MSN on January 11, 2017, 09:06:17 AM
“ทีดีอาร์ไอ” เปิดผลวิจัย “การลงทุนด้านสังคม” ชี้มาตรการด้านภาษี “เงินบริจาค” มีจุดอ่อน เสนอตั้ง “บอร์ดส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม” หนุน “องค์กรตัวกลาง” ภาคสังคมให้เข้มแข็ง



แถลงข่าวงานสัมมนา “ชวนสังคมร่วมลงทุน” พร้อมเปิดผลวิจัย “โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ”


นายสมเกียรติ  ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)


นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทยกล่าวถึงบทบาทขององค์กรตัวกลางที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและเชื่อมต่องานภาคสังคม


นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย นำเสนอผลลัพธ์ทางสังคมของกองทุนคนไทยใจดี


บรรยากาศงานแถลงข่าวงานสัมมนา “ชวนสังคมร่วมลงทุน” พร้อมเปิดผลวิจัย “โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ”


ภาพงานสัมมนา  (ซ้าย) ดร ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และขวา ดร ภาวิน ศิริประภานุกูล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ภาพงานเสวนาเรื่อง การลงทุนด้านสังคมของไทย: สถานะปัจจุบันและภาพในอนาคต


คุณวาทนันทน์ พีเทอร์สิค นำเสนอมุมมองตัวอย่างการดำเนินงานของภาคสังคมในต่างประเทศ


บรรยากาศงานเสวนา “ชวนสังคมร่วมลงทุน”



“ทีดีอาร์ไอ” เปิดผลวิจัย “โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ” พบแม้ประเทศไทยมีตัวเลขการบริจาคต่อปีโดยเฉลี่ย70,000 ล้านบาท และมีเงินอุดหนุนจากรัฐผ่าน 5 กองทุนด้านสังคมกว่า 400 ล้านบาท แต่มีปัญหาการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มากพอ จำเป็นต้องเร่งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมลงทุน แต่ติดปัญหาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคเงินเพื่อการกุศล  เสนอตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม” สนับสนุนองค์กรภาคสังคมที่ทำงานมุ่งเน้นผลลัพธ์  ด้านภาคสังคม “มูลนิธิเพื่อคนไทย” ย้ำถึงเวลาภาคสังคมต้องมองหาแหล่งทุนที่ยั่งยืน และทำงานเน้นสร้างความร่วมมือเพื่อหวังผลลัพธ์ ขณะที่ภาคตลาดทุน “บลจ.บัวหลวง” เชื่อมั่นทุกคนสามารถร่วมลงทุนทางสังคมได้

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยในงานสัมมนา “ชวนสังคมร่วมลงทุน” พร้อมเปิดผลวิจัย“โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ” โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อ 11 ม.ค. ว่าแม้ประเทศไทยจะมีเงินบริจาคเพื่อการกุศลโดยเฉลี่ยปีละ 70,000 ล้านบาท  นอกจากนั้น ยังมีงบประมาณจากรัฐสนับสนุนกองทุนด้านสังคม 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม กองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวืตคนพิการ กองทุนผุ้สูงอายุ และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ โดยในปีงบประมาณ 2559 มีจำนวน 453 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.02 ของงบประมาณทั้งหมด 2.72 ล้านบาท นั้น มีปัญหาการใช้ให้มีประสิทธิภาพยกตัวอย่าง กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ปี 2558 มีเงินส่งเข้ากองทุนฯตามพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้พิการ พ.ศ.2550 (ม. 34) จำนวน 2,485,268,259 บาท แต่จำนวนเงินที่ใช้จ่ายออกคิดเป็นร้อยละ 42 ของเงินที่ส่งเข้ากองทุน

ไม่เพียงเท่านั้น ลำพังเงินอุดหนุนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวย่อมไม่มากพอเมื่อเทียบกับขนาดของปัญหา จึงจำเป็นจะต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้ประชาชนสามารถเข้ามาลงทุนแก้ปัญหาสังคมได้  ยกตัวอย่าง ปัญหาการศึกษา มีเด็กด้อยโอกาสจำนวน 4.8 ล้านคนที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษาที่ผ่านมาสังคมไทยนิยมการบริจาคเพื่อการกุศล ซึ่งนับเป็นการลงทุนทางสังคมรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม  มาตรการด้านภาษี ยังมีข้อจำกัด กล่าวคือจะต้องบริจาคให้กับมูลนิธิที่กระทรวงการคลังประกาศให้เป็นองค์กรการกุศลสาธารณะ ตามมาตรา 47(7) เท่านั้นถึงจะได้รับการลดหย่อนภาษี ปัจจุบันมีทั้งหมด 935 แห่ง และการสนับสนุนในส่วนผู้บริจาค ถ้าเป็นบุคคลจะหักลดหย่อนภาษีได้ตามจ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ และถ้าเป็นนิติบุคคล สามารถหักได้ตามจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ  จึงไม่แปลกที่พบว่า มีมูลนิธิฯที่มีวัตถุประสงค์ให้ทุนศึกษาเพียงร้อยละ 14.64  หรือ 133 แห่งที่ผู้บริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้  ขณะที่ภาคเอกชน ตัวเลขบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีกิจกรรมซีเอสอาร์ด้านการศึกษาคิดเป็น ร้อยละ 22.27 จากทั้งหมด 642 องค์กร

ประธานทีดีอาร์ไอกล่าวว่า  มาตรการด้านภาษีนอกจากไม่สร้างแรงจูงใจสำหรับผู้บริจาคแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำหรับองค์กรภาคสังคม หรือผู้ให้บริการด้านสังคมซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเงินบริจาคไปใช้เป็นงบประมาณด้านบริหารจัดการและอัตรากำลังคน เพราะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้ ทำให้เสียโอกาสในการสรรหาว่าจ้างบุคคลากรที่มีคุณภาพมาร่วมงาน และหากมีค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการมากกว่าร้อยละ 40 ของงบประมาณดำเนินการในแต่ละปี ส่งผลให้มูลนิธิหรือองค์กรนั้นจะไม่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารรกุศล ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 531) 
โดยภาพรวมกล่าวได้ว่า ผู้กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังอาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นการลงทุนด้านสังคมและสองหน่วยงานมีบทบาทหลักในการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐบาล ซึ่งอาจเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้น จึงนำมาสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายให้มีการตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม” หรือ Social Investment Boardมีบทบาทให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ให้บริการทางสังคม ที่สามารถอ้างอิงผลลัพธ์ได้ โดยไม่จำกัดลักษณะองค์กรว่าเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ หรือกิจการเพื่อสังคม หรือมูลนิธิภายใต้การดำเนินงานของภาคเอกชน

“ผู้ให้บริการภาคสังคมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการฯชุดนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีในลักษณะเดียวกันกับองค์การการกุศลสาธารณะในปัจจุบัน เงื่อนไขสำคัญคือ จะต้องมีการจัดทำรายงานการเงินส่งทุกปี ซึ่งรายงานนั้นจะต้องสะท้อนให้เห็นได้ว่าได้บรรลุวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณะ และสร้างประโยชน์ที่วัดผลลัพธ์จับต้องได้” นายสมเกียรติกล่าวและว่า นอกจากนี้ยังผลวิจัยพบว่า ตัวแปรสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการลงทุนด้านสังคมให้เข้มแข็ง คือ องค์กรตัวกลางเพราะเป็นองค์กรที่มีเป้าหมายเสริมสร้างขีดความสามารถและสนับสนุนทรัพยากรให้ผู้ให้บริการทางสังคม

นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ให้บริการทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร หรือกิจการเพื่อสังคมจะต้องตื่นตัวที่จะมองหาแหล่งทุนที่ยั่งยืน มากกว่าการยึดแหล่งทุนแห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายถึงต้องมีความพร้อมที่จะเปิดการลงทุนจากประชาชนทั่วไปมากขึ้น ทั้งหมดนี้ต้องใช้การสร้างผลลัพธ์ทางสังคมมาเป็นเครื่องมือยืนยันความน่าเชื่อถือให้สังคมร่วมลงทุนไม่ว่าจะเป็นการบริจาคทุนเงินหรือทุนมนุษย์ อย่างการเชิญชวนอาสาสมัครผู้เชี่ยวชาญจากภาคธุรกิจมาแก้ปัญหาสังคม และเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ขนาดใหญ่ จำเป็นที่จะต้องเน้นทำงานแบบสร้างการมีส่วนร่วมกับองค์กรต่างๆ ปัจจุบันมีกลไกความร่วมมือเกิดขึ้นในสังคมมากมาย แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ใหม่ในระบบนิเวศงานพัฒนาความยั่งยืนไทย ที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ร่วมกันอีกระยะหนึ่ง

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ข้อเสนอของทีดีอาร์ไอ.จะช่วยยกระดับการพัฒนางานสังคมไปอีกขั้นหนึ่งที่เป็นการสร้างผลลัพธ์ทางสังคมที่จับต้องได้ ที่ผ่านมาบลจ.บัวหลวงได้ร่วมกับภาคสังคมริเริ่มก่อตั้ง “กองทุนรวมคนไทยใจดี” หรือ BKIND โดยลงทุนเฉพาะในบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และการต่อต้านคอร์รัปชัน (ESGC) และยังสนับสนุนเงินร้อยละ 0.8 ของผู้ลงทุน หรือร้อยละ 40 ของค่าบริหารจัดการกองทุน ไปพัฒนาโครงการเพื่อสังคมหรือองค์กรสาธาณประโยชน์ต่างๆ ปรากฏว่าปัจจุบัน สามารถสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม 32 โครงการ แก้ปัญหาสังคม 9 ประเด็น และมีผู้รับประโยชน์ทางตรง 13,843 คน หรือ 829,634 คนหากทุกโครงการดำเนินงานแล้วเสร็จ เหล่านี้ สะท้อนได้ว่าประชาชนทั่วไปหรือผู้ถือหน่วยก็สามารถเป็นนักลงทุนทางสังคมได้ และในอนาคตอันใกล้ เชื่อว่า ภาคตลาดทุนไทยจะมีปรากฏการณ์ใหม่ๆ เชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาเป็นนักลงทุนทางสังคม เพราะสิ่งนี้เป็นแนวโน้มใหม่ของโลกที่กำลังเกิดขึ้นและดีต่อสังคม .
« Last Edit: January 11, 2017, 10:44:41 PM by MSN »

MSN on January 11, 2017, 10:37:44 PM
เอกสารประกอบการแถลงข่าว งานสัมมนา  “ชวนสังคมร่วมลงทุน” และผลวิจัย“โครงการศึกษาการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภาคีสุขภาวะ” โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วันที่ 11 มกราคม 2560 ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอคองคอร์ด

หลักการและเหตุผล
แม้ประเทศไทยมีตัวเลขการบริจาคต่อปีโดยเฉลี่ย 70,000 ล้านบาท และมีเงินอุดหนุนจากรัฐบาลผ่าน5 กองทุนด้านสังคม ได้แก่ กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม กองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กองทุนผู้สูงอายุ และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับเด็กพิการ ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลในปีงบประมาณ 2559จำนวน 453 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.02 ของงบประมาณทั้งหมดจำนวน 2.72 ล้านล้านบาท นั้น ยังมีปัญหาการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มากพอเมื่อเทียบกับขนาดของปัญหา
ไม่เพียงเท่านั้น นิยาม “การลงทุนด้านสังคม” ของประเทศ ไม่ได้หมายความแค่ “ทุน” ที่หมายถึง “เงิน” แต่ยังหมายถึงทุนประเภทอื่น เช่น “ทุนมนุษย์” หรือ “ทุนความรู้” ตลอดจน “ทุนทางสังคม” หรือความสัมพันธ์ของการทำงานเชิงเครือข่ายของผู้เกี่ยวข้องสำคัญ (Stakeholders)ในระบบนิเวศการพัฒนาความยั่งยืนของสังคมไทย ซึ่งส่วนใหญ่การดำเนินงานของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังแยกส่วนขาดกระบวนการทำงานการแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกันอย่างเป็นระบบและขาดการมองระบบนิเวศที่เชื่อมร้อยภาพใหญ่ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ศึกษาและวิจัยรูปแบบ “การลงทุนเพื่อสังคม”ด้วยการวิเคราะห์ถึงอุปสงค์และอุปทาน การสร้างผลกระทบทางสังคม และความยั่งยืนของประชาชนที่ได้รับประโยชน์ หรือภาคสังคมที่ได้รับการสนับสนุนทุนให้เข้าไปทำงาน การติดตามและประเมินผลลัพธ์ทางสังคม ตลอดจนความร่วมมือระหว่าง ภาคการเงิน การลงทุน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ในการสร้างองค์ความรู้และต้นแบบการแก้ไขปัญหาสังคมและการลงทุนทางสังคมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

หัวข้อการวิจัย
1.   การพัฒนาระบบการศึกษาระดับปฐมวัยของประเทศไทย      2.   การให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน
3.     อาชีวศึกษาทวิภาคี            4.   การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มีตราบาปทางสังคม
5.   การให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพแก่ผู้มีปัญหาด้านสุขภาพ6.   การดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง

ผลการศึกษาในภาพรวม
   ตัวแปรสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการลงทุนด้านสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนคือ“องค์กรตัวกลาง”(Intermediary Organization)เพราะเป็นองค์กรที่มีเป้าหมายเสริมสร้างขีดความสามารถ/และหรือสนับสนุนทรัพยากรให้
ผู้ให้บริการทางสังคมบรรลุเป้าหมายความต้องการอันนำไปสู่การแก้ปัญหาสังคมตามพันธกิจหรือความเชี่ยวชาญที่ได้กำหนดไว้
องค์กรตัวกลางมีหลายประเภท จะมาจากภาคธุรกิจ ภาคสังคม หรือภาครัฐก็ได้ จะมุ่งเน้นทำงานเชิงประเด็น ด้านเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ฯลฯ ก็ได้ หรือเชิงความเชี่ยวชาญ  เช่น  ด้านพัฒนาแหล่งทุน ด้านอาสาสมัคร ด้านการจัดกระบวนการ ด้านสร้างเสริมศักยภาพ ด้านองค์ความรู้ ด้านการสื่อสาร ฯลฯ ก็ได้  ยิ่งมีองค์กรตัวกลางทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพมาก ยิ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศการลงทุนด้านสังคมของประเทศ เกิดผลลัพธ์ทางสังคมอย่างยั่งยืน

ผลการศึกษาตามหัวข้อวิจัย
1.   การพัฒนาระบบการศึกษาระดับปฐมวัยของประเทศไทย:ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการศึกษาระดับปฐมวัยของประเทศเกิดความอย่างยั่งยืน คือการมีส่วนร่วมกับท้องถิ่น ทั้งผู้บริหารท้องถิ่นภาคประชาสังคม และเอกชนในท้องถิ่น ตลอดจนความสามารถและความมุ่งมั่นของผู้บริหารศูนย์เด็กเล็ก ดังนั้นจึงต้องมีกระบวนการสร้างกลไกในการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนให้เข้ามาสนับสนุนศูนย์เด็กเล็กให้ตรงกับความต้องการ รวมทั้งมีกระบวนการพัฒนาบุคลากรของศูนย์เด็กเล็กเพื่อสร้างครูพี่เลี้ยงที่มีประสิทธิภาพต่อไป

2.   การให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน:ทุนการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนักเรียน  แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของเด็กด้อยโอกาสประมาณ4.8ล้านคนมีเด็กนักเรียนออกกลางคันในรอบ 5 ปี ประมาณ8.4หมื่นคน นอกจากนี้ทุนการศึกษายังต้องพึ่งพิงเงินบริจาคที่มีความไม่แน่นอนตามสภาวะเศรษฐกิจรวมทั้งขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ดังนั้นจึงเสนอให้บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคสังคมและภาคเอกชนร่วมกัน รณรงค์การให้ทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ ของเด็ก จัดตั้งองค์กรตัวกลางเพื่อพัฒนาระบบและประสานงานระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้อง และพัฒนามาตรการและกลยุทธ์ในการให้และการระดมทุนการศึกษา

3.   อาชีวศึกษาทวิภาคี: ประเทศไทยยังขาดกรอบการกำกับดูแลและการประกันคุณภาพระบบอาชีวศึกษาทวิภาคีที่สามารถบังคับใช้ได้จริง เพราะกลไกที่มีอยู่ยังขาดความรัดกุมและมีต้นทุนธุรกรรมสูงขาดมาตรการจูงใจให้สถานประกอบการและผู้เรียน  การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงจำเป็นต้องอาศัย “องค์กรตัวกลาง”ที่เกิดจากความร่วมมือภาคเอกชนเข้ามาทำหน้าที่บริหารระบบ โดยเสนอให้ออกพระราชบัญญัติจัดตั้ง “สภาส่งเสริมการศึกษาทวิภาคี” เพื่อทำหน้าที่องค์กรตัวกลาง ที่มีรูปแบบเป็นหน่วยงานเอกชนลักษณะพิเศษ

4.   การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มีตราบาปทางสังคม: ผู้มีตราบาปทางสังคม (ผู้พ้นโทษ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ติดยาเสพติด) เป็นกลุ่มที่ได้รับความช่วยเหลือจากภาคสังคมน้อยกว่ากลุ่มผู้ด้อยโอกาสอื่น ๆ  ทำให้ขาดโอกาสและกลับเข้าสู่วงจรเดิมขณะที่หน่วยงานและองค์กรที่ช่วยเหลือมีข้อจำกัดทางด้านเงินทุนและบุคลากร อีกทั้งยังขาดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคสังคม  ดังนั้นจึงเสนอให้บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคสังคมและภาคเอกชนในการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยกลุ่มผู้มีตราบาปกลับสู่สังคมผ่านการสนับสนุนองค์กรภาคสังคมในการพัฒนาระบบการช่วยเหลือผู้มีตราบาปทางสังคมให้มีประสิทธิภาพต่อไป

5.  การให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพแก่ผู้มีปัญหาด้านสุขภาพ: ร้อยละ 56ของผู้พิการวัยทำงานไม่ประกอบอาชีพทั้งๆ ที่มีความสามารถที่จะทำได้ สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจเกือบ 32,000 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากส่วนใหญ่มีการศึกษาแค่ประถมศึกษาหรือต่ำกว่าและขาดทักษะในการทำงาน รวมทั้งไม่สามารถปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นจึงเสนอให้หาองค์กรตัวกลางในการจ้างงาน และสร้างอาชีพให้แก่ผู้พิการ รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการเพื่อให้สามารถนำเงินกองทุนฯ ไปช่วยเหลือผู้พิการได้มากขึ้น

6. การดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง: (Palliative Care) ถือเป็นทางเลือกในการรักษาเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานทำให้ผู้ป่วยได้ตายอย่างสงบโดยวิถีแห่งธรรมชาติ แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในสังคมไทยดังนั้นจึงควรปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งแพทย์และผู้ให้บริการสาธารณสุขว่าการรักษาให้ถึงที่สุดอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีการให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิในการทำพินัยกรรมชีวิต (Living will) รวมทั้งบรรจุหลักสูตรภาคปฏิบัติดังกล่าวเข้าไปในการเรียนการสอนคณะแพทย์ พยาบาล เภสัช และสังคม ตลอดจนปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงยาระงับปวดเป็นต้น

ข้อเสนอเชิงนโยบาย
1.   จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม (Social Investment Board)
ด้วยการออกกฎหมายในลักษณะคล้ายกับ Charities Act ของประเทศอังกฤษ เพื่อระบุสองเงื่อนไขหลักของกิจกรรมสาธารณกุศลคือ 1) ดำเนินการตามวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ 2) การสร้างประโยชน์ให้กับสาธารณะโดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านสังคม ซึ่งเป็นองค์กรอิสระภายใต้กฎหมายข้างต้น ขึ้นตรงต่อรัฐสภา และมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทางสังคมผสมกับผู้แทนจากกระทรวงการคลัง โดยมีหน้าที่ ขึ้นทะเบียน กำกับดูแล และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์กรสาธารณกุศลที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการฯติดตามตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดีกับองค์กรที่ทำผิดเงื่อนไขหลักข้างต้น ทั้งนี้องค์กรการกุศลที่ขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีในลักษณะเดียวกันกับองค์กรการกุศลในปัจจุบัน โดยจะต้องมีการจัดทำรายงานการเงินที่แสดงให้เห็นถึง1) การบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ 2) การสร้างประโยชน์ให้กับสาธารณะส่งให้กับคณะกรรมการฯ ด้วย

2. การประยุกต์ใช้พันธบัตรเพื่อดูแลสังคม(Social Impact Bonds)  เพื่อเพิ่มทรัพยากรและประสิทธิภาพให้กับโครงการลงทุนด้านสังคม  คณะกรรมการฯ  อาจร่วมมือกับกระทรวงการคลังในการประยุกต์ใช้พันธบัตรเพื่อดูแลสังคม โดยโครงการที่ได้รับการสนับสนุนผ่านพันธบัตรฯ จะได้รับเงินทุนสนับสนุนเพื่อดำเนินการในตอนต้นจากนักลงทุน (Investors) ผ่านการซื้อพันธบัตรดังกล่าว โดยผู้ให้บริการด้านสังคม (Social Providers) จะเป็นผู้รับเงินทุนเพื่อนำไปดำเนินโครงการด้านสังคมกับประชาชนผู้รับบริการโดยตรง หลังจากนั้นจะมีการวัดผลลัพธ์การดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการด้านสังคมและหน่วยงานของรัฐบาล (Government Commissioner) ทั้งนี้ในกรณีที่ผลลัพธ์การดำเนินโครงการเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ในตอนต้น หน่วยงานของรัฐบาลจะจ่ายคืนเงินต้นพร้อมผลตอบแทนให้กับนักลงทุนที่ลงทุนซื้อพันธบัตรเพื่อดูแลโครงการทางสังคมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผลลัพธ์การดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หน่วยงานรัฐบาลอาจไม่จำเป็นต้องจ่ายคืนผลประโยชน์หรือแม้แต่เงินต้นให้กับนักลงทุน ทั้งนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของพันธบัตรที่มีการกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ต้น

เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคหรือการลงทุนทางสังคม
ปัจจุบันการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่การลงทุนทางสังคมของประเทศไทย เฉพาะการบริจาคให้กับมูลนิธิที่ทางกระทรวงประกาศให้เป็นองค์การกุศลสาธารณะ ตามมาตรา 47(7) จำนวน  935 แห่ง (ไม่รวมโรงเรียนและวัด) เท่านั้น ถึงจะสามารถนำเงินบริจาคมาหักลดหย่อนภาษีได้
•   ระดับบุคคล หักลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ
•   ระดับนิติบุคคล หักได้ตามจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ

เกี่ยวกับศัพท์สำคัญว่าด้วยการลงทุนทางสังคม
•   “ระบบนิเวศทางสังคม”(Social Eco-System)
: องค์ประกอบของผู้เกี่ยวข้องสำคัญและ/หรือ ปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบหรือเชื่อมโยงระหว่างกันในชุมชน/สังคมนั้นๆ
•   “นักลงทุนทางสังคม”(Social Investor)
: ความหมายกว้าง มีหลายบริบท ขึ้นกับว่า “ทุน” นั้นหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึง เงิน คือ ผู้บริจาค ถ้าให้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือกำลัง คือ อาสาสมัคร
•   “ผู้ให้บริการทางสังคม” (Social Service Provider)
: องค์กรหรือบุคคลที่ขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาสังคม จะมาจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมก็ได้ จะเป็นการบริการแบบให้เปล่า หรือคิดผลตอบแทน เช่น กิจการเพื่อสังคมก็ได้ แต่ต้องมีเป้าหมายแก้ปัญหาสังคมมุ่งไปที่ “ผู้รับประโยชน์” เป็นสำคัญ
•   “ผู้รับประโยชน์”(Beneficiary)
:ผู้ที่ได้รับประโยชน์/ผู้ได้รับการตอบสนองทรัพยากรจากผู้ให้บริการทางสังคม/นักลงทุนทางสังคม/กลไกการแก้ปัญหาสังคม  ทั้งที่เป็นคนและที่ไม่ใช่คน เช่น สัตว์ ก็ได้
•   “องค์กรตัวกลาง”(Intermediary Organization)
:องค์กรที่มีเป้าหมายเสริมสร้างขีดความสามารถ/และหรือสนับสนุนทรัพยากรให้ผู้ให้บริการทางสังคมเพื่อบรรลุเป้าหมายอันนำไปสู่การแก้ปัญหาสังคมองค์กรตัวกลางมีหลายประเภท จะมาจากภาคธุรกิจ ภาคสังคม หรือภาครัฐก็ได้ จะมุ่งเน้นทำงานเชิงประเด็น ด้านเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ฯลฯ ก็ได้ หรือเชิงความเชี่ยวชาญ  เช่น  ด้านพัฒนาแหล่งทุน ด้านอาสาสมัคร ด้านการจัดกระบวนการ ด้านสร้างเสริมศักยภาพ ด้านองค์ความรู้ ด้านการสื่อสาร ฯลฯ ก็ได้ 
•   “แพลตฟอร์ม”(Platform)
:โครงการหรือเครื่องมือหรือช่องทางการแก้ปัญหาสังคมรูปแบบต่างๆ ที่มุ่งเน้นการสร้างการมีส่วนร่วม ดังนั้น สามารถยืดหยุ่นรูปแบบ หรือวิธิการดำเนินงานให้สามารถขยายผลได้ ทั้งในเชิงขนาด และในเชิงผลลัพธ์
« Last Edit: January 11, 2017, 10:45:30 PM by MSN »