Movie Guide: เจาะลึก เบื้องหลัง อนิเมชั่นแห่งปี จากฝีมือทีมงานสตูดิโอจิบลิ Mary and the Witch’s Flower (แมรี่ แอนด์ เดอะ วิชส์ ฟลาวเวอร์ )
จุดเริ่มต้นของ Mary and the Witch's Flower หนังอนิเมชั่นเรื่องแรกของ Studio Ponoc เกิดขึ้นเมื่อ โยชิอากิ นิชิมูระ โปรดิวเซอร์มากฝีมือ แห่ง Studio Ghibli ที่เคยอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Howl's Moving Castle (2004) และมีผลงานที่ได้ชิงรางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยมถึงสองเรื่องได้แก่ The Tale of Princess Kaguya (2013) และ When Marnie Was There (2014) เขาตัดสินใจเปิดสตูดิโอใหม่ขึ้นมาเป็นของตัวเองในเดือนเมษายนปี 2015 โดยได้อนิเมเตอร์หลายคนจาก Studio Ghibli ตามมาอยู่ที่ใหม่นี้ด้วย โดยชื่อของสตูดิโอได้ มาจากภาษา Serbo-Croatian ว่า ponoc ซึ่งแปลว่า "เที่ยงคืน" ซึ่งสื่อความหมายว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวันใหม่เหมือนกับที่พวกเขาได้สานต่อตำนานอันยิ่งใหญ่ของ Studio Ghibli ให้มาสู่ยุคใหม่ในสไตล์ของตัวเอง โดยสัญลักษณ์ของบริษัทยังเป็นรูปนาฬิกาที่เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนอีกด้วย
ก่อนหน้าที่จะนำเสนอภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องยาวให้ได้ชมกัน Studio Ponoc ได้ทำงานโฆษณากับ West Japan Railway Company ในแคมเปญ Summer Train ที่ โยชิอากิ นิชิมูระ ทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ ของโฆษณาตัวนี้ พร้อมได้ทีมอนิเมเตอร์จาก Studio Ghibi มาทำงานด้วย ทั้ง โยชิยูกิ
โมโมเสะ(key animator จาก Porco Rosso, Spirited Away, Tales from Earthsea) มาทำหน้าที่เป็น
ผู้กำกับ และได้ยูโกะ คันโนะ (Psycho-Pass, JoJo's Bizarre Adventure: Stardust Crusaders, Library War) มาทำหน้าที่เป็นนักประพันธ์เพลงประกอบ
โยชิอากิ นิชิมูระเผยถึงความรู้สึกของการออกมาตั้งบริษัทเองว่าเขามีทั้งความรู้สึกโล่งใจและก็กลัวไปพร้อมๆ กัน ตอนช่วงแรกเขาเครียดจนน้ำหนักลดไปถึง 10 กิโลกรัม เขาคิดมากเพราะเป็นคนที่ทำงานกับ Ghibli มานานและรักงานของ Ghibliทุกชิ้นเขาเป็นคนที่รู้ถึงเรื่องคุณภาพแบบ Ghibli มากกว่าใครแต่เมื่อ Ghibli ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงเขามีทีมงานหลายคนลาออกไป เขาไม่อยากให้งานที่เขารักต้องสูญสิ้นไป เขายังอยากทำอนิเมชั่นที่สนุกสำหรับทุกวัยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เขาจึงต้องเริ่มสร้างสตูดิโอใหม่ขึ้นมา แม้ว่าจะไม่มีเงินไม่มีทีมงาน ไม่มีแม้กระทั้งสถานที่ แต่เขาก็เริ่มต้นมันด้วยความมุ่งมั่น
เรื่องเริ่มต้นในร้านกาแฟ
สำหรับ Mary and the Witch's Flower ผลงานเปิดตัวสตูดิโอ โยชิอากิ นิชิมูระ เป็นชักคน ชักชวนผู้กำกับ ฮิโรมาสะ โยเนะบายาชิ ที่เคยร่วมงานกันจาก When Marnie Was There มาทำโปรเจ็คนี้ด้วยคำชวนว่า " มาช่วยกันสร้างอนิเมชั่นอย่าง Kiki's Delivery Service สำหรับยุคศตวรรษที่ 21 กันเถอะ" โยเนะบายาชิเลือกที่จะนำเอานิยายชื่อดังเรื่อง The Little Broomstick ของ แมรี่ สต๊วร์ต มาดัดแปลงโดยใช้ชื่อว่า Mary and the Witch's Flower และชักชวน ริโกะ ซาคากุชิ ผู้เขียนบทจากเรื่อง The Tale of the Princess Kaguya มาเป็นมือเขียนบทให้ โดยทั้งสามคนต้องทำงานกันอยู่ในร้านกาแฟอยู่เป็นเวลานานกว่า นิชิมูระ จะสามารถหาตึกออฟฟิศได้
เรื่องราวจากเวอร์ชั่นต้นฉบับ The Little Broomstick เล่าเรื่องของสาวน้อย แมรี่ ที่พบกับ ทิป แมวดำตัวหนึ่งที่นำแม่รี่เข้าไปพบกับดอกไม้แปลกประหลาดในป่า และเธอก็ได้พบกับไม้กวาดเล็กๆ อันหนึ่งหลังจากนั้น จู่ๆ เธอรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะโดดขึ้นขี่มัน ก่อนที่เธอจะรวมสติได้มันก็พาเธอบินขึ้นไปเหนือแมกไม้ สูงขึ้นไปเหนือเมฆ และพาเธอไปยัง Endor College วิทยาลัยแม่มด โดยสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ทำการทดลองของเหล่าแม่มดผู้ทรงอำนาจ แม่รี่ได้พบหลักฐานสำคัญว่ามีการทดลองลับที่ชั่วร้ายเกิดขึ้นที่นี่ เกี่ยวกับการแปลงร่าง ปรับเปลี่ยนรูปร่างและมีสัตว์กลายพันธุ์ถูกจองจำอยู่ในกรง ในตอนที่ไม้กวาดของเธอบินขึ้นนั่นเอง เธอได้รู้ว่าทิปหายตัวไป และได้รู้ว่าเขาถูกจับ แมรี่จึงต้องต่อกรกับ มาดามมัมเบิลชู้ก อาจารย์ใหญ่ของที่นี่ และด็อกเตอร์ดี ลูกน้องของเธอ เพื่อยับยั้งแผนการที่ชั่วร้าย
เพราะเธอคือแมรี่
สำหรับนักแสดงผู้มาให้เสียงพากย์เป็น แมรี่ นั้นคือฮานะ สุกิซากิ นักแสดงหน้าใหม่เจ้าของรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมของ Japan Academy Prize จากหนังดราม่าสุดซึ้ง Her Love Boils Bathwater และได้รับการคาดหมายว่าจะกลายเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทประจำเกาะญี่ปุ่นในอนาคตซึ่งเธอได้กล่าวว่า
"ฉันเซอร์ไพรซ์มากค่ะ ตอนที่ได้รับแจ้งว่าจะได้รับบทนำในหนังเรื่องแรกของ Studio Ponoc และเป็นเรื่องยอดเยี่ยมเช่นกันที่จะได้รับบทนำในหนังที่มีคำว่า ดอกไม้ เหมือนกับชื่อจริงของฉัน (Hana) อยู่บนชื่อเรื่อง ฉันตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ฮิโรมาสะ โยเนะบายาชิ ซึ่งเคยมีผลงานกับ Studio Ghibli มาก่อน ฉันเป็นแฟนตัวยงของเขาเลย ในหนังเรื่องก่อนๆ ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ปรากฏอยู่ในตัวเรื่องซึ่งเต็มไปด้วยมนต์ขลังที่น่าหลงใหลตั้งแต่เปิดฉากมาเลยค่ะ
ในเรื่องนี้ ฉันรับบทเป็น แมรี่ เป็นผู้หญิงซื่อตรงและคิดบวกค่ะ แม้เธออาจไม่ใช่คนที่ดีพร้อม แต่เป็นคนที่น่าหลงใหลเพราะเธอชอบทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่นค่ะ ตัวละครตัวนี้อาจไม่ได้มีความน่ารักน่าชังแฝงไว้อยู่มาก แต่ฉันจะพยายามเต็มที่ให้หนังเรื่องนี้ออกมาดีที่สุดเพื่อคนดูทุกคนค่ะ"
โปรดิวเซอร์ นิชิมูระ ได้กล่าวว่า "เมื่อ 1 ปีก่อนตอนที่ผมตัดสินใจเปิดสตูดิโอขึ้นใหม่ ตอนนั้นยังไม่มีหนังอนิเมชั่นที่อยากทำเลยสักเรื่อง ผมต้องครุ่นคิดอยู่นาน แล้วก็ได้พบกับ ฮานะ สุกิซากิ ผมจำได้ว่าเธอเคยให้เสียงพากย์บท อายากะ ใน When Marnie Was There ตอนที่เราเจอกัน ผมเห็นรอยยิ้มกว้างของเธอ ที่สำคัญ ผมจำเสียงเธอได้อย่างชัดเจน เธอยังบอกอีกด้วยว่าหนังของจิบลิที่ชอบที่สุดคือเรื่อง Arriettyซึ่งเป็นผลงานการกำกับชิ้นแรกของ ฮิโรมาสะ โยเนะบายาชิ พอดี
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงแนะนำ ฮิโรมาสะ ว่าให้เอาเธอมารับบทนำเลยซึ่งเขาก็เห็นด้วย เขายังมั่นใจอีกว่า "เธอทำได้แน่นอน"
ต้นแบบของ Mary
โยชิอากิ นิชิมุระ เปิดเผยสาเหตุที่ทีมงานตัดสินใจสร้างหนังก็คือ เมื่อครั้งตอนที่มทีมงานนำเรื่อง When Marnie Was There ของ Ghibli ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศฟินแลนด์ แล้วมีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 5 ปีเดินเข้ามาขอลายเซ็นของผู้กำกับ ฮิโรมาสะ โยเนะบายาชิ อย่างอายๆ ด้วยความเอ็นดูเด็กผู้หญิงคนนี้ ผู้กำกับ ฮิโรมาสะ จึงวาดภาพตัวละคร Marnieให้กับเธอ และเด็กหญิงตัวน้อยก็แสดงอาการดีใจมีความสุขมาก เธอจึงได้กลายมาเป็นต้นแบบของ แมรี่ในเรื่องนี้
จัดเต็มนักพากย์ยอดฝีมือ
โยชิอากิ นิชิมูระ ยังกล่าวไว้ว่า เขาต้องการ 'ยอดฝีมือ' มาให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ และโชคดีที่เขาสามารถคว้าตัวนักแสดงยอดฝีมือแห่งเกาะญี่ปุ่นมาพากย์เสียงได้จริงๆ ซะด้วย "ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับมันนะครับ" และเขาได้กล่าวถึงผู้ให้เสียงพากย์ในบทต่างๆ เอาไว้ดังต่อไปนี้
มาดาม มัมเบิ้ลชู้ก ให้เสียงพากย์โดย ยูกิ อามามิ
นี่เป็นบทที่ทั้งเข้มข้นและสง่างาม น่าเกลียดน่ากลัว แต่ก็ยังชวนหัวเราะ เหนืออื่นใด เราต้องการผู้ให้เสียงพากย์ที่สามารถมอบเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เหนือกว่าผู้ใดทั้งมวล นี่คือบทที่ถ่ายทอดออกมาได้ยากที่สุดในเรื่อง แต่มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของ อามามิซัง แม้แต่น้อย
ด็อกเตอร์ ดี ให้เสียงพากย์โดย ฟูมิโยะ โคฮินาตะ
ผมพยายามตามหาตัวคนที่สามารถรับบทแปลกๆ แบบนี้ได้ ก่อนจะมาลงเอยที่ ฟูมิโยะ โคฮินาตะ เขาพากย์เป็น ด็อคเตอร์ ดี ด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ราวกับว่าตัวละครตัวนี้หลุดออกมาจากในหนังสือจริงๆ อย่างนั้นเลย
แม่มดผมแดง ให้เสียงพากย์โดย ฮิคาริ มิทสึชิม่า
ตอนผมหาว่าจะให้ใครมารับบทแม่มดผมแดงผู้ล่วงรู้ความลับของดอกไม้จอมเวทย์ดี ก็พลันนึกถึงภาพของ ฮิคาริซัง ขึ้นมา และจากที่ได้ร่วมงานด้วย เธอถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ
ฟลานาแกน ให้เสียงพากย์โดย จิโร่ ซาโต้
นี่คือตัวละครที่ประหลาดที่สุดในเรื่อง จิโร่ ซาโต้ เป็นผู้ให้เสียงพากย์ เขาบอกว่าเขาใส่ความเป็นตัวเองลงไปในบทนี้ด้วย ผมคิดว่าซาโต้ทำหน้าที่ได้เป็นธรรมชาติมากๆ และความลึกลับของตัวละครตัวนี้ยังอาจทำให้คุณหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว
ชาร์ล็อต ให้เสียงพากย์โดย ชิโนบุ โอทาเกะ
คุณป้าชาร์ล็อตผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกปิดความลับของตัวเองมานานแสนนาน และทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อ แมรี่ มาเยี่ยมเยือน บทของตัวละครนี้ ผมอยากได้ผู้มีความลึกลับ ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องชีวิตส่วนตัวให้รู้มากเท่าไหร่มาให้เสียงพากย์บทนี้ แล้วเสียงของ ชิโนบุ โอทาเกะซัง ก็ช่างงดงามเสียเหลือเกิน
นี่คือ อนิเมชั่นเรื่องแรกที่ใช้ซอร์ฟแวร์ OpenToonz
OpenToonz เป็นซอร์ฟแวร์สำหรับอนิเมชั่น 2D ที่มีลักษณะเป็นโปรแกรม open-source software ที่คนทั่วไปสามารถนำไปใช้ได้ฟรีและปรับปรุงได้ด้วยตนเอง OpenToonz มีฟีเจอร์หลายอย่างที่เคยได้รับการสั่งทำขึ้นเฉพาะโดย Studio Ghibli โดยผู้พัฒนาซอร์ฟแวร์ตัวนี้ได้พัฒนานะบบปัญญาประดิษด้าน วิช่วลเอฟเฟกส์ และยังมีปลั๊กอินที่ทำให้ผู้ใช้ใส่เอฟเฟกต์ได้ด้วยตัวเอง และโปรแกรมยังสามารถปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตาม feedback ระหว่างใช้งานได้อีกด้วย
ในเรื่อง Mary and The Witch's Flower ได้ใช้งาน OpenToonz ในด้านต่างๆดังนี้
- ฟังก์ชั่น Pallete และฟังก์ชั่นการแสดงตัวอย่าง (ช่วยให้ผู้ใช้ดูตัวอย่างภาพตัวละครและพื้นหลังที่ซ้อนทับกันอยู่ได้ ) ถูกนำมาใช้ในขั้นตอนการออกแบบสีที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สีของตัวละครให้เข้ากับพื้นหลังได้
- ระหว่างกระบวนการถ่ายทำ "Magical Bubbles" (ฟองเวทมนต์) ที่ปรากฏในภาพยนตร์ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เอฟเฟกต์พิเศษที่สร้างลวดลายรุ้งบนฟองสบู่
- เครื่องมือสแกน GTS ที่มาพร้อมกับโปรแกรม OpenToonz ถูกใช้ในระหว่างกระบวนการสแกนภาพที่อนิเมเตอร์วาดมาจากกระดาษ
แม้ Mary and The Witch's Flower จะเป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ใช้โปรแกรม OpenToonz แต่ทาง Dwango บริษัทเจ้าของโปรแกรมนี้มีแผนที่จะพัฒนาโปรแกรมต่อโดยฟังความคิดเห็นจากเหล่าผู้ใช้ในวงการอนิเมชั่นญี่ปุ่นต่อไป
กระแสตอบรับอบอุ่นหัวใจ
Mary An The Witch's Flower เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมด้วยรายได้ 428 ล้านเยน จากการเปิดฉายในโรงภาพยนตร์ 365 แห่ง (458 โรง) และมีผู้ซื้อตั๋วทั้งหมด 324,000 ใบ ซึ่งมากกว่ารายได้เปิดตัวของภาพยนตร์เรื่อง When Marnie Was There ผลงานก่อนหน้าของ โยเนบายาชิ ที่ทำไปได้ 378.86 ล้านเยน ในสัปดาห์แรก Mary An The Witch's Flower มาพร้อมกับกระแสวิจารณ์ว่า ไม่ทิ้งมาตรฐานเดิมที่เคยทำไว้กับ Studio Ghibli ที่เคยนำเสนอเรื่องราวและผลงานด้านภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ยังนำไปสู่อีกก้าวหนึ่งของวงการอนิเมชั่นที่นำเสนอผลงานด้านภาพที่สวยสดใส มีทั้งผลงานวาดด้วยมือที่นำทิวทัศน์ในชนบทของอังกฤษได้สวยงามเหมือนกับภาพถ่ายจากสถานที่จริงเลยทีเดียว
นอกเหนือจากผลงานด้านภาพแล้ว Mary And The Witch's Flower ยังประสบความสำเร็จด้านเรื่องราวที่สนุกสนานตั้งแต่ต้นจนจบ และที่สำคัญหนังเรื่องนี้พิสูจน์ตัวชัดเจนว่าไม่ใช่หนังของ Ghibi อีกต่อไปแม้ว่าจะจะมีสไตล์ภาพที่คล้ายคลึงกันแต่ว่ามีใจความสำคัญที่ต่างกัน โดย Studio Ponoc ทำหนังเรื่องนี้ออกมาแบบสดใสและบริสุทธิ์สามารถดูได้ทั้งครอบครัว
แมรี่ ดังไกลไปทั่วโลก
แม้จะเป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกของ Studio Ponoc แต่กระแสความแรงของ Mary and The Witch's Flower ก็เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางจนตอนนี้มีประเทศต่างๆ สนใจจะนำหนังเรื่องนี้ไปฉายถึง 155 ประเทศ ข่าวนี้เผยโดยเว็บไซต์ Oricon ว่า Studio Ponoc ได้รับข้อเสนอจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์
จากหลายประเทศทั้งอเมริกา ,สหราชอาณาจักร , ฝรั่งเศส ,ออสเตรเลีย ,จีน , เกาหลีใต้, อเมริกาใต้, ตะวันออกกลางและแอฟริกา โดยมีการวางแผนไว้แล้วว่าจะใช้นักแสดงชื่อดังมาพากย์เสียงภาษาอังกฤษให้กับเรื่องนี้ด้วย
เพลงประกอบจาก SEKAI NO OWARI
วงดนตรีระดับอินเตอร์จากประเทศญี่ปุ่น SEKAI NO OWARI ทำเพลงประกอบ ที่มีชื่อว่า Rain ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยผู้กำกับ โยเนะบายาชิ ยังได้วาดรูปปกซิงเกิ้ลของเพลงนี้โดยแปลงร่างสมาชิกวงให้เป็นสไตล์เดียวกับในเรื่องให้อีกด้วย โดยซิงเกิ้ลนี้ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเนื้อเพลงเล่าถึง ฝน ที่นำมาเปรียบเปรยกับการเติบโตและการใช้ชีวิต ว่าบางครั้งก็อาจจะร้องไห้ราวกับฝนตกอาบแก้ม แต่ฝนใช่ว่าจะนำพามาแค่ความเศร้า แม้ว่าสายรุ้งหลังฝนจะจางหายไป แต่ฝนก็ช่วยทำให้ต้นไม้มีการเจริญเติบโต เหมือนกับชีวิตคนเราที่จะต้องเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง
ฮายาโอะ มิยาซากิ ลั่น! ไม่ขอดู
เนื่องจากเหล่าทีมงานของ Studio Ponoc หลายคนเองเคยทำงานที่ Studio Ghibli มาก่อนจึงเกิดคำถามว่าแล้วเจ้าพ่อแห่งวงการภาพยนตร์อนิเมชั่นญี่ปุ่นอย่าง ฮายาโอะ มิยาซากิ จะรู้สึกอย่างไรบ้างกับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ โยเนะบายาชิ กลับเปิดเผยว่า มิยาซากิ ปฏิเสธที่จะดู Mary and The Witch's Flower โยเนะบายาชิ เล่าว่า " เขาก็แค่บอกว่า ผมไม่ดูมันหรอก แล้วเขาก็ไม่ดู ก็แค่นั้นเลยครับ" แต่งานนี้ไม่ได้มีเกาเหลาแต่อย่างใด เพราะมิยาซากิบอกว่า เป็นเพราะโยเนะบายาชิ ทุ่มแรงกายแรงใจกับหนังเรื่องนี้มากแล้ว ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องดูมัน เพราะรู้ดีว่าโยเนะบายาชิจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด
แม้ว่ามิยาซากิ จะไม่ยอมดูหนัง แต่ว่าโยเนะบายาชิเล่าว่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Studio Ghibli อย่าง โตชิโอะ ซูซูกิ และ อิซาโอะ ทาคาฮาตะ ผู้กำกับจากเรื่อง Grave of the Fireflies และ The Tale of the Princess Kaguya ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมได้ให้คำแนะนำดีๆ กับเขา โดยทั้งคู่ได้ชมภาพยนตร์แล้วประทับใจมาก ด้าน ซูซูกิ ได้บอกให้เขามุ่งมั่นและเป็นตัวของซื่อสัตย์กับวิสัยทัศน์ของตัวเองใหม่มากที่สุด และพูดถึงผลงานของนิชิมูระ ว่า " นี่มันคือภาพยนตร์ที่คุณสามารถทำได้โดยที่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการทำงานให้กับ Ghibli"
แม้ว่าโยเนะบายาชิ จะได้ไม่อธิบายเหตุผลว่าทำไมมิยาซากิ ถึงไม่ยอมชมภาพยตร์ Mary and the Witches Flower แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว เพราะเขาเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับผลงานของตัวเองมากและไม่อยากจะให้ถูกรบกวนโดยผลงานของผู้อื่น และมิยาซากิ ก็ไม่ใช่คนที่จะพูดชมผลงานอนิเมชั่นของคนอื่นง่ายๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม แต่โยเนะบายาชิ ก็ไม่ได้กังวลใจกับเรื่องนี้นัก โดยเขาให้เหตุผลว่า " เราทำงานด้วยกันมานานกว่าที่ผมคิดซะอีก และเขาก็ใจกว้างพอที่จะเป็นห่วงในผลงานชิ้นนี้ของผม เขาถามผมว่า นายจะสามารถทำมันเสร็จได้หรือเปล่า ดังนั้นผมดีใจมากๆ แล้วที่สามารถบอกกับเขาได้ว่า มันเสร็จแล้วครับ"
คาเฟ่เมืองแม่มด
Mary and The Witch's Flower เอาใจคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการทานอาหารคาเฟ่น่ารักๆ แล้วถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียด้วยการจัดทำร้าน Garden Sand Cafe คาเฟ่พิเศษที่แปลงโฉมคาเฟ่ Hanami ที่ถนน โอะโมะเตะซันโด โตเกียวประเทศญี่ปุ่นให้กลายเป็นโลกของแมรี่ ที่ทุกคนต้องทึ่งเหมือนได้เข้าไปสู่โลกเวทย์มนต์พร้อมๆกับเธอ ร้านตกแต่งด้วยบรรยากาศป่าและสวนสไตล์ยุโรปมีการประดับของตกแต่งจากภาพยนตร์ ให้ลูกค้าได้ถ่ายรูปกันตามสบาย และที่สำคัญคือเรื่องอาหารที่นี่มีให้เลือกทั้งของคาวและของหวานเช่น แซนวิชใส่ไก่และไข่เสิร์ฟพร้อมไม้กวาดอันจิ๋วของแมรี่ ,แพนเค้กหนานุ่มเสิร์ฟพร้อมกับคุ้กกี้ และแยมสตรอว์เบอร์รี่ และยังมีขนมลูกอมแสนอร่อย รวมถึงสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าผ้า และแก้วน้ำเก็บความร้อนให้เลือกซื้อกันอีกด้วย ร้านคาเฟ่น่านั่งร้านนี้เปิด ให้บริการตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม ถึงวันที่ 2 กันยายน นี้
Mary and the Witch's Flower (แมรี่ แอนด์ เดอะ วิชส์ ฟลาวเวอร์ )
เปิดโลกผจญภัย ไปกับแม่มดน้อยแม่รี่ 21 กันยายนนี้