happy on June 04, 2017, 09:24:38 PM

ชื่อภาพยนตร์:   THE MUMMY
ชื่อไทย:            เดอะ มัมมี่
วันที่เข้าฉาย:      8 มิถุนายน 2560
จัดจำหน่าย:      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=CLZCyq9bTFY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=CLZCyq9bTFY</a>


เกี่ยวกับภาพยนตร์

                        ทอม ครูซ รับบทนำในภาพยนตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งนำตำนานที่หลายวัฒนธรรมทั่วโลกต่างหลงใหลนับแต่ก่อกำเนิดอารยธรรม มาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Mummy

                        เจ้าหญิงจากยุคโบราณกาล (รับบทโดย โซเฟีย บูเทลล่า จาก Kingsman: The Secret Service และ Star Trek Beyond) ที่คนคิดกันว่าถูกฝังอย่างปลอดภัยอยู่ในสุสานที่ซ่อนลึกอยู่ใต้ทะเลทรายที่แสนกันดาร ผู้ซึ่งชะตากรรมถูกกระชากไปจากเธออย่างไม่เป็นธรรม ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในยุคปัจจุบัน และเธอพกพาความแค้นที่สะสมมานานกว่าสหัสวรรษ และความสยดสยองซึ่งท้าทายต่อความเข้าใจของมนุษย์มาด้วย   

                        จากเม็ดทรายในตะวันออกกลาง ผ่านเขาวงกตลับภายใต้นครลอนดอนยุคปัจจุบัน The Mummy  ได้นำความจริงจังระดับที่สร้างความประหลาดใจ และสมดุลระหว่างความมหัศจรรย์และความตื่นเต้นมาผสมรวมกันในรูปแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยจินตนาการ ซึ่งนำพาเหล่าเทพและอสูรกายมาสู่โลกยุคใหม่

                        ครูซได้นักแสดงมาร่วมสมทบมากหน้าหลายตา อาทิเช่น แอนนาเบลล์ วอลลิส  (King Arthur, ผลงานทางทีวีเรื่อง Peaky Blinders), เจก จอห์นสัน (Jurassic World), คอร์ตนี่ย์ บี แวนซ์ (ผลงานทางทีวีเรื่อง American Crime Story: The People V. O.J. Simpson), มาร์แวน เคนซารี (The Promise) และเจ้าของรางวัลออสการ์ รัสเซลล์ โครว์ (Gladiator)

                        ทีมผู้สร้างสรรค์ที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอ็กชั่นผจญภัยเรื่องนี้ นำทีมโดยผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน และผู้อำนวยการสร้าง คริส มอร์แกน ผู้เป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยร่วมงานกับเคิร์ตซ์แมนที่ทำหน้าที่ผู้เขียนบทหรือผู้อำนวยการสร้าง ในภาพยนตร์เรื่อง Transformers, Star Trek และ Mission: Impossible s นอกจากนี้ มอร์แกนยังมีส่วนร่วมในความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ชุด  Fast & Furious ที่เริ่มเติบโตแบบหยุดไม่อยู่ตั้งแต่ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ฌอน แดเนียล ซึ่งเคยอำนวยการสร้างภาพยนตร์ไตรภาค Mummy  และซาร่าห์ แบรดชอว์ (Maleficent) ทำหน้าที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับเคิร์ตซ์แมนและมอร์แกน

                        เดวิด โคปป์ (Mission: Impossible, War of the Worlds) และคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ (The Usual Suspects, ภาพยนตร์ชุด Mission: Impossible) และเคิร์ตซ์แมน ร่วมกันเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Mummy ซึ่งมาจากเรื่องที่เขียนขึ้นโดย จอน สไปต์ส (Prometheus, Doctor Strange) และแม็คควอร์รี่

                        เจ๊บ โบรดี้ (Little Miss Sunshine, Source Code) และโรเบอร์โต้ ออร์ซี่  (Transformers, ภาพยนตร์ชุด Star Trek) ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้

เบื้องหลังภาพยนตร์

แปลงโฉมเป็นมัมมี่

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=yzk828cS3hQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=yzk828cS3hQ</a>

แอ็คชั่นสมจริงของทอม ครูซ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=7fo_2Q6W1bY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=7fo_2Q6W1bY</a>

เบื้องหลังงานสร้าง

ทั้งรักและหวาดกลัว:
ปลุกชีพอสูรกาย

อสูรกายของแฟรงเกนสไตน์ สัตว์ประหลาดจากแบล็คลากูน มนุษย์หมาป่า มนุษย์ล่องหน มัมมี่

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้คืออสรูกายชื่อดัง ทั้งจากยุคอดีตและปัจจุบันของยูนิเวอร์แซล ซึ่งเคยเป็นภาพที่ตามหลอกหลอนคนดูจนยากจะลืมเลือน และยังติดค้างอยู่ในใจของคุณไปชั่วชีวิต
 
เมื่อพวกเขาตัดสินใจว่า The Mummy ควรจะเป็นบทแรกในภาพยนตร์ชุดใหม่ของพวกเขา ผู้กำกับเคิร์ตซ์แมน และผู้อำนวยการสร้าง คริส มอร์แกน แน่ใจว่าพวกเขาจะต้องนำเสนอโทนและอารมณ์ออกมาให้แม่นยำที่สุด “สิ่งที่เราพยายามสร้างกันในที่นี้ก็คือ รายละเอียดและโทนของเรื่องที่ฝังรากลึกในงานคลาสสิกสยองขวัญของยูนิเวอร์แซล ขณะที่เท้าอีกข้างก็ต้องวางอยู่ในโลกยุคใหม่ด้วย” เคิร์ตซ์แมนบอก “นี่ถือเป็นการให้เกียรติกับงานคลาสสิกเหล่านั้น ขณะที่ปลุกอสูรกายเหล่านี้ให้ฟื้นคืนชีพในยุคใหม่สำหรับคนดูทั่วโลก”

เคิร์ตซ์แมนและมอร์แกนรู้สึกเชื่อมั่นว่า The Mummy ต้องวางเรื่องราวเอาไว้ในโลกสมัยใหม่ พวกเขาสงสัยว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามัมมี่หญิงที่เป็นตัวร้าย ที่คุกรุ่นไปด้วยการโดนทรยศที่ให้อภัยไม่ได้ และความหิวกระหายที่จะได้แก้แค้นนานหลายร้อยปี ถูกปล่อยให้เป็นอิสระในโลกยุคปัจจุบัน” สำหรับทีมผู้สร้างทั้งหมด เป็นเรื่องสำคัญมากที่ภาพยนตร์ The Mummy เวอร์ชั่นนี้จะต้องยิ่งใหญ่ จริงจัง และอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่น เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความสนุกที่สุด 

“ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องน่ากลัวครับ” เคิร์ตซ์แมนเปิดเผย “น่ากลัวมากด้วย แต่เราก็อยากจะแสดงให้เห็นถึงด้านที่เป็นมนุษย์ของอสูรกายเหล่านี้ครับ และมีอารมณ์ร่วมไปกับพวกเขา สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในตัวอสูรกายเหล่านี้ก็คือ เราพบหนทางที่จะรักพวกเขา ขณะที่กลัวพวกเขาไปด้วย”

นักแสดงผู้เป็นตำนานอย่าง ทอม ครูซ ผู้รับบทเป็นนายทหาร นิค มอร์ตัน บอกว่าเขาเติบโตมากับการดูภาพยนตร์อสูรกายสมัยที่เขายังเด็ก และนั่นก็คือพลังที่ผลักดันให้เขาตัดสินใจมาร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมชอบเรื่อง The Wolf Man, Dracula, The Mummy มาก สมัยเด็ก มันน่ากลัวมากครับที่ได้ดูภาพยนตร์เหล่านี้ แต่มันก็มีทั้งความยิ่งใหญ่และความงดงามของบรรดาภาพยนตร์ต้นฉบับเหล่านี้ด้วยครับ”

ในการพูดคุยกันช่วงแรกเริ่ม ครูซ, มอร์แกน และเคิร์ตซ์แมน ทำข้อตกลงกันว่าจะให้เกียรติกับรูปแบบของภาพยนตร์อสูรกายเหล่านี้ และต่อความหมายของตัวละครตัวนี้ด้วย ครูซอธิบายว่า “คุณคงอยากเห็นพวกอสูรกายชนะ นั่นคือสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีที่เรื่องเหล่านี้ถูกเล่าออกมา พวกเขาทั้งทำให้เราหวาดกลัว และทำให้เรารู้สึกเห็นใจไปด้วย มันดีมากเลยครับ”

ครูซและเคิร์ตซ์แมน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible III มีวิสัยทัศน์ที่คล้ายกันเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง The Mummy ผู้กำกับเคิร์ตซ์แมนบอกว่า “เราต่างรู้สึกถึงมรดกที่ต้องสืบทอดและความรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบ ทอมคิดว่าคนดูจะคิดอย่างไร และนำทุกอย่างให้ลุกขึ้นมามีชีวิตในแบบที่โดดเด่นและน่าตื่นเต้นอย่างมาก”

ขณะที่พวกเขาทำงานด้วยกัน เคิร์ตซ์แมน, ครูซ และผู้อำนวยการสร้าง คริส มอร์แกน ได้สร้างสิ่งที่ทั้งน่ากลัวและดูงดงาม พอๆ กับที่ดูกล้าและท้าทาย ทั้งอาจหาญและคาดไม่ถึง เราตื่นเต้นกันมากที่ได้นำมันมามอบให้คนดู ขณะที่ภัยคุกคามเป็นสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ แต่เดิมพันสำหรับมนุษย์นั้นยังคงอิงกับเรื่องจริง จังหวะเวลานั้นถือว่าลงตัวที่สุดในการนำเสนอตัวละครเหล่านี้สู่จอภาพยนตร์ เป็นตัวละครที่ท้าทายวายร้ายที่ดูเหมือนการ์ตูน และวีรบุรุษที่ดูราบเรียบ นี่คือภาพยนตร์ที่เหมาะกับเวลาปัจจุบันนี้จริงๆ ครับ”

ขณะที่ผู้คนมองเห็นถึงองค์ประกอบที่เป็นหัวใจของโลกอสูรกายของยูนิเวอร์แซล โดยภาพยนตร์ของเราได้เฉลิมฉลองให้กับตำนานคลาสสิกเหล่านั้น เหล่าตัวละครของ The Mummy ต่างต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตของพวกเขาเอง ขณะที่มัมมี่ก้าวเข้าสู่โลกยุคปัจจุบัน
« Last Edit: June 04, 2017, 09:38:50 PM by happy »

happy on June 04, 2017, 09:45:46 PM



การคัดเลือกตัวนักแสดง The Mummy

ทีมนักแสดงเข้าที่เข้าทางอย่างรวดเร็วหลังจากที่ครูซเข้ามาร่วมงานด้วย เคิร์ตซ์แมนและครูซเป็นผู้ตัดสินใจเลือกสองดารานำหญิงของเรื่อง “เมื่อได้ โซเฟีย บูเทลล่า มารับบทมัมมี่อาห์มาเน็ต และแอนนาเบลล์ วอลลิส มารับบทเป็น เจนนี่ นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญเรื่องของอียิปต์” ครูซบอก “ผู้หญิงในภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งแข็งแกร่ง ทรงพลัง ฉลาด และมีความมุ่งมั่น”

“เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้มีความคืบหน้า คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ความดีหรือความร้ายของนิคกันแน่ที่จะถูกแสดงออกมาในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจนนี่และอาห์มาเน็ต เมื่อทั้งสามคนพบตัวเองติดอยู่ในรักสามเส้าที่แสนประหลาดนี้” เคิร์ตซ์แมนอธิบาย

เมื่อถึงเวลาต้องเลือกนักแสดง เคิร์ตซ์แมนรู้ดีว่านักแสดงคนใดที่เขาต้องการเพื่อมารับบทนำของภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมเคยเห็นโซเฟียในภาพยนตร์เรื่อง Kingsman นับจากนั้น ผมก็เฝ้าไล่ตามเธอ จนเธอยอมตอบตกลงแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอนำความเป็นมนุษย์จริงๆ ใส่ลงไปในตัวละคร และคนดูก็มีความรู้สึกร่วมกับเธอ แม้ตอนที่เธอทำเรื่องน่ากลัวๆ คุณก็ยังรู้สึกว่ามันจะต้องถูกทำโดยคนที่อยู่ไม่ไกลจากตัวพวกเรา และเป็นคนที่เดินข้ามเส้นในแบบที่เราอาจไม่ยอมเดินข้าม”

เมื่อถึงเวลาเลือกตัวนักแสดงนำหญิงอีกคนของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทางผู้กำกับพรั่งพรูคำชมออกมาไม่หยุด “แอนนาเบลล์นำทั้งความงดงาม เสน่ห์ และความมีอำนาจมาสู่บท เจนนี่ เธอเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมากครับ เธอยินดีทำทุกอย่าง เธอเป็นคนตลกและมีเสน่ห์” เขาหยุดพูดไปชั่วครู่ “เธอเป็นคนประหลาดด้วย ซึ่งถือว่าเป็นคู่ปรับที่เหมาะกันทีเดียว”

เจก จอห์นสัน รับบทเป็น เวล เพื่อนทหารของนิค และยังเป็นผู้ร่วมก่ออาชญากรรมกับเขาด้วย ครูซพูดถึงการเลือก เจก จอห์นสัน มารับบทนี้ว่า “เจกเก่งมากครับ เขาเป็นนักแสดงบทดราม่าที่สุดยอดไปเลยครับ และยังเข้าใจในความตลกของตัวละครด้วย มันเป็นธรรมชาติมากครับ และผมก็ประทับใจเขามาก”

ที่ล้อมรอบทีมนักแสดงหลักของเรื่องอยู่ ก็คือ คอร์ตนีย์ บี แวนซ์ รับบทพันเอกกรีนเวย์ และมาร์แวน เคนซารี รับบท มาลิก

คนสุดท้ายที่มาร่วมทีมนักแสดง ก็คือ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ รัสเซลล์ โครว์ ผู้รับบท ดร.เจกิลล์  เคิร์ตซ์แมนเล่าว่า “ทอมกับรัสเซลล์รู้จักกันมานานหลายปีแล้วครับ แต่พวกเขาไม่เคยได้มีโอกาสทำงานด้วยกันเลย พวกเขาอยากแสดงแบบ Butch and Sundance มันบ้ามากเลยครับที่มีนักแสดงที่ผมชื่นชมถึงสองคนมาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้”

เคิร์ตซ์แมนบอกว่า “เจกิลล์ เป็นคนที่มีหลายบุคลิก เป็นสุภาพบุรุษชาวอังกฤษที่ต้องสุ่มตัวอยู่ในโลกสมัยใหม่ ซึ่งรัสเซลล์ได้รวบรวมลักษณะนั้นขึ้นมา”

เคิร์ตซ์แมนกล่าวเสริมว่า “การพัฒนางานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เวลาสามปี และมันต้องผ่านขั้นตอนซ้ำๆ กันหลายรอบมาก เนื้อเรื่องที่ดีที่สุดนั้น จำต้องผ่านการอบการปรุง และผ่านมาหลายมือที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณได้สำรวจว่ามันต้องเป็นอย่างไร ตอนนี้ ทุกอย่างลงตัวเพื่อจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา ภาพยนตร์เรื่อง The Mummy ถือเป็นงานแฟรนไชส์ที่เป็นที่รัก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้แต่ละเรื่องถูกสร้างออกมาในเวลาที่แตกต่างกัน เป็นภาพยนตร์แอ็กชั่นที่มีพัฒนาการไปในแนวทางหนึ่งครับ”

โครว์ได้พูดถึงเรื่องราวของตัวละครของเขาว่า “การจะหาให้ได้ว่าดร.เจกิลล์ จะเข้ามาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร คือสิ่งแรกที่ผมเป็นห่วง เมื่อตอนที่ผมเริ่มพูดคุยกับอเล็กซ์ และทีมเขียนบทเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจุดกำเนิดของเขา มีหลายคำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เพราะเห็นได้ชัดว่าเขามาจากยุคสมัยอื่นที่แตกต่างไปจากปัจจุบัน แต่เขาก็มาอยู่ในโลกร่วมสมัยนี้แล้วครับ”

โครว์ยังพูดถึงความเป็นไปได้ในการขยายเรื่องราวนี้ออกไป “เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับโอกาสครั้งนี้ก็คือในระยะยาว คุณจะเห็นว่ามันมีความเกี่ยวพันกันระหว่างดร.เจกิลล์  และตัวละครตัวอื่นๆ ที่มีความชั่วร้าย”

“ดร.เจกิลล์ มีบางอย่างภายในตัวเขา ซึ่งเขาต้องพยายามกดมันเอาไว้” โครว์อธิบายต่อ “ผมคิดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรมากในเรื่องนั้น เพราะเขามีสิ่งนั้นอยู่ภายในตัว เขาจึงเข้าใจชัดเจนถึงเรื่องของความชั่วร้าย”

โครว์ยังพูดถึงความเกี่ยวพันของเขากับกลุ่มโพรดิเจี้ยม “มีหลายอย่างมากมายเกี่ยวกับตัวเจกิลล์ ที่ต้องค้นหาให้พบ มันคือการเดินทางที่มีความซับซ้อนเพื่อมาถึงจุดที่เขาอยู่ตรงจุดนี้ เขาเป็นผู้ดูแลกลุ่มโพรดิเจี้ยม ซึ่งก็คือองค์กรที่คอยหาตำแหน่งของความชั่วร้ายและพยายามที่จะปราบมัน”


อสูรผู้เป็นอมตะและเหยื่อ

นิค มอร์ตัน (ทอม ครูซ):

                        ทหารรับจ้าง นิค มอร์ตันหากินด้วยการปล้นจุดที่มีความขัดแย้งเพื่อค้นหาโบราณวัตถุที่ไร้กาลเวลา เขาได้ขายวัตถุชิ้นหนึ่งให้กับผู้ที่ประมูลให้ราคาสูงสุด เมื่อนิคและมือขวา (คริส เวล) ถูกโจมตีโดยพวกผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลาง ขณะกำลังสู้รบอยู่นั้น พวกเขาบังเอิญไปพบสุสานฟาโรห์อียิปต์ที่ต่อมาพวกเขารู้จักในชื่ออาห์มาเน็ต นิคไม่ใช่เพียงคนที่ต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยอาห์มาเน็ตให้เป็นอิสระ เขายังเติมเต็มโชคชะตาที่เขาเองก็คาดไม่ถึง บัดนี้ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่จะหยุดเธอจากการครองโลก และทำให้มนุษย์ทั้งหมดกลายเป็นทาส

อาห์มาเน็ต (โซเฟีย บูเทลล่า):

                        เมื่อหลายร้อยปีก่อน อาห์มาเน็ตถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นนักรบผู้ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด และเป็นรัชทายาทบัลลังก์ของพระบิดา เธอถูกวางตัวให้เป็นฟาร์โรห์หญิงคนแรก แต่สุดท้ายเมื่อฟาร์โรห์ได้ลูกชาย อาห์มาเน็ตถูกทอดทิ้ง ด้วยความแค้นที่เหมือนโดนทรยศ เธอถูกฝังเพื่อให้มีชีวิตนิรันดร์โดยผู้คนที่สาบานว่าจะภักดีกับเธอ แล้วชะตากรรมของเธอเป็นเช่นไร อาห์มาเน็ตเหมือนถูกลบจากประวัติศาสตร์ และบังเอิญถูก นิค มอร์ตัน ปลุกให้ฟื้นขึ้นมา อสูรร้ายที่ทรงพลังผู้นี้จึงมุ่งมั่นที่จะช่วงชิงอาณาจักรที่เคยถูกขโมยไปจากมือของเธอ และเพื่อให้ได้รับตำแหน่งอันชอบธรรมในฐานะฟาโรห์ ด้วยอำนาจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาห์มาเน็ตได้สร้างความเกี่ยวพันที่ยากจะทำลายกับนิค และโชคชะตาของเขาและเธอได้ถูกผูกพันเกี่ยวร้อยเข้าด้วยกัน

เจนนี่ ฮัลซี่ย์ (แอนนาเบลล์ วอลลิส):

                        เจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษขององค์กรมรดกทางวัฒนธรรม เจนนี่ ฮัลซี่ย์ ได้รับการติดต่อจากนิคให้มาช่วยจัดการเรื่องการขนส่งหีบศพที่ทำจากหิน แม่ของนักโบราณคดีด้านอียิปต์ผู้นี้แน่ใจมานานแล้วว่าเคยมีฟาโรห์หญิงที่ถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ บัดนี้ เจนนี่ได้พบเจ้าหญิงที่เธอเคยได้ยินชื่อมาจากตำนานและเรื่องเล่าขาน เมื่อเจนนี่, นิค และเวล ไต่ลงไปยังห้องขนาดใหญ่ที่เผยตัวออกมาเนื่องจากสงคราม พวกเขาได้ปลดปล่อยเจ้าหญิงอาห์มาเน็ตให้เป็นอิสระ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติมากมาย

เฮนรี่ เจกิลล์ (รัสเซลล์ โครว์):

                        ดร.เฮนรี่ เจกิลล์ ที่แสนลึกลับ เป็นผู้ดูแลกลุ่มโพรดิเจี้ยม องค์กรลับที่คอยตามหา ทดสอบ กักกัน และทำลายปีศาจในโลกของเรา สุภาพบุรุษชาวอังกฤษผู้นี้แฝงตัวอยู่ในโลกสมัยใหม่ เขาไม่เพียงแต่ปกป้องโลกจากอสูรกาย แต่เขายังปกป้องอสูรกายจากโลกนี้ด้วย ตกลงแล้วเจกิลล์ คือเพื่อนหรือศัตรูกันแน่ เช่นเดียวกับตัวละครหลักของเรื่องทุกตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ และเป้าหมายของพวกเขา...

คริส เวล (เจก จอห์นสัน):

                        ถึงแม้เวลจะชอบคิดว่าตัวเองเป็น “ผู้กอบกู้วัตถุโบราณล้ำค่า” แต่คนอื่นๆ มักเรียกพวกเขาว่าเป็น “โจรปล้นสุสานยุคใหม่” ขณะที่นิคชอบผจญภัย เพราะเขาชื่นชอบความตื่นเต้น แต่เวลไม่อยากจะยอมรับว่าเขาทำเพื่อเงินเท่านั้น เวลและนิคร่วมงานปล้นด้วยกันมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยมีสิ่งใดที่จะเตรียมพวกเขาให้พร้อมเผชิญปีศาจที่พวกเขาปลุกให้ตื่นขึ้นมา

พันเอกกรีนเวย์ (คอร์ตนี่ย์ บี แวนซ์):

                        นายทหารประจำกองทัพสหรัฐฯ ผู้ได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติหน้าที่ในตะวันออกกลาง เขาทำทุกอย่างตามตำรา เขามี “ความแน่วแน่” เมื่อเขาพบความวุ่นวายที่นิคและเวลก่อขึ้น เขาจับตัวทั้งคู่มาสอบถาม อย่างไรก็ดี เมื่ออาห์มาเน็ตฟื้นคืนอำนาจ ผู้พัน รวมถึงมนุษย์ทุกคน ต้องหวังพึ่งนิค ให้เขาเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์

happy on June 04, 2017, 09:51:47 PM





ออกแบบงานสร้าง

จอน ฮัทแมน โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ของภาพยนตร์เรื่อง The Mummy เล่าว่า “เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ผมเชื่อว่าแม่มดร้ายจาก Wizard of Oz อาศัยอยู่ในตู้เสื้อผ้าของบ้านเรา ทุกคืน แม่ผมจะเข้ามาและบอกผมว่าเธอกดชักโครกไล่แม่มดหายไปแล้ว มันน่ากลัวมากเลยครับ แล้วคุณจะสร้างตำนานนั้นอย่างไร นั่นก็คือหนังเหล่านี้จะต้องให้ความรู้สึกเหมือนตามหลอกหลอนครับ”

“ถ้าเราทำงานของเราได้อย่างถูกต้องในภาพยนตร์เรื่องนี้ คนดูจะรู้สึกถึงความเป็นไปได้ว่าข้างนอกนั่นมีสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่าคืออะไร และมีอันตราย และลึกลับ พวกเขาจะเดินออกจากความสบายของโรงหนังพร้อมความรู้สึกหวาดกลัวและเนื้อตัวสั่นเทา”

เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเคิร์ตซ์แมนและทีมออกแบบหลักๆ ของเขา รวมถึงโปรดักชั่นดีไซเนอร์ จอน ฮัทแมน และดอมินิค วัตกิ้นส์ ที่จะต้องทำให้ทุกอย่างสมจริงที่สุด เรื่องราวนี้ถูกวางเอาไว้ในโลกจริงๆ ราวกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกขณะ ฮัทแมนและวัตกิ้นส์ได้สร้างฉากขึ้นมามากถึง 50 ฉากรอบโลก ตั้งแต่อังกฤษ จนถึงนามิเบีย และฝรั่งเศส กว่าครึ่งหนึ่งของฉากเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นที่โรงถ่ายเชพเพอร์ตัน สตูดิโอส์ โรงถ่ายที่เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงลอนดอน

ครูซเล่าว่า “ฉากเหล่านี้ยิ่งใหญ่มากครับ ทั้งสวยและดูหลอน ทั้งงาน ทักษะ และฝีมือที่ถูกใส่ลงไปในทุกแง่มุมของภาพยนตร์เรื่องนี้ น่าประทับใจจริงๆ และให้แรงบันดาลใจด้วย ผมไม่อยากให้มันออกมาให้ความรู้สึกเหมือนการ์ตูน ทุกการตัดสินใจเลือกต้องพิถีพิถันเพื่อทำให้รู้สึกเหมือนจริง”

ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่จะเริ่มต้นการถ่ายทำนานห้าเดือน ในเดือนเมษายน ปี 2016 การถ่ายทำในเวลากลางคืน ณ สถานที่ที่มีประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งในอังกฤษ นั่นก็คือ เมืองแห่งมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติอย่าง อ็อกซ์ฟอร์ด

ถนนปูก้อนหินอายุเก่าแก่ ตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างผ่านหมอกในอากาศ และงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่ไม่สามารถสร้างเลียนแบบได้ในโรงถ่าย โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ จอน ฮัทแมน บอกว่า “หมู่บ้านอังกฤษจำนวนมากจะสร้างจากอิฐ แต่เมื่อเราไปที่อ็อกซ์ฟอร์ด และเห็นถนนที่ปูด้วยก้อนหินที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และมองเห็นตรอกที่ดูมืดๆ อเล็กซ์กับผมต่างมีปฏิกริยาเดียวกันเลยครับ นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราตามหาอยู่”

อ็อกซ์ฟอร์ดช่วยกำหนดโทนให้กับครูซ ในบท นิค ในยามที่เขาได้เห็นมัมมี่อาห์มาเน็ตครั้งแรก ภายในตรอกมืดๆ ที่อยู่ติดกับสะพาน Bridge of Sighs ซึ่งทุกคนรู้จักกันดี และอยู่ใกล้ๆ กับเฮิร์ตฟอร์ด และนิวสคูล คอลเลจ
 
อเล็กซ์เล่าว่า “คืนแรกของการถ่ายทำที่อ็อกซ์ฟอร์ด กับการแสดงของ โซเฟีย ในบทอาห์มาเน็ต ที่กำลังเดินอย่างเชื่องช้าไปหาทอม แมงมุมและการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนปูของเธอ กับกองทัพหนูหนึ่งร้อยตัวที่วิ่งไปตามตรอกที่มีแสงสลัว มันคือโทนแบบภาพยนตร์คลาสสิกอสูรกายของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สจริงๆ”

นักออกแบบอย่างฮัทแมนและวัตกิ้นส์ และทีมศิลปกรรมของพวกเขา ยังรวมถึงแฟรงก์ วอลช์ ซึ่งเป็น ซูเปอร์ไวซิ่ง อาร์ต ไดเร็คเตอร์ที่ดูแลโรงถ่ายเชพเพอร์ตัน สตูดิโอส์ในอังกฤษ และโรงถ่ายที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Mummy นี้

ฝ่ายศิลปกรรม แผนกอุปกรณ์ประกอบฉาก และแผนกตกแต่งฉาก เหมือนกับเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ภายในโรงถ่าย โดยพวกเขาจ้างคนมาทำงานมากกว่า 150 คน ส่วนงานพลาสเตอร์จะเป็นส่วนที่รับผิดชอบงานโมเดล ขณะที่แผนกปฏิมากรรมจะสร้างวัตถุต่างๆ จากโฟมและไฟเบอร์กลาส นี่คือการทำงานแบบ 24 ชั่วโมงต่อวันและอาทิตย์ละ 7 วัน เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการถ่ายทำ นี่ยังไม่พูดถึงแผนกก่อสร้างที่มีบุคลากรกว่า 200 ชีวิต ซึ่งนำทีมโดยผู้จัดการฝ่ายก่อสร้าง ไบรอัน เนห์เบอร์ ซึ่งอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เริ่มต้นงานสร้างทั้งหลาย

เคิร์ตซ์แมนกล่าวต่อไปว่า “จอน ฮัทแมน และดอมินิค วัตกิ้นส์ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ของเราสร้างทีมที่สุดยอดมาก และได้ออกแบบฉากที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผมเคยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”

หนึ่งในฉากที่น่าประทับใจที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือโพรดิเจี้ยม ฉากนี้เป็นพื้นที่ใต้ดินลับขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงลอนดอน ที่ซึ่งดร.เจกิลล์ และกองทัพช่างเทคนิคของเขา ไม่เพียงแต่ปกป้องโลกจากเหล่าอสูรกายเท่านั้น แต่ยังปกป้องเหล่าอสูรกายจากโลกนี้ด้วย

เมื่อบทภาพยนตร์เรื่อง The Mummy ถูกพัฒนาไปในขั้นตอนของการเตรียมงานสร้าง ฉากโพรดิเจี้ยมก็เช่นกัน “ฉากนี้ต้องดูน่ากลัว และนับวันก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น” เคิร์ตซ์แมน เล่า “ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือฉากขนาด 15,000 ตารางฟุตสองชั้น ซึ่งให้ความรู้สึกชวนขนลุก ฉากโพรดิเจี้ยมจะเต็มไปด้วยสนิม ดูเก่า และเหมือนอยู่ใต้ดินไปครึ่งทาง เพื่อให้แสงอาทิตย์ตามธรรมชาติคืบคลานเข้ามาได้”

ในระดับชั้นล่างของโพรดิเจี้ยมก็คืออุปกรณ์การค้นคว้าที่กองทัพของเจกิลล์ ต้องการนำมาใช้ในการค้นคว้าอสูรกายที่พวกเขาจับมาได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็คืออาห์มาเน็ตและที่ตั้งอยู่ภายใต้อิฐและเหล็กที่ผ่านการใช้งานมานาน ในโพรดิเจี้ยม ก็คือ เต้นท์ป้องกันการติดเชื้อสำหรับการแยกชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์ที่ใช้วิเคราะห์อุปกรณ์สำคัญๆ อย่างเช่นโลงศพและกริช และห้องทรมานทรงกลมที่อาห์มาเน็ตถูกล่ามโซ่จองจำไว้อย่างเจ็บปวดเพื่อเฝ้าสังเกตและซักถาม

เคิร์ตซ์แมนบอกว่า “บทของโซเฟียในฉากโพรดิเจี้ยมเป็นบทที่ต้องใช้ร่างกาย โซเฟียถูกล่ามโซ่เอาไว้วันแล้ววันเล่าโดยเป็นการล่ามแบบมัดแขนไปไว้ด้านหลัง ซึ่งเธอไม่เคยบ่นเลยสักคำ”

เคิร์ตซ์แมนกล่าวต่อไปอีกว่า “ในโพรดิเจี้ยม เจกิลล์ ฉีดยาเพื่อทำให้เธออ่อนกำลังลง นี่คือจุดสำคัญจุดหนึ่งในเรื่องของเรา เมื่อแผนการที่แท้จริงของเจกิลล์ ถูกเปิดเผยว่าเขาต้องการที่จะฆ่าและแยกร่างเธอ แต่เจนนี่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดทรยศเช่นนี้ หนึ่งในสิ่งที่น่าติดตามเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ คุณไม่มีวันรู้ได้เลยเมื่อเรื่องดำเนินไปว่าใครกันที่โกหกใครอยู่”

ฮัทแมนกล่าวว่า “เราอยากสำรวจถึงสภาพเทคโนโลยีในโพรดิเจี้ยม แต่ขณะเดียวกัน เราก็อยากทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของสถานการณ์เฉพาะหน้าทั้งหมด”

ฮัทแมนกล่าวต่อไปอีกว่า “มีลอนดอนในยุคโรมัน ลอนดอนในยุคกลาง และลอนดอนในยุควิคตอเรี่ยนสมัยใหม่ ความท้าทายก็คือการนำทั้งหมดนี้ใส่ลงไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่คนดูที่จะเดาว่าฉากไหนได้รับอิทธิพลจากตรงไหน”

ในโรงถ่าย ที่อยู่ติดกับฉากโพรดิเจี้ยม ก็คือ ฉากห้องทำงานของเจกิลล์  โต๊ะแล็คเกอร์ขนาดใหญ่ และเก้าอี้หนังตั้งอยู่ข้างๆ เครื่องมือค้นคว้าทางการแพทย์ที่ชวนขนลุก ถูกจัดวางแสดงเอาไว้อย่างภาคภูมิใจในตู้กระจกที่ติดไว้กับกำแพง และวัตถุโบราณโชว์อวัยวะคนที่ให้ความรู้สึกชวนขนลุก

เคิร์ตซ์แมนกล่าวว่า “คุณรู้สึกได้ถึงความมีอำนาจภายในห้องทำงานของเจกิลล์  และฉากนี้ก็คือสถานที่ที่การต่อสู้แห่งศตวรรษบังเกิดขึ้นระหว่างเจกิลล์ และนิค”

ฉากแรกที่ตั้งอยู่ที่โรงถ่ายเชพเพอร์ตัน สตูดิโอส์ ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำกัน ตั้งอยู่ที่บริเวณลานจอดรถของโรงถ่าย ที่ซึ่งฝ่ายศิลปกรรมต้องสร้างท่าเรือที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมขึ้นมา นี่คือฉากที่เราได้เห็นอาห์มาเน็ตครั้งแรก โดยเธอคลานออกมาจากหีบศพ และกลืนกินเหยื่อของเธอ โครงสร้างอาคารขนาดใหญ่นี้เสร็จสมบูรณ์ลงด้วยเรือเก่าจากยุค 70 ลำหนึ่ง กับน้ำเพื่อจำลองพื้นที่ส่วนหนึ่งของเขื่อนที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำเธมส์

จากตรงนั้น ณ โรงถ่ายเชพเพอร์ตัน ทีมผู้สร้างถลำลึกสู่ฉากสุสานที่จำต้องมีเพื่อใช้ในการเล่าเรื่อง นั่นก็คือฉากห้องโถง ส่วนของถ้ำ และส่วนของสุสานปรอท ฉากสุสานเหล่านี้จำต้องเชื่อมโยงถึงกันในเรื่องนี้ เมื่อตัวละครเริ่มต้นการผจญภัยด้วยการค้นพบหีบศพของอาห์มาเน็ต

เคิร์ตซ์แมนเล่าว่า “ในเรื่องของเรา จะมีมิสซายโดรนโจมตีอยู่เหนือพื้น ซึ่งเป็นตัวไปเปิดพื้นทะเลทราย และเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใต้ นั่นก็คือสุสานอียิปต์โบราณอายุกว่า 3 พันปี ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนดูเคยเห็นในฉากอิรักยุคสมัยใหม่ คนดูจะอยู่ในสภาพที่เหมือนไม่เชื่อ เช่นเดียวกับตัวละครในเรื่อง ว่าทำไมสุสานแห่งนี้ถึงมาโผล่กลางทะเลทรายด้วยระยะห่างมากกว่า 900 ไมล์เช่นนี้”

อเล็กซ์อธิบายต่อไปว่า “จะมีปริศนามากมายเกิดขึ้นรอบๆ ฉากสุสานเหล่านี้ และเราต้องการให้มันดูเป็นฉากที่สร้างความน่าเกรงขาม เพราะนี่คือการเปิดตัวมัมมี่”

ชั้นแรกของฉากสุสาน คือที่ตั้งของห้องโถง และเป็นจุดที่คุณเห็นเมื่อนิค, เวล และเจนนี่ลื่นไถลลงมาสู่หลุมลึกที่เกิดจากแรงระเบิด

ฮัทแมนกล่าวว่า “ฉากสุสานเหล่านี้ก็คือครั้งแรกที่คนดูได้เห็นฉากเหล่านี้ และตั้งคำถามว่า หลังเกิดระเบิดครั้งใหญ่ ที่แห่งนี้มันคืออะไรกันแน่ ปริศนานี้ได้นำพาเราให้เดินลึกลงไปใต้ดินมากขึ้น ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้น่าตื่นเต้นขึ้นด้วย”

นิค, เจนนี่ และเวลไม่รู้ว่าจะเจออะไรเมื่อพวกเขาพบฉากห้องโถง ที่มีเทวรูปเฝ้าอยู่ 16 ตัว โดยเป็นเทวรูปครึ่งคน ครึ่งสัตว์ หรือที่เรียกว่า “อานูบิส” ซึ่งเป็นเทพเจ้าอียิปต์โบราณที่เกี่ยวพันกับการทำมัมมี่ โลกอเวจี และชีวิตหลังความตาย กำแพงอักษรอียิปต์โบราณภายในห้องโถงของสุสานนี้คือสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวของอาห์มาเน็ต และในที่สุด มันถูกระเบิด จนทั้งสามคนสามารถสำรวจสุสานในขั้นต่อไปได้

การเผยตัวของหีบศพเกิดขึ้นในฉากสุสานปรอท งานสร้างฉากนี้ที่ใช้เวลานานแปดอาทิตย์ ต้องใช้ช่างฝีมือหลายร้อยคนให้เข้ามาจัดการ นี่คือจุดที่โลงศพตั้งอยู่ในสระปรอทซึ่งสร้างด้วยเทคนิคซีจีไอ และโลงถูกตรึงเอาไว้ที่จุดตรงกลางด้วยโซ่งู จอน ฮัทแมนพูดถึงฉากสุสานปรอทนี้ว่า “เราอยากให้ฉากนี้เป็นตัวกำหนดโทนของภาพยนตร์ทั้งเรื่อง มันต้องให้ความรู้สึกเหมือนจริง เต็มไปด้วยรายละเอียด และดูดิบ เหมือนคุณอยู่ใต้ดินมานานจริงๆ”

เมื่อคุณลองพิจารณาดูฉากสุสานปรอท มันยากจะเชื่อว่าด้านหลังฉากนั้นคือโครงไม้ ช่างไม้และช่างปูนเป็นคนที่สร้างก้อนหินขึ้นมา จากนั้นช่างสีจะเดินเข้ามาและใช้สีเทาในเชดต่างๆ เพื่อทำให้ก้อนหินเหล่านั้นออกมาดูเหมือนจริง แฟรงก์ วอลช์ ผู้กำกับศิลป์ของภาพยนตร์เรื่องนี้บอกว่า “เราทำแม่พิมพ์จากผิวของหินจริงๆ เราไม่ได้พยายามจะปั้นมันขึ้นมา พวกมันดูเหมือนจริงมากครับ”

แผนกต้นไม้เป็นคนเข้ามาตกแต่งฉากขั้นตอนสุดท้าย ด้วยการติดหินดินดานจำนวน 30 ตันเอาไว้เหนือฉากที่สร้างเสร็จแล้ว โดยพวกเขาขนหินพวกนี้มาจากเหมืองในนอร์ธเวลส์

ในวันถ่ายทำ พวกอุปกรณ์ประกอบฉาก และงานสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ทั้งหลาย ช่วยเพิ่มความเหมือนจริงด้วยการแต่งแต้มฉากด้วยละอองฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ รวมถึงยักไย่ด้วย

ฮัทแมนเล่าว่า “ในเรื่องของเรา คุณจะรู้เลยเมื่อคุณมองดูฉากสุสานปรอทใกล้ๆ ว่ามันไม่ใช่สุสาน แต่มันคือคุก รูปปั้นอานูบิสยืนหันหน้าเข้าไปด้านในสุสาน เพื่อให้แน่ใจว่าอาห์มาเน็ตจะไม่สามารถหลบหนีจากสุสานนี้ได้ อาห์มาเน็ตถูกขังอยู่นาน 3 พันปีเพื่อไม่ให้เธอก่อเรื่องร้ายๆ และไม่ควรมีใครหาเธอพบ คนอียิปต์เชื่อว่าปรอทคือตัวป้องกันที่ต้านปีศาจได้อย่างทรงอำนาจ โดยปล่อยให้โลงศพหินลอยอยู่ในปรอทนั้น”

ฉากใหญ่อีกฉากหนึ่งที่ตั้งอยู่ในโรงถ่ายเชพเพอร์ตันก็คือ ห้องครูเซเดอร์สที่ดูน่าประทับใจ มันคือสุสานโบราณที่พวกอัศวินถูกฝังร่างเอาไว้ ฉากใหญ่ฉากนี้ถูกตกแต่งด้วยน้ำตก และแผนที่จากโลกโบราณ มันให้ความรู้สึกเหมือนจริง มีแม่น้ำไหลผ่าน และกำแพงหินก็ดูเหมือนมันผุกร่อนจากกาลเวลาที่ผ่านไป

แกรี่ ครอสบี้ หัวหน้าทีมช่างสี เล่าว่า “ต้องใช้ช่างสีถึง 60 คนเพื่อตกแต่งฉากห้องครูเซเดอร์สนี้ มันมีขนาดใหญ่มากครับ เราใช้เม็ดสีและชอล์กเพื่อให้เกิดความสมจริง ควบคู่กับมอสส์สีเขียวและสีน้ำตาลที่เราใช้ตกแต่งตามชั้นหิน มันต้องใช้เวลาและฝีมือจากทีมงานของเราครับ แต่นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ฉากนี้ดูเหมือนจริงสำหรับคนดู มันคุ้มค่าทุกวินาทีที่ใช้ไปจริงๆ ครับ”

ฉากอียิปต์โบราณที่ถูกสร้างขึ้นที่โรงถ่ายแห่งนี้ ก็คือห้องของอาห์มาเน็ต ที่ซึ่งอาห์มาเน็ตล่อลวงนิค  ต่อมามันกลายเป็นห้องของฟาโรห์ และต่อมา มันถูกนำมาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องสำหรับทำมัมมี่

จิลล์ อาซิส ผู้ตกแต่งฉากเล่าว่า “อียิปต์โบราณคืองานออกแบบที่ฉันรู้สึกว่าเหมือนได้รางวัล เพราะฉันชอบประวัติศาสตร์ และฉันก็สนใจในงานโบราณคดีอยู่แล้ว ฉันพยายามจะสร้างอียิปต์โบราณเวอร์ชั่นใหม่ขึ้นมา เป็นสิ่งที่แปลกใหม่และน่าสนใจสำหรับคนดู และฉันก็ได้ทำงานกับที่ปรึกษาหลายคน ผู้ช่วยให้ฉันเกิดความเข้าใจถึงรายละเอียดของยุคสมัย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีไหดินเผาอยู่ในฉากนั้น มันจะบอกคุณว่ามีอะไรถูกเก็บเอาไว้ในไหในยุคอียิปต์โบราณ ถึงแม้คนดูจะมองไม่เห็น แต่รายละเอียดมันอยู่ในนั้นค่ะ”

เคิร์ตซ์แมนบอกว่า “ช่างฝีมือในอังกฤษสุดยอดมากเลยครับ และทีมศิลปกรรมของเราก็ใส่ใจในรายละเอียดสูงมาก นั่นคือสิ่งที่จะทำให้คนดูเชื่อในโลกที่เรากำลังสร้างขึ้นมาครับ”