happy on April 01, 2018, 06:20:04 PM

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ

ผลงานความร่วมมือกับ ไมเคิล เบย์

ผลงานการสร้างของ แพลทตินั่ม ดูนส์

A Quiet Place
ดินแดนไร้เสียง

กำกับโดย จอห์น คราซินสกี้

เนื้อเรื่องโดย ไบรอัน วู้ดส์ และสก็อตต์ เบ็ค

บทภาพยนตร์เขียนโดย ไบรอัน วู้ดส์ และสก็อตต์ เบ็ค และจอห์น คราซินสกี้

อำนวยการสร้างโดย ไมเคิล เบย์, p.g.a. แอนดรูว์ ฟอร์ม, p.g.a. แบร็ด ฟูลเลอร์, p.g.a.

ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ซีเลีย คอสตัส, จอห์น คราซินสกี้, อัลลิสัน ซีเกอร์, ไบรอัน วู้ดส์, สก็อตต์ เบ็ค, แอรอน จานุส

นำแสดงโดย เอมิลี่ บลันท์, จอห์น คราซินสกี้, มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส, โนอาห์ จูป

ชื่อภาพยนตร์:    A QUIET PLACE
ชื่อไทย:      ดินแดนไร้เสียง
วันที่เข้าฉาย:      5 เมษายน 2561
จัดจำหน่าย:      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ฟาร์อีสต์)


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=ujPREJtl4Pk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=ujPREJtl4Pk</a>

A Quiet Place ดินแดนไร้เสียงคือภาพยนตร์ลุ้นระทึกและเขย่าขวัญ นำแสดงโดย จอห์น คราซินสกี และเอมิลี บลันท์ เรื่องราวของครอบครัวที่ต้องใช้ชีวิตในความเงียบ เพราะหากส่งเสียงออกมา สิ่งมีชีวิตลึกลับจะออกไล่ล่าพวกเขา โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่สามีภรรยาในชีวิตจริงคู่นี้ มารับงานแสดงร่วมกัน โดย ภาพยนตร์เรื่องนี้ จอห์น กราซินสกี ควบหน้าที่ผู้กำกับ รวมถึงเขียนบทร่วมกับ ไบรอัน วูดส์ และ สก็อตต์ เบ็ค

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับผลตอบรับจากนักวิจารณ์อย่างดีเยี่ยม หลังฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์ SXSW โดยคะแนนจากนักวิจารณ์ที่เว็บมะเขือเน่า Rotten Tomatoes.com อยู่ที่ 100 เปอร์เซนต์ ด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 8.3 คะแนน จากนักวิจารณ์ 26 คน พร้อมกับคำชมจากนักวิจารณ์ที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ระทึกตั้งแต่ต้นจนจบ

ภาพยนตร์อำนวยการสร้างโดย ไมเคิล เบย์, แอนดรูว์ ฟอร์ม และแบรด ฟูลเลอร์


A Quiet Place ดินแดนไร้เสียง เปิดรอบพิเศษ 3-4 เมษายน หลัง 20.00 น. ฉายจริง 5 เมษายน ในโรงภาพยนตร์


เบื้องหลังงานสร้าง

ในภาพยนตร์ทริลเลอร์สยองขวัญสุดทันสมัย A Quiet Place ครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วยสมาชิกสี่คน ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความเงียบ หลังจากสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ออกตามล่าเสียง กลายเป็นภัยคุกคามต่อการเอาชีวิตรอดของพวกเขา ถ้าพวกมันได้ยินคุณ พวกมันจะตามล่าคุณ

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส โดยความร่วมมือกับ ไมเคิล เบย์ ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของ แพลทตินั่ม ดูนส์ เรื่อง A Quiet Place กำกับโดย จอห์น คราซินสกี้ และนำแสดงโดย เอมิลี่ บลันท์, คราซินสกี้, มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส และโนอาห์ จูป บทภาพยนตร์เป็นฝีมือการเขียนบทโดย ไบรอัน วู้ดส์, สก็อตต์ เบ็ค และจอห์น คราซินสกี้ จากเรื่องโดย ไบรอัน วู้ดส์ และสก็อตต์ เบ็ค ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ ไมเคิล เบย์, แอนดรูว์ ฟอร์ม และแบร็ด ฟูลเลอร์ และทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ ซีเลีย คอสตัส, คราซินสกี้, อัลลิสัน ซีเกอร์, ไบรอัน วู้ดส์, สก็อตต์ เบ็ค และแอรอน จานุส


ความเงียบคือการเอาชีวิตรอด

เมื่อตอนที่ จอห์น คราซินสกี้ ได้อ่านโครงร่างแรกของบทภาพยนตร์เรื่อง A Quiet Place ซึ่งเขียนบทโดยคู่หู ไบรอัน วู้ดส์ และสก็อตต์ เบ็ค (Nightlight) เรื่องราวที่แสนน่ากลัวนี้โดนใจเขาอย่างแรงทีเดียว เอมิลี่ บลันท์ ภรรยาของ คราซินสกี้ เพิ่งจะคลอดลูกสาวคนที่ 2 ของพวกเขา และเขาก็จะใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่แบบเงียบๆ พูดก็ต้องกระซิบ และวิตกกังวลตามประสาพ่อมือใหม่ ในบรรยากาศนั้น มันทำให้เขาอินไปกับไอเดียที่พูดถึงการพยายามค้นหาที่ปลอดภัยของครอบครัวหนึ่ง รวมไปถึงความต้องการที่จะผูกพันกัน ในโลกที่เสียงร้องแม้แต่แอะเดียว หรือการเดินด้วยฝีเท้าหนักๆ แค่ครั้งเดียว ก็สามารถนำความตายมาเยือนได้ทันที เรื่องนี้ดูเหมือนจะห้อมล้อมความหวาดกลัวของคนเป็นพ่อแม่เอาไว้อย่างที่สุด

ในเวลานั้น คราซินสกี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในฐานะนักแสดงแนวดราม่า (กับผลงานเมื่อเร็วๆ นี้อย่าง Detroit และ 13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi), มือเขียนบท (เจ้าของบทภาพยนตร์ที่ถูกนำไปสร้างเป็นผลงานของ กัส แวน แซนต์ เรื่อง Promised Land) และผู้กำกับที่กำลังมาแรง (ผู้ประเดิมผลงานเรื่องแรกด้วย Brief Interviews With Hideous Men และติดตามมาด้วย The Hollars) แต่กับ A Quiet Place คราซินสกี้ตัดสินใจที่จะกระโดดรับหน้าที่ทั้งสามบทบาทนี้ และถือเป็นผลงานภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกที่เขารับงานหลายหน้าที่ขนาดนี้ เมื่อเขาได้เข้ามารีไรท์เรื่องราวไอเดียสุดบรรเจิดของ วู้ดส์และเบ็ค เขายังมองเห็นถึงโอกาสที่จะนำเสนอเรื่องราวนี้ในแบบที่มีความเฉพาะตัว และเพียบไปด้วยพลังของภาพยนตร์แนวสยองขวัญ แน่นอน เขาอยากสร้างความน่ากลัวทุกวินาทีในแบบภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ตื่นเต้นจนทำให้ลืมหายใจ

แต่มากไปกว่านั้น เขาอยากสร้างการต่อสู้ระหว่างเสียงกับความเงียบ และระหว่างความกลัวและความรัก ซึ่งคงจะเป็นประสบการณ์ที่ตึงเครียดทางอารมณ์สำหรับคนดู

คราซินสกี้ย้อนเล่าถึงสิ่งแรกที่จับใจเขาว่า “ผมกำลังเจอกับความกลัวทุกอย่างของคุณพ่อมือใหม่ เป็นความกลัวว่าจะทำให้ลูกสาวของผมปลอดภัยได้อย่างไร และจะเป็นพ่อที่ดีอย่างไร เมื่อตอนที่เรื่องนี้มาถึงมือผม ผมรู้สึกอินไปกับมันอย่างเป็นส่วนตัวที่สุด ผมรู้สึกว่าภายในเรื่องเรียบๆ นี้มันทั้งน่าสนใจ น่ากลัว และเป็นอุปมาอุปไมยถึงความเป็นพ่อแม่ ดังนั้น มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ทรงพลังอย่างมากที่จะเริ่มต้นจินตนาการว่าพ่อแม่สองคนจะพยายามปกป้องลูกๆ ของพวกเขาด้วยการทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ นั่นก็คือการใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ทำให้เกิดเสียงดังเลย มันทำให้จินตนาการของผมโลดแล่น มีไอเดียมากมายที่ผมอยากสำรวจครับ”

ยิ่งเขาพยายามจินตนาการถึงการเป็นพ่อในช่วงเวลาที่โลกวิบัติ ไอเดียนั่นก็ยิ่งน่ากลัว และมีพลังมากขึ้น เรื่องนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจ แต่ก็มีความรุนแรงต่อครอบครัวที่พยายามสื่อสารกัน ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายสักแค่ไหน “ในชีวิตปกติ คุณพยายามทำให้แน่ใจว่าลูกๆ ของคุณมีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีอาหารกินสมบูรณ์ ได้รับการดูแล ได้รับการศึกษา ซึ่งมีเรื่องให้น่าเป็นห่วงมากมาย แต่ในโลกแห่งฝันร้ายใบนี้ ความเครียดในการเป็นพ่อแม่คนมันมากกว่านั้น 10,000 เท่า” คราซินสกี้ตั้งข้อสังเกต “ในโลกของครอบครัวแอ็บบ็อตต์ แค่ก้าวผิดพลาดก้าวเดียว คุณอาจต้องเสียคนที่รักไป มันคือสิ่งที่พวกเขาทุกคนรู้ดี”

การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีโอกาสในเชิงสร้างสรรค์ทั้งทางด้านการแสดง การออกแบบ และงานเอฟเฟ็กต์ เป็นอีกเรื่องที่ดึงดูดใจคราซินสกี้ “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สำรวจว่าจะเล่าเรื่องราวนี้ออกมาอย่างไรในแบบที่ทำให้ตื่นเต้นได้มากที่สุด โดยใช้สมดุลระหว่างความเงียบและเสียงครับ” คราซินสกี้อธิบาย

เรื่องราวในแนวสยองขวัญถือเป็นแนวใหม่สำหรับคราซินสกี้ทั้งในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับ แต่นับจากเริ่มต้น เขาเดินเข้ามาทำงานด้วยความทุ่มเททางอารมณ์ “ภาพยนตร์เรื่องโปรดของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวสยองขวัญหรือเรื่องแนวอื่นๆ ก็คือภาพยนตร์ที่มีการเปรียบเทียบแฝงอยู่” คราซินสกี้บอก “ตัวอย่างเช่น Jaws คือหนึ่งในหนังเรื่องโปรดตลอดกาลของผม แต่สำหรับผม จริงๆ แล้ว Jaws ไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับฉลาม แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายสามคนที่มีบางสิ่งที่พวกเขาจะต้องเอาชนะให้ได้ และฉลามก็เป็นตัวกระตุ้น นั่นคือมุมมองที่ผมมีต่อเรื่องนี้ มันคือหนังที่น่ากลัว แต่มันน่ากลัวก็เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวจริงๆ ผมรู้สึกว่าผมมีประสบการณ์ส่วนตัวที่จะนำสิ่งนั้นมานำเสนอได้”

เช่นเดียวกับภาพยนตร์สยองขวัญทุกเรื่อง A Quiet Place เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่หลุดออกมาจากฝันร้ายที่ร้ายที่สุดของคุณ แต่นับจากตรงนั้น คราซินสกี้ก็ตั้งเป้าให้กับตัวเองเดินไปในทิศทางที่แตกต่าง นั่นก็คือการเชื่อมโยงความรักกับความกลัวเข้าด้วยกัน และให้ทั้งสองสิ่งนั้นกับคนดู ไอเดียก็คือการให้จำนวนของความสยองนั้นเชื่อมโยงโดยตรงกับความผูกพันของคนดูที่มีต่อครอบครัวแอ็บบ็อตต์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าคุณห่วงใยพวกแอ็บบ็อตต์ คุณจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อพวกเขาประหลาดใจ คุณจะเศร้า เมื่อพวกเขาเศร้า และคุณจะกลัวเมื่อพวกเขารู้สึกหวาดกลัว ดังนั้น นั่นจึงกลายเป็นหัวใจของสิ่งที่ผมอยากทำ นั่นก็คือการปล่อยให้คนดูตกหลุมรักกับสิ่งที่ทำให้ครอบครัวแอ็บบ็อตต์เป็นครอบครัวที่มีความงดงาม” คราซินสกี้อธิบาย “คุณกลัวแทนพวกเขา เพราะคุณจินตนาการตัวเองว่าอยู่ในสถานการณ์ของพวกเขา”

การทำให้คนดูเหมือนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของครอบครัวแอ็บบ็อตต์ ก็คือการใช้คิวเสียงในแบบสร้างสรรค์ ขณะที่ คราซินสกี้ ขุดลึกลงไปในงานรีไรต์บทของเขา เขาก็เริ่มทำรายการเสียงที่ได้ยินเป็นประจำทุกวัน โดยแบ่งแยกระหว่าง “เสียงที่ปลอดภัย” กับ “เสียงที่ไม่ปลอดภัย” มันทั้งน่าตื่นเต้นและยังเผยให้เห็นหลายอย่าง เพื่อสร้างโลกที่ตรงกันข้ามกับโลกที่มีเสียงดังจอแจของพวกเรา เป็นโลกที่เสียงถูกให้ความหมายใหม่ว่าเป็นสิ่งที่อันตราย แต่ก็เน้นย้ำว่ามันคือส่วนหนึ่งของประสบการณ์มนุษย์

“ผมอยากทำความเข้าใจว่าจุดแบ่งกั้นมันอยู่ตรงไหนที่คุณจะทำเสียงได้ และสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั้นจะไม่ได้ยินเสียงคุณ ผมใช้เวลามากมายในการค้นคว้าเสียงทุกประเภทที่ครอบครัวๆ หนึ่งอาจทำให้เกิดขึ้นในฟาร์มที่โดดเดี่ยว จากนั้น ผมก็เริ่มคิดเกี่ยวกับทุกวิธีที่ครอบครัวนี้อาจจะคิดหาทางเพื่อทำให้เสียงเหล่านั้นเบาลง มันเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยจินตนาการและสนุกมากครับ”

เสียงดังปกติในชีวิตประจำวันที่พวกเราทำกัน จู่ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายใหม่สำหรับคราซินสกี้ “ผมเริ่มฟังทุกสิ่งทุกอย่างเลยครับ” คราซินสกี้สารภาพ “จากเสียงกระทบกันของเครื่องเงินกับจาน จนถึงเสียงตกของรองเท้าเมื่อคุณถอดมันออก มันกลายเป็นเกมในบ้านของเราซึ่งภรรยาของผม (เอมิลี่ บลันท์) และผมจะพยายามทำตัวให้เงียบ และเราจะหันไปหากันอย่างเงียบๆ ถ้าพวกเราทำเสียงดัง เราจะพูดว่า ‘คุณตายแล้ว’ มันกลับกลายเป็นวิธีการเตรียมตัวที่ดีมากครับ”

คราซินสกี้ยังมีวิธีทดสอบว่าไอเดียไหนที่จะทำให้คนดูตื่นเต้นได้มากที่สุด “บ่อยครั้งที่เอมิลี่และผมจะนั่งจินตนาการถึงสถานการณ์ต่างๆ และถ้าเอมิลี่พูดว่า ‘ฉันกลัว ฉันไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงสถานการณ์นั้น’ ผมก็จะพูดว่า ‘มันจะเข้าไปอยู่ในบทภาพยนตร์ด้วย’”

เพราะต้องผจญภัยกับภัยคุกคามที่ดูเหมือนจะคอยฟังเสียงอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วันต่อสัปดาห์ พวกแอ็บบ็อตต์จึงต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้เสียงเบาที่สุด อาทิเช่น การโรยทรายเอาไว้ตามทางเดินเพื่อให้เสียงฝีเท้าเงียบที่สุด การทาสีแผ่นพื้นกระดานเพื่อไม่ให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด และการทำระบบแสงเพื่อสื่อสารขึ้นมาเป็นพิเศษ “ความสนุกของงานเขียนบทก็คือการดูว่าเราจะนำเอาไอเดียที่จะต้องอยู่อย่างเงียบๆ นี้ไปใช้ได้มากแค่ไหน ตั้งแต่การให้พวกแอ็บบ็อตต์สื่อสารกันด้วยแสงที่มีสีสันแตกต่างกัน จนถึงการโปรยทราย เพื่อให้พวกเขาเดินได้เงียบมากขึ้น” คราซินสกี้อธิบาย

เพราะเรแกน ลูกสาวของพวกแอ็บบ็อตต์ หูหนวก พวกเขาจึงรู้วิธีใช้ภาษามือแบบอเมริกัน (ASL) ซึ่งกลายเป็นความสามารถที่ทำให้พวกเขารอดชีวิตมาได้ แต่เมื่อเรื่องราวในบทภาพยนตร์คืบหน้าไป คราซินสกี้ใช้เวลาในการคิดแผนการในการสื่อสารของครอบครัวแอ็บบ็อตต์มากขึ้น เมื่อมีลูกสองคนที่กำลังเผชิญกับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ และลูกอีกคนกำลังจะลืมตาดูโลก พวกแอ็บบ็อตต์จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องพูดคุยกัน แต่วิธีที่พวกเขาจะสื่อสารกันได้นั้นมีจำกัดมาก

เหตุผลที่ทำให้พวกแอ็บบ็อตต์ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่สำหรับคราซินสกี้ ความตึงเครียดและความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้ อยู่ที่การเคลื่อนไหวของครอบครัวนี้ หนึ่งในความท้าทายสูงสุดของการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือการคิดว่าจะกระตุ้นอารมณ์หงุดหงิด เศร้าโศก ท้าทาย ความจำเป็น และความรัก ที่อยู่เหนือจากความกลัวที่ต้องอยู่ท่ามกลางศัตรูที่คอยฟัง โดยใช้ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำได้อย่างไร เขาพบว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการผสมผสานอารมณ์พื้นฐานที่สุดของมนุษย์เข้าไปในโลกที่ความเป็นมนุษย์ได้ถูกทำลายลง

“ผมรู้สึกสนใจเป็นพิเศษในฉากส่วนตัวของพวกแอ็บบ็อตต์ขณะที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในฐานะครอบครัว” คราซินสกี้บอก “และต่อมา เมื่ออยู่ในกองถ่าย มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับนักแสดงที่จะค้นหาวินาทีอันงดงามเหล่านี้ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้คนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำ การสื่อสารกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่สำคัญกับพวกเรา ได้แก่ ความรัก ความใส่ใจ และความกลัวในสิ่งที่จะเกิดในวันรุ่งขึ้น”

กระบวนการเขียนบท ได้กลายมาเป็นโอกาสให้คราซินสกี้ลับฝีมือในการกำกับของเขา และภาษาภาพอันโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ก่อนที่เขาจะได้ก้าวเท้าเข้าไปในกองถ่าย “ส่วนที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการได้มารีไรต์บทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ผมคิดถึงเรื่องการกำกับตลอดเวลาครับ” คราซินสกี้บอก “ผมรู้ว่าผมอยากถ่ายทำอะไรขณะที่ผมเขียนบท แม้แต่เรื่องที่ว่าผมจะใช้มุมกล้องไหน มันคือประสบการณ์ที่มีความโดดเด่นมากสำหรับผมที่จะใส่ไอเดียในการกำกับเอาไว้ในบทภาพยนตร์ครับ”

เมื่องานสร้างดำเนินไป การได้รับแรงสนับสนุนจากทีมผู้มีประสบการณ์ที่แพลทตินั่ม ดูนส์ ซึ่งเป็นคนส่งเรื่องนี้มาให้กับเขาตั้งแต่แรก ช่วยหนุนจินตนาการของคราซินสกี้ได้อย่างมาก ไมเคิล เบย์, แอนดรูว์ ฟอร์ม และแบร็ด ฟูลเลอร์ ไม่เพียงแต่เป็นสามผู้สร้างภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการเท่านั้น แต่พวกเขายังมีความชื่นชมในภาพยนตร์แนวสยองขวัญ และเคยอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวอย่าง The Purge และภาพยนตร์ชุด Ouija รวมถึงงานรีเมกภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง The Texas Chainsaw Massacre, The Amityville Horror, Friday The 13th และ A Nightmare on Elm Street

คราซินสกี้สรุปว่า “ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในแบบที่เป็นกับทีมผู้สร้างทีมนี้ครับ ทุกคนต่างทุ่มเทเต็มที่ ตั้งแต่ผู้อำนวยการสร้าง จนถึงทีมนักแสดงและทีมงาน ผมคิดว่าทุกคนต่างมาทำงานโดยเชื่อว่าถ้าเราสามารถสร้างไอเดียนี้ได้จริง มันจะเป็นงานที่พิเศษจริงๆ ครับ”
« Last Edit: April 01, 2018, 06:26:18 PM by happy »

happy on April 01, 2018, 06:30:40 PM

ครอบครัวแอ็บบ็อตต์

นับแต่เริ่มแรก คราซินสกี้ได้มอบโครงร่างแรกของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับ เอมิลี่ บลันท์ ภรรยาของเขา ซึ่งเป็นนักแสดงหญิงชาวอังกฤษที่ทุกคนต้องการตัวหลังจากที่เธอฝากบทบาทการแสดงที่หลากหลายและยอดเยี่ยมเอาไว้ในภาพยนตร์อย่างเรื่อง The Devil Wears Prada, Into The Woods, Sicario และ The Girl on the Train ทันทีที่เธอได้อ่านบท เธอแนะนำว่าเธอกับเขาควรจะรับบทเป็น ลี และเอฟเวอลีน แอ็บบ็อตต์ ด้วยกัน ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความสมจริงและความอ่อนโยนที่เป็นธรรมชาติในแบบที่คนอื่นอาจทำไม่ได้

“สิ่งที่ทำให้ฉันตกหลุมรักบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ ฉันรู้สึกว่ามันไปแตะความหวาดกลัวที่ลึกที่สุดของฉันในฐานะแม่ที่ไม่สามารถปกป้องลูกๆ ได้  ในเรื่องนี้เดิมพันมันยิ่งสูงจนฉันอยากอ่านให้จบ” บลันท์เล่า “ก่อนฉันจะอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันเคยแนะนำจอห์นว่าเพื่อนฉันคนหนึ่งอาจเหมาะกับบทเอฟเวอลีน แต่พอฉันได้อ่าน ฉันคิดว่า ‘ไม่ต้องแล้ว ฉันต้องเล่นบทนี้เอง’ ฉันชอบความลึกและความสวยงามของเรื่องนี้ค่ะ ซึ่งมันมีเกินกว่าบรรยากาศของภาพยนตร์สยองขวัญ และจอห์นกับฉันก็ยังไม่เคยทำงานด้วยกัน มันก็เลยน่าตื่นเต้นมากค่ะ”

คราซินสกี้ตื่นเต้นกับปฏิกิริยาของภรรยาของเขามาก แต่ก็รู้สึกเป็นกังวลกับโอกาสที่พวกเขาจะได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์ครั้งแรก “เราต้องผ่านความหวาดกลัวในฐานะพ่อแม่ในภาพยนตร์ ซึ่งมันบ้ามากเลยครับ” คราซินสกี้ยอมรับ

แต่ถึงคราซินสกี้จะบอกว่ามันเป็น “ประสบการณ์ที่ตึงเครียดมาก” แต่เขาก็พบว่ามันคือการทำให้รู้แจ้ง “การทำงานกับภรรยาของผมคงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ผมเคยมีในการทำงานแล้วครับ” คราซินสกี้กล่าว “ปกติเราจะแยกเรื่องงานออกจากกัน แต่เราคือแฟนที่ติดตามผลงานของกันและกันครับ พวกเราแต่ละคนต่างมีวิธีการทำงานของเราเอง เราไม่แน่ใจว่ามันจะหลอมรวมกันได้หรือไม่ แต่มันกลับกลายเป็นการทำงานที่สนุกที่สุดที่ผมเคยทำมาเลย เอมิลี่เป็นนักแสดงหญิงที่อ่อนไหวมาก สำหรับผม มันน่าทึ่งที่ได้ทำงานกับคนที่ผมชื่นชมอย่างมากครับ”

เมื่อเป็นที่ตกลงกันได้แล้วว่าบลันท์จะเป็นคนที่มารับบท เอฟเวอลีน เธอและคราซินสกี้ก็แทบจะหยุดพูดคุยกันถึงเรื่องครอบครัวแอ็บบ็อตต์ไม่ได้ พวกเขาพูดคุยกันว่าลีและเอฟเวอลีนเคยเป็นใครมาก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป และช่วงเวลาแห่งหายนะที่พวกเขาต้องเผชิญได้เปลี่ยนพวกเขาไปอย่างไรบ้าง

“มันคือโลกที่หนักหนาสาหัส แต่พวกเขาก็พยายามที่จะทุ่มเทความสนใจไปที่การดูแลครอบครัวค่ะ” บลันท์ย้ำ “พวกเขาหวาดกลัว และพวกเขาก็เป็นครอบครัวที่ต้องเผชิญหน้ากับความเสียใจและความรู้สึกผิด สิ่งที่ฉันพบว่าน่าทึ่งมากก็คือมีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับพวกเขาที่จะต้องสื่อสารกัน แต่การสื่อสารในโลกที่เสียงคือสิ่งอันตรายก็เป็นไปได้ยากมาก”

สำหรับบลันท์ ถือเป็นเรื่องเสี่ยงทีเดียวที่จะต้องสร้างอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเครียดในขณะที่เธอต้องเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งสองคนที่อายุน้อย แต่ก็ทำให้เธอมีความเข้าใจเอฟเวอลีนอย่างถ่องแท้ เธอเข้าใจดีว่าทำไมลีและเอฟเวอลีนถึงไม่ต้องใช้ถ้อยคำในการติดต่อสื่อสารกันในเวลานี้ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเรื่องน่ากังขาไปหมด “จังหวะหมายถึงฉันกับจอห์นจะต้องสามารถเข้าถึงบทเหล่านี้ด้วยความรู้สึกอ่อนไหวค่ะ” บลันท์บอก “เราคุยกันเยอะมากเกี่ยวกับบทบาทที่ลีและเอฟเวอลีนมีในครอบครัวนี้ ลีเป็นคนที่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบการมีชีวิตรอดของพวกเขา ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่เอฟเวอลีนอยากทำมากกว่าการมีชีวิตรอด เธออยากสอนลูกๆ ให้เจริญเติบโตในโลกใบนี้ ดังนั้น คุณจึงมีสองด้านของความเป็นพ่อแม่ที่ต้องรับมือกับความเศร้า ปัญหา และอันตรายค่ะ”

เธอกล่าวต่อไปอีกว่า “กับลี คุณมีคนที่ค่อนข้างจะเป็นผู้ชายหัวโบราณ ซึ่งฉันไม่คิดว่าจะเป็นจอห์น จอห์นค่อนข้างจะเปิดกว้างมากกว่าลี ลีเป็นผู้ชายประเภทที่ปิดกลั้นอารมณ์ เป็นคนที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับความจำเป็นที่จะต้องปกป้องและจัดหาความเป็นอยู่ มากกว่าที่จะจัดการกับความปวดร้าว เขาเป็นตัวละครที่มีความเจ็บปวด แต่นั่นก็คือเนื้อหาของตัวละครทั้งสี่ แต่ละคนต่างพยายามที่จะเอาชนะบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งทำให้มันตึงเครียดมากขึ้นไปอีก เมื่อพวกเขาพยายามที่จะเอาชีวิตรอด”

สำหรับเอฟเวอลินก็เช่นกัน บลันท์อยากนำเสนอตัวเธอในฐานะพลังของความเป็นแม่ที่ไม่สั่นคลอน “ฉันมองเธอว่าเป็นแม่ที่มีความรักและความใส่ใจ” บลันท์อธิบาย “เธอมีแรงผลักดันที่จะทำให้แน่ใจว่าเธอจะเลี้ยงลูกๆ ได้ดี ดังนั้น เธอจึงอดทนกับบทเรียนของโรงเรียน และคุยเล่นตลกกับลูกๆ ในแบบที่เธอทำได้ ให้ความรักพวกเขา ประคองกอดพวกเขา บางครั้งก็แทบจะกลืนกินพวกเขาเข้าไปเลย แต่เธอก็อยากให้พวกเขามีช่องว่างที่จะกลายเป็นตัวตนของแต่ละคนด้วย”

นับแต่เริ่มต้น ทีมเขียนบท วู้ดส์และเบ็ค ต่างใส่จุดหักมุมที่จะช่วยกระตุ้นความหวาดกลัวลงไปในเรื่องสำหรับเอฟเวอลีน นั่นก็คือ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ ความจริงที่ว่าเธอกับลีกำลังจะมีลูกอีกคน และมันก็มาในเวลาที่มีอันตรายสูงสุด

“เราคิดถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับคุณได้เมื่อคุณต้องเงียบ” เบ็คอธิบาย “การตั้งท้องของเอฟเวอลีนเป็นเหมือนตัวเดินเรื่อง เพราะมันทำให้เกิดคำถามว่าคุณจะผ่านสภาพแวดล้อมที่เคร่งเครียดที่สุดในชีวิตไปได้อย่างไร โดยจะต้องเก็บเสียงให้เงียบ มันเหมือนความท้าทายที่ไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งเราอยากให้ครอบครัวแอ็บบ็อตต์ต้องพยายามคิดให้ออก”

วู้ดส์กล่าวเสริมว่า “มันนำมาซึ่งองค์ประกอบทางอารมณ์ที่งดงาม เพราะครอบครัวนี้ต้องทนทุกข์ทรมานกับโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ และการให้กำเนิดครั้งนี้มีความหมายกับพวกเขามาก แม้กระทั่งภายใต้สถานการณ์นี้”

คราซินสกี้เป็นคนที่นำไอเดียนั้นมาสู่เรื่องนี้ เขากล่าวถึงเรื่องนี้มานานก่อนที่บลันท์จะเข้ามาทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะคิดถึงภรรยาของเขา ขณะที่เขียนตัวละครตัวนี้ที่พยายามจะประคองครอบครัวของเธอเอาไว้ด้วยกัน  และเผชิญหน้ากับความไม่รู้นี้อย่างงดงาม “เมื่อคุณเขียนเรื่องที่เป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างเช่นเรื่องที่ครอบครัวต้องเผชิญในช่วงเวลาที่น่ากลัวมากที่สุดในชีวิตของพวกเขา คนเดียวที่ผมคิดถึง แน่นอนว่าคือเอมิลี่ แต่ผมก็รู้สึกอยู่เสมอว่าถ้าเธออยากเล่นเป็นเอฟเวอลีน มันต้องเกิดขึ้นในแบบที่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น ผมจึงไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลยเพื่อให้เธอมารับบทนี้ ถึงแม้ว่าผมจะแอบหวังอยู่ว่าเธอจะตัดสินใจรับแสดงหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเธอเอง”

บลันท์ที่ดำดิ่งสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่ธรรมดาของเอฟเวอลีน รู้ดีว่าเธอจะต้องแสดงอารมณ์ที่หลากหลายกับภารกิจครั้งนี้ “แน่นอน เธอกับลีตื่นเต้น แต่ความตื่นเต้นของพวกเขาก็ถูกบั่นทอนลงด้วยความหวาดกลัว มีคำถามที่ไม่มีคำตอบมากมาย อย่างเช่น เราจะเอาชีวิตรอดกับการมีลูกแบเบาะได้อย่างไร คุณจะคลอดลูกโดยไม่ทำให้เกิดเสียงได้อย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กทารกร้องไห้ พวกเขาพยายามระมัดระวังตัวทุกอย่างเท่าที่พวกเขาคิดออกด้วยการสร้างห้องกันเสียงเล็ดลอดออกไป และคิดหาวิธีต่างๆ ที่จะทำให้เด็กทารกเงียบได้ แต่พวกเขารู้ดีว่าพวกเขากำลังก้าวสู่โลกที่พวกเขายังไม่รู้อะไรเลย”
มันยังเป็นก้าวกระโดดสู่ดินแดนที่ไม่รู้จักสำหรับบลันท์และคราซินสกี้ด้วยเช่นกัน ในการรับบทในแบบที่พวกเขาไม่เคยร่วมงานกันจริงๆ มาก่อนเลย ทั้งคู่ต่างรู้สึกว่ามันยิ่งขยายความผูกพันของพวกเขาออกไป

“ฉันรู้สึกว่าจอห์นเห็นคุณค่าของฉันมากขึ้นค่ะ” บลันท์สรุป “ฉันเคยรู้สึกว่าเขาให้คุณค่ากับฉันในฐานะภรรยาของเขา และในฐานะแม่ของลูกๆ ของเขา แต่นี่เป็นเรื่องของการค้นพบว่าเราสามารถทำงานสร้างสรรค์ด้วยกันได้ แน่นอนว่าเราเป็นกังวล และออกจะกลัวด้วย แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากค่ะ”

เมื่อได้คราซินสกี้และบลันท์มารับบทเป็นแอ็บบ็อตต์ผู้เป็นพ่อแม่แล้ว ภารกิจในการคัดเลือกตัวนักแสดงที่เหลือก็คือการค้นหาสองนักแสดงเด็กที่สามารถแสดงเป็นลูกๆ ทั้งสองคนของพวกเขาได้ ซึ่งเด็กทั้งสองคนถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องเติบโตเร็วเกินวัย แต่ละคนต่างถวิลหาความเป็นตัวของตัวเองในโลกที่ต้องไร้เสียง แต่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ ความเสียดาย และอันตรายต่างๆ มากมาย

หนึ่งในความท้าทายสูงสุดก็คือการค้นหาตัว เรแกน ลูกสาวของครอบครัวแอ็บบ็อตต์ที่หูหนวก  คราซินสกี้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ค้นพบนักแสดงวัยรุ่น มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากบทบาทการแสดงเปิดตัวในภาพยนตร์เรื่อง Wonderstruck เขาเฝ้าดูซิมมอนด์สเจาะลึกเข้าสู่ประสบการณ์ส่วนตัวของเธอที่ต้องเติบโตมาแบบคนหูหนวกเป็นใบ้ เพื่อสร้าง เรแกน ในแบบที่สื่อสิ่งที่อยู่ในบทภาพยนตร์ได้

“การพบตัว มิลลี่ คือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ” คราซินสกี้บอก “ไม่ใช่เพียงเพราะเธอเป็นนักแสดงที่สุดยอดจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเธอเป็นคนที่น่ารักที่สุด ฉลาดที่สุดที่คุณเคยพบ แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนใจดี และมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนหูหนวกเป็นใบ้ และภาษามือ เธอไม่เคยทำตัวคุกคามใคร เธอจะบอกตรงๆ ว่านี่คือสิ่งที่เรแกนจะทำ และนี่คือวิธีที่เราสื่อสารกันครับ”

เขายังบอกอีกว่า สัญชาตญาณของซิมมอนด์สทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจไปตามๆ กัน “มิลลี่เหมือนถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนี้ครับ ผมจำได้ในวันหนึ่งที่เราถ่ายทำกันในช่วงแรกๆ เธอเดินข้ามสะพาน แล้วผมก็บอกกับเธอว่า ‘ความโกรธทั้งหมดของเธอ ความรู้สึกผิด และความรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำในครอบครัวนี้ จะต้องถูกแสดงออกมาเดี๋ยวนี้ในตอนที่เดินกันอยู่นี้’ แล้วเธอก็เข้าใจเลยครับ เธอบอกผมว่า ‘ฉันรู้สึกหงุดหงิด และบางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่’ เธอเข้าใจเรแกนในแบบที่ผมไม่เข้าใจ ดังนั้น ผมจึงแค่บอกเธอว่าผมกำลังสร้างหนังเรื่องนี้ เพื่อให้คนที่รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ จะรู้ตัวว่าพวกเขาก็สามารถเป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้”

สุดท้าย ทีมนักแสดงทุกคนต้องเรียนภาษามือแบบอเมริกัน โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับโค้ช ดักลาส ริดลอฟฟ์ ในกองถ่าย คราซินสกี้บอกว่าการได้เห็น ซิมมอนด์ส สื่อสาร มันช่วยให้เขาเกิดความเข้าใจได้หลากหลายระดับมาก “ตอนผมคุยกับมิลลี่ ผมรู้ว่าผมไม่เคยมองตัวเองทั้งตัวแบบที่เธอมองมาก่อน ผมไม่เคยเห็นคนมองผมทั้งตัว และเหมือนรับผมเอาไว้ทั้งใจ เธอมองมือผม เธอมองคิ้วผม เธอสัมผัสได้ถึงอารมณ์ต่างๆ ของผมจริงๆ ผมเกือบร้องไห้ทุกวัน เพราะเธอเฝ้ามองคุณทุกอย่าง มีบางอย่างที่มันงดงามและน่าประทับใจมากครับ เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ สำหรับเราที่จะต้องปฏิบัติกับเธออย่างเหมาะสม เพราะเธอมีจิตวิญญาณที่งดงามจริงๆ ครับ”

ซิมมอนด์ส บอกว่าเรื่องราวของ A Quiet Place ทำให้เธอรู้สึกสนใจได้ในทันที และไอเดียที่เรแกนสูญเสียเครื่องช่วยฟังไป ซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างเธอกับโลกที่มีเสียง มันโดนใจเธออย่างแรง “ฉันสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะ” ซิมมอนด์สบอก “ฉันชอบหนังสยองขวัญมาก และเรื่องนี้ก็น่ากลัวมากค่ะ แต่ตอนที่ฉันได้อ่านบทหนัง ฉันรู้สึกอินไปกับเรแกนมาก เธอรู้สึกอึดอัดในฐานะที่เป็นเด็กหูหนวกเป็นใบ้ ไม่แน่ใจว่าเธอจะปรับตัวยังไงหรือเธอจะทำอะไรได้ หรือเธอจะช่วยครอบครัวของเธออย่างไร ดังนั้น ฉันจึงเข้าใจเธอดีถึงความท้าทายมากมายที่เธอต้องเจอค่ะ”

สำหรับซิมมอนด์ส ความสงสัยของเรแกนที่มีต่อตัวเอง เกี่ยวกับจุดยืนของเธอในโลกใบนี้ เป็นเรื่องที่เธอคุ้นเคยดีทุกอย่าง “ฉันเองก็มีความรู้สึกเดียวกันนั้นในฐานะที่เป็นคนหูหนวก เมื่อฉันยังเด็ก” ซิมมอนด์สอธิบาย “ฉันมักเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่หูได้ยิน และสงสัยว่าทำไมฉันถึงเกิดมาหูหนวก ดังนั้นฉันจึงเข้าใจอารมณ์ของเรแกนดี และใช้มันเพื่อสร้างตัวละครตัวนี้ค่ะ”

ความเป็นจริงนั้นถูกผสมเข้ากับจินตนาการเมื่อซิมมอนด์สเริ่มจินตนาการถึงชีวิตประจำวันของเรแกนในฟาร์ม เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว และความรับผิดชอบ และความกลัว รวมไปถึงแรงกระตุ้นของวัยรุ่นทุกคน

“มันน่ากลัวนะคะที่นึกภาพชีวิตของครอบครัวนี้ที่ถูกตามล่าโดยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้” ซิมมอนด์สบอก “เพื่อจินตนาการว่าคุณสามารถที่จะเข้าห้องน้ำ และไม่ได้เดินออกมาถ้าคุณไม่ระวังตัว มันน่าสนใจที่จะคิดถึงการใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกสำนึกเช่นนั้น โดยไม่รู้เลยว่าความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจจะพรากชีวิตคุณไปได้ หรือแย่กว่านั้น อาจรวมถึงชีวิตของครอบครัวของคุณก็ต้องเสี่ยงไปด้วย”

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกสาวระหว่างลีกับเรแกน โดยเฉพาะความต้องการของเรแกนที่โหยหาความรักจากพ่อ ท่ามกลางเหตุโศกนาฏกรรมนี้ ซึ่งทำให้พ่อต้องปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง คือสิ่งที่ทำให้ซิมมอนด์สสนใจได้มากที่สุด “เรแกนกับพ่อของเธอมีหลายอย่างคล้ายๆ กันอยู่ค่ะ” ซิมมอนด์สบอก “พวกเขาทั้งคู่ต่างชอบเทคโนโลยี และคิดหาทางทำให้สิ่งต่างๆ ทำงานได้ แต่ความห่างเหินได้เข้ามาแทรกระหว่างพวกเขา เพราะเหตุร้ายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เรแกนอยากได้ยินว่าพ่อยังรักเธออยู่ ว่าพ่อรักเธอในแบบที่เธอเป็น นั่นคือธีมสำคัญในหนังเรื่องนี้เลยค่ะ”

คราซินสกี้ได้ช่วยซิมมอนด์สำรวจอารมณ์ที่พันพัวกันยุ่งในแบบที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย “จอห์นกับฉันมีความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีเยี่ยมมากเลยค่ะ และเรายังมีมิตรภาพที่ดีต่อกันด้วยค่ะ แต่ในหนัง ฉันต้องแสดงหัวใจที่แหลกสลายที่เรแกนมีต่อพ่อของเธอค่ะ” ซิมมอนด์สบอก “กับจอห์น เราได้แสดงฉากอารมณ์หนักๆ ด้วยกัน และเขาก็จะหยอกล้อฉัน ทำให้ทุกอย่างสดใสหลังจากนั้นค่ะ”

สำหรับซิมมอนด์สแล้ว สิ่งที่ทำให้เธอสนุกที่สุด ก็คือโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากบลันท์ “เอมิลี่ทำให้ฉันทึ่งมากเลยค่ะ” ซิมมอนด์สบอก “โดยเฉพาะการได้เห็นเธอดึงเอาประสบการณ์ในฐานะแม่จริงๆ มาใช้ เธอทำให้เอฟเวอลีนกลายเป็นคนที่ยังคงอยากให้โอกาสที่ดีที่สุดที่ลูกๆ ของเธอจะประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องมี จากนั้น เธอก็ย้ายพลังแบบเดียวกันมาที่ฉัน และที่โนอาห์ เธอรู้ดีว่าจะทำงานยังไงกับพวกเรา และมันก็ไร้รอยต่อมากเลยค่ะ”

บลันท์เองก็รู้สึกประทับใจกับซิมมอนด์สพอๆ กัน เธอบอกว่า “มันน่าประทับใจมากค่ะกับการที่ได้เห็น มิลลี่ เติบโตในระหว่างการถ่ายทำ เธอเดินเข้ามาแบบเป็นเด็กขี้อายเล็กๆ แต่ในไม่ช้า เธอก็แสดงหลายต่อหลายฉากที่ทำให้คุณอึ้งไปเลยค่ะ”

สำหรับคนที่มารับบทคนที่เรแกนไว้ใจเพียงหนึ่งเดียวที่เหลือ นั่นก็คือ มาร์คัส น้องชายของเธอ ได้แก่นักแสดงเด็กชายวัย 12 ปี โนอาห์ จูป ผู้ซึ่งคราซินสกี้ชื่นชอบมากในมินิซีรีส์ที่คว้ารางวัลอย่างเรื่อง The Night Manager และเมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งจะมีบทบาทให้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง Wonder

คราซินสกี้ยังได้รับคำแนะนำจาก จอร์จ คลูนี่ย์ ให้เลือกตัว จูป ซึ่งเคยร่วมงานกับเขาใน Suburbicon “ผมเคยเห็นโนอาห์ ในบทเด็กที่ถูกลักพาตัวในเรื่อง The Night Manager จำได้ว่าตอนนั้นผมคิดว่ามันคงต้องใช้ความกล้าและความสามารถสูงมากที่จะเข้าถึงความกลัวในแบบที่เขาแสดงออกมาด้วยวัยขนาดนั้นได้ ดังนั้น ผมก็เลยทำเรื่องที่สมควรทำต่อ นั่นก็คือการติดต่อไปหา จอร์จ คลูนี่ย์ ซึ่งเพิ่งได้ร่วมงานกับเขา ผมจำคำพูดของจอร์จได้ว่า ‘เขาเป็นเด็กที่เก่งที่สุดที่ฉันเคยทำงานด้วยเลย’ เขาพูดถูกจริงๆ ครับ โนอาห์เล่นเอาทุกคนอึ้ง หนึ่งในสิ่งที่พิเศษที่สุดก็คือ รูปแบบที่มิลลี่และโนอาห์กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเขาผูกพันกันในแบบที่น่ารักเหมือนคนในครอบครัวจนคุณรู้สึกได้เลยครับ”

จูปมีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้เขาชอบภาพยนตร์แนวทริลเลอร์สยองขวัญ “ผมรู้สึกกลัวจริงๆ ครับเวลาดูหนังพวกนี้” จูปยอมรับ “แต่ผมก็ชอบการถ่ายทำหนังสยองขวัญ เพราะคุณจะได้เห็นสัตว์ประหลาดพวกนี้ในตอนที่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยครับ”

สำหรับจูป ส่วนที่ดีที่สุดก็คือความผูกพันระหว่างเขากับซิมมอนด์ส ซึ่งส่วนมากแล้วก็สื่อสารกันผ่านภาษามือ “ผมชอบทำงานกับมิลลี่ครับ” จูปบอก “เธอเป็นนักแสดงที่เก่งมาก และเป็นคนที่น่าทึ่งมากด้วย เธอจะคอยอยู่เป็นกำลังใจให้คุณเสมอ และมักคอยถามว่าคุณโอเคหรือเปล่า”

“ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องภาษามือหรอกนะครับ” จูปบอก “แต่มันก็ทำให้ผมกับมิลลี่ตัดเรื่องไร้สาระที่น่าเบื่อที่เพื่อนๆ ทั่วไปมักคุยกัน และตรงดิ่งเข้าสู่คำถามจริงๆ กันเลย ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราผูกพันกันได้ดีครับ”

ซิมมอนด์สพูดถึงจูปว่า “มันง่ายมากเลยค่ะที่จะเข้ากันได้ดีกับโนอาห์ ฉันชอบลักษณะแบบนั้นในตัวเขาค่ะ แต่เขาจะเปลี่ยนไปเป็นตัวละครมาร์คัส แล้วจู่ๆ เราก็จะมีระยะห่างกันเล็กน้อย เป็นความเงียบระหว่างเรา ซึ่งคุณจะรู้สึกได้ เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากเลยค่ะ”

ตลอดการถ่ายทำ คราซินสกี้จะพยายามรักษาความรู้สึกของจูปไว้ เหมือนที่พวกแอ็บบ็อตพยายามปกป้องลูกๆ ของพวกเขา “นับแต่ตอนเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ จอห์นพาเราไปดูฉากต่างๆ และที่ที่ครอบครัวของเราใช้ชีวิตอยู่ และพูดว่า ‘ไหนคิดอะไร บอกมาให้หมด’ เขาเป็นแบบนั้นครับ เขามักขอให้คนพูดสิ่งที่คิดเอาไว้ออกมา” จูปเล่า “ผมได้เรียนรู้จากเขาเยอะมากเลยครับ”
ในภาพยนตร์ที่มีตัวละครหลักเพียงสี่ตัวเท่านั้น บลันท์บอกว่าซิมมอนด์สและจูปคือคนสำคัญที่จะเข้าถึงตัวคนดูด้วยเดิมพันทางอารมณ์ที่มีต่อครอบครัวแอ็บบ็อตต์

“มิลลี่และโนอาห์เป็นคนพิเศษจริงๆ ค่ะ เราต้องขอบคุณดาวนำโชคของเราทุกคืนที่ทำให้ได้เจอพวกเขา” บลันท์บอก “บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาทำสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขายังรักกันดีอีกด้วย มันก็ปวดร้าวนะคะที่ต้องมาดูพวกเขาบอกลากันเมื่อการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง เพราะพวกเขาแทบจะกลายเป็นพี่น้องกันจริงๆ พวกเขาสนิทกันมาก เหมือนเรแกนและมาร์คัสเลยค่ะ”

คราซินสกี้กล่าวเสริมว่า ซิมมอนด์สและจูป ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับงานออกแบบเสียงทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้ “เด็กทั้งสองคนทำให้เราต้องอึ้งกันทุกวันกับการแสดงของพวกเขาโดยไม่ต้องใช้คำพูดสักคำ พวกเขาปลดปล่อยพฤติกรรมของเด็กที่มีความบริสุทธิ์ออกมา ซึ่งให้อารมณ์ยิ่งกว่าทุกอย่างที่คุณจะเขียนออกมาได้ พวกเขาแสดงให้ผมเห็นถึงพลังที่คุณสร้างขึ้นได้ภายในห้องๆ หนึ่งโดยไม่ต้องพูดสักคำ และนั่นก็ช่วยให้ผมคิดได้มากขึ้นว่าเราจะใช้เสียงเพื่อทำให้ประสบการณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้มันดีขึ้นได้อย่างไรครับ”

happy on April 01, 2018, 06:33:58 PM

อสูรกาย

อันตรายที่พวกแอ็บบ็อตต์ต้องเจอ เพิ่มความรุนแรงขึ้นด้วยภัยคุกคาม อสูรกาย ที่พวกเขาไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย ดูเหมือนจะปรากฏตัวอยู่ในทุกที่ ห้อมล้อมพวกแอ็บบ็อตต์เอาไว้ท่ามกลางอันตรายที่ไม่หยุดหย่อน พวกมันโผล่มาได้ทุกเวลา ในทุกที่ และเปลี่ยนกิจกรรมที่แสนธรรมดาให้กลายเป็นความเสี่ยงที่แทบทำให้หายใจไม่ออก

วิถีของอสูรกายเหล่านี้ ทั้งความลึกลับของพวกมัน จำนวนที่มีมากมาย คือตัวที่สร้างความกังวลแทบจะตลอดทั้งเรื่อง เราจะไม่เห็นตัวพวกมันอย่างชัดเจนจนกระทั่งถึงจุดไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์ ซึ่งยิ่งช่วยทำให้คนดูอินไปกับความกระสับกระส่ายของครอบครัวแอ็บบ็อตต์ ซึ่งแทบไม่รู้เลยว่าพวกเขาโดนตามล่าโดยตัวอะไรอยู่

อย่างไรก็ดี ความท้าทายทางภาพเกิดขึ้น เมื่อคราซินสกี้ต้องกำหนดว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ควรจะมีเสียงอย่างไร เขาร่วมงานกับทีมศิลปินวิชวลที่มีความสามารถ อาทิเช่น โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เจฟฟรีย์ บีครอฟต์ (Dances With Wolves, 12 Monkeys, The Game, Transformers: Age of Extinction); วิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ ผู้เคยทั้งคว้ารางวัลออสการ์ และเคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ถึง 6 ครั้ง สก็อตต์ ฟาร์ราร์ (Transformers, Chronicles of Narnia: The Lion, The Witch and the Wardrobe, Artificial Intelligence: AI, Backdraft, Cocoon); สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ มาร์ก ฮอว์เกอร์ (A Wrinkle in Time, Terminator Genisys, Transformers: Age of Extinction); แอนิเมชั่น ซูเปอร์ไวเซอร์ ริค โอคอนเนอร์ (ภาพยนตร์ชุด Transformers) และทีมดิจิตอลที่มีชื่อเสียงของ อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับคราซินสกี้

บีครอฟต์ได้พูดถึงคอนเซ็ปต์งานว่า “ตอนที่เราเริ่มออกแบบสิ่งมีชีวิตพวกนี้ เราเริ่มต้นด้วยการถามว่า สภาพแวดล้อมแบบไหนกันที่พวกมันจากมา คุณมีสิ่งมีชีวิตที่ฟังเสียงได้จากอวัยวะทั้งตัว ดังนั้น ผมจึงนำแรงบันดาลในการสร้างรูปแบบของพวกมันมาจากเปลือกหอยโข่ง เมื่อเสียงดังทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนภายในเปลือกของพวกมัน มันจะทำให้เกิดความเจ็บปวด และพวกมันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เกิดเสียง แต่พวกมันก็มีความแข็งแกร่งในส่วนของโครงสร้าง ซึ่งทำให้พวกมันดูเหมือนจะทำลายไม่ได้”

งานออกแบบทั้งหมดถูกทิ้งไว้ให้เป็นเซอร์ไพรส์ จนถึงตอนท้ายเรื่อง แต่ “สก็อตต์ ฟาร์ราร์สร้างมนต์มหัศจรรย์ได้จริงๆ ครับ” มาร์ก ฮอว์เกอร์ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ กล่าว



บ้าน

เหตุผลที่พวกแอ็บบ็อตต์สามารถเอาชีวิตรอดพ้นจากสิ่งที่ทำลายโลกไปมากมาย กลายมาเป็นเรื่องชัดเจนอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ ความรักที่พวกเขามีต่อกัน ความสามารถของพวกเขาที่จะอยู่ใกล้ชิดกันท่ามกลางความเงียบ และที่สำคัญที่สุดก็คือความฉลาดในการแก้ปัญหาของพวกเขา พวกแอ็บบ็อตต์ใช้ภูมิปัญญาทุกอย่างที่พวกเขามีในฐานะชาวไร่ ขณะพยายามนำหน้าสิ่งมีชีวิตลึกลับที่กำลังตามล่าพวกเขาอยู่

ฉากฟาร์มนี้ถือว่ามีความสำคัญกับทีมเขียนบทอย่าง วู้ดส์และเบ็ค มาก ซึ่งทั้งคู่ต่างมาจากย่านชนบทของไอโอว่า ใจกลางอเมริกา “ตอนที่เรากำลังเขียนบทอยู่นั้น เราจะคิดถึงฉากทั้งหมดที่คุณสามารถสร้างขึ้นได้ด้วยโรงนา ไซโลเก็บข้าวโพด และทุกอย่างในฟาร์มที่ปกติคุณจะทำให้เกิดเสียงดังในทุกวัน” เบ็คให้ความเห็น

เพื่อสร้างฟาร์มของพวกแอ็บบ็อตต์โดยให้มีรายละเอียดทางภาพและเสียงอย่างละเอียดที่สุด จอห์น คราซินสกี้หันไปหาทีมที่นำโดยหนึ่งในโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในวงการอย่าง บีครอฟต์ และรวมถึงผู้กำกับภาพ ชาร์ล็อตต์ บรูอัส คริสเทนเซ่น (Molly’s Game, Fences, Girl on the Train) ผู้สร้างภาพที่งดงามให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ และผู้ลำดับภาพที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ คริสโตเฟอร์ เทลเลฟเซ่น (Moneyball) ผู้ช่วยสร้างจังหวะที่ช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับภาพยนตร์

บีครอฟต์รู้สึกเบิกบานกับวิสัยทัศน์อันหนักแน่นของคราซินสกี้ ที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ และความทุ่มเทแบบ 100% เต็มของเขา “จอห์นเป็นคนที่ไม่ย่อท้อ ผมหมายความว่า เขาจะไม่ยอมหยุด และเขาจะไม่ยอมรับคำปฏิเสธ” โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ตั้งข้อสังเกต “ผมเคยร่วมงานกับเควิน คอสต์เนอร์ ซึ่งเป็นนักแสดงอีกคนที่ผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับ ตอนนั้นผมออกแบบฉากให้กับภาพยนตร์เรื่อง Dances with Wolves สำหรับผม ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กัน ผมพบว่าไอเดียเรื่องการสร้างภาพยนตร์ที่เน้นในเรื่องภาพมากกว่าบทสนทนา มันน่าตื่นเต้นจริงๆ ครับ”

คราซินสกี้ยังให้แรงบันดาลใจกับบีครอฟต์มากมาย “เจฟฟ์กับผมพูดคุยกันถึงวิธีการนำเสนอภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ในแบบภาพยนตร์คาวบอย” คราซินสกี้อธิบาย “ผมคิดว่ามันอาจมีความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ กว้างขวางแบบนั้นได้ และเจฟฟ์ก็เป็นบุคคลสำคัญในการสร้างประสบการณ์นั้นขึ้นมาครับ”

อิทธิพลมากมายเริ่มวนเวียนอยู่ในความคิดของบีครอฟต์ ซึ่งรวมถึงความงดงามที่ดูโดดเดี่ยวของภาพยนตร์คาวบอยคลาสสิกของ จอห์น ฟอร์ด และงานภาพชนบทของอเมริกาในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำ รวมถึงผู้ที่บันทึกภาพอเมริกาในยุค 1950 อย่างเช่น ช่างภาพโรเบิร์ต แฟรงก์ ขณะที่ โดโรเธีย แลงจ์ ซึ่งถ่ายภาพเหล่าชาวไร่ในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำในอเมริกา ก็มีภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเช่นกัน
“ผมชอบไอเดียที่ได้เห็นชีวิตในชนบทผ่านสายตาของผู้หญิงในยุคนั้น และผมก็นำรูปถ่ายพวกนั้นมาให้เอมิลี่ดูครับ” บีครอฟต์อธิบาย “ส่วนใหญ่แล้ว เราอยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนไร้กาลเวลา มันอาจเกิดขึ้นในที่ใดสักแห่งในช่วงเวลาไหนก็ได้ครับ”

ภารกิจที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือการคิดถึงทุกวิธีที่ลีและเอฟเวอลีนใช้ในการใช้ชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงการทำเสียงดัง “พวกเขาต้องคิดหาวิธีที่แยบยลเพื่อหยุดเสียงที่อาจเกิดขึ้นแม้จะเบาที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสียงพื้นที่ดังเอี๊ยดอ๊าด หรือเสียงเปิดประตู หมายถึงทุกอย่างที่อาจดึงความสนใจของเหล่าสิ่งมีชีวิตลึกลับพวกนั้น” บีครอฟต์บอก “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไปอาศัยอยู่ในโรงนา ซึ่งมีแหล่งน้ำและแผงโซลาร์ ลีจะใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่ทำงาน ที่ซึ่งเขาจะคอยดูแลเรื่องไฟฟ้า และพยายามคิดหาทางที่จะปกป้องครอบครัวของเขาเอาไว้”

โรงนาแห่งนี้ยังมีห้องเซฟรูมที่ถือว่ามีความสำคัญมาก ซึ่งลีเตรียมการให้พร้อมเมื่อเอฟเวอลีนต้องคลอดลูก “เราจินตนาการถึงห้องนั้นในหลายแบบ โดยจะมีทั้งกระดาษที่ถูกแปะทับซ้อนกันเอาไว้บนกำแพง” บีครอฟต์อธิบาย

เพราะเรื่องถูกสื่อด้วยอารมณ์และความเครียดมากกว่าคำพูด บีครอฟต์และคราซินสกี้จึงคุยกันบ่อยๆ ถึงโทนสีของภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมใช้สีขาว สีดำ สีแดง และสีเทาเยอะมาก เพื่อให้ความรู้สึกที่แทบจะเหมือนกับรูปถ่ายขาวดำ แต่มีสีสันครับ” บีครอฟต์บอก

การสร้างฟาร์มแอ็บบ็อตต์ ต้องมีการวางแผนล่วงหน้ามากมาย โดยทีมของบีครอฟต์ได้สร้างโรงนา พื้นที่ปลูกข้าวโพด 24 เอเคอร์ ส่วนที่กลายมาเป็นสวนผักของครอบครัวแอ็บบ็อตต์ ถนน และยังมีการสร้างไซโลขนาด 70 ฟุต ซึ่งใช้เวลานานหลายเดือนก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น “ทุกอย่างต้องพร้อมลุยตั้งแต่วันแรกเพราะจอห์นอยากให้ฟาร์มนี้ให้ความรู้สึกมีชีวิตและมีคนอาศัยอยู่ครับ” บีครอฟต์กล่าว
พวกเขาพบจุดเริ่มต้นในพาวลิ่ง, นิวยอร์ก เมืองชนบทในดัชเชสส์ เคาน์ตี้ ซึ่งมีประชากรอยู่ประมาณ 8,000 คน “จอห์นพบโลเกชั่นแห่งนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม โดยอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขากับเอมิลี่ใช้ชีวิตอยู่มากนัก มันยอดเยี่ยมมากครับ” บีครอฟต์บอก “ผมรู้สึกติดตราตรึงใจกับภาพที่เขานำมาให้ผมดู แต่เราก็มองออกว่าเราคงจะต้องก่อสร้างกันอีกเยอะ เราสามารถทำแบบนั้นได้ เพราะผู้ว่าการตำบลที่ดูแลพื้นที่พาวลิ่งอยู่ ให้ความช่วยเหลือเราดีมากครับ และพวกชาวไร่ในพื้นที่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ”

ศูนย์กลางของนักขี่ม้าในพื้นที่ถูกใช้เป็นโรงถ่ายในยามจำเป็น “เราใช้มันเพื่อสร้างฉากใต้น้ำในฉากน้ำท่วม รวมถึงฉากภายในไซโล มันห่างจากฉากฟาร์มของเราไปแค่ขับรถสิบนาทีเท่านั้น คุณจึงสามารถกลับไปที่นั่นเพื่อถ่ายทำได้เร็วมากครับ” บีครอฟต์อธิบาย

ในฉากตึงเครียดมากที่สุดฉากหนึ่งของเรื่อง เด็กๆ แอ็บบ็อตต์พบว่าพวกเขาติดอยู่ในไซโลที่เต็มไปด้วยเมล็ดข้าวโพด ซึ่งคล้ายกับการตกอยู่ในทรายดูด ฉากนี้อยู่ในช่วงต้นของบทภาพยนตร์ วู้ดส์เล่าว่า “วันหนึ่งตอนที่เรากำลังเขียนบทกันอยู่ สก็อตต์ก็พูดขึ้นว่า ‘รู้ไหม อะไรที่น่ากลัวมากในไอโอว่า? ไซโลข้าวโพด ถ้าขืนไปติดอยู่ในนั้น มันคือฝันร้ายเลยนะ’ แต่ที่แย่ไปกว่านั้น ตอนนี้เราเริ่มจินตนาการว่าจะเป็นไงถ้าคุณไปติดอยู่ในเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ แต่คุณไม่สามารถร้องได้ ไม่งั้นคุณจะถูกโจมตี”

สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ มาร์ก ฮอว์เกอร์ ต้องคิดหาวิธีที่จะถ่ายทำฉากนั้น โดยสองนักแสดงเด็กจะต้องปลอดภัย “มีการคิดและการวางแผนซับซ้อนมากมายในฉากนั้นครับ” ฮอว์เกอร์เล่า “และการสร้างสลิงที่จะช่วยให้เด็กๆ จมลงไปในกองเมล็ดข้าวโพดได้ เราต้องให้พวกเขายืนอยู่บนแท่นที่ถูกซ่อนเอาไว้ ขณะที่พวกเราควบคุมอัตราความเร็วในการจมลงไปครับ”

ฮอว์เกอร์ชอบมากที่ได้รับการผลักดันในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ “ผมเคยทำเอฟเฟ็กต์ทรายดูดมาก่อนนะครับ แต่ครั้งนี้มันพิเศษมากจริงๆ” ฮอว์เกอร์กล่าวต่อ “จอห์นอยากให้เด็กสองคนกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า และเมื่อพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้า พวกเขาก็เริ่มจมลง นั่นคือความท้าทายครับ เราต้องสร้างแผ่นครอบจากลาเท็กซ์ที่จะกันเมล็ดข้าวโพดทั้งหมดไม่ให้ร่วงลงไป พวกเขาจึงสามารถเคลื่อนที่ได้ มันต่างจากทรายดูดครับ เพราะเมล็ดข้าวโพดนั้นหนักกว่าเม็ดทราย ดังนั้น เราจึงต้องนำเรื่องนั้นมาพิจารณาด้วยครับ”

สำหรับเด็กๆ พวกเขาสนุกกันมาก เพราะรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีอันตรายใดๆ “พวกเขาสนุกกันมากครับ เพราะมันเหมือนการได้เล่นเกมใหญ่ๆ สำหรับพวกเขา” ฮอว์เกอร์บอก “ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เล่นได้ดีมาก คุณจะเชื่อเลยว่าพวกเขากำลังเจอกับอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดจริงๆ ครับ”

มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส เล่าว่า “ฉากทั้งหมดนั้นมันคือประสบการณ์ที่เจ๋งมากเลยค่ะ ฉันรู้สึกทึ่งมากเลยกับการที่พวกเขาคิดวางเผนมากมายในการสร้างไซโลนี้ขึ้นมาและอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย มันดูเหมือนจริงมากเลยค่ะ”

happy on April 01, 2018, 06:35:58 PM

เสียงและความกลัว

แฟนๆ ภาพยนตร์สยองขวัญคงรู้กันมานานแล้วว่าการได้ยินเสียงสามารถทำให้คุณหวาดกลัวได้มากกว่าการมองเห็น A Quiet Place ได้ดึงเอาประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์เขย่าขวัญชวนขนลุกที่ใช้งานตัดต่อเสียงและดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศ เข้ามาเพิ่มความสับสนและความตื่นเต้นจนแทบจะทนไม่ได้ แต่ไอเดียก็คือ การใช้ประโยชน์จากเสียงแปลกใหม่ เสียงในภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องมีความโดดเด่นที่ทำให้ทั้งน่ากลัวและน่าติดตาม พวกแอ็บบ็อตต์อาจไม่สามารถพูดเสียงดังได้ ซึ่งทำให้ทุกอย่างที่พวกเขาพูดออกมายิ่งมีความสำคัญมากขึ้น

“เสียงคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น ภาพยนตร์อย่างเรื่องนี้ ซึ่งเสียงเป็นสิ่งที่หาพบได้ยาก ทำให้คนดูใช้จินตนาการในแบบที่ทำให้เนื้อเรื่องมีความน่ากลัวมากขึ้น” วู้ดส์ ผู้ร่วมเขียนบท บอก

คราซินสกี้ผลักดันไอเดียที่ว่านี้ไปถึงขีดสุด ทั้งในบทภาพยนตร์และงานกำกับ จากนั้น เขาได้ดึงตัวทีมผู้ตัดต่อเสียงระดับตำนาน ผู้เคยได้รับรางวัลมาแล้วมากมายอย่าง เอริก อาดัห์ล และอีธาน แวน เดอร์ ริน ที่เคยร่วมมือกันจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง Argo และ Transformers: Dark of the Moon ให้มาช่วยเขาสร้างเสียงที่จะทำให้คนดูเงี่ยหูฟังและทำให้อดรีนาลีนสูบฉีดตลอดเวลา

เช่นเดียวกับตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมงานต้องพยายามหาสมดุลระหว่างเสียงและความเงียบเช่นกัน สำหรับคราซินสกี้ การร่วมมือกับอาดัห์ลและแวน เดอร์ ริน คืองานสร้างสรรค์ที่สนุกสนานมาก “เอริคและอีธานได้สร้างผลงานที่น่าทึ่งเอาไว้มากมายครับ” คราซินสกี้ให้ความเห็น “แต่กับเสียงที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากใน A Quiet Place สิ่งที่พวกเขานำมาสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเสียงที่พวกเขาเคยสร้างสรรค์เอาไว้ในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ครับ”

ความพยายามที่จะทำให้เกิดเสียงในกองถ่ายน้อยที่สุด ทำให้ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานยิ่งอินลึกลงไปในชีวิตของครอบครัวแอ็บบ็อตต์มากขึ้น “มันคือการคิดใหม่ว่าเสียงคือสิ่งสำคัญสำหรับพวกเรา” คราซินสกี้กล่าวต่อ “เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะเงียบในแบบที่เราไม่เคยทำในกองถ่ายมาก่อนเลยครับ และจากความเงียบนั้น ความสำคัญของการออกแบบเสียงเริ่มเห็นเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณต้องเงียบ จากนั้นจู่ๆ เมื่อคุณได้ยินเสียงน้ำหรือเสียงต้นไม้ถูกลมพัด มันมหัศจรรย์มากเลยนะครับ คุณรู้สึกเช่นนั้นได้ในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเสียงโทรศัพท์และเสียงอื่นๆ บ่อยครั้งที่เราไม่มีโอกาสที่จะเงี่ยหูฟังโลกนี้ ดังนั้น เราทุกคนจึงตื่นเต้นมากกับไอเดียดังกล่าวในภาพยนตร์เรื่องนี้ คนดูจะได้ใส่ใจกับทุกเสียงในแบบที่พวกเขาอาจไม่เคยทำมาก่อนเลยครับ”

เมื่อจัดการเสียงเข้าที่ การได้เสียงดนตรีที่เหมาะสมกลายเป็นกุญแจสำคัญเป็นพิเศษ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คราซินสกี้หันไปใช้บริการของผู้แต่งดนตรีประกอบ มาร์โก้ เบลทรามี่ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 ครั้งด้วยกัน จากภาพยนตร์เรื่อง 3:10 to Yuma และ The Hurt Locker “ผมรู้สึกเสมอว่าดนตรีประกอบจำเป็นต้องเป็นตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย แต่ผมไม่อยากให้มันกลายเป็นตัวละครหลักครับ หมายความว่าผมไม่อยากให้คุณรู้สึกถึงการมีอยู่ของเสียงดนตรี” คราซินสกี้อธิบายวิธีการทำงานของพวกเขา “ผมอยากให้ดนตรีเป็นเหมือนตัวที่คอยกุมมือคุณเอาไว้เป็นแบ็คกราน์ ขณะที่ความผูกพันของครอบครัวนี้ทำหน้าที่ไป เราโชคดีมากเลยครับที่ได้มาร์โก้มาทำงานด้วย เขาเป็นคนแต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่องโปรดของผมหลายเรื่อง อย่างเช่น The Hurt Locker และ World War Z เขาเก่งมากในการสื่อสารทั้งฉากแอ็กชั่นและความรู้สึกครับ”

เบลทรามี่ผสมธีมของภาพยนตร์ที่มีทั้งความกลัวและความรักให้กลายเป็นโครงสร้างดนตรีที่เต็มไปด้วยรายละเอียด อย่างไรก็ดี คราซินสกี้ใช้ดนตรีประกอบด้วยข้อจำกัด “มาร์โก้เขียนดนตรีที่ดีมากๆ พวกนี้ทั้งหมด แต่หลังจากนั้น เราต้องตัดสินใจว่าจะใช้ดนตรีมากแค่ไหน และเมื่อไหร่ถึงจะใช้มัน มาร์โก้เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเขาเข้าใจดีเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร”
สุดท้ายแล้ว ความทุ่มเทที่คราซินสกี้พยายามทำเพื่อสร้างเสียงหัวใจเต้น เสียงฝีเท้า และสร้างอารมณ์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ มีเป้าหมายสุดท้ายหนึ่งเดียว นั่นคือการทำให้คนดูอินไปกับศูนย์กลางของโลกที่แสนเงียบใบนี้ ซึ่งสามารถเกิดเรื่องราวสยดสยองได้ทุกเวลา

คราซินสกี้สรุปว่า “ผมอยากให้คนดูตั้งคำถามตลอดเวลาว่า ฉันจะทำยังไงในสถานการณ์นี้ ฉันจะอยู่อย่างเงียบๆ ได้อย่างไร ฉันจะทำยังไงเพื่อทำให้ครอบครัวของฉันอยู่รอดได้”

“ผมหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะสร้างประสบการณ์ที่ทั้งน่ากลัวและตื่นเต้น แต่เป็นเรื่องที่จะแสดงให้คุณเห็นถึงความเข้มแข็งของครอบครัวด้วยครับ” คราซินสกี้สรุป “ครอบครัวแอ็บบ็อตต์มีเพียงกันและกันให้พึ่งพา พวกเขาไม่มีที่ไปแล้ว พวกเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้ พวกเขาต้องอยู่ในฟาร์มของครอบครัว และเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดด้วยกัน ในความรู้สึกนั้น มันเป็นเพราะความรักที่พวกเขามีต่อกันและกัน ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อกันและกัน ที่กลายมาเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นวิธีที่ทำให้พวกเขาพบโอกาสที่จะมีชีวิตรอดไปได้อีกวันครับ”