Movie Guide: ภาพยนตร์ King Arthur: Legend of the Sword
ผู้กำกับชื่อดัง กาย ริชชี นำสไตล์อันมีชีวิตชีวามาให้หนังแอ็คชั่นผจญภัยแฟนตาซีเรื่องยิ่งใหญ่ "King Arthur: Legend of the Sword" ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยชาร์ลี ฮันแนม ในบทกษัตริย์อาร์เธอร์ และนับเป็นการนำตำนานดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์สุดคลาสสิกมาถ่ายทอดผ่านมุมมองใหม่ โดยตามรอยเส้นทางของอาร์เธอร์จากชีวิตข้างถนนจนกระทั่งได้ครองบัลลังก์
เมื่อพระบิดาของอาร์เธอร์ถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่เขายังเล็ก วอร์ทิเจิร์น อาของอาร์เธอร์ จึงยึดบัลลังก์มาเป็นของตน อาร์เธอร์ถูกริบสิทธิ์แต่กำเนิดและไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นใคร เขาเติบโตมาอย่างปากกัดตีนถีบในย่านเสื่อมโทรมของเมือง แต่เมื่อเขาดึงดาบขึ้นมาจากหิน ชีวิตของเขาก็กลับตาลปัตรและเขาก็ต้องยอมรับชาติกำเนิดที่แท้จริงของตน
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยชาร์ลี ฮันแนม ("Sons of Anarchy" ทางช่อง FX) และนักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ จู๊ด ลอว์ ("Cold Mountain", "The Talented Mr. Ripley") ร่วมด้วยแอสทริด แบร์แจส-ฟริสบี ("Pirates of the Caribbean: On Stranger Tides"), ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ไจมอน ฮอนซู ("Blood Diamond", "In America"), เอแดน กิลเลน ("Game of Thrones" ทางช่อง HBO) และอีริก บานา ("Star Trek")
กาย ริชชี ("The Man from U.N.C.L.E.", หนังในตระกูล "Sherlock Holmes") กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดยโจบี แฮโรลด์และกาย ริชชี ร่วมกับลิโอเนล วิแกรม เรื่องโดยเดวิด ดอบคินและโจบี แฮโรลด์ อำนวยการสร้างโดยผู้ชนะรางวัลออสการ์ อคิวา โกลด์สแมน ("A Beautiful Mind"), โจบี แฮโรลด์, ทอรี ทันเนลล์, สตีฟ คลาร์ก-ฮอลล์, กาย ริชชี และลิโอเนล วิแกรม โดยมีเดวิด ดอบคินและบรูซ เบอร์แมน เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ทีมงานเบื้องหลังของริชชี ได้แก่ ผู้กำกับภาพที่เข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้ง จอห์น แมทเทียสัน ("Gladiator", "The Phantom of the Opera"), นักออกแบบงานสร้างผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจมมา แจ็คสัน ("Finding Neverland"), ผู้ตัดต่อ เจมส์ เฮอร์เบิร์ต, นักออกแบบเครื่องแต่งกาย แอนนี ไซมอนส์ และผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ นิค เดวิส ("The Dark Knight") ดนตรีโดยแดเนียล เพมเบอร์ตัน
Warner Bros. Pictures ร่วมกับ Village Roadshow Pictures ขอเสนอผลงานการสร้างของ Weed Road/Safehouse Pictures และ Ritchie/Wigram Production และผลงานการกำกับของกาย ริชชี เรื่อง "King Arthur: Legend of the Sword" ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment และในบางพื้นที่โดย Village Roadshow Pictures
www.kingarthurmovie.net https://www.facebook.com/KingArthurMovieThailand/ ข้อมูลงานสร้างภาพยนตร์
จากผู้ไร้ตัวตนสู่กษัตริย์
ทุกคนรู้จักตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ที่เล่าขานกันมา...หรืออย่างน้อยก็คิดว่าตัวเองรู้ แต่เมื่อเรื่องนี้ตกอยู่ในมือของผู้กำกับกาย ริชชี มันก็ได้รับการถ่ายทอดให้ทันสมัยและสมจริงสมจังมากยิ่งขึ้น ในเรื่องนี้อาร์เธอร์ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ แต่เป็นเพียงนักเลงซึ่งกลายมาเป็นวีรบุรุษโดยไม่ตั้งใจ เขามุ่งมั่นค้นหาชะตาชีวิตที่แท้จริงของตนแม้ในขณะต่อสู้กับราชวงศ์ซึ่งตัวเขาจะได้ขึ้นปกครอง
"ผมคิดว่าเรื่องเล่าที่ดีมักให้คนออกเดินทางเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง ให้เขาได้พัฒนาจากอุปนิสัยขั้นพื้นฐานกลายเป็นผู้ที่สมควรก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่" ริชชีกล่าว เขาร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ "ในเวอร์ชั่นของเรา ชีวิตของอาร์เธอร์เริ่มต้นจากการเป็นคนต่ำต้อย เป็นเด็กยากจนที่อาศัยอยู่ในซ่อง วิ่งเล่นตามถนน ฝึกต่อสู้และหลบหลีกกฎหมายกับเพื่อนฝูง จากนั้นการกระทำของคนอื่นๆ ซึ่งบางคนก็มีเจตนาดีและบางคนก็มีเจตนาไม่ดีนัก ก็ได้บังคับให้เขาต้องขยายขอบเขตศักยภาพของตัวเอง"
ชาร์ลี ฮันแนม ผู้รับบทเป็นอาร์เธอร์กล่าวว่า "กายได้นำเอาการเดินทางของวีรบุรุษตามแบบฉบับมาสร้างเป็นเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีตัวละครอาร์เธอร์ที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนรุ่นใหม่ อาร์เธอร์ในฉบับของเราเติบโตมาด้วยลำแข้งของตัวเอง เกกมะเหรกเกเร สร้างโลกใบเล็กๆ ที่เขาเป็นเจ้าชายท่ามกลางหมู่โจร แต่เขาก็ไม่ใช่คนจิตใจงามที่มีเป้าหมายอันสูงส่ง"
ทว่าเป้าหมายนั้นกลับตามหาเขา และทันทีที่อาร์เธอร์ได้สัมผัสดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ แท่งเหล็กชิ้นพิเศษที่ฝังตรึงแน่นอยู่ในก้อนหิน ชีวิตของเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่
"นี่ไม่ใช่กษัตริย์อาร์เธอร์ฉบับที่พ่อของคุณเคยดู" อคิวา โกลด์สแมน กล่าว "เขาไม่ใช่คนที่นำดาบออกจากหินด้วยความกระวนกระวายใจว่า 'จะเป็นเรารึเปล่า จะใช่เรารึเปล่า' นี่เป็นคนที่คิดว่า 'เรามาทำบ้าอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย ขออย่าให้เป็นเราเลย' ที่จริงแล้วเขาไม่รู้ว่าการดึงดาบออกมาได้จะมีความหมายอย่างไรต่อตัวเขาด้วยซ้ำ แค่รู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคงไม่น่าพอใจแน่ แล้วเขาก็คิดถูก"
แม้ว่าการปรากฏตัวของปราสาทคาเมล็อตอันโด่งดังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ผู้อำนวยการสร้าง/ผู้ร่วมเขียนบท ลิโอเนล วิแกรมก็ได้เสนอให้เรื่องราวส่วนใหญ่ในหนังแอ็คชันเรื่องยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นนอกรั้วปราสาทไปอยู่ในเขตเมืองแทน และตัวละครทั้งสองก็อยู่ในฉากเมืองหลวงยุคโบราณของอังกฤษ ซึ่งก็คือโรมันลอนดอน หรือในเวลานั้นเรียกว่าลอนดิเนียม
วิแกรมกล่าวว่า "เรื่องราวของกษัตริย์อาร์เธอร์นั้นมีมากมายหลายเวอร์ชั่น ตั้งแต่เรื่องที่ให้เขาเป็นนักรบเซลติกจนถึงเป็นทหารนายกองโรมัน ตำนานได้รับการเล่าขานสืบต่อกันมาและถูกดัดแปลงให้เหมาะสมกับเงื่อนไขในแต่ละยุคสมัย เนื่องจากเรื่องนี้ผ่านการตีความที่หลากหลายมาตั้งแต่แรก เราจึงมองว่าตราบใดที่เรายังรักษาแก่นสำคัญของเรื่องเอาไว้ได้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะนำเสนอเรื่องราวตามแบบฉบับของเราเอง และตกแต่งรายละเอียดเพื่อช่วยให้สามารถสื่อสารกับผู้ชมยุคปัจจุบัน"
แน่นอนว่าเรื่องราวของกษัตริย์อาร์เธอร์คงไม่สมบูรณ์หากขาดเวทมนตร์ ทว่าแทนที่จะมีแต่มังกร ทีมผู้สร้างกลับต้องการสร้างสรรค์โลกในตำนานที่แปลกใหม่มีเอกลักษณ์พร้อมด้วย "ช้างตัวยาวกว่าสนามฟุตบอลและงูตัวใหญ่เท่ารถไฟใต้ดิน!" ผู้ร่วมเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้าง โจบี แฮโรลด์ เผย
เนื่องจากไม่เคร่งครัดในความถูกต้องแม่นยำตามประวัติศาสตร์ เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็สร้างจากตำนานอยู่แล้ว แฮโรลด์จึงคิดหาวิธีการอันเป็นเอกลักษณ์เพื่อมาชดเชยองค์ประกอบด้านความสมจริง 'หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังแฟนตาซีทั่วไป งานแฟนตาซีมักจะเน้นความสวยงามประณีตมากกว่านี้ ขณะที่งานนี้มีมิติที่หลากหลายกว่า หยาบกระด้างกว่า ผมมองว่าสิ่งนี้เองที่ทำให้โลกแฟนตาซีใบนี้น่าสนใจ เราสำรวจว่าถ้าคนเราเติบโตมาแบบหนึ่งแล้วกลับได้พบว่าเชื้อสายของตนเป็นอีกแบบหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้วจะเป็นอย่างไร เราให้ผู้ชมได้มีเวลาสำรวจลึกลงไปในตัวอาร์เธอร์ แต่ก็ถ่วงดุลความสมจริงนั้นด้วยความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่อลังการ"
วิแกรมกล่าวว่า "โจบีใส่เต็มที่แบบไม่มียั้ง ทั้งเวทมนตร์ ความตระการตา สัตว์ขนาดยักษ์ และความสนุกสนานหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นภาพการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นเหนือความคาดหมายร่วมไปกับอาร์เธอร์"
ความไม่ธรรมดาอีกประการหนึ่งก็คือการให้พ่อมดผู้โด่งดังที่สุดในยุคนั้นอย่างเมอร์ลินปรากฏตัวเพียงไม่นาน ผู้อำนวยการสร้าง ทอรี ทันเนลล์ อธิบายว่าตัวละครนี้มีอิทธิพลต่อเรื่องราวแม้ว่าแทบจะไม่ปรากฏในเรื่องเลยก็ตาม "เมอร์ลินเป็นผู้นำเวทมนตร์มาสู่ตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์เสมอ แต่เราต้องการวาดภาพใหญ่ที่ครอบคลุมแนวคิดเรื่องเวทมนตร์อย่างที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน ลองนึกถึงเรื่องราวความเป็นมาเบื้องหลังโลกอันกว้างใหญ่ของเมอร์ลิน ว่าเหล่านักเวทย์อาจมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรในโลกของมนุษย์ รวมถึงอันตรายที่อาจเกิดจากการกระทำของคนเหล่านี้ ถึงอย่างไรหนังเรื่องนี้ก็เป็นการนำเสนอภาพยุคกลางผ่านเลนส์ของกาย ริชชี เพราะฉะนั้นคุณคาดหวังได้ว่าจะพบความน่าประหลาดใจ ซึ่งก็น่าตื่นเต้นดีครับ"
ตัวละครตัวหนึ่งที่สนใจในศิลปะด้านมืดนี้ก็คือวอร์ทิเจิร์น อาของอาร์เธอร์และกษัตริย์ผู้มุ่งมั่นรักษาบัลลังก์ของตนไว้ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม เพื่อให้สุดยอดตัวร้ายนี้มีความหนักแน่นสมจริง ริชชีได้ติดต่อไปยัง จู๊ด ลอว์ นักแสดงที่เคยรับบทเป็น ดร.วัตสัน ผู้เป็นมิตรจาก "Sherlock Holmes" ฉบับที่เขากำกับ
"เราร่วมงานกันได้ดีมากในหนัง 'Sherlock' ทั้งสองภาค" ลอว์กล่าว "เพราะฉะนั้นเมื่อกายติดต่อให้ผมมาเล่นเป็นวอร์ทิเจิร์น ผมก็เลยอยากรู้ขึ้นมา เขาบรรยายถึงเรื่องนี้ว่าเป็นการมองกลับไปยังตำนานพื้นบ้านของอังกฤษแทนที่จะดูตามประวัติศาสตร์ และให้ตัวละครตัวนี้เป็นคนที่ต่อสู้กับสภาวะแวดล้อม กับอัตตาของตัวเอง กับปีศาจที่อยู่ภายใน ผมว่ามันน่าสนใจมากและรอคอยที่จะได้ทำงานร่วมกับกายอีกครั้ง"
ผู้อำนวยการสร้าง สตีฟ คลาร์ก-ฮอลล์ ซึ่งทำงานร่วมกับริชชีในหนังห้าเรื่องล่าสุดของผู้กำกับรายนี้กล่าวว่า สิ่งหนึ่งซึ่งเขามองว่าน่าสนใจก็คือแนวทางการเข้าถึงตัวละครของริชชี "กายไม่เคยพลาดในการทำให้ตัวละครดูมีเสน่ห์ดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย สำหรับเขาการทำให้ผู้ชมเข้าถึงวอร์ทิเจิร์นได้นั้นสำคัญไม่แพ้อาร์เธอร์ เพราะแก่นสำคัญของแอ็คชั่นอันยิ่งใหญ่และสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครสองตัวนี้ และเรื่องที่ว่าแต่ละฝ่ายจะยอมทำมากแค่ไหนเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย จุดนี้ล่ะที่จะกำหนดชะตากรรมของคนทั้งสองรวมถึงตัวละครอื่นๆ และทำให้เรื่องราวนี้น่าติดตามขึ้นมา"
อันที่จริงวอร์ทิเจิร์นคงไม่ต้องมาตกที่นั่งลำบาก ถ้าไม่ใช่เพราะความทะนงตนและความทะเยอทะยานอันไม่มีที่สิ้นสุดได้ผลักดันเขาให้ออกค้นหา "กษัตริย์แต่กำเนิด" ถ้าเพียงแต่เขาปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไป หลานชายของเขาก็คงไม่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ดังที่ตัวอาร์เธอร์เองก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเขาไม่เคยมีอำนาจใดๆ และไม่ได้อยากได้อำนาจนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อเขาบอกลุงไปว่า "ข้ามาถึงจุดนี้ก็เพราะท่าน ท่านสร้างข้าขึ้นมา" อาร์เธอร์ไม่มีทางรู้ว่ากษัตริย์องค์ปัจจุบันจะทำอย่างไร ขณะที่วอร์ทิเจิร์นก็ไม่อาจไว้ใจได้ว่าอาร์เธอร์จะปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นที่เคยเป็นมา แม้เขาจะกล่าวอ้างเช่นนั้นก็ตาม
"อาร์เธอร์ในเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการความยิ่งใหญ่ แต่โชคชะตาโยนสิ่งนี้ให้เขา" ริชชีกล่าว "แล้วเขาก็ต่อสู้กับมัน กับแทบทุกคนรอบตัวเขาในทุกย่างก้าวที่เดินไป"
และเขาก็ต่อสู้สุดกำลังในฉากแอ็คชันเต็มพิกัดไม่ว่าจะเป็นการยิงธนู การฟันดาบเข้าห้ำหั่นกัน การวิ่งลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยในเมือง รวมทั้งการผสมผสานระหว่างศิลปะการต่อสู้กับการใช้กำปั้นเปล่าๆ ทั้งหมดนี้นำเสนอท่ามกลางฉากทิวทัศน์อันชวนตื่นตาของสหราชอาณาจักรทั้งในเวลส์และสก็อตแลนด์ ตลอดจนโรงถ่ายลีฟส์เดนอันกว้างใหญ่ของ Warner Bros. พร้อมด้วยดนตรีประกอบสุดเร้าใจ
ทั้งหมดนี้รวมกันเป็น "King Arthur: Legend of the Sword" ของริชชี เรื่องราวซึ่งจะเผยให้เห็นดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ พร้อมกับจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในชีวิตของชายผู้หนึ่ง
ชายผู้ดึงดาบออกจากหิน!
ลองหาอันธพาลข้างถนนที่มีไหวพริบและไม่ชอบก้มหัวให้ใครมาสักคนหนึ่ง ดึงเขาออกมาจากสภาพที่คุ้นเคยแล้วให้เขามาอยู่ท่ามกลางเวทมนตร์แปลกประหลาดและสัตว์ขนาดยักษ์ จากนั้นก็บอกเขาว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นกษัตริย์ที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด คุณก็จะได้อาร์เธอร์ หรือชื่อแต่กำเนิดว่าเพนดรากอน ชายผู้ถูกกำหนดให้เป็นวีรบุรุษแต่ต้องดิ้นรนกับการยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ขณะที่เขาพยายามรักษาชีวิตเอาไว้
"King Arthur: Legend of the Sword" แนะนำให้เรารู้จักอาร์เธอร์ซึ่งเติบโตในซ่องโสเภณีในย่านที่อาจเรียกได้ว่าเป็นย่านเสื่อมโทรมของเมือง เขาวิ่งไปตามตรอกซอกซอยในเมืองกับแก๊งค์เพื่อนๆ โดยไม่เคยล่วงรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตน แต่ด้วยความโชคร้าย อาร์เธอร์ถูกส่งตัวไปยังปราสาทคาเมล็อตเพื่อเข้ารับการทดสอบเช่นเดียวกับชายหนุ่มทุกคนในวัยนั้น นั่นคือการทดสอบดึงดาบออกจากหิน สำหรับคนส่วนใหญ่มันเป็นความพยายามที่สูญเปล่า เพราะมีชายเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขาที่จะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ การค้นหาเขาคือบททดสอบที่แท้จริง เพราะผู้ผ่านการทดสอบนั้นจะต้องโทษประหาร และระหว่างที่อาร์เธอร์รีบมาทดสอบให้จบๆ เพื่อจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติเสียที เขาก็ได้เผชิญหน้ากับวัตถุเพียงหนึ่งเดียวซึ่งจะเผยให้เขารู้ถึงความจริงในอดีตของตนและความเป็นไปได้ของตัวเขาในอนาคต
เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้อยากจะรู้
"เท่าที่ผ่านมาอาร์เธอร์เป็นคนยากจนมาตลอด เขาต้องไขว่คว้าเพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่เคยได้รับอะไรจากใคร" ฮันแนมกล่าว "เมื่อเขาจับดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ มันมีอำนาจเหนือเขาในทุกๆ ทาง เขาปฏิเสธดาบและผลลัพธ์ที่ตามมาพร้อมกับดาบ เขาไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริงจังซะด้วยซ้ำ เขาไม่ต้องการแบกรับความรับผิดชอบนั้น"
แต่ฮันแนมไม่เป็นแบบนั้น ริชชีกล่าวว่า "ผมจะบอกให้ว่าชาร์ลีมีดีที่ตรงไหน...ทุกอย่างเลยครับ เขาทำงานหนักมากและไม่เคยโอดครวญเลยซักนิด แม้กระทั่งเวลาที่เราขอให้เขาทำเรื่องยากๆ เขาเป็นคนดี มีน้ำใจ ช่างคิด และมีพรสวรรค์ ผมชอบเขาตั้งแต่เริ่มต้นการถ่ายทำ และชอบเขามากยิ่งขึ้นทุกวันๆ จนสุดท้ายผมรักเขาเลยล่ะ"
ฮันแนมก็ชื่นชมในตัวริชชีเช่นกัน "เป็นประสบการณ์การทำหนังที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาเลยครับ ก็เพราะว่าทำงานกับกายนี่ล่ะ" นักแสดงรายนี้กล่าว "ผมสนุกมาก ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างและช่วยให้ผมได้เติบโตอย่างแท้จริง กายตัดสินใจแบบฉับพลันทันด่วน คิดวิธีแก้ปัญหาขึ้นมาเดี๋ยวนั้นถ้ามีอะไรที่ไม่เวิร์ค เขาทำให้บรรยากาศแวดล้อมดูมีชีวิตชีวาและทำงานกับนักแสดงโดยใช้สัญชาตญาณ ถ้าวันนั้นผมเกิดนึกอะไรไม่ออก เขาก็จะมีไอเดียให้สักสิบไอเดียเสมอ"
ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากอาร์เธอร์ ตัวละครตัวนี้มีธรรมชาติความเป็นผู้นำมากกว่าที่ตัวเขารู้ และเขาก็จะได้รู้ตลอดเรื่องราวในหนัง อาร์เธอร์ทั้งมีเสน่ห์และเจ้าเล่ห์ เป็นทั้งผู้ปกป้องและอันธพาลในเวลาเดียวกัน และเป็นคนหัวไวเพราะความจำเป็นจากการใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ
"อาร์เธอร์จะต้องเป็นตัวละครที่คนชอบเพื่อดึงคนเข้ามาหาเรื่องราวที่ผิดแปลกแตกต่างนี้" วิแกรมกล่าว "และชาร์ลีก็เป็นคนตรงไปตรงมา นิสัยดี และมีเสน่ห์ดึงดูดมาก เขาดูโดดเด่นสะดุดตา สามารถแสดงออกถึงความโอหังและความมั่นใจที่เหมาะกับตัวละคร ด้วยการวางท่าแบบนักเลงโตผสมกับความอ่อนแอได้อย่างพอดี ทุกๆ วันเขามาที่กองถ่ายพร้อมด้วยพลังเต็มร้อยและพร้อมที่จะลองทำทุกอย่าง ซึ่งเยี่ยมมากเลยครับ"
เช่นเดียวกับที่ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์มีบทบาทในการนำอาร์เธอร์ไปพบโชคชะตาของตน ฮันแนมเผยว่า "มันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผมตกผลึกความฝันที่จะได้มาเป็นนักแสดงครับ ผมดูหนังทุกเรื่องเกี่ยวกับตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนผมอายุหกเจ็ดขวบ ผมมีดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ที่ผมแกะจากไม้เพื่อไว้ใช้เล่นเป็นอาร์เธอร์ด้วย เพราะฉะนั้นการได้มาอยู่ในฉากเมืองลอนดิเนียมเพื่อรับบทเป็นกษัตริย์อาร์เธอร์จริงๆ จึงเป็นประสบการณ์สุดตื่นเต้นเลยล่ะครับ"
หลังจากอยู่ในสหรัฐอเมริกามาราวสิบปี นักแสดงชาวนิวคาสเซิลรายนี้ก็พบว่าการแสดงโดยไม่พูดสำเนียงอเมริกัน รวมถึงต้องกำหนดวิธีการพูดให้เหมาะสมกับตัวละครนั้นกลายเป็นความท้าทายอย่างไม่คาดฝันแต่ก็เป็นเรื่องน่าสนุก "เราคุยกันอยู่นานเลยว่าสำเนียงของอาร์เธอร์น่าจะเป็นยังไง และเราก็ตัดสินกันว่าการใช้สำเนียงอังกฤษมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นแบบปัจจุบันหรือในอดีต ไม่น่าจะถูกต้อง จากนั้นเราก็คิดกันว่าจะให้เขาพูดสำเนียงค็อกนีย์ดีไหมและโชคดีที่เราตัดความคิดนั้นออกไป" เขาหัวเราะ
"เนื่องจากอาร์เธอร์สืบเชื้อสายกษัตริย์และน่าจะเคยได้ยินวิธีการพูดแบบนั้นตอนยังเล็ก แต่หลังจากนั้นก็ต้องมาอยู่ด้วยตัวเองและคุ้นเคยกับการพูดคุยตามท้องถนนในเมือง เราก็เลยให้สำเนียงของเขาอยู่ตรงกึ่งกลาง" ฮันแนมอธิบาย "ระหว่างการพูดแบบคนชั้นสูงอย่างวอร์ทิเจิร์นกับการพูดสำเนียงค็อกนีย์เหมือนอย่างเพื่อนๆ ในแก๊งค์ของอาร์เธอร์"
King Arthur: Legend of the Sword - คิง อาร์เธอร์ ตำนานแห่งดาบราชันย์ เข้าฉาย 10 พฤษภาคม 2017
https://www.facebook.com/KingArthurMovieThailand/