happy on November 20, 2017, 06:00:10 PM
                    โครงการปิ๊งส์ สสส. รุดหน้ารณรงค์ลดน้ำหนักในเด็ก ลดพุง ลดโรค ลดอ้วนด้วยสื่อและกิจกรรมสร้างสรรค์สื่อเพื่อการรณรงค์ให้เด็กยุคใหม่หันมาใส่ใจกันถ้วนหน้า โดยเน้นการบริโภคอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก ผลไม้ และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยจากการทำงานในปีที่ 2 "โรงเรียนบ้านขุนประเทศ" คว้าสุดยอดโรงเรียนที่สร้างสรรค์นวัตกรรมสื่อและกิจกรรมสร้างสรรค์สื่อเพื่อการรณรงค์ไปครอง  แล้วตั้งเป้าเดินหน้าร่วมกับเด็กไทยแก้มใสขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมไปถึงโรงเรียนต่างจังหวัดให้ครบทั้งประเทศ




19 พฤศจิกายน 2560 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โครงการปิ๊งส์ โดยแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักโภชนาการสมวัย สำนักงานบริหารแผนงานอาหารและโภชนาการ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เครือข่ายคนไทยไร้พุง ชมรมครูการงานอาชีพและเทคโนโลยีกรุงเทพมหานคร และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย จัดงานประกาศผลและมอบรางวัลการประกวดสื่อและกิจกรรมสร้างสรรค์สื่อเพื่อการรณรงค์ ในหัวข้อ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก ผลไม้) ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2


อาจารย์สง่า ดามาพงษ์

                   อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัยและอุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสัดส่วนเด็กไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเป็นเด็กอ้วนเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะระยะ 5 ปีที่ผ่านมา เด็กก่อนวัยเรียน อ้วนเพิ่มขึ้น 36% เด็กวัยเรียนอายุ 6-13 ปี อ้วนเพิ่มขึ้น 15.5% และเด็กเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตเป็นผู้ใหญ่อ้วนถึงร้อยละ 80 ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคของเด็กที่นิยมบริโภคอาหารไม่มีประโยชน์ ผู้ปกครองเองก็ยังคงมีความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องโภชนาการ นิ่งเฉย ปล่อยให้ลูกหลานอ้วน สุดท้ายเเด็กเล็กที่อ้วนจะมีความเสี่ยงกลายเป็นผู้ใหญ่อ้วนได้ถึงร้อยละ 25-30 ส่วนเเด็กโตและวัยรุ่นที่ที่อ้วนจะเสี่ยงเป็นผู้ใหญ่อ้วนมากถึงร้อยละ 80 การทำสื่อที่เจาะลึก สร้างความรู้ความเข้าใจ หยุดการใช้ยาลดความอ้วนอย่างถาวร หันหน้ามาบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ลด หวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก ผลไม้ และออกกำลังกายอย่างเข้าใจและถูกต้องตรงตามหลักโภชนาการ ทั้งหมดนี้จึงเป็นความหวังที่สื่อและกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ได้จะทำให้สถิติโรคอ้วนในเด็กที่เกิดขึ้น ลงลดได้อย่างแท้จริง


นายดนัย หวังบุญชัย

                   นายดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่า หลังจากการดำเนินโครงการกับ 20 โรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปีที่ 1 พบว่าที่ผ่านมาเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ชอบกินตามใจปาก,กินแต่ของทอด,ชอบดื่มน้ำอัดลม,ไม่ชอบกินผัก,กินไม่เป็นเวลา, ผู้ปกครองไม่มีเวลาเพื่อเลือกอาหารที่เหมาะสมให้เด็ก, เด็กกินอาหารไม่ถูกต้องตามโภชนาการ, ติดรสชาติหวาน, ชอบกินขนมกรุบกรอบ, ไม่ชอบออกกำลังกาย และอื่นๆ ทั้งสื่อสร้างสรรค์และกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้เป็นที่น่าพึงพอใจ มีการลดการกินอาหารหวาน มัน เค็ม กินผักและผลไม้ มีการออกกำลังกายมากขึ้น ปีนี้จึงมีการต่อยอดขยายผลไปสู่โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้น และเพื่อให้สื่อสร้างสรรค์มีความชัดเจน มีการพัฒนาที่ได้ตรงจุดมากขึ้นโครงการจึงจัดให้มีนักสร้างสรรค์งานโฆษณามืออาชีพจากสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยมาเป็นพี่เลี้ยงร่วมกับโรงเรียนที่ได้รับรางวัลในปีที่ 1 ให้กับทุกโรงเรียนในปีที่ 2 ด้วย

                   นายดนัย หวังบุญชัย กล่าวต่อว่า ในปีที่ 2 นี้มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 22 โรงเรียน เป็นโรงเรียนที่เคยเข้าร่วมในปีที่ 1 จำนวน 6 โรงเรียน มี 2 โรงเรียนขอเป็นพี่เลี้ยงให้กับรุ่นที่ 2 อย่างเดียวไม่ส่งสื่อเข้าร่วมประกวด คือโรงเรียนมัธยมสุวิทย์เสรีอนุสรณ์ (รางวัลชนะเลิศ ปีที่ 1) และโรงเรียนวัดอาวุธวิกสิตาราม ส่วน 4 โรงเรียนที่ร่วมส่งสื่อและกิจกรรมสร้างสรรค์สื่อเพื่อการรณรงค์ในปีนี้นั้นจะต้องมีการเกิดสื่อและนวัตกรรมรูปแบบใหม่, มีการยกระดับกลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบการทำงาน จนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายได้จริง, สามารถวัดผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรมและสามารถสร้างการรับรู้ในพ่อแม่ ผู้ปกครองสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาว ส่วนใน 16 โรงเรียนขยายพื้นที่นั้นจะต้องเกิดสื่อและนวัตกรรม, เกิดการพัฒนาสื่อเพื่อปรับใช้ภายใต้บริบทที่เหมาะสม, เกิดการตระหนักรู้เพื่อลดปัญหาในเด็ก และสามารถสร้างการรับรู้ในพ่อแม่ ผู้ปกครองนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้


อรวรรณ ดิษฐโยธิน

                   ซึ่งอรวรรณ ดิษฐโยธิน นักโฆษณาสร้างสรรค์มืออาชีพ กล่าวว่า ปีนี้สื่อที่เกิดขึ้นมีความน่าสนใจ มีความโดดเด่นขึ้นตรงที่บางอย่างเป็นนวัตกรรมทางความคิดใหม่ๆ คุณครูกล้าคิดมากขึ้น รู้จักหยิบจับนำสิ่งที่มีอยู่ในพื้นที่มาปรับใช้กับเทคโนโลยีและแนวคิดที่กว้างขึ้น นับเป็นการก้าวไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างน่าสนใจ อย่าง สถานีรถไฟฟ้าสุขภาพ, การละเล่นสะบ้าทอยลดพุง ลดโรค, หนังสั้น, การนำท่อพีวีซี วงล้อจักรยาน และอื่นที่มีในพื้นที่มาใช้เป็นอุปกรณ์ในการออกกำลังกาย, การทำคลิปวิดีโอแล้วนำนวัตกรรมไลน์มาเป็นเครื่องมือเผยแพร่สื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรวดเร็วขึ้น ฯลฯ ทั้งหมดนี้หากได้ทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นความยั่งยืนเชื่อมั่นว่าจะได้รับความสนใจและช่วยลดปัญหาเด็กอ้วนลงได้แน่นอน


นายกันตพัฒน์ มาฑา

                   ด้าน นายกันตพัฒน์ มาฑา ครูผู้ดำเนินงานและกิจกรรมโรงเรียนบ้านขุนประเทศ กล่าวว่า ในปีแรกทางโรงเรียนเริ่มทำงานจากการมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพที่ค่อนข้างน้อย ยังแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ไม่ค่อยชัดเจน ในปีที่ 2 นี้เมื่อมีพี่เลี้ยงที่เป็นนักสร้างสรรค์สื่อมืออาชีพมาแนะนำและลงมาใกล้ชิดถึงในโรงเรียน ทำให้ผู้ดำเนินงานมีการที่คิดกว้างและเป็นระบบมากขึ้น เด็กกลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ในระยะเวลา 3 เดือนที่ดำเนินกิจกรรมเด็กที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ (เด็กอ้วน) มีน้ำหนักลดลง ส่วนเด็กที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ก็หันมาใส่ในเรื่องของการกินและการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ที่สำคัญทางครอบครัว พ่อ แม่ ผู้ปกครองยังให้การตอบรับที่ดีด้วยการสนับสนุนและนำหลักโภชนาการ รวมทั้งกิจกรรมที่เด็กๆ ได้ทำที่โรงเรียนไปใช้ที่บ้านต่อด้วย

                   สำหรับปีนี้สุดยอดโรงเรียนที่มีนวัตกรรมน่าสนใจรับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่โรงเรียนบ้านขุนประเทศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ โรงเรียนวัดสวนส้ม(สุขประชานุกูล) สมุทรปราการ รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ โรงเรียนศรีเอี่ยมอนุสรณ์ และรางวัลชมเชย 2 โรงเรียนได้แก่ โรงเรียนวัดทองสัมฤทธ์ และ โรงเรียนวัดปุรณาวาส เพื่อความต่อเนื่องของโครงการจะมีการต่อยอดโครงการในปีถัดไปร่วมกับโครงการเด็กไทยแก้มใส และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย คัดเลือกเอาโรงเรียนแบบต้นแบบมาทำงาน ซึ่งมีทั้งจากในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และขยายผลพื้นที่การทำงานนำร่องระยะแรก 20-25 โรงเรียนไปให้ครอบคลุมไปยังต่างจังหวัดทั้ง 4 ภูมิภาค ซึ่งประเด็นไปที่ให้ความสำคัญจะมุ่งเป้าไปที่การให้ความสำคัญกับ “อาหารมื้อเช้า” เพิ่มเติมจากที่ทำอยู่แล้วในอาหารมื้อกลางวัน ซึ่งจะมีการประกาศเปิดรับเร็วๆ นี้ ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เว็บไซต์ www.Pings.in.th และ www.artculture4health.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-298-0988-9























[







« Last Edit: November 20, 2017, 06:47:03 PM by happy »