happy on March 18, 2017, 09:20:35 PM

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ

ผลงานผลิตโดย บลัมเฮาส์/คิวซี เอนเตอร์เทนเมนต์

ร่วมกับ มังกี้พอว์ โปรดักชั่นส์

ภาพยนตร์โดย จอร์แดน พีเล

แดเนียล คาลูยา

GET OUT

อัลลิสัน วิลเลียมส์
แบรดลีย์ วิทฟอร์ด
เคเล็บ แลนดรี โจนส์
สตีเวน รูท
ลาคีธ สแตนฟิลด์
และ แคเธอรีน คีเนอร์

ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร
เรย์มอนด์ แมนส์ฟิลด์
คูเปอร์ ซามูเอลสัน
ฌอน เรดิค
จีเน็ตต์ วอลเทอร์โน

อำนวยการสร้างโดย
ฌอน แม็คคิททริค, พี.จี.เอ.
เจสัน บลัม, พี.จี.เอ.
เอ็ดเวิร์ด เอช. แฮมม์ จูเนียร์, พี.จี.เอ.
จอร์แดน พีเล, พี.จี.เอ.

บทภาพยนตร์และกำกับโดย
จอร์แดน พีเล

ชื่อภาพยนตร์:   GET OUT
ชื่อไทย:          ลวงร่างจิตหลอน
วันที่เข้าฉาย :    6 เมษายน 2560
จัดจำหน่าย:      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=oYrQoQhpQEs" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=oYrQoQhpQEs</a>




ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้าง

Get Out เป็นภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส จากการสร้างของบลัมเฮาส์ (ผู้สร้าง The Visit, หนังหลายภาคเรื่อง Insidious และ The Gift) และกำกับโดยจอร์แดน พีเล   เรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มอเมริกันผิวสีที่เดินทางไปเยี่ยมบ้านของแฟนสาวซึ่งเป็นคนผิวขาว  เขาเริ่มติดอยู่ในกับดักของเหตุผลแท้จริงที่น่าขนลุก ของการเชิญเขาไปที่บ้าน

เมื่อคริส (แดเนียล คาลูยา จากเรื่อง SICARIO) กับโรสแฟนสาวของเขา (อัลลิสัน วิลเลียมส์ จากซีรีส์เรื่อง Girls) พัฒนาความสัมพันธ์มาถึงจุดที่ไปเยี่ยมบ้านของพ่อแม่แฟน  เธอจึงชวนเขาไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่บ้านของพ่อแม่เธอ คือมิสซี (แคเธอรีน คีเนอร์ จาก Captain Phillips) และดีน (แบรดลีย์ วิทฟอร์ด จาก The Cabin in the Woods) ทางตอนเหนือของรัฐ

ตอนแรก คริสอ่านท่าทีเอื้ออารีที่ดูมากเกินของครอบครัวนี้ ว่าเป็นเพราะความประหม่าในการรับมือกับความสัมพันธ์ของลูกสาวกับหนุ่มต่างสีผิว แต่เมื่อเวลาช่วงสุดสัปดาห์ยิ่งผ่านไป  การค้นพบสิ่งที่สร้างความกังวลใจที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็นำเขาไปพบกับความจริงที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

หนังที่มีส่วนผสมเท่าๆกันของเรื่องราวเขย่าขวัญ และการวิจารณ์ที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาเรื่อง Get Out เขียนบทและกำกับโดยจอร์แดน พีเล (จาก Key and Peele) และอำนวยการสร้างโดยเจสัน บลัม จากบลัมเฮาส์ (ผู้สร้างเรื่อง Split) ร่วมกับฌอน แม็คคิททริค (จาก Donnie Darko, Bad Words), เอ็ดเวิร์ด เอช. แฮมม์ จูเนียร์ (Bad Words) จากคิวซี เอนเตอร์เทนเมนต์ และพีเล   มีเคเล็บ แลนดรี โจนส์ (จากหนังหลายภาคเรื่อง X-Men), สตีเวน รูท (No Country for Old Men), มิลตัน “ลิล เรล” ฮาเวอรี (The Carmichael Show), เบ็ตตี้ เกเบรียล (The Purge: Election Year), มาร์คัส เฮนเดอร์สัน (Pete’s Dragon) และลาคีธ สแตนฟิลด์ (Straight Outta Compton) ร่วมแสดง

นิตยสารวาไรตี้เรียกหนังเรื่องนี้ว่า “การวิพากษ์สังคมที่น่าตะลึง” ที่ “พิสูจน์ว่าเป็นความกล้าหาญอย่างแท้จริง” และฮอลลีวูด รีพอร์เทอร์ ชื่นชมว่าเป็น “หนึ่งในหนังเขย่าขวัญที่น่าพึงพอใจที่สุดในรอบหลายปี”  ร่วมแสดงโดยเคเล็บ แลนดรี โจนส์ (จากหนังหลายภาคเรื่อง X-Men) ในบทเจเรมี น้องชายของโรส, สตีเวน รูท (No Country for Old Men)เป็นจิม ฮัดสัน คนขายงานศิลปะท่าทางแปลกๆที่เริ่มถูกชะตากับคริส, มิลตัน “ลิล เรล” ฮาเวอรี (The Carmichael Show) เป็นร็อด วิลเลียมส์ เพื่อนซี้ของคริสและนักสืบสมัครเล่น ที่ไม่ยอมเชื่อว่าเพื่อนของเขาปลอดภัย, เบ็ตตี้ เกเบรียล (The Purge: Election Year) เป็นจอร์จินา แม่บ้านของครอบครัวอาร์มิเทจ, มาร์คัส เฮนเดอร์สัน (Pete’s Dragon) เป็นวอลเทอร์ คนดูแลสนามของครอบครัว และลาคีธ สแตนฟิลด์ (Straight Outta Compton) เป็นโลแกน คิง แขกหนุ่มที่มาร่วมงานฉลองช่วงสุดสัปดาห์ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยเข้ากันเอาซะเลย กับภรรยาที่อายุมากกว่าของเขา
 
พีเลได้ทีมงานเบื้องหลังที่มีความสามารถมาร่วมงานมากมาย เช่นผู้กำกับภาพ โทบี โอลิเวอร์ (จาก Insidious: Chapter 4 ที่กำลังจะออกฉาย),  รัสตี สมิธ คนออกแบบงานสร้าง (จาก Meet the Fockers), เกรเกอรี พล็อตคิน คนตัดต่อ (จากหนังหลายภาคเรื่อง Paranormal Activity), เนดีน เฮเดอร์ส คนออกแบบเสื้อผ้า (จากซีรีส์เรื่อง Into the Badlands) และ ไมเคิล เอเบลส์ คนทำดนตรีประกอบ  ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารของ Get Out คือเรย์มอนด์ แมนส์ฟิลด์ (จาก The Messenger), คูเปอร์ ซามูเอลสัน (Whiplash), ฌอน เรดิค (จาก The Messenger) และจีเน็ตต์ วอลเทอร์โน (จาก หนังหลายภาค เรื่อง The Purge)


ABOUT THE PRODUCTIONเกี่ยวกับงานสร้าง
An American Monster: ปีศาจของอเมริกา
Get Out  เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

เมื่อคนดูส่วนใหญ่ได้ยินชื่อจอร์แดน พีเล พวกเขาจะนึกถึงครึ่งหนึ่งของคู่นักแสดงใน Key and Peele และดารานำจากเรื่อง Keanu พีเลเป็นนักแสดงที่เป็นที่รู้จักจากงานเขียนบทแนวตลกของเขา พอๆกับการแสดงนำในหนังและซีรีส์แนวตลกทางโทรทัศน์ เขายังประสบความสำเร็จกับการพากย์เสียงและการแสดงล้อเลียนบุคคลต่างๆ แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือนักแสดงตลกที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ และเป็นเจ้าของรางวัลเอ็มมีคนนี้ เป็นแฟนหนังแนวหนึ่งที่ต่างชนิดกันไปเลยมานานแล้ว ผลงานกำกับเรื่องแรกของเขาเป็นงานที่จัดจำหน่ายโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส  และสร้างโดยบลัมเฮาส์ โปรดักชันส์ ของเจสัน บลัม หุ้นส่วนในการสร้างสรรค์หนังสยองขวัญของยูนิเวอร์แซล   

พีเล ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป็นคนเขียนบทและนักแสดงใน MADtv  เป็นแฟนหนังแนวสยองขวัญมายาวนาน และเชื่อว่าความน่ากลัวและความตลกมาจากบ่อเกิดของแรงบันดาลใจเดียวกัน และทั้งสองสิ่งนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการที่จะสำรวจความไร้สาระในความเป็นมนุษย์ของเรา เขาชอบความจริงที่ว่าเรารับมือกับปัญหาและความกลัวผ่านทางการระบายความรู้สึกข้างใน จากการหัวเราะ หรือยอมให้ตัวเองรู้สึกกลัว พูดง่ายๆคือ ถ้าเราสามารถเอาชนะความรู้สึกได้ เราจะสามารถก้าวผ่านประสบการณ์นั้นได้ 

พีเลแนะว่าความตึงเครียดนี้และการปลดปล่อยมันออกมา สามารถสร้างความพึงพอใจทางความรู้สึกกับคนดูได้  “ในฉากหนึ่ง คุณอยากได้การหัวเราะ และอีกฉากหนึ่ง คุณอยากได้ความกลัว  มันน่าตื่นเต้นสำหรับผม ที่ได้นำทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มาจากงานแนวคอมเมดี้ มาใช้กับหนังแนวโปรดของผม คือหนังแนวเขย่าขวัญ” 

จากการที่เขาคุ้นเคยกับการเจาะลึกหาความไร้สาระจากความจริง เมื่อเริ่มเขียนบทหนัง พีเลวางโครงเรื่องที่มีความสมดุลกันของส่วนที่เป็นความสยองขวญ และการวิจารณ์สังคม  ผลลัพธ์ที่ได้คือ Get Out หนังเขย่าขวัญที่ผสมผสานอารมณ์ขัน, การเสียดสี และ ความสยองขวัญ และไม่กลัวที่จะเล่นงานสถานการณ์ปัจจุบันของความสัมพันธ์ต่างสีผิวในอเมริกาแบบซึ่งหน้า “ไอเดียของหนังมาจากการที่ผมอยากทำบางอย่างให้กับหนังแนวเขย่าขวัญและสยองขวัญ ที่ไม่เหมือนใครสำหรับความคิดเห็นของผม ความจริงที่ว่าหนังไปที่เรื่องสีผิว มันก็ไปที่ขอบเขตงานแนวที่ผมได้ทำบ่อย คือแนวตลก  นี่คือหนังที่สะท้อนความกลัวจริงๆของผม และประเด็นที่ผมเคยเจอมาก่อน”

พีเลสร้างตัวละครเอกชื่อคริส หนุ่มอเมริกันผิวสีที่ทำงานเป็นช่างภาพและศิลปินอยู่นิวยอร์ก เขาพัฒนาความสัมพันธ์กับแฟนสาวที่เป็นคนผิวขาวไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการไปเยี่ยมพ่อแม่แฟนในช่วงสุดสัปดาห์   ทันทีที่คริสไปถึงบ้านของครอบครัวแฟนทางตอนเหนือของรัฐ เขาก็เริ่มสงสัยว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่มันดูเหมือนจะเป็น เมื่อเขาพบว่ามีคนผิวสีจำนวนหนึ่งหายตัวไปในเขตชานเมืองนั้น ความสงสัยของเขาก็เปิดเผยออกมา ว่ามันเป็นยิ่งกว่าความหวาดระแวงไปเองโดยไม่มีเหตุผล สิ่งที่เริ่มต้นเหมือนเป็นการไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ธรรมดา กลับพลิกผันและเดินไปสู่บทสรุปที่บ้า, น่าขนลุก, เขย่าขวัญ, น่าสะพรึงกลัว นอกจากนั้น ยังสนุกด้วย 

พีเลยอมรับว่าเขาสนุกกับการเล่นกับความคาดหวังของคนดู เรื่องสิ่งที่อาจเกิดขึ้น และพลิกบทสรุปที่คาดเดาล่วงหน้าไว้แบบกลับหัวกลับหาง “ส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของเรื่องราวใน Get Out คือหญิงสาวผิวขาวพาหนุ่มผิวดำไปบ้าน และเธอไม่ได้คิดซับซ้อนเรื่องผลยุ่งยากทางสังคมที่จะตามมา เธอสันนิษฐานว่าครอบครัวของเธอจะไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ ก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ แต่มีนัยหลายอย่างที่เราเริ่มเห็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น” 

ช่วงเวลาของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้คริสสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆถูกเปิดเผยออกมา ไม่ว่าจะเป็นความสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกๆของคนทำงานบ้านของครอบครัวอาร์มิเทจ หรือความรู้สึกเหมือนเขาก้าวเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งระหว่างการฉลองประจำปีของครอบครัวเพื่อรำลึกการจากไปของปู่ คริสรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่กำลังจะเป็นบ้า “เคล็ดลับคือการทำให้แน่ใจว่าไม่มีเรื่องบ้ามากๆเรื่องอะไรเกิดขึ้นรวดเร็ว จนเราไม่เชื่อว่าตัวละครจะอยู่ในสถานการณ์นี้ ปัจจัยที่เริ่มเตือนคริสคือการได้เจอกับคนทำงานในบ้าน และพบว่าทั้งคู่มีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาไม่เหมือนใครที่เขาเคยเจอมาก่อน”

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้กำกับและเขียนบทบอกว่ามันมีความสำคัญอย่างที่สุดสำหรับพระเอกของหนังเขย่าขวัญเรื่องนี้ ที่อย่าทำอะไรที่คนดูจะไม่ทำ “ผมเกลียดมากเวลาเป็นแบบนั้นในหนัง” พีเลหัวเราะ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังเขย่าขวัญ ตอนที่คุณอยากให้ใครสักคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา, โทรไปหาตำรวจ และออกไปจากบ้านหลังนั้น นั่นคือสิ่งที่ผมยอมให้คริสเป็น คือเป็นมนุษย์จริงๆ, ฉลาด และคิดแบบมีเหตุมีผล เพราะมันได้อย่างใจมาก”

หนังเรื่อง Get Out ทักทายคนดูด้วยสิ่งกระตุ้นที่มากกว่าความบันเทิงธรรมดา “หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหลายอย่าง มันบอกเล่าเกี่ยวกับวิธีที่อเมริการับมือกับเรื่องสีผิว และความคิดที่ว่าการเหยียดผิวเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย เป็นปีศาจของอเมริกา มันยังเกี่ยวกับความคิดของการไม่สนใจ และความคิดที่ว่า ถ้าเรายอมให้ตัวเองทำแบบนั้น มนุษย์อาจจะยืนดูเฉย ในขณะที่ความโหดร้ายเกิดขึ้น” เขารู้สึกว่าสำคัญมากที่จะเจาะลึกลงไปในหนังแนวนี้ และถกกันในเรื่องที่ว่าเชื้อชาติจะมีผลกระทบต่อความสยองขวัญอย่างไร “มันเป็นส่วนสำคัญของการพูดคุยกันครั้งนี้”

ในขณะที่หลายคนคงคาดไว้แล้ว ว่าจะได้เห็นการรับหน้าที่หลายอย่าง เพื่อทำให้ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาเป็นหนังตลกเบาสมอง  แต่พีเลรู้ว่าเขาต้องการให้ Get Out เป็นผลงานนำร่องของเขาเข้าสู่งานกำกับ  “การเขียนบทและกำกับด้วย มันง่ายกว่าการไม่ทำทั้งสองอย่าง  ความสวยงามคือการที่มันทำคนละเวลากัน  ดังนั้นหน้าที่ของคุณจึงไม่ทับซ้อนกัน มันเป็นข้อได้เปรียบที่เยี่ยมมากที่รู้สึกมั่นใจเวลาจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างในระหว่างการถ่ายทำ และรู้ว่าคุณไม่ได้พลาดอะไรที่คนเขียนบทตั้งใจให้มี”

เพื่อช่วยให้เขานำบทภาพยนตร์มาสู่จอภาพยนตร์ พีเลและผู้อำนวยการสร้างมากประสบการณ์อย่างฌอน แม็คคิททริค และเอ็ดเวิร์ด เอช. แฮมม์ จูเนียร์ ที่เคยให้คำแนะนำนักแสดงหลายคนในการกำกับหนังครั้งแรกของพวกเขา รวมทั้งเจสัน เบทแมน ใน Bad Words   หันไปหาผู้อำนวยการสร้างผู้ชำนาญการอย่างเจสัน บลัม ที่สร้างหนังแนวนี้ขึ้นในรูปแบบใหม่ตั้งแต่เขาดูแลการสร้างและทำให้ Paranormal Activity ประสบความสำเร็จในระดับที่เหลือเชื่อ   ผลงานล่าสุดของเขา คือ Split ของผู้กำกับ/เขียนบทและอำนวยการสร้าง เอ็ม. ไนท์ ชามาลาน  ครองอันดับ 1 ในอันดับหนังทำเงินของอเมริกานานถึงสามสัปดาห์  และสัญญาการจัดจำหน่ายที่บลัมทำกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ก็ช่วยให้หนังของพีเลได้รับโอกาสมากขึ้นในการจัดจำหน่าย

บลัมเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาอยากทำงานกับพีเลในหนังเรื่องนี้ว่า “จอร์แดนเป็นส่วนผสมที่ไม่เหมือนใครของคนที่มีความสามารถอย่างน่าทึ่งและการทำงานร่วมกับคนอื่น ผมดูหนังน่ากลัวทุกเรื่อง และอ่านบทหนังน่ากลัวทุกบท แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน สำหรับการที่จอร์แดนเปลี่ยนแปลงมาเป็นอีกแนวหนึ่ง ผมเชื่อว่ามีความคล้ายกันหลายอย่างระหว่างหนังตลกและหนังสยองขวัญ มันเป็นหนังสองแนวที่คนดูมีปฏิกิริยาตอบรับทางกายขณะดูในโรง จังหวะของการปล่อยมุกตลกและความน่ากลัว รวมทั้งวิธีการที่คุณสร้างอารมณ์ทั้งสองแบบในหนัง มันก็คล้ายกันมาก จากเรื่องนั้นรวมกับวิธีที่จอร์แดนพูดถึง Get Out ทำให้ผมมั่นใจที่จะลองเสี่ยงกับหนังเรื่องนี้ดู”

แม็คคิททริครู้จักกับผู้กำกับและเขียนบทจอร์แดน พีเลครั้งแรกผ่านทางเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักทั้งสองฝ่าย “ผมต้องขอบคุณคีแนน-ไมเคิล คีย์ ที่เป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักกับจอร์แดน หลักๆเลยเป็นเพราะจอร์แดนหลงใหลหนังแนวสยองขวัญ  เขาขายไอเดียหนังเรื่อง Get Out กับผม และผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน  ผมพูดขึ้นทันทีว่า “เราต้องทำหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน” 

แม็คคิททริค ซึ่งเริ่มต้นในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ด้วยการสร้างหนังคัลต์ขึ้นหิ้ง เรื่อง Donnie Darko  ยิ่งกว่าประทับใจกับความสามารถที่พัฒนาไปอย่างเร็วในงานกำกับที่เขาพบในตัวพีเล “มันเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่สุดที่ผมเคยมี  จอร์แดนเป็นคนทำงานที่ทุ่มเทอย่างเหลือเชื่อ และรู้อย่างแน่ชัดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ หนังตลกและหนังสยองขวัญเป็นเหมือนญาติใกล้ชิดกันที่เขาช่ำชองกับมัน ก่อนที่จะก้าวเข้ามาด้วยซ้ำ  เขาศึกษาหนังแนวสยองขวัญมาทั้งชีวิตเขา” 

บลัมเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าเขามักจะถูกดึงดูดโดยหนังที่มีอะไรมากกว่าการเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง “Get Out ให้ความตื่นเต้นและความกลัวทุกอย่างของหนังเขย่าขวัญชั้นดีแก่คุณ  แต่หนังมีมากกว่านั้น   มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่เราทำในหนังเรื่อง The Purge ซึ่งเป็นหนังแฟรนไชส์แนวน่ากลัว, เขย่าขวัญ, แอ็คชั่น  แต่ก็เป็นหนังที่พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสังคมของเราเช่นกัน Get Out ได้ผลในแบบที่คล้ายกัน ตรงที่มันมีให้ทุกอย่างที่คุณต้องการจากหนังเยี่ยมๆแนวนี้สักเรื่อง แต่มันก็ยังพูดหลายอย่างเกี่ยวกับโลกด้วย จอร์แดนคิดวิธีที่น่าทึ่งมากในการถ่ายทอดความคิดออกมาและพูดเกี่ยวกับสีผิว แล้วก็พามันขึ้นไปถึงระดับที่เป็นความแปลก เรื่องราวของหนังตบตาอย่างมาก เพราะคุณถูกทำให้เชื่อว่าจะได้เห็นเหตุการณ์หลายอย่างค่อยๆเปิดเผยออกมาในแบบที่คุณคุ้นเคย แต่ที่จริง มันถูกเปิดเผยออกมาในแบบตรงกันข้ามเลยทีเดียว”
« Last Edit: March 19, 2017, 08:44:00 PM by happy »

happy on March 19, 2017, 08:51:47 PM



You’ve Been Chosen:คุณถูกเลือก
การคัดเลือกผู้แสดง

ในการสร้างความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของ Get Out  พีเลขยายขอบเขตออกไปในวงกว้างเพื่อหาผู้แสดงของเขา ตั้งแต่นักแสดงที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ จนถึงนักแสดงหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มก้าวเข้าวงการ สำหรับพีเล ประสบการณ์ทั้งหมดของเขาในฐานะนักแสดง กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากเมื่อเขากำกับนักแสดงของเขา “จอร์แดนทำงานอยู่หน้ากล้องมาหลายปี จนเข้าใจว่านักแสดงกำลังเจอกับอะไร เขาสามารถทำให้นักแสดงรู้สึกผ่อนคลาย เขาดูแลได้เต็มที่และเข้าใจสิ่งที่ตัวละครทุกตัวเป็น เพราะเขาเป็นคนสร้างตัวละครเหล่านั้นขึ้นมา นักแสดงแต่ละคนสามารถนำมุมมองที่ต่างออกไปมาใช้ในบทที่พวกเขาแสดง ซึ่งจอร์แดนสนับสนุนและและใส่เพิ่มเข้าไป”

ตัวละครที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องคือคริส วอชิงตัน ช่างภาพหนุ่มไฟแรงและศิลปินที่โรสหลงรัก พีเลบอกว่าตัวละครเอกของเขามีอดีตที่ซับซ้อน “คริสเป็นคนที่ฉลาดมากที่เคยมีบาดแผลในใจ และถ่ายทอดความเจ็บปวดของเขาผ่านทางศิลปะ”

สำหรับพีเล การคัดเลือกนักแสดงที่สามารถแสดงความรู้สึกสับสนที่คริสมีออกมาได้อย่างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่เป็นอุปาทานของเขา ว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างไรจากครอบครัวคนขาว “ปัจจัยที่ทำให้คริสประหม่าที่สุด คือความจริงที่ว่าโรส ไม่ได้บอกพ่อแม่ไว้ก่อนว่าเขาผิวดำ เขาคาดไว้ล่วงหน้าว่าจะมีสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วน ผมอยากพูดว่าคริส “ตระหนักรู้”  เขาอยู่ในห้วงของความรัก แต่เขาก็รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเปิดใจ”

คริสเป็นตัวละครที่ต้องแสดงโดยนักแสดงที่สามารถคงความสมดุลระหว่างการเป็นสมาชิกใหม่ที่เป็นที่ยอมรับสำหรับครอบครัวอาร์มิเทจ และการเป็นคนนอกได้อย่างน่าเชื่อถือ ทีมผู้สร้างได้พบพระเอกของพวกเขาในตัวนักแสดงชาวอังกฤษ แดเนียล คาลูยา ผู้กำกับพีเลชื่นชมเขาว่า “แดเนียลเป็นดาราอย่างแท้จริง เขามีคุณสมบัติของคนที่คนอื่นสามารถเข้าใจและเห็นใจ ซึ่งส่งต่อถึงกันได้ และเขามีความสามารถในการมีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน กับโมเมนต์นั้น ซึ่งนั่นเป็นความเชี่ยวชาญระดับสุดยอดจริงๆ และผมชอบเขามากจากเรื่อง Black Mirror และ Sicario  เขาสามารถแบกหนังได้ทั้งเรื่อง”   

ในขณะที่คริสพยายามจะวางความสงสัยของเขาไว้ และสนุกกับช่วงเวลาในวันสุดสัปดาห์  เขาก็เริ่มรู้สึกว่าเขาควรจะไว้ใจสัญชาตญาณของตัวเองเกี่ยวกับครอบครัวอาร์มิเทจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ของโรส คือมิสซี จิตแพทย์ที่ยืนยันว่าแฟนหนุ่มของลูกสาวควรจะลองวิธีการบำบัดที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ  ถึงแม้คริสอยากเลิกสูบบุหรี่ เขาก็ไม่รีบร้อน แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งคุณหมอคนดีในการใช้วิธีของเธอ  “คริสมองว่ามิสซีเป็นคนเอาจริงเอาจัง  และเป็นผู้หญิงที่แข็งกร้าวที่ได้ในสิ่งที่เธอต้องการโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม  เขาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องของเธอตอนกลางดึก และถูกสะกดจิต”   

เหตุผลที่โรสเลือกสุดสัปดาห์นี้ในการพาแฟนหนุ่มไปบ้านพ่อแม่ คือเพื่อฉลองประเพณีปาร์ตี้ในสวนประจำปีของคุณปู่คุณย่าที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอ การมารวมตัวกันของเพื่อนๆและญาติๆเพื่อเป็นเกียรติแก่หัวหน้าครอบครัว ตอนแรกทำให้คริสรู้สึกอบอุ่นใจ เพราะแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก และต้องดูแลตัวเองมาเกือบตลอดชีวิต คาลูยาพูดถึงฉากนี้ว่า “ส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้ เกี่ยวกับการคาดคะเนว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น คริสสังเกตว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติในงานปาร์ตี้ และรู้สึกได้ถึงการเหยียดผิวอย่างรุนแรงที่ปกปิดไว้ เขามีปฏิกิริยาซึ่งพิสูจน์ในทันทีว่าสิ่งแวดล้อมของที่นี่ไม่ใช่สำหรับเขา และเขาเตรียมตัวจะกลับ เขารู้ว่าเขาไม่เข้าพวก และรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้”

พีเลเขียนให้ละครโรสเป็นแฟนสาวผู้สมบูรณ์แบบสำหรับพระเอกในเรื่อง แต่จริงๆแล้ว เธอขายหน้าจากพฤติกรรมที่ครอบครัวของเธอมีต่อคริสพอๆกับที่เขารู้สึกอับอายในเรื่องนี้ “ส่วนที่สำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับหนังเรื่องนี้ คือมันเป็นหนังรัก  นี่คือคู่รักที่เรากำลังเอาใจช่วย เธอไม่ได้สมบูรณ์แบบ  เพราะมีปัจจัยหลายอย่างในความสัมพันธ์ต่างสีผิวที่เธอก็เริ่มเข้าใจว่าปัญหามันมีอยู่เมื่อหนังดำเนินเรื่องไป แต่เธอพยายามเข้าใจสิ่งที่คริสกำลังเผชิญ เธอเป็นตัวละครที่ให้กำลังใจ, เข้าใจ  ตลกและฉลาด”

ทีมผู้สร้างเลือกอัลลิสัน วิลเลียมส์สำหรับบทโรส  การแสดงอย่างโดดเด่นของเธอในซีรีส์ของเอชบีโอ เรื่อง Girls และการทำงานในละครเพลง ทำให้ทีมงานสนใจเธอ  สำหรับบลัม นี่คือโอกาสในการได้ทำงานกับเพื่อนรัก  “ผมเป็นเพื่อนกับอัลลิสันมานานแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสที่เจ๋งมากๆ ที่จะได้ทำงานกับเธอในที่สุด  เธอทำหน้าที่ได้อย่างอย่างยอดเยี่ยมมาก”

พีเลพูดถึงเธอว่า “อัลลิสันให้ความสบายใจและความรัก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้  เธอให้บางอย่างกับเราที่ทำให้เอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของพวกเขา” แม็คคิททริคเสริมว่า “โรสมีลักษณะแบบเด็กสาวข้างบ้าน ธรรมดาและเป็นกันเอง เป็นคนหัวใหม่มาก, ใจกว้าง และแสดงความรัก เธอมีเงื่อนไขของเธอเองเกี่ยวกับสิ่งที่พ่อแม่จะคิดเกี่ยวกับแฟนหนุ่มผิวดำของเธอ แต่คุณไม่เคยรู้สึกว่าเธอเข้าข้างครอบครัวในสิ่งที่อาจจะผิด คุณเชื่อว่าเธออยู่ข้างเดียวกับคริสเสมอ และรักเขาจริงๆ”

นักแสดงสาวพอใจกับการรับบทเป็นหญิงสาวที่เจตนาที่แท้จริงของเธอถูกซ่อนไว้ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอก “โรสพาแฟนหนุ่มผิวสีของเธอมาบ้านเพื่อพบกับครอบครัวของเธอซึ่งเป็นคนผิวขาว  และมีบางอย่างที่ดูไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกที่พวกเขามาถึง  โรสต้องอยู่ตรงกลางระหว่างครอบครัวของเธอกับแฟน  แต่เธอก็แน่วแน่อยู่กับคริส  เธอยินดีจะทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมกับครอบครัว เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขา”

วิลเลียมส์ชื่นชมที่พีเลผลักดันเรื่องราวออกไปนอกรูปแบบเดิมๆที่คุ้นเคยของหนังสยองขวัญ และบอกความรู้สึกของทีมนักแสดงเกี่ยวกับการทำงานกับเขาในกองถ่ายว่า “ถือเป็นโบนัสที่คนเขียนบทเป็นผู้กำกับของหนังด้วย มันทำให้มีความต่อเนื่องของภาพ, ของความคิด และจุดมุ่งหมายในการนำเสนอ”

นักแสดงทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในฉากสำคัญๆหลายฉากของ Get Out และเคมีของทั้งคู่และความสามารถทางการแสดงก็ได้รับคำชื่นชมจากทีมผู้สร้าง แม็คคิททริคพูดถึงพวกเขาว่า “อัลลิสันเป็นคนแรกที่เราเลือกมา ถึงแม้แดเนียลจะไล่ตามหนังเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว ทั้งคู่เป็นกำลังสำคัญของหนัง  อัลลิสันเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งมาก ทั้งในและนอกจอ เธอเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ส่วนแดเนียลเป็นนักแสดงที่มีความพิเศษ ที่แสดงด้วยร่างกายทั้งหมดของเขา ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน เขาใช้พลังอย่างมากถึงขนาดที่เขาหมดแรงจริงๆในแต่ละเทค ความเอาจริงเอาจังของเขาพยุงหนังไว้ตลอดทั้งเรื่อง เพราะคนดูต้องเข้าใจสถานการณ์และความรู้สึกของคริส ในฐานะคนที่เป็นคนธรรมดาทั่วๆไป”

สำหรับการคัดเลือกนักแสดงที่จะมารับบทเป็นพ่อแม่ของโรส คือดีน ศัลยแพทย์ที่เกษียณแล้ว และมิสซี ที่เป็นจิตแพทย์  ทีมงานเลือกสองนักแสดงที่ผ่านงานแสดงแนวคอมเมดี้มาตลอดอาชีพการแสดงของพวกเขา  แคเธอรีน คีเนอร์นักแสดงที่เข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้ง จาก Being John Malkovich และ Capote  และแบรดลีย์ วิทฟอร์ด นักแสดงที่เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสามครั้ง  และเป็นที่ชื่นชอบของคนดู จาก The West Wing และ Transparent เช่นเดียวกับใน The Cabin in the Woods   และทั้งคู่ก็ให้การแสดงที่ไม่เหมือนตัวร้ายในแบบเดิมๆที่คุ้นเคยกัน 

สิ่งที่บลัมชื่นชมเกี่ยวกับหัวหน้าครอบครัวทั้งสองคนของบ้านอาร์มิเทจ คือการที่พวกเขาทำให้คนรวยที่มีความคิดแบบเสรีนิยมที่พีเลวิพากษ์เอาไว้ในบทหนังของเขา มีตัวตนจริงๆ ขึ้นมา  ในขณะที่โรสไม่ได้บอกพ่อแม่ว่าคริสเป็นคนผิวสี  เธอก็แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่มีปัญหากับการที่เขาสีผิวอื่น  แต่สิ่งที่คริสได้พบ ห่างไกลจากนั้นมาก  “พ่อแม่เริ่มพูดสิ่งต่างๆที่ใกล้จะถึงขอบของการเหยียดสีผิว  พวกเขาทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด  พวกเขาถามคริสว่าเขาชอบกอล์ฟมั้ย แล้วก็บอกเขาว่าพวกเขาเป็นแฟนเหนียวแน่นของไทเกอร์ วูดส์   พวกเขาผิวขาว เป็นเศรษฐีที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยม อ่อนไหวมากเกี่ยวกับเรื่องสีผิว  แต่ที่จริงพวกเป็นตรงกันข้ามเลยทีเดียว”

เช่นเดียวกับวิลเลียมส์ วิทฟอร์ดตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้  “ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้คนหนึ่งของจอร์แดน ขนาดที่ว่าให้ผมทำงานดูแลสนามให้เขาผมก็ยินดี”  ในส่วนที่เป็นความช็อคของหนัง วิทฟอร์ดบอกว่า  “ผมคิดว่าคนดูจะมีปฏิกิริยาที่ไม่ธรรมดาต่อเรื่องนี้  มันพลิกความคิดของคุณเกี่ยวกับหนังแนวนี้แบบกลับหัวกลับหางเลย”

พีเลพูดถึงตัวละครของพวกเขาและการทำงานของนักแสดงทั้งสองคน “แบรดลีย์แสดงเป็นดีน อาร์มิเทจ  พ่อใจดีที่ช่วยลดความโกรธความสงสัย และเป็นพ่อที่ค่อนข้างติงต๊อง  แต่มันกลับกลายเป็นว่าเขามีอะไรมากกว่าที่เราเห็น   แคเธอรีนแสดงได้งดงามมากในบทมิสซี ที่สะกดจิตคริส และให้ประสบการณ์ที่ออกจากพื้นที่ที่เขาสบายใจ  เธอเป็นแม่ยายที่สมบูรณ์แบบในหนังสือ และเมื่อหนังเดินเรื่องไปเรื่อยๆ คุณก็จะตระหนักว่า  “โอ๊ะ มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นที่นี่”

สมาชิกคนสุดท้ายในครอบครัวของโรส คือเจเรมีน้องชายของเธอ ซึ่งอยากยั่วโทละคริส พอๆกับการอยากทำความรู้จักกับเขา  รับบทโดยเคเล็บ แลนดรี โจนส์ ที่เริ่มเป็นที่รู้จักของคนดูครั้งแรกด้วยผลงานทางโทรทัศน์เรื่อง Friday Night Lights ก่อนจะโด่งดังในบทแบนชีที่เป็นที่จดจำ ใน X-Men: First Class   โจนส์ทำให้ตัวละครของเขามีความน่าขนลุกที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งทำให้คริสหงุดหงิดตั้งแต่นาทีแรกที่เจอเขา  พีเลชมเขาว่า “เคเล็บถ่ายทอดการคุกคามของเขาได้น่ากลัว  แต่การแสดงของเขาก็สนุกและดึงดูดสายตามาก”
   
ในบทคนทำงานบ้านที่อยู่กับครอบครัวอาร์มิเทจ เบ็ตตี้ เกเบรียลจาก The Purge: Election Year และ Good Girls Revolt ของช่องแอเมซอน รับบทเป็นจอร์จินา แม่บ้านของครอบครัว และมาร์คัส เฮนเดอร์สัน จาก Django Unchained และ Pete’s Dragon เป็นวอลเทอร์ คนดูแลสนาม ทั้งคู่ดูเหมือนล่องลอยไปไกล ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งในสนามในตอนกลางดึกด้วยดวงตาไร้แววของวอลเทอร์ หรือการจ้องมองกระจกด้วยสายตาว่างเปล่าของจอร์จินา

คริสได้รับสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เขาคาดไว้ กับคนผิวสีทุกคนที่เขาได้พบในระว่างไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ครั้งนี้  คริสตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขารู้สึกอึดอัดพอๆกับคนดู “ที่บ้านนี้ คล้ายๆว่าพวกเขามีธรรมเนียมในการใช้คนอเมริกันผิวดำเป็นคนรับใช้ และคริสก็ถูกพามาบ้านในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว คริสไม่ได้รับความเป็นมิตรในฐานะคนอเมริกันผิวดำเหมือนกันอย่างที่เขาหวังจะได้จากจอร์จินาและวอลเทอร์ นั่นทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกมาก”

ในขณะที่การจัดการต้อนรับของครอบครัวอาร์มิเทจก็ดูปกติธรรมดา แต่แขกที่มาพักในช่วงสุดสัปดาห์อย่างคริสกลับรู้สึกอึดอัด “มันประหลาดมากสำหรับคริส  ครอบครัวของโรสผิวขาว และคนรับใช้ที่ช่วยทำงานเป็นคนผิวดำ  นั่นเป็นสิ่งที่ดูแปลกๆสำหรับเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขามาจากนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมทันสมัยที่สุดเมืองหนึ่งของโลก” 

คริสพบว่าจอร์จินามักจะจ้องมองเขา หรือตัวเธอเองบ่อยครั้ง “จอร์จินารักตัวเอง  เธอชอบหน้าตาของเธอ  เลยดูหน้าตัวเองบ่อยที่สุดที่เธอจะทำได้”

ตัวละครตัวนี้เริ่มแสดงตัวตนที่แท้จริงของเธอในงานรวมตัวกันประจำปีของครอบครัวอาร์มิเทจ “งานปาร์ตี้เป็นประเพณีของครอบครัว เพื่อเป็นเกียรติแก่ปู่กับย่าของโรส และเพื่อให้ความทรงจำที่มีต่อพวกเขายังคงอยู่  มันเป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับคริส และทุกคนก็สนใจการอยู่ที่นั่นของเขาจริงๆ บางทีอาจจะสนใจมากเกินไป”

คริสมีความรู้สึกว่าคนดูแลสนามปกป้องความลับของครอบครัวอาร์มิเทจมากพอๆกับจอร์จินา เฮนเดอร์สันพูดถึงตัวละครของเขาว่า “วอลเทอร์เป็นคนดูแลสนามของครอบครัวอาร์มิเทจ และเขาชอบครอบครัวนี้มาก มีบางอย่างในตัวเขาที่ไม่ปกติ วิธีที่เขามองสิ่งต่างๆเหมือนเขามาจากที่อื่น” เขาชอบที่เรื่องราวของหนังถูกปิดบังไว้ในเงามืด จนกระทั่งมันระเบิดออกมาทั้งหมด “ตัวละครของผมซ่อนความลับบางอย่างไว้ จอร์แดนให้โน้ตผมแผ่นหนึ่งในกองถ่าย ซึ่งเขียนว่า ‘คุณมีความลับที่คุณอยากบอกมาก แต่ไม่สามารถบอกได้’  ซึ่งทำให้ความเป็นเด็กห้าขวบในตัวผมสว่างขึ้น มันทำให้การถ่ายทำหนังเรื่องนี้สนุกมาก”

จอร์จินาและวอลเทอร์ไม่ใช่อเมริกันผิวสีเพียงสองคนที่คริสได้เจอ ในการเดินทางไปอยู่กลางวงล้อมของคนผิวขาวในช่วงสุดสัปดาห์ ลาคีธ สแตนฟิลด์ ที่ขโมยซีนจากบทสนูป ด็อกก์ ในหนังฮิตของปี 2015 เรื่อง Straight Outta Compton ได้รับเลือกให้มารับบทโลแกน คิง ชายหนุ่มที่ดูประหลาดในชุดเสื้อผ้าที่ล้าสมัย พอๆกับการพูดและท่าทางของเขา  การเป็นแขกอีกเพียงคนเดียวที่เป็นคนผิวสี ทำให้โลแกนดูเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางกับภรรยาผิวขาวที่อายุมากกว่าของเขา “โลแกนสนิทสนมกับครอบครัวของโรส  เขารู้จักครอบครัวนี้มาหลายปี และดีใจที่ได้มาฉลองกับพวกเขาที่งานปาร์ตี้”

เช่นเดียวกับเพื่อนผิวสีของเขา โลแกนไม่ได้เป็นใครหรืออะไรที่เขาดูเหมือนเป็นแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่แสงแฟลชจากโทรศัพท์มือถือของคริสทำให้เขามีอาการชักกระตุก เขาวิ่งเข้ามาหาคริสและร้องตะโกนใส่เขาให้ออกไปจากบ้าน “เขาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวในตอนหนึ่งของหนัง  ระหว่างการเปลี่ยนแปลงนั้น เขากลายเป็นคนละคนกับที่พวกเขาคิดว่าตัวเองรู้จัก”
 
แม็คคิททริคอธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทันทีว่า  ”แสงแฟลชจากโทรศัพท์ของคริสตอนที่เขาถ่ายรูปโลแกน กระตุ้นบางอย่างในตัวโลแกน ทำให้เขาเข้ามาทำร้ายคริส  เขามีเลือดกำเดาไหลที่จมูก และเรารู้ว่านั่นคือสิ่งที่ร้ายแรง  มันทำให้มิสซี ซึ่งเป็นจิตแพทย์ พาโลแกนกลับไปเป็นแบบที่พวกเขาต้องการให้เป็น”

พีเลภูมิใจกับผลงานของทีมนักแสดงสมทบหนุ่มสาวของเขามาก  “เบ็ตตี้แสดงเป็นจอร์จินาได้เฉียบขาดมาก  เช่นเดียวกับมาร์คัสในบทวอลเทอร์ คนดูแลสนาม  ลาคีธรับบทเป็นตัวละครที่มีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร

หนึ่งในแขกคนสำคัญที่ดูแปลกๆของปาร์ตี้ในสวนประจำปี คือจิม ฮัดสัน  รับบทโดยสตีเวน รูท ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการพากย์เสียงในงานหลายชิ้น  รวมทั้งงานแสดงในหนังตลกหลายเรื่อง เช่น Dodgeball และ Office Space  และในงานแนวดราม่าอย่าง Boardwalk Empire และ Trumbo “ตัวละครของผมตาบอด และอาจจะเป็นคนที่คุณไม่อยากเจอะเจอ หรือไม่เขาก็อาจจะเป็นคนดีคนหนึ่งจากในเมือง”

สิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับทีมนักแสดง เช่นเดียวกับสำหรับพีเลและทีมผู้อำนวยการสร้าง คือการไม่เปิดเผยความลับของเรื่องราวใน Get Out ให้คนดูรู้ สตีเวน รูทบอกแบบไม่อยากเปิดเผยรายละเอียดมากนักว่า “คริสเป็นหนุ่มรูปหล่อ และทุกคนอยากเจอเขา แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเหตุผลเดียวกัน ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่มันดูน่าจะเป็น รวมทั้งงานปาร์ตี้และแขกในงาน คนดูจะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นอยู่พักใหญ่”

บทอัศวินขี่ม้าขาวของหนัง มาในรูปของเจ้าหน้าที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยด้านการขนส่ง ผู้ชวนให้รำคาญ ที่บังเอิญเป็นเพื่อนซี้ของคริสที่บ้าน คือร็อด วิลเลียมส์ รับบทโดยมิลตัน “ลิล เรล” ฮาเวอรี นักแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนที่มีผลงานในทีวีซีรีส์หลายเรื่อง เช่น The Carmichael Show  ร็อดเป็นเสียงของคนดู “ร็อดเป็นตัวละครที่ให้เสียงกับเราในหนังสยองขวัญ ที่ทุกคนจะตะโกนว่า “ออกไป ออกไปจากบ้านหลังนั้น  อย่าหันกลับไป อย่าเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้า เขาโทรศัพท์หาคริสหลายครั้งตลอดช่วงที่คริสอยู่ที่บ้านของครอบครัวโรส ในขณะเดียวกัน ร็อดก็ปะติดปะต่อได้บางส่วนว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาก็ทำอะไรหลายอย่างผิดพลาด เขาเป็นตัวละครตลกของเรา และเป็นเสียงของเหตุผลไปด้วยพร้อมกัน”

happy on March 19, 2017, 08:57:34 PM





Something’s Weird: บางอย่างที่ประหลาด
งานออกแบบความเขย่าขวัญ

โปรดักชั่นของ Get Out  ทำกันที่เมืองโมบิล, รัฐแอลาบามา  และพีเลก็จัดทีมงานชุดใหญ่ นำโดยรัสตี สมิธ คนออกแบบงานสร้าง, โทบี โอลิเวอร์ ผู้กำกับภาพ, เกรเกอรี พล็อตคิน คนตัดต่อ, เนดีน เฮเดอร์ส คนออกแบบเสื้อผ้า , คริสโตเฟอร์ มอลเลียร์ ผู้ดูแลฝ่ายดนตรี และไมเคิล เอเบลส์ คนทำดนตรีประกอบ หนังถ่ายทำตอนสภาพอากาศดีในระหว่างช่วงที่มีฝน และพยายามทำให้สถานที่แห้งให้มากที่สุด 
   
ในขณะที่ทีมงานมีความท้าทายหลายอย่างรออยู่ เช่นการถ่ายทำตามมุมมืดต่างๆในบ้านของครอบครัวอาร์มิเทจตอนกลางดึก  แต่บางทีฉากที่มีความซับซ้อนที่สุด อาจจะเป็นฉากปาร์ตี้ในสวน ที่โลแกนเข้ามาทำร้ายคริส วิทฟอร์ดพูดถึงนัยที่ซ่อนอยู่ของฉากนี้ว่า “การประมูลนี้เป็นการกุศลที่สำคัญที่สุด มีการกุศลมากมายที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ความยากลำบากต่างๆในโลก  แต่ที่เรากำลังช่วยเหลืออยู่นี้เป็นบางสิ่งที่เอาชนะการเจ็บไข้ได้ป่วย”

เฮเดอร์สออกแบบเสื้อผ้าสำหรับแขกในงานปาร์ตี้อย่างหรูหรา สมฐานะของการเป็นคนในสังคมชั้นสูงฐานะดีทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค สมิธสร้างฉากที่ออกแบบเพื่อให้แขกทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย  โดยมีเพียงคนในปาร์ตี้ที่แน่ใจว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับเจ้าภาพที่แปลกๆของเขา ภาพแต่ละช็อตในฉากนี้ของโอลิเวเอร์ตั้งใจให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นเพิ่มขึ้นสำหรับคริส ถึงแม้ทุกคนจะมีมารยาทและทำท่าทางอ่อนหวานกับเขา แต่ก็มีอันตรายซ่อนอยู่ที่ภายนอกของทุกภาพ จากภาพโคลสอัพใบหน้าของแขกในงานที่จ้องมองมา ตอนที่พวกเขาคิดว่าคริสไม่ได้มองอยู่

พีเลบอกว่า “มันเป็นฉากที่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของสิ่งที่หนังเรื่องนี้เป็น เป็นทั้งฉากที่น่ากลัว แต่ก็ค่อนข้างตลกด้วย  ความรู้สึกโดดเดี่ยวของคริสกับการเป็นคนผิวดำเพียงคนเดียวในปาร์ตี้แสดงออกอย่างชัดเจน ทุกคนที่พูดกับโรสและคริสจะยกเอาเรื่องความเกี่ยวข้องของพวกเขากับวัฒนธรรมคนอเมริกันผิวสีมาพูดถึง”

ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้หลายคนรู้สึกเห็นใจ พีเลบอกว่า “สิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิตจริงบ่อยๆ ฉากนั้นเป็นสัญลักษณ์สำหรับความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นลึกลงไป  ผ่านไปสักพัก คริสเห็นโลแกนที่งานปาร์ตี้ เขาดีใจมากที่เห็นคนผิวดำอีกคน แต่พอคริสเดินไปทักทาย มันกลายเป็นว่าโลแกนไม่ได้เจอประสบการณ์แบบเดียวกับที่คริสเจอ เขาอยู่ในสังคมเศรษฐีชานเมืองที่เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับงานปาร์ตี้ มากกว่ากับคริส”


****

เมื่อหนังปิดกล้อง ทีมงานได้พูดถึงสิ่งที่พวกเขาหวังสำหรับ Get Out ผู้อำนวยการสร้าง ฌอน แม็คคิททริค บอกว่า “สิ่งสำคัญที่สุด ผมอยากให้คนดูรู้สึกเหมือนพวกเขาผ่านการเดินทางที่สนุก หลังจากนั้นผมก็อยากให้พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับ การวิพากษ์สังคมในหนังเรื่องนี้  ซึ่งเป็นอคติตามธรรมชาติที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด จากที่ใดก็ตามที่เราถูกเลี้ยงดูมา และจากใครก็ตามที่เลี้ยงดูเรามา”

สำหรับบลัม Get Out พิสูจน์ว่าเป็นแบบฝึกหัดที่ประสบความสำเร็จในการผสมผสานแนวของหนัง ซึ่งทำให้เกิดหนังแบบที่เขาชอบ “ในขณะที่หนังเรื่องนี้คือหนังแนวน่ากลัว ไม่ใช่แนวสยองขวัญปนตลก  แต่การมีความตลกอยู่ด้วยก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับหนังสยองขวัญ  มันทำให้ความน่ากลัวได้ผลมากขึ้นเมื่อคุณให้คนดูมีโอกาสได้หัวเราะบ้าง แบบนั้นทำให้พวกเขาลดการป้องกันตัวลง ดังนั้นตอนที่คุณทำให้คนดูตกใจ พวกเขาจะตกใจมากกว่าเดิม”
   
ในฐานะคนที่สร้างสรรค์โลกที่เราพูดถึง พีเลหวังให้คนดูสนุกไปกับหนังในหลายๆระดับอย่างที่หนังตั้งใจนำเสนอ เขาพูดปิดท้ายว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือผมอยากให้ความบันเทิงกับคนดูเสมอ ดังนั้นผมจึงหวังให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์นั้นในโรงหนัง Get Out เป็นประสบการณ์ที่เสียงดัง มันสนุก, น่ากลัว, และน่าตื่นเต้น และผมอยากให้คนดูหัวเราะ หลังจากนั้น ผมก็หวังว่าพวกเขาจะพูดคุยกันเกี่ยวกับเชื้อชาติ และหนังสยองขวัญ ที่พวกเขาไม่เคยพูดถึงมาก่อน”


****

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเสนอ ผลงานสร้างของบลูมเฮาส์และคิวซี เอนเตอร์เทนเมนต์  ร่วมกับมังกีพอว์ โปรดักชั่นส์  ภาพยนตร์ของจอร์แดน พีเล เรื่อง Get Out  นำแสดงโดยแดเนียล คาลูยา, อัลลิสัน วิลเลียมส์, แบรดลีย์ วิทฟอร์ด, เคเล็บ แลนดรี โจนส์, สตีเวน รูท, ลาคีธ สแตนฟิลด์ และแคเธอรีน คีเนอร์ คัดเลือกนักแสดงโดยเทอร์รี เทย์เลอร์,ซีเอสเอ  คริสโตเฟอร์ มอลเลียร์ดูแลด้านดนตรี, ไมเคิล เอเบลส์ทำดนตรีประกอบ, ออกแบบเสื้อผ้าโดยเนดีน เฮเดอร์ส, ตัดต่อโดยเกรเกอรี พล็อตคิน, ออกแบบงานสร้างโดยรัสตี สมิธ  กำกับภาพโดยโทบี โอลิเวอร์,เอเอสซี  และร่วมอำนวยการสร้างโดยบีทริตซ์ เซเควรา, มาร์เซ เอ. บราวน์, เจอราร์ด ดินาร์ดี  มีเรย์มอนด์ แมนส์ฟิลด์, คูเปอร์ ซามูเอลสัน, ฌอน เรดิค และจีเน็ตต์ วอลเทอร์โน เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร  Get Out อำนวยการสร้างโดยฌอน แม็คคิททริค, เจสัน บลัม, เอ็ดเวิร์ด เอช. แฮมม์ จูเนียร์ และจอร์แดน พีเล เขียนบทและกำกับโดยจอร์แดน พีเล © 2017 ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์  www.getoutfilm.com