happy on August 08, 2016, 06:45:26 PM

ชื่อไทย:       เบน-เฮอร์
วันเข้าฉาย :    18 สิงหาคม 2016
จัดจำหน่าย:    บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


เบื้องหลังงานสร้าง

Ben-Hur คือเรื่องราวอันยิ่งใหญ่หาญกล้าของ จูดาห์ เบนเฮอร์ (แจ็ค ฮุสตัน) เจ้าชายผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ โดยเมสซาล่า (โทบี้ เค็บเบลล์) พี่ชายที่ครอบครัวของเขารับอุปการะไว้และกลายมาเป็นทหารในกองทัพโรมัน เมื่อต้องถูกถอดยศ ต้องพลัดพรากจากครอบครัวและหญิงอันเป็นที่รัก (นาซานิน โบเนียดี) จูดาห์ถูกบังคับให้กลายเป็นทาส หลังจากออกท่องทะเลอยู่นานหลายปี จูดาห์กลับมายังบ้านเกิดเพื่อล้างแค้น แต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นการไถ่บาป ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากหนังสือนิยายคลาสสิกไร้กาลเวลาของ ลิว วอลเลซ เรื่อง Ben-Hur: A Tale of the Christ และที่เข้ามาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ก็คือ ร็อดริโก้ ซานโทโร่ และมอร์แกน ฟรีแมน

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และเมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอภาพยนตร์เรื่อง Ben-Hur โดยมี มาร์ก เบอร์เน็ตต์, โรม่า ดาวนี่ย์, คีธ คล๊าร์ก, จอห์น ริดลี่ย์ และเจสัน เอฟ บราวน์ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร และ ฌอน แดเนียล, โจนี่ เลวิน และดันแคน เฮนเดอร์สัน ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของ คีธ คล๊าร์ก และจอห์น ริดลี่ย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย ทิเมอร์ เบ็กแมมบีทอฟ


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=QU1ituvvCbw" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=QU1ituvvCbw</a>

เรื่องราวคลาสสิกไร้กาลเวลา

เมื่อตอนที่ผู้กำกับทิเมอร์ เบ็กแมมบีทอฟ (Wanted, Night Watch) ได้รับการติดต่อทาบทามให้มากำกับภาพยนตร์ที่ได้นำเอาภาพยนตร์ที่มีคนรักมากที่สุดในโลกภาพยนตร์มาจินตนาการใหม่ เขาเกิดความรู้สึกลังเล “Ben-Hur เวอร์ชั่นปี 1959 ไม่ได้เป็นแค่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งนะครับ มันคือปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมของศตวรรษที่ 20” เบ็กแมมบีทอฟอธิบาย “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ตอนที่ผมได้รับข้อเสนอให้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ความคิดแรกของผมก็คือ ‘ไม่เด็ดขาด’ โชคดีที่ผู้อำนวยการสร้าง ฌอน แดเนียล เกลี้ยกล่อมให้ผมลองอ่านบทภาพยนตร์ดูก่อน ซึ่งมันกลับกลายเป็นเรื่องที่มีความหมายอย่างมาก ไม่เพียงแต่มีการกระทำที่โลดโผนเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยตัวละครที่น่าทึ่ง และความคิดอันลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าฉากและสิ่งแวดล้อมต่างๆ จะเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน แต่อารมณ์และการกระทำของตัวละครยังเป็นสิ่งที่คนยุคปัจจุบันเข้าใจได้ดี และยังมีความหมายที่เป็นสากลและมีความทันสมัยอีกด้วย"
 
มือเขียนบท จอห์น ริดลี่ย์ รู้สึกไม่ต่างกันเมื่อตอนที่เขาลงมือเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “แฟนๆ ที่สุดกระตือรือร้นของภาพยนตร์ปี 1959 อาจรู้สึกเหมือนเป็นการดูหมิ่นที่จะหยิบเอาเรื่องราวนี้มาสร้างใหม่ แต่พวกเขาหลงลืมไปว่าตัวละครเหล่านี้มีตัวตนอยู่นานกว่า 80 ปีก่อนหน้า พวกเขาเพียงแค่จดจำ ชาร์ลตัน เฮสตัน และรถม้าศึก แต่จูดาห์ เบนเฮอร์คือตัวละครที่มีความคลาสสิกและเต็มไปด้วยรายละเอียด เขาเป็นชายที่ถูกเข้าใจผิด และต้องการล้างแค้นและไถ่บาป ตัวละครที่น่าติดตามอย่าง เบนเฮอร์และเมสซาล่า คือเหตุผลที่ทำให้เรากลับไปหาเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้น ผมจึงอยากจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างอดีตเพื่อนรักคู่นี้ มีทั้งความจริงจังและเป็นที่จดจำพอๆ กับฉากแข่งรถศึกที่เป็นไคลแม็กซ์ของเรื่อง”
 
“ธีมที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ อันได้แก่เรื่องของการล้างแค้นและการให้อภัย ถือเป็นเรื่องที่ไร้กาลเวลา ความขัดแย้งที่ตัวละครต้องเผชิญ คือสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันก็สามารถเข้าใจได้เหมือนที่เคยเป็นในยุคโรมันหรือในปี 1880 ซึ่งเป็นปีที่ ลิว วอลเลซ ได้เขียนนิยายนี้ขึ้นมา” แดเนียลอธิบาย “มันคือธรรมชาติของมนุษย์ และมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย”   

“ในหลายๆ ทาง เรายังคงใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรโรมันนะครับ เรายังคงใช้ชีวิตอยู่กับค่านิยมของยุคนั้น” เบ็กแมมบีทอฟให้ความเห็น “อำนาจ ความโลภ และความสำเร็จยังคงปกครองโลกนี้ ผู้คนพยายามที่จะแข่งขันกันเพื่อทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างประสบความสำเร็จ มีเพียงน้อยคนนักที่รู้ว่าคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์คือการให้ความร่วมมือกันและการให้อภัย"





รอยเท้าอันยิ่งใหญ่ที่ต้องเติมให้เต็ม

"การเลือกตัวนักแสดงของ Ben-Hur ถือเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่พอๆ กับการสร้างภาพยนตร์ทั้งเรื่อง” แดเนียลบอก “เราค้นหาไปทั่วโลก การเลือกนักแสดงในบท จูดาห์ เบนเฮอร์ และเมสซาล่า ต้องใช้ลูกเล่นสูงมาก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นกับการแสดงที่เข้าขากันของตัวละครสองตัวนี้ พวกเขาเริ่มต้นเรื่องด้วยการเป็นพี่น้องกัน และกลายมาเป็นคู่ปรับกัน และทำลายชีวิตกัน ตอนที่เราเห็น แจ็คและโทบี้ ทำงานด้วยกัน เรารู้เลยว่าเราได้คนพิเศษมาแล้ว"

“การค้นหานักแสดงที่เหมาะจะรับบทเป็น จูดาห์ เบนเฮอร์ ถือเป็นกระบวนการทำงานอย่างหนึ่งเลยทีเดียวครับ” เบ็กแมมบีทอฟเล่า “เราต้องการคนที่ฉลาด ผู้สามารถสร้างสรรค์ตัวละครที่มีทั้งอารมณ์ประชดประชันยโส และมีความสามารถที่จะห่วงใยคนอื่นจริงๆ แจ็คพิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าเขาสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ทั้งหมด”

ฮุสตันเล่าถึงการพบกันครั้งแรกกับเบ็กแมมบีทอฟ “ทิเมอร์ขอความคิดเห็นที่ผมมีต่อตัวละคร จูดาห์ เบนเฮอร์ ผมเริ่มพูด แล้วเขาก็จดโน้ตไปเรื่อยๆ เขามองว่ามันเป็นการสนทนา และอยากนำความเหมือนจริงใส่ลงไปให้มากที่สุด การทำงานกับทิเมอร์น่าตื่นเต้นมากเพราะมันคือการร่วมมือกันจริงๆ ครับ”

“แต่เริ่มเดิมที แจ็คมาออดิชั่นบท เมสซาล่า ครับ (ซึ่งรับบทแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมโดย โทบี้ เค็บเบลล์)แต่หลังจากผมได้พูดคุยกับเขาแล้ว ทุกอย่างก็เป็นที่ชัดเจนสำหรับผมว่าผมเพิ่งได้เจอเจ้าชายจูดาห์ เบนเฮอร์!” เบ็กแมมบีทอฟบอก “เหมือนเขาเกิดมาในยุคนั้นจริงๆ เขาคือชายขี่ม้าที่มีประสบการณ์ และหุ่นดีจริงๆ”

"แจ็ค ฮุสตันให้การแสดงเป็นชายที่ชีวิตผ่านการเดินทางมาได้อย่างพิเศษสุดจริงๆ  ครับ” ผู้อำนวยการสร้างบริหาร โรม่า ดาวนี่ย์ บอก “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งเรื่อง เราเห็นเขาเปลี่ยนแปลงไปทั้งทางร่างกายและอารมณ์ทางร่างกาย เราเห็นเขาเปลี่ยนจากเจ้าชายผู้มีเสน่ห์หล่อเหลา กลายไปเป็นชายที่ชีวิตพังพินาศ เวลาหลายปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนเรือทาส เราเห็นร่างกายเขาผอมบางลง และหัวใจก็กร้าวขึ้น เขารู้ว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้เขารอดชีวิตมาได้ ก็คือการยึดอารมณ์และกิเลสเอาไว้กับการแก้แค้น "

"พวกเราต่างชอบแจ็คในบทเบนเฮอร์ เพราะเขาทำได้ดีมากในการอ่านบท และเขาก็เข้าใจดีเลยว่าตัวละครตัวนี้เป็นยังไง” แดเนียลบอก “เหนือสิ่งอื่นใด แจ็คคือฮุสตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลแห่งวงการภาพยนตร์ เราได้ไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้กันที่ซีเนซิตต้า สตูดิโอส์ ในกรุงโรม ซึ่งเป็นที่ที่ จอห์น ฮุสตัน กำกับภาพยนตร์เรื่อง “The Bible” ในปี 1966 พวกเราจึงตื่นเต้นกันมากที่ได้หลานชายของเขามาแสดงนำในภาพยนตร์ของเราในหลายสิบปีให้หลัง”

โทบี้ เค็บเบลล์ได้รับเลือกให้มารับบทสำคัญอย่าง เมสซาล่า พี่ชายที่ครอบครัวเบนเฮอร์รับอุปการะเอาไว้ และยังเป็นเพื่อนสนิทของเขา ผู้ทำให้เขาต้องเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่มุ่งหมายเพื่อล้างแค้น

"โทบี้นำคุณสมบัติมากมายมาสู่บท เมสซาล่า” ผู้อำนวยการสร้าง ดันแคน เฮนเดอร์สัน อธิบาย “ตัวละครตัวนี้มีความน่าสนใจตั้งแต่เริ่มแรก แต่โทบี้ก็ยังสามารถที่จะใส่อารมณ์ขันในแบบฉบับของเขาเองลงไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เขานำติดตัวมาที่กองถ่ายด้วยทุกวัน เมสซาล่าเป็นตัวละครที่มีความมืดหม่น แต่การแสดงของโทบี้ทำให้เขาดูสดใสขึ้นบ้าง ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มความซับซ้อนของเขาให้มีมากขึ้น"

"โทบี้ดูร้อนฉ่าเมื่ออยู่บนจอ” ดาวนี่ย์ให้ความเห็น “เรื่องรูปร่างหน้าตา เขาได้อยู่แล้ว เขาเป็นคนหน้าตาดี เป็นคนติดดิน แข็งแกร่ง และยังมีทั้งความฉลาดเฉลียวและความลึก เราเชื่อว่าเขารักจูดาห์ และสิ่งที่ผลักดันเขาไปตลอดช่วงครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้ก็คือความรักและความผิดหวัง"

"ตอนที่ผมได้พบทิเมอร์” เค็บเบลล์เล่า “ผมรู้เลยว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องเกี่ยวกับการแข่งรถศึกเท่านั้น นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่น้อง เกี่ยวกับครอบครัว เกี่ยวกับว่าบางครั้งเราปฏิบัติต่อคนที่เรารักแย่แค่ไหน และบ่อยครั้งแค่ไหนที่เราต้องการการให้อภัย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรานำเสนอ เป็นการดึงมาจากหนังสือต้นฉบับทั้งสิ้น"

เค็บเบลล์กล่าวต่อไปว่า “บทเบนเฮอร์และเมสซาล่าเป็นเหมือนสัญลักษณ์ สำหรับเราแล้ว มันคือความท้าทายที่แสนสนุกสนานที่จะได้เล่นกับความผูกพันแบบพี่น้องระหว่างชายสองคนที่เป็นคู่ปรับกัน มีทั้งรักและเกลียด แต่ถ้าคุณนำเสนอเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป คุณก็จะเสียความขัดแย้งที่เป็นตัวผลักดันภาพยนตร์เรื่องนี้ไป”

มอร์แกน ฟรีแมน รับบทเป็นชี้ก อิลเดอริม ซึ่งเป็นบทที่ขยายมาจากภาพยนตร์ Ben-Hur เรื่องก่อน หลังจากที่เบนเฮอร์หลบหนีจากเรือทาสที่เต็มไปด้วยอันตรายมาได้ อิลเดอริมได้มาทำหน้าที่เป็นเหมือนที่ปรึกษาและผู้คอยสนับสนุนเขา และในที่สุดก็เป็นคนสอนเขาให้ขับรถศึกเข้าแข่ง

"เราต้องการนักแสดงที่มีความสามารถระดับ มอร์แกน ฟรีแมน เพื่อแสดงให้เห็นถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตัวละครอย่าง อิลเดอริม และทำให้เขาเป็นหนึ่งกับเรื่องนี้” ริดลี่ย์ให้ความเห็น “สำหรับผม ในฐานะบุคคลที่เป็นคนผิวสี เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดที่จะต้องทำให้ตัวละครตัวนี้ดูมีความเด่นชัดและทำให้เขาเป็นการแสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่มีต่อยุคนั้น และยึดมั่นต่อชีวิตจริง” แดเนียลกล่าวเสริมว่า “การทำงานกับ มอร์แกน  ฟรีแมน คือหนึ่งในความฝันของผมเลยนะครับ มอร์แกนทุ่มเทให้กับการแสดงเป็น อิลเดอริม อย่างมาก เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเราทุกคนจริงๆ และนี่ก็เป็นครั้งแรกในงานสร้างภาพยนตร์  (และละครเวที) เรื่อง Ben-Hur ที่คนผิวสีได้ถูกบรรยายออกมาอย่างเหมาะสมที่สุดในแบบที่ตัวละครตัวนี้เป็นจริงๆ”

"มอร์แกน ฟรีแมนกับผมเคยทำงานด้วยกันในภาพยนตร์เรื่อง Wanted และผมก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้ง” เบ็กแมมบีทอฟอธิบาย “อิลเดอริมในการตีความของเขา เป็นคนช่างประชดประชัน เจ้าอารมณ์ ฉลาด และลูกเล่นแพรวพราว เขาจะไม่แบไพ่ให้เห็นในทีเดียว แต่คุณจะรู้สึกได้ว่าการนำตัวละครเหล่านี้จากจุดเอไปยังจุดบี มักจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาเสมอ”

ฟรีแมนบอกว่าเขาสนุกกับประสบการณ์ที่ได้ระหว่างแสดงภาพยนตร์เรื่อง Ben-Hur อย่างมาก "ผมเห็นผู้กำกับกับทีมผู้อำนวยการสร้างหัวเราะกันตลอด เวลามีเสียงหัวเราะดังขึ้นบ่อยๆ แสดงว่าพวกเขามีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับแล้วครับ "

เอสเธอร์ เพื่อนในวัยเด็กของจูดาห์ และต่อมาเธอก็คือภรรยาของเขา รับบทแสดงโดย นาซานิน โบเนียดี ("Homeland", “How I Met Your Mother”) “ฉันรู้สึกสนใจในตัวเอสเธอร์ เพราะความซับซ้อนของเธอค่ะ ในฐานะที่เป็นคนยิว เธออยากต่อต้านการปกครองของโรมัน และสนับสนุนการปลดแอก แต่การสนับสนุนพวกกบฎจะทำให้ครอบครัวของเบนเฮอร์และครอบครัวของเธอต้องเสี่ยงอันตราย” โบเนียดีบอก “ต่อมาภายหลังเมื่อเธอต้องสูญเสียบ้าน ครอบครัว และชายคนที่เธอรักไป เธอจึงกลายเป็นหนึ่งในสาวกกลุ่มแรกของจีซัส ช่างไม้ผู้เป็นศาสดา ผู้สอนเธอว่าอิสรภาพสามารถบังเกิดได้ด้วยการให้อภัยและเมตตา”

อาเยเล็ท ซูเรอร์ (Man of Steel, Angels & Demons) รับบท นาโอมี่ เบนเฮอร์ แม่ของจูดาห์ และเป็นผู้ปกครองวังตระกูลเฮอร์ ซูเรอร์อธิบายว่า “นาโอมี่ไม่พอใจต่อการปกครองของโรมัน แต่เธอไม่อยากเอาสถานะของครอบครัวไปเสี่ยงด้วยการแสดงเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผย เธอเป็นคนจิตใจดี และรับเลี้ยง เมสซาล่า ดั่งลูก ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เธอต้องมาเสียใจในภายหลัง” 

โซเฟีย แบล็ค-ดีเอเลีย (Project Almanac, “Gossip Girl”) รับบท เทอร์ซ่าห์ น้องสาวผู้มีจิตใจเข้มแข็งของจูดาห์ ผู้ตกหลุมรักเมสซาล่า แบล็ค-ดีเอเลียบอกว่า “เส้นทางชีวิตของเทอร์ซ่าห์นั้นมีให้เห็นบ่อยมาก ในตอนเริ่มต้น เธอได้รับการดูแลอย่างดี มีความใสซื่อ แต่แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็ถูกพรากไป เธอถูกบังคับให้ต้องเผชิญกับความเป็นจริง และสุดท้าย เธอต้องให้อภัยชายที่ทำลายชีวิตเธอ เขาก็คือชายคนที่เธอรัก”

"เราต้องการให้ตัวละครหญิงของเรามีความซับซ้อน เข้มแข็ง และมีความสำคัญในเรื่องนี้พอๆ กับผู้ชาย” ฌอน แดเนียลบอก “ตัวละครเหล่านี้ทุกตัวปรากฎอยู่ในภาพยนตร์เวอร์ชั่นก่อน แต่อาจไม่ได้มีความลึกหรือไม่ได้มีพัฒนาการที่นักแสดงหญิงที่แสดงอยู่จะใส่ลงไปในบทบาทได้”

ร็อดริโก้ ซานโทโร่ (The 33, 300) ได้รับเลือกให้มารับบทพระเยซู ซึ่งเดินผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตของเบนเฮอร์หลายช่วงเวลา

“ทันทีที่ผมได้พบกับร็อดริโก้ เห็นชัดเจนเลยว่าเขาคือคนที่ใช่กับบทนี้” เบ็กแมมบีทอฟเล่า “เขามีความสามารถในแบบที่พระเจ้าประทานให้ ร็อดริโก้สามารถเล่นเป็นบุคคลผู้นำจิตวิญญาณ ขณะที่ยังคงแสดงความเป็นคนธรรมดาๆ ออกมาให้เห็นได้ด้วย”

"ร็อดริโก้คือตัวเลือกที่ใช่สำหรับบทพระเยซู” ดาวนี่ย์ให้ความเห็น “เขามีความแข็งแกร่ง ใจดี และมีความลึกอยู่ในตัว"

เฮนเดอร์สันเห็นด้วย "ร็อดริโก้มีความสงบและความแข็งแกร่งอยู่ภายใน เขาสร้างแรงบันดาลใจให้ในบทนี้เพราะบุคลิกที่ดูเยือกเย็นและดูสูงส่งที่เขาสร้างขึ้นมา”

การแสดงเป็นพระเยซูคืองานที่จริงจังสำหรับซานโทโร่ “ผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลกต่างมีความผูกพันใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวกับชายคนนี้ครับ รวมถึงกับภาพของเขา และกับสิ่งที่เขาเป็นตัวแทน” ซานโทโร่ให้ความเห็น “มันคือความรับผิดชอบอย่างยิ่งยวด แต่ก็เป็นโอกาสอันโดดเด่นที่จะได้สำรวจและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกต่อสิ่งที่พระองค์ต้องเจอ และพยายามที่จะนำสิ่งที่พระองค์สอนมาปฏิบัติ"

"ผมคิดว่าสิ่งแรกที่ผมต้องทำคือพยายามที่จะลบภาพที่ผมเคยมีเกี่ยวกับตัวพระเยซูออกไปให้หมด” ซานโทโร่บอก “เรื่องต่างๆ ที่ผมเคยได้ยินมา แม้แต่เรื่องที่คุณยายเล่าให้ผมฟังตอนผมยังเด็ก ผมต้องเดินไปที่จุดตรงกลางและตั้งต้นจากตรงนั้นครับ”
ซานโทโร่ต้องเข้ารับการเตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้พร้อมสำหรับบทนี้ เขาใช้เวลามากมายในการฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ และกินอาหารคลีนอย่างเคร่งครัด

"ผมพยายามที่จะเชื่อมต่อกับสิ่งที่ผมรู้สึกกับชายผู้นี้จริงๆ เพราะผมต้องแสดงเป็นพระเยซู” ซานโทโร่อธิบายต่อ “ผมจะเข้าใจในคนๆ นี้และทุกสิ่งที่พระองค์เป็นตัวแทนอย่างลึกซึ้งได้ยังไง ผมอยากสร้างภาพลักษณ์ของชายผู้อยู่เบื้องหลังตำนานเล่าขาน ผมอยากทำให้พระองค์เป็นบุคคลที่ทุกคนเข้าถึงได้โดยไม่ต้องบูชาคำสอนของพระองค์ ไม่ต้องบูชาบารมี จิตวิญญาณ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความโดดเด่นออกมาจากตัวพระองค์ จนเรียกได้ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาเลยก็ได้ครับ"
« Last Edit: August 08, 2016, 06:53:05 PM by happy »

happy on August 08, 2016, 06:58:25 PM





การนำชีวิตในศตวรรษที่ 1 มาสู่ศตวรรษที่ 21

“Ben-Hur ของ ชาร์ลตัน เฮสตัน คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผมโปรดปรานที่สุด” ผู้อำนวยการสร้าง มาร์ก เบอร์เน็ตต์ บอก “มันคือความน่าตื่นตาตื่นใจโดยเฉพาะในยุคสมัยที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างออกมา แต่ถึงภาพยนตร์เรื่องนั้นจะมีความหมายกับผมและคนอื่นๆ อีกหลายคนมากสักเพียงไหน  แต่ลูกๆ วัยรุ่นของผมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ผมจึงรู้สึกว่ายังมีคนดูกลุ่มใหญ่ที่พร้อมจะต้อนรับงานสร้างเรื่องราวนี้ในแบบที่สดใหม่ และมาพร้อมความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการสร้างภาพยนตร์ เราสามารถสร้างภาพอันน่าตื่นตา และให้ความตื่นเต้นได้ยิ่งกว่าสำหรับคนดูยุคใหม่นี้”

เบ็กแมมบีทอฟได้พิสูจน์ตัวแล้วว่าเขาคือกุญแจสำคัญในการนำเรื่องราวจากศตวรรษที่ 1 นี้ ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 “เราไม่อยากให้มันเป็นแค่งานคุยเขื่องอีกเรื่อง” เบ็กแมมบีทอฟอธิบาย “มันเป็นภาพยนตร์เอพิคไม่ใช่เพียงเพราะมีม้าหลายร้อยตัว มีตัวประกอบเพียบ และมีฉากสนามแข่งกว้างเป็นพันฟุต แต่เป็นเพราะไอเดียของตัวภาพยนตร์ต่างหาก ทั้งสไตล์ งานลำดับภาพ การแสดงและการถ่ายทำ จะต้องดึงดูดคนดูยุคใหม่ให้ได้”

"ทิเมอร์คือผู้กำกับที่มีความโดดเด่น” แดเนียลให้ความเห็น “เขามีความร่วมสมัยสุดเนี๊ยบอยู่ในภาพที่เขาจินตนาการขึ้น แต่ขณะเดียวกัน เขาก็มีความเป็นนักคิดที่คลาสสิก เขาคือคนที่มีคุณสมบัติผสมผสานที่สมบูรณ์แบบสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ ครับ”

ผู้กำกับภาพ โอลิเวอร์ วู้ด (ภาพยนตร์ชุด Bourne) มีสไตล์การถ่ายภาพที่ติดดินและสมจริง หนึ่งในเครื่องมือที่ก้าวล้ำที่สุดที่ถูกนำมาใช้ ก็คือกล้อง G4 “สไตล์ของงานกล้องก็เหมือนไอโฟนของคุณนั่นแหละครับ” เบ็กแมมบีทอฟอธิบาย “มันทำให้ทุกฉากให้ความรู้สึกราวกับว่าคุณได้เข้าไปอยู่ที่นั่น ในวินาทีนั้นจริงๆ"

เบ็กแมมบีทอฟได้พบแรงบันดาลใจด้านภาพจาก YouTube ภาพฟุตเตทจากกล้องรักษาความปลอดภัยจากอุบัติเหตุรถบัสที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ ช่วยให้ทีมงานสร้างฉากเรือชนกันออกมาได้อย่างสมจริง เป็นการชนกันระหว่างเรือของกรีกและเรือทาส ภาพฟุตเตทจาก NASCAR ช่วยให้เบ็กแมมบีทอฟกำหนดความเร็วและความรุนแรงของฉากแข่งรถศึกได้ “สไตล์ของงานกล้องที่น่าทึ่งที่ โอลิเวอร์ วู้ด ทำขึ้น ได้รับการออกแบบมา ดังนั้นทุกฉากจึงให้ความรู้สึกราวกับคุณได้ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ครับ” เบ็กแมมบีทอฟอธิบาย “เราพยายามที่จะสละความงามเพื่อให้ได้ความสมจริง เพื่อให้คนดูได้รู้จักโลกนี้จริงๆ เทคนิคกล้องที่เราใช้จะให้ความรู้สึกคุ้นเคยสำหรับคนดูยุคใหม่ เราอยากได้ภาพแอ็กชั่นในแบบที่คุณจะเห็นในเหตุการณ์จริง เพื่อให้ได้มาอย่างที่ต้องการ เราต้องมองหาแรงบันดาลใจในภาพจากอินสตาแกรมและคลิปวิดีโอจาก YouTube ไม่ใช่จากภาพวาดคลาสสิก"

เทคโนโลยียุคใหม่ อย่างกล้อง Go-Pro ทำให้เบ็กแมมบีทอฟและวู้ด ถ่ายทำได้จากเกือบทุกมุมกล้อง แม้กระทั่งการวางกล้องเอาไว้ในทรายเพื่อให้ได้ภาพรถศึกที่วิ่งห่อทะยานอยู่บนทราย

“ผมชอบอิสรภาพของกล้อง Go-Pro มากครับ” วู้ดบอก “ปกติแล้ว คุณจะถูกจำกัดด้วยพื้นที่ซึ่งจะต้องมากพอที่จะตั้งกล้อง สายระโยงระยางและผู้กำกับกล้องได้ แต่กล้อง Go-Pro มันสามารถไปได้ทุกที่จริงๆ ครับ”


งานขี่ม้าสุดอลังก์ต้องมา

ฉากไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือการแข่งควบรถศึกที่เต็มไปด้วยอันตรายระหว่างเบนเฮอร์กับเมสซาล่า ซึ่งใช้เวลาถ่ายทำนานกว่า 32 วันที่โรงถ่ายซิเนซิตต้า สตูดิโอส์ในกรุงโรม นับแต่วันแรก มีการตัดสินใจกันไปแล้วว่าจะถ่ายทำฉากการแข่งรถศึกด้วยกล้อง ทำให้ฮุสตันและเค็บเบลล์ต้องผ่านการฝึกฝนนานกว่า 12 อาทิตย์ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีประสบการณ์การขี่ม้ามาแล้ว แต่การแข่งด้วยม้าถึงสี่ตัวถือเป็นทักษะใหม่อย่างสิ้นเชิง

"ผมโตมากับม้าครับ” แจ็ค ฮุสตันบอก “ผมรู้สึกสบายใจและเชื่อมั่นเมื่ออยู่กับม้า แต่มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อคุณต้องควบคุมม้าสี่ตัวไปพร้อมกัน ความแข็งแกร่งของพวกมันมีสูงมาก คุณไม่สามารถวิ่งอ้อมมุมได้ คุณต้องลื่นไถลไปในทราย มันคือประสบการณ์ที่ทำให้อดรีนาลีนพลุ่งพล่านได้มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในชีวิตนี้เลยครับ”

“การแข่งขันควบคุมรถศึกถือเป็นกีฬาโลดโผนที่สุดในยุคสมัยนั้น ถึงแม้ว่าเราจะได้แรงบันดาลใจมาจากการแข่ง NASCAR และฟอร์มูล่าวัน แต่การควบคุมรถศึกที่มาพร้อมม้าสี่ตัวนั้นถือว่าอันตรายกว่าเยอะครับ” เบ็กแมมบีทอฟสารภาพตามตรง “ผมมีโอกาสได้ทดลองขับครั้งหนึ่งในกองถ่าย และบอกตรงๆ มันน่ากลัวมาก ลืมเรื่องที่ว่าจะมีถุงลมนิรภัยหรือเครื่องป้องกันไปได้เลย คนบังคับจะต้องอยู่ใกล้กับพื้นมากและทางเดียวที่จะบังคับรถได้ก็คือการใช้น้ำหนักตัวของคนขับเอง กับการรักษาสมดุลของแท่นยืน เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แน่ถ้าไม่มี สตีฟ เด้นท์ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมม้าและผู้ประสานงานสตั๊นต์ให้กับเรา รวมถึง ฟิล นีลสัน ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 ของเราด้วย”

"เมื่อคุณพุ่งออกมาจากประตู คุณจะเจออีก 7 ทีมพร้อมม้า 28 ตัวพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับคุณ” ฮุสตันอธิบายต่อ “คุณต้องเล่นกับกล้อง แต่ขณะเดียวกัน คุณก็ต้องคอยเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนกับการต้องขับรถศึกและแสดงไปในเวลาเดียวกันเลยครับ”

"การฝึกมันสุดยอดมากสำหรับผม” เค็บเบลล์บอก “เราเริ่มต้นด้วยม้าหนึ่งตัวกับรถลากหนึ่งคัน จากนั้นก็เพิ่มเป็นม้าสองตัวมาลากรถศึก จากนั้นก็เพิ่มเป็นสี่ตัว และจะมีทางที่เป็นคลื่นให้เราหัด สิ่งที่ผมรู้สึกเลยตั้งแต่แรกก็คือ ไม่ว่าผมจะทั้งดึงทั้งผลักยังไง แต่สิ่งที่ผมต้องทำให้แข็งแกร่งที่สุดก็คือนิ้วมือครับ นิ้วต้องสามารถแบ่งแยกความแข็งแรงของคุณได้ระหว่างม้าสี่ตัวเพื่อจะควบคุมพวกมัน"

"ผมว่าในตอนแรก แจ็คกับโทบี้ คงคิดว่า ‘มันจะยากสักแค่ไหนเชียว’” เฮนเดอร์สันตั้งข้อสังเกต “แต่การควบคุมม้าทั้งสี่ตัวต้องในแรงเยอะมาก พวกมันสามารถหลุดหนีไปจากคุณได้ทุกวินาที ดังนั้นคุณต้องควบคุมให้อยู่ มันไม่ใช่แค่ความปลอดภัยของตัวคุณเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยของทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณด้วย"

"การควบคุมรถม้าศึกที่ความเร็ว 40 ไมล์ต่อชั่วโมง อาจฟังดูไม่เร็วเท่าไหร่ แต่คุณลองไปขี่มอเตอร์ไบก์ด้วยความเร็วเท่านั้น โดยเปิดหมวกกันน็อคขึ้น คุณจะรู้เลยว่ามันแรงแค่ไหน” เค็บเบลล์เล่าพร้อมรอยยิ้ม “มันเป็นความรู้สึกที่เหลือเชื่อมากเมื่อคุณต้องหักเลี้ยวโดยมีแสงอาทิตย์ส่องเข้าตา แถมมีขี้ฝุ่นซัดใส่หน้าคุณตลอด”

"เราได้ภาพฟุตเตทที่สุดยอดมากในตอนที่แจ็คและโทบี้กำลังบังคับรถม้าศึกด้วยความเร็วสูงสุด” พีท ไวท์ ผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมม้า บอก “คุณจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าพวกเขาเหมือนวิ่งไล่แบบหายใจรดต้นคอกันเลย”

ในขณะที่ทุกความพยายามเกิดขึ้นต่อหน้ากล้องในกองถ่าย ชอตที่มีอันตรายหลายฉากถูกสร้างขึ้นในคอมพิวเตอร์เพื่อความปลอดภัยของม้าและทีมสตั๊นต์ เทคนิคที่ต้องให้ม้าล้มคว่ำเหนือเส้นลวดที่ถูกซ่อนไว้ ในแบบที่เคยถูกใช้ในภาพยนตร์ Ben-Hur เวอร์ชั่นปี 1959 ซึ่งกลายเป็นเทคนิคที่ถูกห้ามใช้นับแต่นั้น เป็นผลทำให้ม้าหลายสิบตัวได้รับบาดเจ็บและล้มตาย แต่ปัจจุบัน งานวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่ดูไร้รอยต่อ ทำให้ได้ภาพม้าที่ชนกันและล้มลงโดยไม่ต้องทำให้ม้าจริงๆ ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

“เรามีม้าหลายตัวที่วิ่งผ่านเข้าไปในกลุ่มคนดู หรือล้มลง งานนี้ต้องขอบคุณการปรับแต่งภาพด้วยงานซีจี” ฟิล นีลเซ่น ผู้กำกับย่อยที่ 2 บอก “แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เราจัดการแข่งด้วยความเร็วสูง โดยมีนักแสดงอยู่ตรงกลางฉาก เราต้องการให้คนดูได้ลงแข่งไปกับจูดาห์และเมสซาล่าด้วย” 

"ไม่มีช่องว่างให้ด้นมุขสดอะไรทั้งนั้น” นีลเซ่นอธิบายต่อ “บางครั้งคุณอาจได้ชอตที่ดีที่คุณคาดไม่ถึงอันเนื่องจากการมีรถม้าศึกแปดคันวิ่งอยู่ และกำลังทำสิ่งที่พวกเขาต้องทำ แต่ทุกการเคลื่อนไหวและทุกการหักเลี้ยวนั้น ผ่านการออกแบบมาแล้วเพื่อความปลอดภัยของทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง"

"ทีมสตั๊นต์และคนที่ขับรถม้าศึกเป็นคนที่เก่งในงานด้านนี้มากที่สุด” นีลเซ่นกล่าวต่อ “แต่ถึงกระนั้น คนขับที่เชี่ยวชาญแล้วก็ยังต้องทำงานกับรถม้าศึกที่เร็วกว่าที่พวกเขาเคยใช้ มันให้ความรู้สึกเหมือนคุณอยู่บนสเก็ตบอร์ด มันวิ่งไวมากเลยครับ”