนัง Salon ติดต่อมาให้ผมไปกำกับหนังเรื่องนี้ ผมเลยรู้สึกว่าเราต้องทำให้ได้!" บอนโฮตเท้าความ
ในทางกลับกันฝั่งของ ปีเตอร์ เอทเทตกุย เคยเขียนบทหนังสารคดีมาแล้วหลายเรื่อง โดยเฉพาะ Listen to Me Marlon และ George Best: All by Himself และตัวเขาเองยังมีเส้นสายอยู่ในแวดวงแฟชั่นด้วย "ผมได้ข่าวลือมาว่าเอียนกำลังทำหนังเรื่อง McQueen อยู่ ผมเลยตามไปหาเขาที่งานๆ นึงแล้วถามเขาว่าขอช่วยโปรเจ็คนี้ด้วยได้ไหม พ่อผมทำงานค้าปลีกแล้วให้ความสนใจในตัวดีไซเนอร์รุ่นใหม่ และเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ขายเสื้อผ้าของแบรนด์ McQueen ผมรู้ว่าลีนำทุกคนมารวมตัวกันผ่านแฟชั่นของเขา ในแบบเดียวกับที่นักดนตรีในแต่ละยุคสมัยทำ"
พวกเขาทั้งคู่ตกลงกันว่าจะซื่อตรงต่อจิตวิญญาณของแม็คควีน "ชีวิตและผลงานของลีหลอมละลายเข้าหากันและกัน" เอทเทตกุยเล่า "โชว์ของเขามีความเป้นส่วนตัวสูง สิ่งที่ทำให้พิเศษและแตกต่างออกไปคือผลงานของเขา และเราอยากหาหนทางนำไปสู่แก่นแท้ของเขา"
หนังเปิดกล้องถ่ายทำในเดือนเมษายน 2017 "ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เหมือนวิธีการทำงานของแม็คควีนเลยครับ" เอทเทตกุยกล่าว "เราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงลางอย่างในช่วงสุดท้ายของการตัดต่อ เนื่องจากเราได้วัตถุดิบใหม่ๆ เข้ามาพอดี สิ่งที่ช่วยเราอย่างมากคือเราทำรีเสิร์ชหนักมาก และเรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เราจะเลือกแค่ผลงานที่นำเสนอจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาเท่านั้น ผมเขียนบทร่างได้อย่างรวดเร็วเพราะเรารู้ว่าระดับของเรื่องราวอยู่ตรงไหน จังหวะการทำงานของเราทำให้เรายิ่งผูกพันธ์ระหว่างกันด้วย"
"เราอยากพูดกับคนทั้งโลกที่ใช้ชีวิตผูกติดอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง" บอนโฮตเผย "เขาคืออัจฉริยะอย่างยิ่ง และน่าทึ่งมากๆ ที่ได้เห็นผลงานของเขา นั่นคือสิ่งที่เราอยากถ่ายทอดออกมาให้ได้ เขาเปรียบได้กับโมซาร์ทใน Amadeus เป็นอัจฉริยะที่ลุ่มหลงอยู่กับสัญชาตญาณและพลังงานดิบ มันมีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่ไม่ค่อยมีอารยธรรมเท่าไหร่"
"แต่สิ่งที่ยากคือการต้องเกลี้ยกล่อมคนที่เราอยากสัมภาษณ์ครับ" ผู้กำกับเล่าต่อ "ถ้าคุณมีเวลา 4 ปีจะไม่เป็นไรเลย เราเลยต้องทำต่อไป ปีเตอร์และผมเราทั้งคู่ไว้ใจกัน เราคนนึงเลยจะคอยไปออกกองถ่ายในขณะที่อีกคนจะไปพบปะกับสปอนเซอร์ที่อาจมาเป็นผู้สนับสนุนให้เราได้ แม้ว่าเราจะมีพื้นเพที่แตกต่างกัน หรือบางทีอาจจะเพราะพวกเขาก็ได้ เราเลยเจอช่องทางที่ลงตัว"
"อาการกลัวในระยะเริ่มแรกของผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับแม็คควีนเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้" เอทเทตกุย กล่าวหลังจากพบว่ามีนักข่าวหนังสือพิมพ์จำนวนมากพยายามเขียนเรื่องราวแก่กับชีวิตของแม็คควีน "แต่เราเองก็กำลังทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เราต้องการนำเสนอว่าเขาสร้างสรรค์ผลงานอะไรออกมา ถ้ามีสักคนหรือ 2 คนตกลงที่จะให้ข้อมูลกับเราในหนัง พวกเขาซึ่งก็จะได้ถ่ายทอดข้อความที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับเขา แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ให้การอนุญาตแก่เรา"
ในหนังเต็มไปด้วยบทสัมภาษณ์ใหม่ๆ จากเพื่อน และเพื่อนร่วมงานของเขารวมทั้ง มิร่า ไช ไฮด์ สไตล์ลิสต์คนดัง และผู้ช่วยดีไซเนอร์ เซบาสเตียน พอนส์, ผู้สนับสนุนในช่วงแรกอย่าง จอห์น แม็คคิทเทอริค และบ็อบบี้ ฮิลสัน เช่นเดียวกับ เดตม่า โบลว์ สามีของ อิซาเบลล่า โบลว์ ผู้ล่วงลับซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับลี นอกจากนั้นยังมีบทสัมภาษณ์บางส่วนในอดีตของ อิซาเบลล่า รวมทั้งดาวเด่นของเรื่องอย่างตัวของ แม็คควีน เอง โดยคนทำหนังตั้งใจที่จะตามหาบทสัมภาษณ์ทุกชิ้นที่แม็คควีนเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้บนโลก เช่นเดียวกับการตามหาฟุตเตจผลงานของเขาที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน โดย 2 นักทำหนังต้องการให้แม็คควีนได้พูดเรื่องราวทุกอย่างออกมาด้วยตัวเอง
"คำถามที่สำคัญที่สุดที่เราต้องการตอบคือชายชนชั้นแรงงานผู้ขี้อายและไม่มีเส้นสายใดๆ กลายมาเป็นอเล็กซานเดอร์ แม็คควีน ผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร" เอทเทตกุย เผย "บางครั้งเราอาจได้คนที่พูดถึงเส้นทางของเขาได้อย่างยอดเยี่ยมก็จริง แต่ผมกับเอียนจะคุยกันเสมอว่า ถ้าเราได้ลีมาพูดเรื่องนี้เองล่ะก็นะ! ในช่วงท้ายๆของการตัดต่อพวกเราได้รับคลังฟุตเตจที่เราตามหามาเกือบปี แล้วมันน่าทึ่งมากครับ เพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งที่เราปรารถนาว่าอยากพบเจอในบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของเขา ลีเป็นคนเขินกล้องหน่อยๆ แต่ถ้าเขาไว้เนื้อเชื่อใจในตัวผู้ให้สัมภาษณ์แล้วล่ะก็ เขาจะผ่อนคลายและพูดถึงชีวิตและงานตัวเองออกมาอย่างฉะฉานเลยครับ"
บางทีบทสัมภาษณ์ที่น่าจดจำที่สุดของเรื่องน่าจะเป็นตอนที่สัมภาษณ์ เจเน็ท พี่สาวของเขาและลูกของเธอ แกรี่ ซึ่งทำงานเป็นดีไซนเนอร์ให้กับลุงของตัวเองในแบรนด์ Alexander McQueen ในขณะที่อาชีพของเขาพุ่งทะยาน แม็คควีนก็ยังคงอยู่กับครอบครัว สำหรับบอนโฮตและเอทเทตกุย การมีส่วนร่วมของครอบครัวทั้ง 2 คนนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่พวกเขาแทบไม่เคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อใดๆ บอนโฮตจึงเริ่มเข้าหาพูดคุยกับแกรี่ แล้วทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดี
"เอียน เข้ามาหาผมแบบไม่ทันรู้ตัว" แกรี่ แม็คควีน เล่าให้ฟัง "วิสัยทัศน์และกระบวนการทำงานทั้งหมดของเขาเข้าเป้ามากครับ จะเห็นได้เลยว่าเขาตั้งใจที่จะทำงานนี้อย่างเต็มที่และอยากทำออกมาให้ได้ดี ซึ่งมันมีความหมายต่อผมมากๆ เขาบอกว่าหนังเรื่องนี้จะพาคนดูไปดูเรื่องราวในชีวิตของลีทั้งหมด 5 บทด้วยกัน ซึ่งจะนำเสนอออกมาอย่างน่าตื่นตา หนังค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ตลอดการทำงาน และนั่นคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ครับ"
แกรี่ยังเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้แม่ของเขา เจเน็ท ผู้มีอายุมากกว่าลี 15 ปีมาให้สัมภาษณ์กับทีมงานสร้างหนังเรื่องนี้ด้วย "ฉันจำไม่ได้ว่าพวกเขาคุยอะไรกับฉันตอนนั้น แต่ที่จำได้แน่ๆ คือพวกเขาทำหนังเรื่องนี้เพราะพวกเขาเคารพในความสามารถของลี" เจเน็ทเผย "พวกเขาสัญญาว่าจะแสดงให้เห็นตัวตน เห็นชีวิตของเขาอย่างแท้จริง และเขาอยากเล่าว่าเขาไต่เต้าจากการเป็นศิลปินตัวเล็กๆ ขึ้นมาเป็นดีไซเนอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลได้ยังไง"
ตอนที่ลีเริ่มเข้าสู่วงการแฟชั่น เจเน็ทแต่งงานและออกจากครอบครัวไปอยู่ด้วยตัวเองแล้ว "ไม่มีใครเลยคาดหวังให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น แต่ลีมีความสามารถที่พวกเราไม่รู้มาก่อน ตอนเขาอายุ 16 ปี เขาไปเข้าชั้นเรียนศิลปะในโรงเรียนแล้วก็เริ่มสนใจแฟชั่นนับจากนั้นเป็นต้นมา เราคิดว่าตอนนั้นเขาน่าจะสนใจมาก่อนนานพอควรแล้วก่อนที่จะแสดงออกมาให้เห็นมาขึ้น"
แต่เธอก็ตระหนักดีว่าเขาหาพื้นที่ให้ตัวเองได้แล้วบนโลกใบนี้ "แฟชั่นคือชีวิตของเขา ลีมีชีวิตและหายใจเข้าหายใจออกเป็นแฟชั่น และมันมาจากก้นบึ้งหัวใจเขาจริงๆ เขาเดินหน้าแล้วตั้งใจจะเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ แต่ตอนที่เขาเริ่มคิดจะลงหลักปักฐานให้ตัวเอง เขายังเป็นแค่เด็กตัวน้อยที่กลัวว่าคนทั้งโลกจะหัวเราะเยาะเย้ยเขา" เจเน็ทเผย
แกรี่หวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ผู้คนเข้าใจในตัวลุงของเขามากกว่าแค่การเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์เท่านั้น "ผู้คนรู้สึกเชื่อมโยงเข้ากับคนที่อยู่หลังความเป็น อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน เขาเป็นคนมีความสามารถมากๆ และทุ่มเททำงานหนักมาโดยตลอดเพียงเพื่อ 20 นาทีบนรันเวย์ เขาชอบเห็นปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่องานของเขา ผมอยากเห็นจริงๆ ครับว่าเขาจะใช้เทคโนโลยีที่ในอดีตไม่มีแบบในทุกวันนี้อย่างแบบจำลอง 3 มิติมาปรับใช้ในงานของเขาได้อย่างไรครับ"