KTAMขายตราสารหนี้ตปท.6เดือน
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 120 (KTFF120) อายุ 6 เดือน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 อายุ 6 เดือน เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Bank of China ( Macau Branch )ประมาณอัตราผลตอบแทนของตราสาร (ต่อปี) 1.65% , PT Bank Rakyat Indonesia (Persero ) Tbk ประมาณอัตราผลตอบแทนของตราสาร (ต่อปี) 1.85% , Agicultural Bank of CHINA ประมาณอัตราผลตอบแทนของตราสาร (ต่อปี) 1.64% , Ahli Bank QSC ประมาณอัตราผลตอบแทนของตราสาร (ต่อปี) 1.95% และ First Gulf Bank PJSC ประมาณอัตราผลตอบแทนของตราสาร (ต่อปี) 1.75% ในสัดส่วนการลงทุนในแต่ละรายการ 20 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประมาณผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน 1.50 % ต่อปี มีค่าใช้จ่ายของกองทุน 0.27 % มีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ทั้งนี้หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่โฆษณาไว้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือบลจ.กรุงไทย
ส่วนอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุโดยเฉพาะอายุ 2-10 ปี เริ่มจากแรงขายทำกำไรในตราสารรุ่นอายุปานกลางก่อนการประมูลพันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปี (LB226A) ก่อนจะมีแรงขายในตราสารอายุยาวในวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและพันธบัตรฝั่งยุโรป โดยนักลงทุนต่างชาติเป็นยอดซื้อสุทธิจำนวน 6,863 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกช่วงอายุตามแรงขายทำกำไร หลังโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed มีเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมที่ออกมาดี GDP ไตรมาส 3 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี ประกอบกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลฝั่งยุโรป และแนวโน้มผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 bps. มาอยู่ที่ 0.85% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 bps. มาอยู่ที่ 1.32% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11 bps.มาอยู่ที่ 1.85% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นแนวโน้มผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลก แนวโน้มราคาน้ำมัน ผลกระทบของ Brexit ต่อ EU และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามจะเป็นความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนตุลาคม แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ทิศทางของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศ และการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ
" ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หากไม่สามารถลงทุนให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เนื่องจากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามอัตราที่โฆษณาไว้"