happy on September 19, 2017, 08:48:13 PM

บทสวดของพระมารดา

พระมารดาผู้สถิตบนพื้นโลก
พระนามจงเป็นที่สักการะ
ฤดูกาลแห่งพระองค์จงมาถึง พระบัญชาจงสำเร็จ
ภายในตัวเรา เฉกเช่นรอบกายเรา
ขอบคุณสำหรับอาหารประจำวัน น้ำดื่ม อากาศ
และชีวิตของเรา และความงดงาม
โปรดอย่าให้เราเห็นแก่ตัวและทำลายล้าง
เป็นผู้หิวโหยเกินความจำเป็น
โปรดปลดปล่อยเราจากการเผาผลาญ
อันกว้างใหญ่และมากมาย
เพราะพระองค์เป็นวัฏจักรชีวิตเดียวที่เรารู้จัก
และพลัง และความรุ่งเรือง ตลอดกาล
อาเมน




ชื่อภาพยนตร์:   MOTHER!
ชื่อไทย:      มารดา!
วันที่เข้าฉาย:      21 กันยายน 2560
จัดจำหน่าย:      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


สรวงสวรรค์
มีเสียงที่เป็นลางร้ายมากกว่าเสียงเคาะประตูบ้านอย่างไม่คาดฝันหรือไม่?

                      มาเธอร์ (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) และฮิม (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) มีชีวิตที่ดูงดงามอยู่ในแดนสวรรค์สุดสันโดษ แต่แล้ว ความสัมพันธ์ของเขาและเธอต้องผ่านการทดสอบเมื่อ ผู้ชาย (เอ็ด แฮร์ริส) และผู้หญิง (มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์) เดินทางมาถึงบ้านของพวกเขาโดยไม่ได้รับเชิญ การเปิดประตูให้กับเสียงเคาะประตูครั้งนั้น รบกวนชีวิตที่แสนเงียบสงบของพวกเขา และนับวันก็ยิ่งมีแขกเดินทางมาที่บ้านของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ มาเธอร์ถูกสถานการณ์บีบให้ต้องกลับไปเยี่ยมเยียนทุกสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับความรัก การอุทิศตน และการเสียสละ

                      พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของ โปรโตซัว ภาพยนตร์ของผู้กำกับผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ดาร์เรน อโรนอฟสกี้ (Black Swan, Requiem for a Dream) นำแสดงโดยนักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Silver Linings Playbook) และนักแสดงชายเจ้าของรางวัลออสการ์ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม (No Country For Old Men) ใน “mother!”  ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดยนักแสดงชายผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เอ็ด แฮร์ริส (The Truman Show) และนักแสดงหญิงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ (The Fabulous Baker Boys) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายได้แก่ แดนนี่ คลิ๊คเกอร์ (Milk) ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และผู้ลำดับภาพ ได้แก่ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แอนดรูว์ ไวสบลูม (Black Swan) โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ได้แก่ ฟิลิป เมสซิน่า (The Hunger Games) ผู้กำกับภาพ ได้แก่ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แมทธิว ไลบาทีค (Black Swan) ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ เจฟฟ์ แว็กซ์แมน, จอช สเติร์น และมาร์ก ฮีย์แมน ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย สก็อตต์ แฟรงกลิน และอารี แฮนเดล ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดย ดาร์เรน อโรนอฟสกี้

เบื้องหลังงานสร้าง

                     “mother! เริ่มต้นด้วยการเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตแต่งงาน และใจกลางเรื่องนี้ก็คือหญิงสาวที่ถูกขอให้เป็นผู้ให้ ให้ และให้ จนกระทั่งเธอไม่สามารถให้อะไรได้อีก สุดท้าย เรื่องนี้ก็ไม่สามารถเก็บกดแรงดันที่เดือดระอุอยู่ข้างในได้ จนมันกลายเป็นสิ่งอื่นไป...”

... ผู้เขียนบท/ ผู้กำกับ ดาร์เรน อโรนอฟสกี้

ห้วงเวลาสุดเพี้ยนที่จะมีชีวิตอยู่

                     เรื่องราวทริลเลอร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมือเขียนบท/ ผู้กำกับ ดาร์เรน อโรนอฟสกี้ ใช้เวลาห้าวันที่เป็นไข้ อยู่กับคีย์บอร์ดเพียงลำพังในบ้านที่ว่างเปล่า ผู้กำกับผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ รู้ดีว่าเขาอาจรู้สึกกดดันในเรื่องผลลัพธ์ ทำไมวิสัยทัศน์ถึงได้ดำมืดเช่นนั้น คำตอบของเขาล่ะ จงมองไปรอบๆ ซิ:

                     “มันคือห้วงเวลาสุดเพี้ยนที่จะมีชีวิตอยู่ เมื่อประชากรโลกใกล้แตะตัวเลข 8 พันล้าน เราเผชิญหน้ากับปัญหาที่หนักและจริงจังเกินจะหยั่งถึง ระบบนิเวศวิทยาล่มสลาย เมื่อเราได้พบเห็นการสูญพันธุ์ในอัตรารวดเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน วิกฤตผู้อพยพทำให้รัฐบาลเสียระบบ สหรัฐฯ ที่ดูป่วยด้วยจิตเภท ช่วยให้เกิดการเจรจาสนธิสัญญาสภาพอากาศ และถอนตัวไปในหลายเดือนต่อมา การพิพาทและความเชื่อของชนเผ่าโบราณยังคงผลักดันให้เกิดสงครามและการแบ่งแยก ภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้แตกออกจากแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์คติค และล่องลอยออกท้องทะเล ขณะเดียวกัน เราเผชิญหน้ากับปัญหาที่น่าขันเกินกว่าจะเข้าใจ ในอเมริกาใต้ นักท่องเที่ยวสังหารลูกโลมาหายากที่มาเกยตื้น พวกมันหายใจไม่ออกขณะนักท่องเที่ยวพากันแห่มาถ่ายรูปเซลฟี่ เรื่องการเมืองแทบจะกลายเป็นงานอีเว้นท์ด้านกีฬา ผู้คนยังคงหิวโหยตาย ขณะที่ผู้คนอีกมากสามารถสั่งอาหารทุกชนิดที่พวกเขาอยากกินได้ ในฐานะสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่ง รอยเท้าของพวกเรามิยั่งยืน แต่เรายังใช้ชีวิตอยู่กับการปฏิเสธสภาพของโลก และตำแหน่งของพวกเราบนโลกใบนี้”

                     “จากซุปแห่งความกังวลและการไร้หนทางช่วยเหลือ” อโรนอฟสกี้กล่าวต่อ “ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไหลพร่างพรูออกมาจากตัวผม”

                     ภาพยนตร์อีกหกเรื่องของเขาใช้เวลากว่าจะสำเร็จออกมาก็กินเวลานานหลายปี แต่กับเรื่องนี้ล่ะ ในเวลาเพียงห้าวัน เขาก็มีโครงร่างของ mother! อยู่ในมือแล้ว “ภายในเวลาหนึ่งปี เราก็เริ่มถ่ายทำกัน”

                     สองปีหลังจากสุดสัปดาห์ที่แสนยาวนานนั้น ภาพยนตร์ของอโรนอฟสกี้เรื่องนี้ก็มุ่งตรงไปสู่การจัดฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่งานเทศกาลภาพยนตร์เวนิซครั้งที่ 74 (วันที่ 30 สิงหาคม ถึง 9 กันยายน) และได้รับเลือกให้เข้าสู่สายการแข่งขันเพื่อชิงรางวัลเกียรติยศ สิงโตทองคำ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ส่วนในอเมริกานั้น มีการกำหนดรอบปฐมทัศน์เอาไว้ที่งานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต ครั้งที่ 42 ในวันที่ 7-17 กันยายน และเปิดตัวฉายทั่วประเทศในวันที่  15 กันยายน

                     อโรนอฟสกี้ยอมรับว่า mother! เป็นภาพยนตร์ที่ยากจะจัดประเภทเอาไว้ในหมวดหมู่ใดหมวกหมู่หนึ่งโดยเฉพาะ นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่สามารถกำหนดจุดที่แน่นอนที่ทุกสิ่งอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือกำเนิดมาได้ “หลายอย่างก็มาจากหัวข้อข่าวที่เราเจอกันอยู่ทุกเสี้ยววินาทีของทุกวันครับ และอีกหลายอย่างก็มาจากพวกข่าวแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือของเราที่มีมาไม่หยุด หลายอันก็มาจากการใช้ชีวิตในช่วงไฟดับหลังพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้พัดถล่มย่านดาวน์ทาวน์ของแมนฮัตตัน อีกหลายอันมาจากใจของผมเอง บางอันก็มาจากกึ๋นของผม มันกลายเป็นสูตรที่ผมเองคงไม่สามารถทำขึ้นมาอีกรอบได้ แต่ผมรู้ดีว่าส่วนผสมนี้จะถูกเสิร์ฟอย่างดีที่สุดในฐานะสูตรสำเร็จหนึ่งเดียว ในแก้วชอตเดียวเท่านั้น”
« Last Edit: September 19, 2017, 09:17:56 PM by happy »

happy on September 19, 2017, 08:53:35 PM



พลุสี

                     หลังจากได้ผ่านการพิจารณาจากพันธมิตรที่ไว้ใจได้ แนวคิดที่สุดโลดโผนของอโรนอฟสกี้ก็ถูกส่งไปถึงมือของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ (Silver Linings Playbook) และยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีก 3 รางวัล (Joy,  American Hustle, Winter’s Bone) การตอบสนองของลอว์เรนซ์เกิดขึ้นใน “ทันทีและแรงกล้ามาก” อโรนอฟสกี้เล่า เธอตัดสินใจรับงานแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ในทันที สำหรับอโรนอฟสกี้ การสร้างเส้นทางที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างออกมา เขาเล่าว่า “เมื่อคุณได้ตัว เจน ลอว์เรนซ์ มาแสดงนำแล้ว เท่ากับคุณได้ภาพยนตร์เรื่องนี้มาอยู่ในมือแน่นอนแล้วครับ”

                     การตอบตกลงของลอว์เรนซ์เป็นมากกว่าการเพิ่มผลงานที่เป็นงานสยองขวัญประเภทโดนบุกรุกบ้าน เข้าไปในประวัติผลงานของเธอ

                     “หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับคุณได้ในฐานะศิลปิน ก็คือการได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่เริ่มต้นการสนทนาได้ เพราะมันมีไอเดียที่เป็นเอกลักษณ์ และมีความโดดเด่นอย่างที่สุด” ลอว์เรนซ์บอก “ถึงแม้เราจะถ่ายทำหลายสิ่งที่ชวนขนลุก การเปรียบเทียบก็เป็นเรื่องใหญ่ขึ้น แต่มันคือสิ่งที่เป็นความหมายของคำว่าทุกอย่างค่ะ”

                     “ภาพยนตร์เรื่องนี้มีหลากหลายแง่มุมที่ผู้คนสามารถอินและเกิดอารมณ์ร่วมไปด้วยได้ อาจจะทั้งกลัว ทั้งรู้สึกสนใจ” ลอว์เรนซ์กล่าวต่อ เธอได้พูดถึงความเย้ายวนของการรับบทเป็น มาเธอร์ ภรรยาที่น่าชื่นชม และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครกวีที่มีความลึกลับของ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม ด้วย “การตกหลุมรักก็น่ากลัวนะคะ ความรู้สึกอ่อนแอขนาดนั้นน่ะเหรอ มันน่ากลัวมาก แล้วการไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองมีความอ่อนไหวล่ะ มันก็น่ากลัวเช่นกันค่ะ”

                     “การทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นมันก็เป็นเรื่องหนึ่งค่ะ” ลอว์เรนซ์กล่าว “แต่การทำให้มันถึงขนาดร้อนเดือดฉ่าก็เป็นอีกเรื่อง” แล้วเรื่องนี้ล่ะ? มันคือพลุสี เป็นระเบิด เป็นจลาจลแห่งภาพยนตร์ เป็นการแสดงความรู้สึก ผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาในตอนแรกก็คือ “มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่หลายคนจะพูดว่า ‘ดาร์เรน คุณพาหนังเรื่องนี้มาไกลเกินไปแล้ว’ และเดินออกไปจากโรงหนัง แต่ฉันคงไม่มาแสดงหนังเรื่องนี้แน่ถ้าฉันไม่ได้เกิดอาการขว้างบทหนังไปอีกฟากหนึ่งในห้องนอนภายในโรงแรมในนิวยอร์กและคิดว่าผู้ชายคนนี้เพี้ยนไปแล้ว แต่เขาต้องใส่ทั้งหมดนี้เข้าไปค่ะ ฉันคิดว่าเขาคิดถูกแล้วที่ทำอะไรไม่ยั้ง และไม่กลัวอะไรไปล่วงหน้า”

                     สำหรับพลุไฟลูกนี้ ลอว์เรนซ์คาดไว้ว่าการผจญภัยในเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบจะทำให้คนดูช็อคได้ เธอสรุปอย่างมีเงื่อนงำว่า “ศิลปินผู้สร้างต้องการสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจอยู่เสมอ ตราบใดที่จักรวาลแห่งนี้ยังขยายกว้างออกไป ผู้ชายก็จะใช้ผู้หญิงต่อไป”

แหกกฎอยู่เสมอ

                     เมื่อลอว์เรนซ์ และดารานำชายร่วมจออย่าง ฮาเวียร์ บาร์เด็ม เจ้าของรางวัลออสการ์ (No Country For Old Men) และยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีก 2 รางวัล (Biutiful, Before Night Falls) ตกลงใจร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผลกระทบเริ่มแผ่พลังไปทั่ว

                     หลังจากนั้น อโรนอฟสกี้ได้ทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน นั่นก็คือจัดการซ้อมบทนานสามเดือนในโกดังเงียบสงบแห่งหนึ่งในบรูกลิน ผู้อำนวยการสร้าง อารี แฮนเดล (Noah, The Fountain) และสก็อตต์ แฟรงกลิน ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Black Swan) ได้เข้ามาร่วมสมทบในการทำเวิร์กช้อปบทภาพยนตร์ ในช่วงสองอาทิตย์สุดท้าย มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ นักแสดงหญิงรุ่นใหญ่ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัล (Love Field, The Fabulous Baker Boys, Dangerous Liaisons) และนักแสดงชายผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 4 ครั้ง เอ็ด แฮร์ริส (The Hours, Pollock, The Truman Show, Apollo 13), โดห์นัล กลีสัน (Ex-Machina, Star Wars: The Force Awakens) และน้องชายของเขา ไบรอัน กลีสัน (Snow White and the Huntsman, Assassin’s Creed) มาร่วมสมทบในกระบวนการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ด้วย (คริสเตน วีก ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ (Bridesmaids) เข้ามาร่วมสมทบในภายหลัง)

                     อโรนอฟสกี้ทำพิมพ์เขียวของบ้านในภาพยนตร์เรื่องนี้โดยใช้เทปติดไว้ที่พื้น เขากับเพื่อนร่วมงานอย่าง แมทธิว ไลบาทีค ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Black Swan) และผู้ที่ทำหน้าที่กำกับภาพให้กับภาพยนตร์ของอโรนอฟสกี้หกเรื่อง ได้ถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งหมดในเวอร์ชั่นที่เป็นการทดสอบ ในพื้นที่ซักซ้อมนี้ไม่มีกำแพงกั้น มีเพียงแค่เทปติดเอาไว้ที่พื้น เพื่อแบ่งพื้นที่ที่พวกเขาจะสร้างขึ้น อโรนอฟสกี้เล่าว่า “เราถ่ายทำทุกฉากแบบชอตเดียวเท่านั้น ฉากเดียวก็ถ่ายทำครั้งเดียว แอนดี้ ไวส์บลูม มือลำดับภาพของผม ตัดต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน เราสามารถดูหนังในเวอร์ชั่น 90 นาที” ที่ไม่มีการทำผมและแต่งหน้า “โดยหลักๆ แล้ว เราได้ความรู้สึกของการเคลื่อนกล้อง พัฒนาการของตัวละครตลอดภาพยนตร์ทั้งเรื่องก่อนที่เราจะเริ่มต้นถ่ายทำกันจริงๆ เสียอีกครับ”

                     นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะอโรนอฟสกี้ตั้งใจที่จะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จากมุมมองของมาเธอร์ ซึ่งเท่ากับจะมีทางเลือกจำกัดสำหรับไลบาทีค การออกแบบการเคลื่อนที่ของกล้องของไลบาทีคที่ต้องเคลื่อนไปรอบๆ บ้าน “ในชอตยาวๆ ที่ต้องใช้กล้องแบบมือถือ ขึ้นบันได ลงบันได เคลื่อนไปตามทางเดินแคบๆ” แฟรงกลินอธิบายเสริม “ขณะเคลื่อนตัวไปในทิศทางหนึ่ง เขาจะต้องแพนกล้องไปทางซ้ายและไปทางขวา เพื่อเก็บภาพการกระทำภายในห้องที่อยู่ใจกลางบ้าน”

                     นั่นไม่ใช่ความท้าท้ายเดียวที่เจอ เพราะยังมีภาพไวด์ชอตอีกมากเมื่อมาเธอร์อยู่เพียงลำพัง “โดยหลักๆ แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถ่ายภาพแบบมองข้ามหัวไหล่เธอ หรือจับภาพใบหน้าเธอ หรือสิ่งที่เธอกำลังมองอยู่ นั่นคือจำนวนชอตที่ถือว่าจำกัดมากที่จะนำไปใช้ในห้องตัดต่อภาพ” อโรนอฟสกี้ยอมรับ และด้วยความยาวของภาพยนตร์ 2 ชั่วโมง มีความยาวถึง 66 นาทีที่เป็นภาพโคลสอัพตัวลอว์เรนซ์ “แต่คุณจะไม่รู้ตัวเลยครับ” อโรนอฟสกี้บอก “ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ถ้าเจนไม่ได้ทำงาน ก็จะไม่มีที่ให้ไปมากนัก เธอต้องทั้งจำเพาะและเก่งมาก ถ้านี่คือภาพยนตร์สตูดิโอธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง และผมไม่ได้รับความร่วมมือที่ดีจากพาราเม้าต์ ผมว่าพวกเขาคงจะกลัวกันน่าดู เพราะนี่คือภาพยนตร์ที่ไม่ได้มีหน้าปกบอกว่าเป็นภาพยนตร์แนวไหนโดยเฉพาะ”

                     ไฟฟ์เฟอร์บอกว่า “ดาร์เรนตั้งมาตรฐานสำหรับตัวเองไว้สูงมาก คนอื่นก็เช่นกันค่ะ เรากำลังถ่ายทำลองชอตที่บ้าและโลดโผนมากที่เหมือนเกิดขึ้นทั้งชาติ ทั้งเดินลงไปตามทางเดิน ขึ้นบันได ลงบันได คุณเดินเข้าชอต เดินออกจากชอต กระโดดข้ามเคเบิ้ล หลบอยู่หลังกล้อง คุณต้องจำประโยคพูดให้ได้ และไม่หกล้ม แต่ฉันคิดว่าพวกเราทำงานกันด้วยทัศนคติที่ดี และเราทุกคนต่างตื่นเต้นและกระตือรือร้นกับความท้าทายที่เจอจริงๆ ค่ะ”

                     ระหว่างช่วงเวลาซักซ้อมนี้เอง อโรนอฟสกี้สารภาพว่าเขารู้สึกเป็นกังวล ขณะที่ลอว์เรนซ์นั้นดูผ่อนคลาย บทบาทนี้ถือว่าแตกต่างไปจากทุกงานที่เธอเคยทำมา เขาเองไม่แน่ใจว่าบทที่เขาจินตนาการขึ้นมาเพื่อเธอนั้นเป็นไปได้หรือไม่ แต่เมื่อถึงจุดที่พวกเขาเริ่มต้นงานถ่ายทำกันในมอนทรีออล เขารู้เลยว่ามันคือกระบวนการทำงานของเธอ เธอกำลังค้นหามาเธอร์ “อันที่จริงผมยังไม่เคยได้เจอตัวละครที่เจนแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยจนกระทั่งถึงวันแรกของการถ่ายทำเมื่อเธอปรากฎตัวขึ้นในชุดของตัวละคร ทำผมและเดินเท้าเปล่า” อโรนอฟสกี้เล่า “ในหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องเธอเดินเท้าเปล่า มาเธอร์เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นต่อหน้าผม ความสามารถดิบที่เราเจอในภาพยนตร์เรื่องนี้มันมีมหาศาลมากจริงๆ ครับ”
« Last Edit: September 19, 2017, 09:16:21 PM by happy »

happy on September 19, 2017, 09:05:18 PM





จากเทปบนพื้นจนถึงกำแพง

                     เพราะบ้านหลังนี้คือตัวละครตัวหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ การหาตัวบ้านที่สมบูรณ์แบบจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อการค้นหาทั่วพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อหาบ้านที่มีอยู่แล้ว ไม่ประสบความสำเร็จกับการค้นหาบ้านที่เขาต้องการได้ อโรนอฟสกึ้จึงได้แจ้งโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ฟิลิป เมสซิน่า ซึ่งก่อนนี้เคยร่วมงานกับลอว์เรนซ์มาแล้วในภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด The Hunger Games ให้สร้างบ้านขึ้นมาแทน ตามที่แฟรงกลินเล่า “ถึงแม้ว่าภาพยนตร์ทั้งเรื่องจะเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้เท่านั้น แต่มันคืองานก่อสร้างโดยแท้ครับ ในตอนต้นเรื่อง มันจะให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเพิ่งเสร็จไปได้ 85 เปอร์เซ็นต์ แต่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ มันผ่านขั้นตอนการก่อสร้างหลายระดับด้วยกัน” เพราะเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในบ้าน มันจึงต้องให้ความรู้สึกอึดอัด ดังนั้น “ความท้าทายจึงอยู่ที่การหาว่าจะทำให้โลเกชั่นแห่งนี้ดูเซอร์ไพรส์ได้อย่างไร”

                     อโรนอฟสกี้และเมสซิน่า เริ่มต้นการเดินทางด้านการออกแบบอันยาวไกลด้วยกันเพื่อสร้างบ้านที่มีความงดงามอย่างลงตัว พวกเขาขุดลึกลงไปค้นคว้าด้านสถาปัตยกรรม พวกเขาพบแรงบันดาลใจสำหรับบ้านหลังนี้ที่ต้องมีระเบียงยาวรอบบ้านจากบ้านหลังหนึ่งที่มีสไตล์ไม่ธรรมดา “เราตื่นเต้นกันมากจริงๆ ที่ได้พบบ้านทรงวิคตอเรี่ยนเหล่านี้ ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยรูปทรงแปดเหลี่ยม และตัวเลขแปดเองก็เข้ากันได้ดีกับงานอุปมาอุปไมยของเราด้วยครับ” อโรนอฟสกี้ชอบรูปทรงบ้านนี้ เพราะมันยังเปิดโอกาสให้คนดูได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในหลายห้องในเวลาเดียวกัน

                     “สุดท้าย เราไปที่มอนทรีออล และเราก็สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาจริงๆ ถึงสองรอบ รอบแรก เราสร้างแค่ชั้นล่างขึ้นบนที่ ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่สวยงามมาก มันทำให้เราถ่ายทำฉากช่วงกลางวันได้ และเราก็ถ่ายทำฉากเหล่านั้นตามลำดับเวลา จากนั้น เราก็สร้างบ้านทั้งสามชั้นในโรงถ่ายที่มอนทรีออล และเราสามารถถ่ายทำฉากกลางคืนได้” อโรนอฟสกี้เล่า “เมื่อเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไป มันยิ่งถล้ำลึกสู่ความมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ก้าวเข้าสู่ยามค่ำคืน เราสามารถถ่ายทำการเดินทางนี้ในการถ่ายทำชอตยาวๆ ที่เป็นความท้าทายได้ครับ”

                     สำหรับทีมนักแสดง การเคลื่อนย้ายจากพื้นที่ซักซ้อม ไปสู่ฉากที่สร้างจากไม้และปูนจริงๆ มันคือการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งยวด “ฉันเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับบ้านที่อยู๋ในโกดัง ที่มีเพียงแค่เส้นชอล์กที่วาดเป็นโครงร่างของบ้านเท่านั้น เพราะนั่นคือตอนที่เราซักซ้อมบทกัน และนั่นก็คือตอนที่ฉันเริ่มค้นพบว่ามาเธอร์เป็นใคร” ลอว์เรนซ์เล่า “เมื่อเราไปที่มอนทรีออล และไปอยู่ในฉาก มันก็เกิดขึ้นค่ะ”

                     จินตนาการของลอว์เรนซ์ได้รับเชื้อเพลิงจากวิธีที่มาเธอร์เดินลงจากบันได ยืนเกาะราวบันได นึกถึงภาพบ้านที่มีชีวิตชีวาทั้งหลัง เพราะ “ความจริงจังของอารมณ์ของเธอนั้นผูกติดกับบ้านหลังนี้” ลอว์เรนซ์อธิบายว่าการได้สัมผัสบ้านที่มีตัวตนจริงๆ นั้นช่วยทำให้มาเธอร์มีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร “ส่วนใหญ่แล้ว ฉันมักจะเดินเท้าเปล่า ฉันจะได้สัมผัสบ้านหลังนี้ได้ ฉันรู้ปฏิกริยาที่ตัวละครของฉันมีต่อบ้านหลังนี้จะเกิดขึ้นภายในใจ ฉันสามารถทำงานกับบ้านหลังนี้ได้หลังจากที่ฉันเคยใช้เพียงจินตนาการในโกดัง มันช่วยได้อย่างมากเลยค่ะ”
« Last Edit: September 19, 2017, 09:15:54 PM by happy »