happy on July 27, 2016, 02:35:16 PM

JASON BOURNE

กำหนดเปิดตัวฉายในประเทศไทย: 28 กรกฎาคม 2016
ชื่อไทย เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย
จัดจำหน่าย: บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด

เบื้องหลังงานสร้าง

          แม็ตต์ เดม่อน กลับมารับบทบาทที่ถือว่าโด่งดังที่สุดของเขาใน Jason Bourne พอล กรีนกราสส์ ผู้กำกับ The Bourne Supremacy และ The Bourne Ultimatum กลับมาผนึกกำลังกับเดม่อนอีกครั้งในเรื่องราวบทต่อมาของภาพยนตร์แฟรนไชส์ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ชุด Bourne ซึ่งมาครั้งนี้ อดีตสายลับสุดอันตรายของซีไอเอ ตัดสินใจเผยตัวออกจากเงามืด
 
     เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ทหารหนุ่มฝีมือดีได้อาสาเข้าโครงการทดลองลับ หลังจากทางการแจ้งเขาว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายลงมือสังหารพ่อของเขา เขาคิดดีอย่างมีความหวังว่าเขาจะสามารถยกย่องให้เกียรติกับครอบครัวและประเทศชาติ ด้วยการพัฒนาความเฉลียวฉลาด ความว่องไว และทักษะในการปรับตัวที่เกินจินตนาการของทุกคน

     แต่ทุกอย่างกลับเป็นคำโกหก

     เขากลายเป็นหนูทดลองการฝึกซ้อมสุดโหดที่ตัวเขาเองก็จำไม่ได้ โดยกลุ่มคนที่เขาเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร มือสังหารที่ผ่านการฝึกมาจนกลายเป็นระดับหัวกะทิ ที่ถูกเรียกชื่อว่า เจสัน บอร์น ถูกสร้างให้กลายเป็นมนุษย์ที่เป็นเหมือนอาวุธมูลค่า $100 ล้าน แต่ตามที่ผู้ออกแบบเขาได้บอกเอาไว้ เขาเกิดทำงานผิดพลาด

     เมื่อบอร์นพยายามแกะรอยผู้สร้างเขาขึ้นมา คนกลุ่มนี้กลับพยายามกำจัดเขาทิ้ง แถมยังพรากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักไป เมื่อเขาได้ล้างแค้น และได้รู้ถึงตัวตนจริงๆ และได้รู้ว่าสิ่งที่เขาเคยเชื่อแท้จริงแล้วคือเป้าหมายของโครงการของผู้สร้างเขาขึ้นมา บอร์นรู้สึกเหมือนจะสงบ และหายตัวไป เพื่อสิ่งที่เขาหวังว่าจะเป็นการหายไปตลอดกาล 
 
     เมื่อมีการเริ่มต้นโครงการใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกพัฒนาโดยหน่วยงานที่ทรงอำนาจที่มีความลึกลับและน่าสงสัยยิ่งกว่ากลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่สร้างบอร์นขึ้นมา เขาถูกเครือข่ายที่มีอันตรายยิ่งกว่าหน่วยงานรัฐบาลใดๆ บีบให้ก้าวออกมาจากที่ซ่อน เป้าหมายเดียวขององค์กรที่มีอำนาจนี้ ก็คือการใช้ความกลัว เทคโนโลยี และการจลาจลเพื่อเป้าหมายสุดท้าย

     ขณะที่ผู้ตามล่าเขาเชื่อว่าบอร์นจะยอมกลับเข้าโครงการเพื่อปรับสภาพ ถ้าพวกเขาให้ในสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด แต่อาวุธร้ายที่สุดที่เคยมีการสร้างกันออกมาผู้นี้ รู้ดีว่าผู้ตามล่าไม่สามารถเข้าใจได้ว่า แม้แต่ทหารที่ชีวิตพังพินาศไปแล้วนั้น ก็ยังปกป้องคนบริสุทธิ์จากผู้มีอำนาจที่ไม่ผ่านการตรวจสอบได้

     สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Jason Bourne นี้ เดม่อนได้ทีมนักแสดงนานาชาติมาร่วมประชันบทบาทด้วย นำทีมโดยเหล่านักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ทอมมี่ ลี โจนส์ (Men in Black series, The Fugitive) และอลิเซีย วิกันเดอร์ (The Danish Girl, Ex Machina) รวมถึง วินเซนต์ แคสเซล (Black Swan, Ocean’s Thirteen), ริซ อาห์เหม็ด (Nightcrawler, Four Lions), อาโต เอสแซนโดห์  (Django Unchained, Blood Diamond) และสก็อตต์ เชพเพิร์ด (Bridge of Spies, Ithaca) จูเลีย สไตลส์ (Silver Linings Playbook, ภาพยนตร์ Bourne ไตรภาค) กลับมารับบทบาทสำคัญบทเดิม

     แฟรงก์ มาร์แชลล์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 5 ครั้ง (Jurassic World, ภาพยนตร์แฟรนไชส์  Bourne) ทำหน้าที่อำนวยการสร้างอีกครั้ง ร่วมกับ เจฟฟรีย์ เอ็ม ไวเนอร์ (The Bourne Ultimatum, The Bourne Supremacy) ให้กับบริษัท แค็ปติเวท เอนเตอร์เทนเม้นต์ รวมถึง เบน สมิธ (The Bourne Legacy), เดม่อน, กรีนกราสส์ และเกรกอรี่ กู้ดแมน (X-Men: First Class, Captain Phillips)

     สร้างจากตัวละครที่สร้างสรรค์โดย โรเบิร์ต ลัดลั่ม ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทโดยกรีนกราสส์ และผู้ที่ร่วมงานกับเขามานานอย่างเจ้าของรางวัลออสการ์ คริสโตเฟอร์ เร้าส์ (Captain Phillips, ภาพยนตร์ไตรภาค Bourne) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องนี้ด้วย

     ทีมงานหลังกล้องที่ถือเป็นคนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังรวมถึงผู้ที่เคยร่วมงานกับกรีนกราสส์มาแล้ว นำทีมโดยผู้กำกับภาพ แบร์รี่ แอ็ครอยด์ (The Hurt Locker, Captain Phillips), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ พอล เคอร์บี้ (Captain Phillips, Kingsman: The Secret Service), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ได้รับรางวัลออสการ์ มาร์ก บริดเจส (The Artist, Captain Phillips) และผู้แต่งดนตรีประกอบ จอห์น พาวเวลล์ (ภาพยนตร์ชุด How to Train Your Dragon, ภาพยนตร์ชุด Bourne) และเดวิด บั๊คลี่ย์ (The Town, TV’s The Good Wife)

     ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่อง Jason Bourne ได้แก่ เฮนรี่ มอร์ริสัน (The Bourne Supremacy, The Bourne Ultimatum), เร้าส์, เจนนิเฟอร์ ท็อดด์ (Memento, Alice in Wonderland) และดั๊ก ไลแมน (The Bourne Identity, Edge of Tomorrow)







เบื้องหลังงานสร้าง

เจสัน บอร์น กลับมาแล้ว:
สายลับปรากฎกาย

           ในโลกของการออกแบบฉากแอ็กชั่น ฉากไล่ล่า ภาพยนตร์ชุด Bourne ที่มาพร้อมเรื่องราวและโครงเรื่องสุดสร้างสรรค์ ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์แนวนี้ เป็นเวลานานเกือบสิบปีแล้วที่คนดูได้เรียกร้องให้กรีนกราสส์และเดม่อนกลับมาร่วมมือกันอีกครั้งในเรื่องราวบทใหม่ที่มีทั้งความเฉลียวฉลาด งานจารกรรม และฉากแอ็กชั่นเท่าเทียมกัน
 
     หลายสิ่งอย่างเกิดขึ้นในโลกนี้นับแต่สายลับ เจสัน บอร์น หายหน้าหายตาไปในตอนจบของภาพยนตร์ปี 2007 เรื่อง The Bourne Ultimatum กาลเวลาผันผ่านจนได้เวลาที่เขาจะกลับมา ทางทีมผู้สร้างเองก็มองหาจุดบรรจบของเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมที่จะเป็นฉากที่เหมาะให้บอร์นได้กลับมาและสืบสานเรื่องราวของเขาให้เดินหน้าต่อไป และเหตุการณ์เหล่านั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 2014   

     ผู้อำนวยการสร้าง แฟรงก์ มาร์แชลล์ ผู้ทำงานกับทีม Bourne มาตั้งแต่ภาพยนตร์ภาคแรก บอกว่า “ในที่สุด เราก็ลงเอยกับเรื่องที่มีความเป็นปัจจุบันและสัมพันธ์กันเพื่อแสดงให้เห็นถึงการกลับมาของบอร์น พอล, คริส, แม็ตต์ และพวกเราที่เหลือทุกคน พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เป็นไปได้ และในที่สุด ก็โดนใจกับเรื่องหนึ่ง หนึ่งในหลายๆ เรื่องที่เรารู้สึกเป็นห่วง ไม่ใช่แค่การต้องสร้างภาพยนตร์ออกมาอีกเรื่อง เป็นภาคต่ออีกตอนของ Bourne แต่จะต้องมีการก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่ที่จะต้องมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งต่อมาได้สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเราที่จะเล่าเรื่องราวใหม่”
 
     “เราทุกคนต่างรู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงไป และสร้างแรงบันดาลใจให้เราคิดสร้างเรื่องที่จะต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทุกวันนี้” ผู้อำนวยการสร้างมาร์แชลล์ กล่าวต่อ “ภาพยนตร์ชุดนี้ถือว่ามีความพิเศษสำหรับผม เพราะผมอยู่ด้วยมาตั้งแต่เริ่มต้นคิดไอเดียกัน ซึ่งตอนนั้นเรานำเรื่องราวในหนังสือเล่มแรกของ โรเบิร์ต ลัดลั่ม มาใช้ ในทีแรก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามเย็น และทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาในโลกศตวรรษที่ 21 สำหรับผม มันน่าตื่นเต้นที่ได้มาทำงานกับภาพยนตร์ภาคที่ 5 และรู้ว่าคนดูยังคงกระตือรือร้นที่จะได้ดูว่า บอร์น จะเดินหน้าไปทางใดต่อไป”

     ผู้อำนวยการสร้าง เกรกอรี่ กู้ดแมน บอกว่าสิ่งที่กรีนกราสส์และ คริสโตเฟอร์ เร้าส์ ได้สร้างขึ้นมาในบทภาพยนตร์ของพวกเขา ไม่ใช่แค่ถูกเวลาเท่านั้น แต่มันยังช่วยผลักดันไปข้างหน้าอีกด้วย “ผมเชื่อว่าการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะมันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีโอกาสที่จะได้พูดถึงปัญหาที่จริงจังมากขึ้น และตรงไปตรงมาด้วย ความเป็นกังวลที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในภาพยนตร์ภาคก่อนๆ นี้ แทบจะดูใสซื่อไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเราต้องเจอในโลกยุคหลังสโนว์เด้น, วิกิลีกส์ ควบคู่ไปกับความรู้สึกว่ามีรัฐบาลลับที่ทำงานแยกต่างหากจากเราอยู่จริงๆ สิ่งที่ผมพบว่าน่าสนใจอย่างมาก ก็คือ แม้แต่เหล่าร้ายก็มีข้อโต้แย้งที่ถูกต้อง สำหรับผมแล้ว เห็นได้ชัดในฐานะพลเรือนว่าพวกเราในฐานะที่เป็นสังคม ต้องตัดสินใจเลือกอย่างยากลำบากในการสร้างสมดุลให้กับความต้องการในความปลอดภัยและความมั่นคง กับความต้องการในความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใส ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวตรงนั้น แต่ในเนื้อหาของภาพยนตร์แอ็กชั่นที่ทำให้อดรีนาลีนพุ่งกระฉูดได้”

     แม็ตต์ เดม่อนได้พูดถึงความนิยมที่อยู่คงทนของตัวละครที่เขาเป็นผู้มอบชีวิตให้ “เรารักเขาเท่ากับคนอื่นๆ และเราก็คงรู้สึกเหมือนกำลังโกงถ้าจะเอารถลากไปผูกเอาไว้ด้านหน้าของม้า และสร้างภาพยนตร์  Bourne ออกมาอีกหนึ่งเรื่องก่อนที่เราจะพร้อม โดยมีเรื่องราวที่ดี มันคือเรื่องของการรอให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอีกนิด พอลและผมได้พูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ และสิ่งหนึ่งที่ผมมักพูดเสมอ ก็คือ ผมจะยอมแสดงถ้าเขาเป็นคนเข้ามาทำงาน เราจะคุยกันถึงโปรเจ็กต์ต่างๆ ตลอดเวลา และเราก็ได้ร่วมกันสร้างภาพยนตร์ออกมาอีกเรื่อง ทุกๆ สองเดือน เราจะต้องพูดคุยกันเกี่ยวกับ Bourne แต่ดูเหมือนจะไม่เดินหน้าไปไหนเลยจนกระทั่ง 18 เดือนต่อมา”

     ปัญหาที่ต้องจัดการก่อนเป็นอย่างแรกเลยก็คือคำถามที่ว่า “ตกลงบอร์นหายไปอยู่ที่ไหนมา” ตามกรอบเวลาที่ถูกวางเอาไว้ใน Ultimatum สายลับผู้นี้ได้เดินจากไปในช่วงสิ้นปี 2004 “ดังนั้น เขาไปทำอะไรมานานถึง 12 ปี และชีวิตเขาเป็นยังไงบ้าง” เดม่อนกล่าวต่อ “นั่นคือคำถามที่สำคัญที่สุดที่จะต้องหาคำตอบ และเมื่อเราได้คำตอบแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง”

     ทางทีมผู้สร้างยอมรับว่าบรรดาแฟนๆ ที่อยากดูภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อ มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นภาพยนตร์ภาคล่าสุดนี้ แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับเช่นกันว่ามันเป็นเพราะความนิยมของดารานำและตัวละครที่เขาได้สร้างขึ้นมา กรีนกราสส์กล่าวว่า “ภาพยนตร์เรื่อง Bourne เป็นเหมือนครอบครัวเลยครับ ทุกคนกลับมา ผมชอบมาก คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง แต่มันก็เกิดขึ้น มันเหมือนกับวงดนตรีร็อคกลับมารวมตัวกันเพื่อออกทัวร์เล่นเพลงเก่า และก็เล่นเพลงใหม่ไปพร้อมกับเพลงคลาสสิคด้วย”

     กู้ดแมนเห็นด้วยกับผู้กำกับ “แม็ตต์ทำให้บอร์นเป็นตัวละครที่ทุกคนสัมผัสได้ในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เขาเป็นตัวละครที่พบหนทางที่จะก้าวเข้าสู่สถานการณ์นี้ และพยายามที่จะค้นหาความจริง มันคือสมดุลในส่วนที่ว่าเขาคือใคร นอกจากนี้ ผมยังเชื่อว่าความดิบและความเหมือนจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกัน มันทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังดูบางอย่างที่มาพร้อมแรงดึงดูดมากขึ้น ความรู้สึกที่แทบจะเหมือนกับสารคดี และการเข้าถึงได้ง่ายของแม็ตต์ เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ และทำให้คนสนใจได้ครับ”

     อย่างไรก็ดี แม้จะปราศจากโครงเรื่องสุดโลดโผนที่จะใส่ตัวละครตัวนี้เข้าไป แต่บอร์นยังคงเก็บตัวเงียบ ไม่ว่าจะเป็นทางภาพยนตร์หรือทางอื่นๆ ก็ตาม เดม่อนกล่าวว่า “คอนเซ็ปต์ของภาพยนตร์ภาคที่สี่ที่เป็นเรื่องของการทำสงครามไซเบอร์ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเทคโนโลยีเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือสิ่งที่มีผลอย่างมากต่อจิตสำนึกของสาธารณชน อย่างชีวิตดิจิตอลของพวกเรา สิทธิเสรีภาพในฐานะพลเรือนของเรา ไปจนถึงสิ่งที่ผู้คนเฝ้าจับตาดูเรา บอร์นพบตัวเขาเองอยู่ในโลกใบใหม่ใบนี้ครับ”

     ขณะที่ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องนี้แตะประเด็นปัญหาการเมืองปัจจุบัน แต่ความรู้สึกประชดประชันและความเบื่อหน่ายที่โลกรู้สึกกับคนที่ไว้วางใจเพื่อให้มาบริหารโลกนี้ให้กับเรา กู้ดแมนอธิบายว่า “หลายปีที่ผ่านไป ได้นำพวกเราไปสู่จุดที่แตกต่าง ด้วยวิถีที่เรามองโลกและที่ที่เราอยู่ มีความกังวลและความเป็นห่วงมากมายเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกของสังคมของเราในระดับโลก”

     ถึงแม้เรื่องราวของบอร์นจะมีความต่อเนื่อง รวมถึงการค้นหาความจริงของเขา แต่เรื่องราวในบทภาพยนตร์ตอนนี้กลับเป็นเหมือนเรื่องที่จบเบ็ดเสร็จในตนเอง มาร์แชลล์บอกว่า “คุณเคยตกลงไปในโลกใบก่อนของบอร์น ซึ่งเป็นโลกของงานจารกรรมและสายลับ และบัดนี้ ด้วยดาวเทียม กล้องวงจรปิด และข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย ผู้คนคุ้นเคยกับโลกนี้แล้ว เมื่อคนดูเข้าใจในโลกที่เจสันอาศัยอยู่ สิ่งที่เขาพยายามทำ พวกเขาก็จะตามติดเรื่องได้เร็ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยดูหนังภาคก่อนๆ นี้ก็ตาม ส่วนคนที่รู้จักดีว่าเจสัน บอร์นเป็นใคร ก็คงอยากเห็นว่าเขาจะเคลื่อนไหวยังไงต่อไป และร่วมผจญภัยไปกับเขาด้วย” 

     การผจญภัยหมายถึงการต้องจัดการกับคนที่นั่งอยู่ในที่นั่งคนขับ และกรีนกราสส์ก็รู้จักตัวละครและโลกของเขาเป็นอย่างดี มันคือการจับคู่กันระหว่างสสารและสไตล์ ตามที่กรีนกราสส์บอก “การสร้างหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับการยึดมั่นต่อวิธีที่คุณมองดูโลกนี้ หนึ่งในหลายๆ อย่างที่คุณต้องทำในฐานะผู้กำกับก็คือการเป็นผู้ควบคุมวงออร์เคสตร้า การนำพวกเขาไปสู่การประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน และส่วนหนึ่งของงานที่คุณทำในฐานะคอนดั๊คเตอร์ ก็คือการกำหนดจังหวะความเร็ว”

     “มันมีจังหวะของการถ่ายทำ เป็นจังหวะความเร็วที่คุณถ่ายภาพ” ผู้กำกับกรีนกราสส์กล่าวต่อ “ทีมงานจะชอบมากเวลาที่มีเป้าประสงค์ มันยังมีจังหวะภายในของตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ ชอตต่อชอต จังหวะตรงนั้นมันคืออะไร ทุกคนเคลื่อนที่เร็วพอไหม หรือพวกเขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป การประสานงานของกล้องและเสียงและการแสดง และฉากเข้ากันได้หรือไม่ ทุกอย่างนั้นสร้างจังหวะออกมาได้ลงตัวหรือไม่ ดังนั้นการได้เฝ้าดู และทำให้มันลงตัวตั้งแต่แรกเริ่มจึงเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่คุณพยายามทำครับ”

     และพลังความคิดสร้างสรรค์นี้นี่เองที่ทั้งท้าทายและดึงดูดเหล่าคนมีฝีมือมาสู่ผลงานภาพยนตร์ของกรีนกราสส์ “นักแสดงต้องทุ่มสุดตัว พวกเขาต้องรู้บทพูด และต้องเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขากำลังพูดออกไป เพราะพอลชอบทำงานแบบเรียลไทม์ และถ่ายทำกันแบบเทกยาวๆ” มาร์แชลล์ตั้งข้อสังเกต “มีบทหลายหน้ามาก ดังนั้นมันจึงท้าทายสำหรับนักแสดง แต่มันก็ได้ผลจริงๆ เพราะเป็นอารมณ์ในเวลานั้น เรามีภาพฟุตเตทเยอะแยะที่ให้ความรู้สึกจริงมากๆ”

     นอกเหนือไปจากการพูดคุยอย่างมีสไตล์แล้ว เดม่อนบอกเอาไว้อย่างตรงประเด็น เมื่อเขากล่าวว่า “สุดท้ายแล้ว เหตุผลข้อแรกที่เราทำหนังเรื่องนี้กันก็เป็นเพราะคนดูอยากดู ในทุกสนามบินที่ผมไปหรือในทุกครั้งที่ผมเดินไปตามถนน และมีคนหยุดทักทายผม นั่นจะเป็นคำถามอย่างแรก ซึ่งก็คือ ‘คุณจะเล่นหนัง Bourne อีกตอนไหม’ ในทางหนึ่งมันก็น่าตื่นเต้นนะครับ แต่ก็มีความกดดันอยู่ด้วย เพราะคุณอยากให้มันเข้ากันกับหนังภาคอื่นๆ เราทุกคนต่างรู้สึกภูมิใจกับหนังสามภาคก่อนมาก และเราก็อยากให้หนังภาคนี้เข้ากันกับหนังสามภาคแรกเป็นอย่างดี เราทั้งตื่นเต้นและกระวนกระวาย และรู้สึกถึงความกดดัน แต่เราก็รู้สึกราวกับว่าเรารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่คนดูชอบในหนังเหล่านี้ และเราก็ทำอย่างสุดความสามารถเพื่อสร้างหนังที่ดีออกมา”

     เดม่อนหยุดพูดไปชั่วครู่ “ผมแน่ใจว่าผมจะยังคงผูกพันกับบทบาทนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าผมจะไปทำอะไรอย่างอื่น คุณได้ทำบางอย่างถึงสี่ครั้งในชีวิตการทำงานของคุณ และมันก็จะติดตามคุณไปรอบๆ แต่ผมไม่รังเกียจหรอกนะที่จะถูกติดตามด้วยบทนี้ เพราะผมชอบเจสัน บอร์นจริงๆ ครับ”

     กรีนกราสส์กล่าวถึงความต่อเนื่องของธีมนี้ว่า “ความจริงก็คือ เราไม่รู้ว่าชื่อหนังจะชื่อว่าอะไรตอนที่เราเริ่มต้นทำงานกัน มันยังใช้ชื่อว่า Untitled Bourne Project ตอนที่เราเริ่มต้นเขียนบท จากนั้น ทางสตูดิโอก็พูดขึ้นว่า ‘เรียกมันว่า Jason Bourne ดีไหม’ ผมว่ามันเป็นไอเดียที่ดีมากเพราะมันฟังดูคลาสสิก แต่ขณะเดียวกันก็ดูสดใหม่ด้วย”

     มาร์แชลล์ได้พูดถึงการที่ได้ทีมงานหลักๆ กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งว่า “ตัวละคร เจสัน บอร์น คือสิ่งที่ผู้คนตอบรับ พวกเขาเห็นใจ เจสัน บอร์น และอยากเห็นเขาหลุดพ้นจากสถานการณ์เหล่านี้ พวกเขาเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ และถ้าผมสามารถได้ตัว แม็ตต์ เดม่อนมาแสดงในหนังทุกเรื่องที่ผมสร้างได้ ผมก็คงจะมีความสุขมาก เขาคืออัจฉริยะ เป็นคนสุภาพและเป็นคนดีมาก และยังเป็นนักแสดงที่มีความเป็นมืออาชีพ ให้ความร่วมมือดี และยังเป็นคนมีอารมณ์ขันอีกด้วย”
« Last Edit: July 27, 2016, 02:45:47 PM by happy »

happy on July 27, 2016, 02:53:35 PM





สายลับคู่ปรับ:
การคัดเลือกนักแสดงในบทดีและร้าย

          ในช่วงเวลาที่บอร์นหายตัวไป เขาได้เปลี่ยนแปลงไปมาก กรีนกราสส์บอกว่า เราพบบอร์นที่ชายแดนกรีก/ มาซีโดเนีย เขาดูสับสน ไม่นิ่ง เราไม่รู้ว่าทำไม ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นกับบอร์นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทำไมเขาถึงไม่สามารถหาความสุขสงบได้พบ เรื่องราวของเราจะติดตามสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อพยายามและค้นหามัน”

     เดม่อนอธิบายเพิ่มเติมว่า “สิ่งที่เราค้นพบก็คือ เขาได้อิสรภาพกลับมา เขาปลดปล่อยตัวเองจากตัวตนของ เจสัน บอร์น แต่มันก็มิอาจทำให้เขาเกิดความสงบได้ เขาคือดวงวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน และคุณก็พบเขาในจุดที่มืดมากในตอนต้นของภาพยนตร์ภาคนี้”

     มันคือหนึ่งในความสัตย์ซื่อในชีวิตที่แตกเป็นเสี่ยงๆ นิคกี้ พาร์สันส์ อดีตผู้ร่วมงานของเขา เป็นผู้นำบอร์นออกจากตัวตนที่ไร้แสงสว่าง ในช่วงหลายปีมานี้ เธอยังคงแฝงตัวอยู่นับแต่การพบปะกันครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับเธอ แต่โดยไม่คาดคิด จู่ๆ พาร์สันส์ก็ปรากฎตัวขึ้นกลางฝูงชน และยื่นข้อความให้กับเจสัน เพื่อให้เขามาพบเธอ เธอแฮ็คเข้าฐานข้อมูลของซีไอเอ และดึงไฟล์ของโครงการลับที่ย้อนกลับไปถึง 30 ปีมาได้ พาร์สันส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บอร์นไว้วางใจ ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลลับของเขาในระหว่างที่เธอแฮ็คข้อมูล

     เป็นอีกครั้งที่บท พาร์สันส์ รับบทแสดงโดย จูเลีย สไตลส์ ซึ่งมีความเกี่ยวพันบางอย่างกับสิ่งที่มีคนไม่มากนักจะรู้เกี่ยวกับตัวละครของเธอ “แต่เริ่มเดิมที นิคกี้ ในช่วงตอนจบของ The Bourne Identity ถูกจับเหวี่ยงกระแทกกับกำแพง จนคอเธอหัก แต่โชคดีสำหรับฉันที่พวกเขาตัดต่อมันใหม่ และ 15 ปีต่อมา ฉันก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้”

     “ตอนฉันได้รับเลือก ฉันจำได้ตอนนั้นฉันคิด โดยที่ไม่ได้พูดออกมาดังๆ ว่า ‘ฉันยังเด็กเกินกว่าจะเป็นซีไอเอนะ’ ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุ 19 ปีเอง” สไตลส์เล่า “ดังนั้นในหัวของฉัน นิคกี้เป็นคนที่มีความกระตือรือร้น และแทบจะเป็นผู้ช่วยที่ดีมาก การพัฒนาไปตามกาลเวลา เธอก็ยิ่งเก่งขึ้น โดยเฉพาะจากความสัมพันธ์โดยส่วนตัวของเธอกับเจสัน เธอห่วงใยเขา และรู้ว่าโครงการนี้ทำอะไรกับสภาพจิตใจและชีวิตของเขาบ้าง เมื่อเราทิ้งเธอไว้ใน Ultimatum เธอเองก็ต้องไปแอบซ่อนตัวเช่นกัน มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไป ฉันตื่นเต้นมากค่ะกับการได้กลับมาอีกครั้ง และสามารถทำให้นิคกี้เป็นคนที่ไม่กลัวอะไร กล้าลุกขึ้นขัดขืน และโกรธหน่วยงานนี้ทั้งหมด เธอไม่เหลืออะไร และเบื่อที่จะต้องหนี มันมีอิสรภาพที่มาจากการไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว ดังนั้น เธอจึงตั้งใจจะเปิดโปงว่าหน่วยงานนี้กำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรก็ตาม เพราะมันจะเป็นการเปิดตัวเธอด้วย เธอจะต้องก้าวออกมาจากการหลบซ่อนเสียที”

     เวลาที่เปลี่ยนไปได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงภายในหน่วยซีไอเอเช่นกัน บัดนี้ ผู้ที่เข้ามาควบคุมดูแลมีอำนาจก็คือ ผ.บ.ซีไอเอ โรเบิร์ต ดิวอี้ ทหารผ่านศึกและเป็นผู้เล่นที่มีความซับซ้อนในตัว “หนึ่งในความท้าทายสูงสุด” กรีนกราสส์อธิบาย “ก็คือการหาคู่ปรับที่แข็งแกร่งให้กับบอร์น เรามีตัวละครเยี่ยมๆ อยู่ในด้านนั้นของเรื่อง ซึ่งรับบทโดย ไบรอัน ค็อกซ์, คริส คูเปอร์, เดวิด สเตรทแธร์น เราโชคดีมากที่ได้ตัว ทอมมี่ ลี โจนส์ มาทำหน้าที่นี้ เขาเข้าใจในบทนี้ และกระบวนการทำงานของเรา ความบ้าคลั่งไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย แต่เขาก็ทำมันได้ด้วยอารมณ์ขัน และดูเหมือนจะสนุกมากเสียด้วย”   

     โจนส์ได้พิสูจน์ถึงความกระตือรือร้นด้วยกล่าวถึงประเด็นโต้แย้งที่กรีนกราสส์และเร้าส์เขียนขึ้นมาให้กับตัวละครของเขา “มันสนุกเสมอที่ได้ดูหนังพวกนี้ และผมคิดว่ายังสนุกที่ได้แสดงด้วย ถึงเวลาที่จะกลับไปทำงานแล้ว ผมรู้จักกับแม็ตต์มานานแล้ว จึงมีแต่แง่ดีที่จะให้ตัดสินใจเซ็นสัญญา แต่ประเด็นหลักเลยก็คือ มันดูน่าสนุกมากครับ” 

     “สนุก” อาจเป็นคำสุดท้ายที่ทุกคนใช้อธิบายตัวละครอย่างผ.อ.ดิวอี้ โจนส์บอกว่า “ตัวละครของผมอยากเข้าให้ถึงระบบใหม่ทางอินเตอร์เน็ตที่จะทำให้ซีไอเอสามารถเข้าถึงบันทึกในคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารของทุกคนในโลก” ไม่ว่าตัวเขาเองจะมองว่า ดิวอี้ เป็นตัวร้ายหรือไม่ก็ตาม แต่โจนส์ก็กล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “แน่นอนครับ เขาเป็นผู้ร้าย เขาพยายามฆ่าคนดีครับ”

     มาร์แชลล์ไม่ขายตรงเท่าโจนส์ ผู้อำนวยการสร้างมาร์แชลล์บอกว่า “หลายอย่างที่ถูกนำเสนอในหนังเหล่านี้ โดยเฉพาะในหนังภาคนี้ มันเหมือนตกอยู่ในพื้นที่สีเทา ประเด็นโต้แย้งก็คือมันเป็นไปเพราะความรักชาติและต้องการปกป้องประเทศชาติหรือไม่ ตัวละครของ ทอมมี่ ลี โจนส์ มีความซับซ้อนมากครับ” 

     กู้ดแมนกล่าวเสริมว่า “ดิวอี้มีมุมมองที่เชื่อว่าว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นถูกต้อง และเขาก็คิดว่าถ้าระหว่างทางจะต้องมีไข่แตกไปบ้างก็ต้องยอม คนดูอาจไม่เห็นด้วยกับเขานัก ผมก็อาจจะไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ผมก็เข้าใจประเด็นที่เขาคิดนะ” 

     ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนึ่งในพัฒนาการที่ยิ่งใหญ่ของทศวรรษที่ผ่านมาก็คือความสำคัญของงานไซเบอร์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ มาร์แชลล์กล่าวว่าถ้ามีแผนกงานใดที่อยู่ในซีไอเอที่ตั้งขึ้นในช่วงเวลาของ Ultimatum มันก็คงไม่มีอะไรที่เหมือนกับที่เห็นในปัจจุบัน เขาตั้งข้อสังเกตว่า “หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในภาพยนตร์ชุด Bourne ก็คือเรามีคนมากมายที่ไม่ไว้วางใจกัน และความไว้ใจเดียวที่มีก็คือความไว้วางใจระหว่างบอร์นและนิคกี้ ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านของซีไอเอ ไม่มีใครไว้ใจคนอื่นเลย ซึ่งมันช่วยเพิ่มมิติให้กับความลึกลับตื่นเต้นของเรื่องให้มากขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
” 
     กรีนกราสส์และเร้าส์ยังได้สร้างสมาชิกคนสำคัญในทีมของดิวอี้ขึ้นมา ซึ่งได้แก่ เฮ็ทเธอร์ ลี ซึ่งรับบทโดยนักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์ อลิเซีย วิกันเดอร์ เฮ็ทเธอร์คือมือแฮ็คเกอร์ ความสามารถของเธออยู่ที่การวิเคราะห์และคาดการณ์ถึงความขัดแย้งที่เป็นไปได้ในส่วนต่างๆ ของโลกผ่านโซเชี่ยลมีเดีย จากนั้นก็ใส่อิทธิพลหรือแม้กระทั่งควบคุมพวกเขาได้

     กู้ดแมนแนะนำเราให้รู้จักกับตัวละครที่สงสัยว่าพาร์สันส์กำลังตามหาบอร์น “เฮ็ทเธอร์คือหญิงสาวที่ไปเรียนสแตนฟอร์ด และได้รับเลือกจากหลายองค์กรให้เข้าไปร่วมงานด้วย เธอสามารถเลือกหน่วยงานเอกชนและทำรายได้หลายล้าน แต่เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนฉลาดผู้ตัดสินใจเลือกในแบบที่ไม่เหมือนใครว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเธอ ไม่ใช่แค่เธอเป็นคนทะเยอทะยานเท่านั้น เธอยังต้องการจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ เธอรู้สึกว่าเธอต้องสร้างชื่อด้วยการนำตัวบอร์นกลับเข้าโครงการ เราต้องเลือกนักแสดงที่มีพลัง และจะต้องหยัดยืนสู้กับทอมมี่ได้ ความสัมพันธ์ของเขากับเธอถือเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ” 

     ในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านการปราบปรามการก่อกบฏ และการโจมตีด้วยโดรน และยังเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์สูง จากเอเธนส์ ถึงกรุงเบอร์ลิน จนถึงกรุงลอนดอน และเวกัส ลีติดตามพาร์สันส์และบอร์นไปทั่วโลก เมื่อเธอเริ่มเชื่อว่าบอร์นสามารถถูกดึงกลับเข้ามาปรับทัศนวิสัยได้ เธอได้ทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเช่นเดียวกับที่คนอื่นๆ ก่อนหน้าเธอได้ทำไว้

     กรีนกราสส์ยืนยันว่าเขากับเร้าส์ต้องการตัวละครใหม่ที่มีความแข็งแกร่งเพื่อเป็นตัวแทนความท้าทายใหม่สำหรับบอร์น “และต้องเป็นความท้าทายทั้งในแง่ของทักษะฝีมือและยังต้องเป็นส่วนหนึ่งของคนรุ่นใหม่ด้วย ผมได้เห็นอลิเซียใน Ex Machina และ The Danish Girl เธอสุดยอดมาก แต่ถ้าให้บอกตรงๆ ผมก็ไม่คิดว่าเธอจะยอมแสดงนะครับ สำหรับผม เมื่อคุณเริ่มต้นแสดงหนังสักเรื่อง บทบาทแรกที่คุณแสดงนั้นถือว่าสำคัญมาก ผมเลยชวนเธอออกไปกินอาหารกลางวันกัน”

     อาหารมื้อนั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นช่วงเวลาเติมเต็มสำหรับนักแสดงสาว วิกันเดอร์เล่าว่า “ตอนที่พอลกับฉันได้เจอกัน ฉันบอกบางอย่างกับเขาซึ่งเขาอาจคิดว่าฉันแต่งขึ้นมาเพื่อการพบปะกันระหว่างเรา แต่มันเป็นความจริงนะคะ! ตอนที่ฉันมาลอนดอนครั้งแรก ฉันอยู่ร่วมแฟลตกับผู้หญิงสามคน ไม่ไกลจากจุดที่เราลงเอยด้วยการไปถ่ายทำกันในแพ็ดดิงตัน เราไม่มีเงิน เราแบ่งเสื้อผ้ากันใส่ เราแบ่งเตียงกันนอน และทุกวันอาทิตย์ เวลาที่เรามีเงินไม่พอจะไปเที่ยวผับได้ เราจะแค่ถามว่า ‘เราดูหนัง  Bourne กันไหม’ และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเราทำกันค่ะ เราแค่ดูหนังหนังเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก หลังจากฉันได้กินอาหารกลางวันกับพอล เพื่อนเก่าที่ฉันเคยนอนร่วมห้องด้วยคือคนกลุ่มแรกที่ฉันโทรไปหาเลยค่ะ”
     
     วิกันเดอร์ยังพูดถึงความหลงใหลที่เธอมีต่อภาพยนตร์ Bourne ภาคก่อนๆ ว่า “การได้เติบโตมาพร้อมกับการดูหนังสายลับส่วนใหญ่ ฉันได้เห็นว่าหนังแนวนี้เป็นยังไง จู่ๆ ฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ถือว่าเป็นของใหม่โดยสิ้นเชิง และฉันก็ชอบที่ฉันคิดว่า ‘จะเป็นยังไงถ้าบอร์นมีตัวตนอยู่จริง จะเป็นยังไงถ้าเขาวิ่งไปบนถนนจริงๆ’ ฉันชอบมากที่คุณอยากให้มันเป็นเรื่องจริง ฉันชื่นชอบแง่มุมในส่วนของสังคมและการเมือง ทำให้มันดูเป็นหนังที่ฉลาดเอามากๆ ขณะที่ยังคงความเป็นหนังแฟรนไชส์แนวตลาดชอบเอาไว้” 

     ในไม่ช้า วิกันเดอร์ก็คือหนึ่งในทีมสร้างของ Jason Bourne “การทำงานกับพอล” เธอบอก “ให้ความรู้สึกเหมือนระบบเข้าที่เข้าทางมาก ในกองถ่ายมีผู้ชายเยอะมาก และมีบทพูดเชิงเทคนิคให้ต้องเรียนรู้เยอะ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องพยายาม แต่ทันทีที่ฉันทำได้ ฉันก็เริ่มสนุกมากเลยค่ะ”
 
     เดม่อนกล่าวว่า ท่ามกลางเรื่องราวความเป็นมาที่มีความซับซ้อน และมิตรภาพระยะยาวที่เกิดขึ้นตลอดภาพยนตร์สามภาคก่อน วิกันเดอร์และโจนส์คือส่วนเติมเต็มให้กับครอบครัวนี้อย่างมหัศจรรย์ที่สุด เขาบอกว่า “อลิเซียนำความวัยเยาว์มาสู่เรื่องนี้ ขณะที่ ทอมมี่ ลี ก็คือตำนาน โดยหัวใจแล้ว เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกชายที่กลับมาพร้อมความโกรธ ความสับสน และมาเผชิญหน้ากับพ่อของเขา ถ้าคุณลองพิจารณาดูภาพยนตร์ทั้งสามภาคก่อน มันเป็นการติดตามการเล่าเรื่องในลักษณะเช่นนั้น บัดนี้ มันเผยให้เห็นแล้วว่ามีการเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งระหว่างตัวละครของทอมมี่ ลี กับตัวละครของผม มีประวัติความเป็นมาที่เข้ามาเขย่าตัวบอร์นจนถึงแก่น และมีการคำนวณในแบบที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วย”

     เรื่องราวนี้เหมือนผูกดิวอี้และเฮ็ทเธอร์เอาไว้ด้วยกัน โจนส์เปิดเผยว่า “คุณมีไอเดียว่าดิวอี้เป็นที่ปรึกษาให้กับเธอเมื่อตอนที่หน้าที่การงานของเธอเริ่มพัฒนาไป และมีความสัมพันธ์ที่เป็นเส้นขนานกันไประหว่างตัวละคร เจสัน บอร์น และเฮ็ทเธอร์ ลีด้วย นั่นคือสิ่งหนึ่งในหลายสิ่งที่พวกเขามีร่วมกัน นั่นก็คือพ่อแย่ๆ”

     ขณะที่มีวิธีการใหม่ๆ ในการแบ่งปันและขโมยความลับ แต่ก็มีกลุ่มเศรษฐีใหม่เช่นกัน หนึ่งในนักบุกเบิกคนสำคัญก็คือ แอรอน คัลลัวร์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของโซเชี่ยล เน็ทเวิร์กชื่อ ดีพดรีม ซึ่งถูกอธิบายไว้ว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ที่จะแสดงตัวตน นำเสนอไอเดียต่างๆ และแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ มันต่างจากเว็บไซต์ที่มีอยู่มากมายในแง่ที่มันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นหลักสำคัญของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และไข่ทองคำใบนี้ก็ได้พิสูจน์ตัวแล้วว่าเป็นสิ่งที่ยากจะต้านทานสำหรับคนที่มีหัวคิดดีๆ ที่คอยเฝ้าสังเกตบรรดาผู้คนที่เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ถูกจับตามอง

     ผู้ได้รับเลือกให้มารับบท คัลลัวร์ ก็คือนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษ ริซ อาห์เหม็ด ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากผลงานในภาพยนตร์เรื่อง Nightcrawler และ Four Lions เมื่อพูดถึงบทบาทของเขา อาห์เหม็ดบอกว่า “แอรอนเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจนะครับ แต่ส่วนหนึ่งในตัวเขาก็คอยคิดคำนวณผลได้ผลเสียอยู่ตลอด มันน่าสนใจครับที่ได้รับเลือกให้แสดงเป็นตัวละครแบบตัวนี้ ได้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจของเขา หรือเป้าหมายต่างๆ แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องความซับซ้อนและความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจแสดงออกมาเพราะความสนใจของตัวเองล้วนๆ”

     อาห์เหม็ดพบว่าบทหนังของกรีนกราสส์และเร้าส์เต็มไปด้วยตัวละครที่มีรายละเอียด และมีเงื่อนงำของสิ่งที่พร้อมรอการค้นพบ “ทุกบทพูดคือคำเชิญให้ขุดลึกลงไปมากขึ้น และขุดลึกลงไปในโพรงกระต่าย” เขาบอก “เพื่อจะค้นหาเกี่ยวกับโลกที่ตัวละครตัวนี้อาศัยอยู่ให้มากขึ้น ผมได้อ่านบทความเกี่ยวกับธุรกิจของซิลิคอน วัลเล่ย์เยอะมาก ผมพยายามทำความเข้าใจถึงบรรยากาศและคุณลักษณะที่มีร่วมกัน มีนักคิดมากมาย ดูเหมือนมันจะเป็นที่ที่มีอุดมการณ์ มันเป็นสถานที่ที่เป็นวัตถุนิยม แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความไว้วางใจของรัฐบาลที่จะทำ ‘งานใหญ่’ พวกเขาอยากจะทำเรื่องต่างๆ ในแบบของพวกเขาเอง”   

     สำหรับวินเซนต์ แคสเซล ซึ่งได้รับเลือกให้มารับบทเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวอย่าง ดิแอสเซ็ท เป็นเรื่องสำคัญมากที่เขาต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้าง และกระบวนการสร้างสรรค์ของกรีนกราสส์ที่นอกเหนือไปจากบทบาทที่เขาได้รับมอบหมาย แคสเซลได้พูดคุยว่ามันจะเป็นเช่นไรกับการก้าวตามหลังบนเส้นทางของผู้ร้ายที่ยอดเยี่ยมแบบ Bourne อย่างที่ ไคลฟ์ โอเว่น และเอ๊ดการ์ รามิเรซ เคยทำเอาไว้ “ภาพยนตร์แฟรนไชส์ทุกเรื่องต่างมีสไตล์เป็นของตนเอง และแน่นอนว่ามันมีสไตล์แบบ เจสัน บอร์น ถึงแม้จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้นอาจท้าทาย แต่ก็มีสไตล์ที่สมจริงที่เรื่องนี้ถูกเล่าออกมา และนั่นก็เกิดมาจากพอล ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนภาพที่ถูกขโมยมาจากความเป็นจริง”

     หลายครั้งที่การพูดคุยระหว่างแคสเซลและกรีนกราสส์เกี่ยวกับตัวละครของเขาถูกย้อนกลับไปถึงเรื่องของการเคลื่อนไหว เขาเล่าว่า “ผ่านฉากแอ็กชั่นและพัฒนาการของเรื่อง มันทำให้คุณเข้าใจถึงแรงจูงใจของตัวละครเหล่านี้ เราพูดถึงฉลามกันเยอะมาก ทุกครั้งที่ผมทำบางอย่างที่อาจจะดูอ่อนเกินไป เขาอยากให้ผมกลับมาเพื่อใส่ท่าทางการเคลื่อนไหวแบบ ‘ฉลาม’ ให้มากขึ้น ผมไม่ค่อยมีบทพูดมากนัก และหลายครั้งก็เป็นความท้าทาย เพราะความโน้มเอียงโดยธรรมชาติของเรา ก็คือ ความต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับนักแสดงคนอื่นๆ สำหรับดิแอสเซ็ท มันเหมือนการเดินตรงเข้าหาภารกิจในทุกฉากเสียมากกว่า” 

     เป็นเพราะแง่มุมที่แสนฉลาดของภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุดนี้ที่ดึงดูดความสนใจของ อาโต้ เอสแซนโดห์ จากภาพยนตร์เรื่อง Django Unchained ให้มารับบทเจ้าหน้าที่ เคร็ก เจฟเฟอร์ส ผู้ช่วยของผ.อ.ดิวอี้ เอสแซนโดห์พูดถึงบทบาทของเขาว่า  “สิ่งที่ผมรักเกี่ยวกับภาพยนตร์ชุดนี้ก็คือ มันตั้งคำถามว่า ‘คุณคิดว่าตัวคุณจะหนีพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้อย่างไร’ เจสันสามารถทำได้ มันทั้งสมจริง ดิบ และผมชอบการต่อสู้มาก  มันไม่ใช่แค่ตูม บึ้ม ต่อยกัน มันให้ความรู้สึกแบบการต่อสู้จริงๆ”

     เมื่อให้พูดถึงหน่วยงานจริงที่เขารับบทแสดงอยู่ รวมถึงการตัดสินใจที่แสนยากลำบากที่พวกเขาต้องทำกันในทุกวัน เอสแซนโดห์กล่าวว่า “มันมีอารมณ์มากมายที่เป็นปกติวิสัยเมื่อมุ่งเข้าสู่สถานการณ์อันตราย และมีการแบ่งอารมณ์นั้นๆ เพื่อให้คุณทำงานได้ ผมคิดว่าถ้าคุณรู้ว่าเหตุผลคืออะไร ถ้าคุณรู้ว่าภารกิจของคุณคืออะไร คุณก็ต้องกล่อมให้ตัวเองเชื่อ ไม่ว่าจะผิดหรือถูก ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นเป็นการทำเพื่อผู้คน ถ้าคุณทำให้ตัวเองเชื่อแบบนั้นได้ คุณก็ย่อมทำได้หมดทุกอย่าง”

     ตัวละคร คริสเตียน แดสซอลท์ ทำให้ตัวเองเชื่อว่าการแฮ็คข้อมูลของเขานั้นเป็นไปเพื่อสังคม และเขาก็ทำให้บอร์นตามหาเขาเพื่อจะเตรียมจัดหาคำตอบไว้ให้ แดสซอลท์รับบทแสดงโดยนักแสดงชาวเยอรมัน วินเซนซ์ คีเฟอร์ ที่เพิ่งจะตัดสินใจพักงานนานหนึ่งเดือนในอินเดีย (เขาเพิ่งจะโกนผมด้วย) เมื่อได้รับโทรศัพท์ติดต่อให้ส่งเทปออดิชั่นเข้าไป เขาจึงแสดงฉากหนึ่งโดยให้แฟนของเขาเป็นตากล้องให้ หลังจากอยู่ในอินเดียได้หนึ่งอาทิตย์ ก็มีการแจ้งข่าวกลับมาว่าเขาได้รับเลือกให้แสดงบทนี้แล้ว

     คีเฟอร์พูดถึงตัวละครของเขาว่า “สำหรับแดสซอลท์ มันอาจเริ่มต้นด้วยความสนุก เขาใช้ฝีมือในการเป็นแฮ็คเกอร์ของเขาเพื่อก่อกวนผู้คน แต่ตอนนี้ เขามีภารกิจแล้ว สำหรับเขา เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องนำความโป่งใสมาให้ประชาชน และแสดงให้พวกเขาเห็นถึงข้อมูลที่ถูกเก็บเอาไว้ไม่ให้พวกเขารู้ เขารู้สึกว่าเราทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในความมืด ประชาชนเชื่อว่าข้อมูลมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในข่าว หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ทีวี มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และพวกเราก็ไว้ใจมัน แต่ในความเป็นจริง พวกเขากำลังโกหก พวกเขาหลอกเราให้ทำในสิ่งที่พวกเขาอยากให้เราทำ คิดสิ่งที่พวกเขาอยากให้เราคิด ให้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากให้เราเป็น มันคือความมืดมิด คริสเตียนอยากนำแสงสว่างมาสู่ที่แห่งนี้” 

     วิกันเดอร์พบความคล้ายกันในตัวผู้เล่นทั้งสองด้านของการต่อสู้เมื่อเธอกล่าวว่า “กับตัวละครทุกตัวในภาพยนตร์ชุด Bourne สิ่งที่พวกเขามีเหมือนๆ กันก็คือ พวกเขาทุกคนล้วนแต่มีพลังผลักดัน และพอเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะโดดเดี่ยวที่สุด พวกเขาทุกคนต่างอยู่ตามลำพัง ทำงานหนัก แทบจะมีอุโมงค์ภาพที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผลักดันพวกเขา ฉันเชื่อว่านั่นทำให้พวกเขาไม่ไว้วางใจคนอื่นๆ และพอคุณไม่ไว้ใจ คุณก็จะลงเอยด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว”

     กรีนกราสส์บอกว่าทีมนักแสดงของเขาทำให้งานดูเป็นเรื่องง่ายมาก “บทบาทเหล่านี้ดูง่ายมากจากแง่มุมของการแสดง แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลยครับ บทเหล่านี้บอกเลยว่าเป็นความท้าทายในการแสดงแบบ 360 องศา ภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุดนี้ถือว่าเป็นโลก และคนดูก็รักโลกของ Bourne ตัวละครที่เดินเข้ามา ต้องเล่นบทบาทของพวกเขาเพื่อทำให้คนดูได้มุมมองพิเศษ ดังนั้นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงต้องค้นหาตัวละครของเขาหรือของเธอให้พบ และยึดเอาไว้ และทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับบอร์นดูเฉียบคมขึ้นมา เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนต่างไล่ล่า เจสัน บอร์น ที่วางอยู่เหนือสิ่งนั้นก็คือปูมหลังความเป็นมา ควบคู่ไปกับการแสดงออกทางร่างกาย ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด คุณจึงต้องวางบทเอาไว้ในจุดที่เหมาะสม หรือไม่งั้นก็ไม่ต้องแสดงเลย มันคือความท้าทายอันยิ่งใหญ่ครับ และทีมนักแสดงทีมนี้ก็ทุ่มเทแบบเต็มที่มากครับ”

happy on July 27, 2016, 03:00:42 PM
การสร้างอาวุธมูลค่า $100 ล้าน:
การวางแผนงานสร้าง

           การเดินทางไปทั่วโลกขณะถ่ายทำภาพยนตร์แอ็กชั่นฟอร์มยักษ์ จำต้องมีการวางแผนเป็นอย่างดี ทีมผู้สร้างต้องใช้เวลานานหลายอาทิตย์ในการออกแบบ จัดการ พัฒนา ก่อสร้าง คาดหวัง และเดินหน้าลุยงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับงานถ่ายทำภาพยนตร์ทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่กรีนกราสส์และทีมของเขา

     ผู้กำกับกรีนกราสส์เล่าอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวว่า “ขณะที่เรื่องราวดำเนินไปนั้น  Jason Bourne ถือเป็นรุ่นแบนตั้มเวต ไม่ใช่ซูเปอร์เฮฟวี่เวต แต่คุณยังคงต้องทำงานในระดับนั้น การทำงานในระดับนั้นในภาพยนตร์หมายถึงการมีองค์ประกอบมากมายที่ต้องดำเนินไปในเวลาเดียวกัน มีคนเยอะ มีงานสตั๊นต์ มียานพาหนะ โลเกชั่น เอฟเฟ็กต์ ดังนั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมงาน ในภาพยนตร์เรื่องนี้เราใช้เวลาเยอะมากในการเตรียมงาน และเราก็มีทีมงานที่สุดยอดมาก มันคือกิจกรรมของมนุษย์ คุณคุยกับคน 300 คน และพวกเขาทุกคนต้องทำงานไปด้วยกัน ต้องเข้าใจว่าแต่ละคนกำลังทำอะไร เมื่อคุณเดินหน้าไปได้ด้วยดี มันจะทำให้เกิดความเชื่อมั่น เหมือนกับการทำทุกกิจกรรมนั่นแหละ เช่นเดียวกับกีฬา มันเหมือนกัน ตรงที่ตอนแรกอาจสั่นคลอนสักหน่อย แต่ในที่สุดทุกคนก็ทำงานได้ลงตัว” 

     บรรดาทีมสร้างสรรค์ที่กรีนกราสส์และทีมผู้อำนวยการสร้างได้รวบรวมมา ได้แก่ ไซม่อน  เครน ผู้กำกับแอ็กชั่น/ ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 ซึ่งเคยอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายต่อหลายเรื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา เครนอธิบายถึงบทบาทของเขาว่า “ผมชอบความท้าทายที่ได้คิดอะไรใหม่ๆ และนั่นก็คือสิ่งที่ภาพยนตร์อย่าง Bourne เป็น พวกเขาถ่ายทำทุกวัน แล้วก็จะคิดนั่นคิดนี่ จากนั้นก็จะลงเอยด้วยการสร้างงานใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังติดดิน เราจะไม่เน้นที่ความน่าตื่นตา ทุกอย่างต้องมีความเป็นบอร์น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของการคิดงานที่สามารถทำได้จริง ไม่ใช่ด้วยวิชวลเอฟเฟ็กต์ เราจะไม่ให้รถกระโดดข้ามไปในอากาศทีเป็นล้านไมล์ แต่เป็นเรื่องของตัวละครที่โดนผลักดันไป และนักแสดงก็ทำงานหนักเองจริงๆ” 
   
     อีกปัจจัยหนึ่งในความสำเร็จของ Bourne ก็คือการทำงานตามโลเกชั่นทั่วโลก สำหรับภาพยนตร์ภาคนี้ใช้โลเกชั่นทั้งในเตเนรีเฟ (เกาะใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะคานารี่ นอกชายฝั่งโมร็อคโค) ลอนดอน เบอร์ลิน วอชิงตัน ดีซี และลาสเวกัส การถ่ายทำในโรงถ่ายก็ต้องมีเช่นกัน แต่ตามที่มาร์แชลล์บอก “เราถ่ายทำกันในสถานที่จริงซึ่งคนดูอยากจะเห็นครับ”   

     กำหนดการถ่ายทำของภาพยนตร์ Jason Bourne ใช้เวลาถ่ายทำในกองถ่ายหลักนาน 85 วัน ควบคู่ไปกับการถ่ายทำของกองถ่ายย่อยที่ 2 อีก 30 วัน กุญแจสำคัญของการทำงานก็คือความตั้งใจที่จะถ่ายทำตามลำดับในบทภาพยนตร์ สำหรับการออกแบบงานถ่ายทำภาพยนตร์ของกรีนกราสส์ พวกเขาได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงตามแบบวิถีของชีวิตประจำวัน ฉากต่างๆ ถูกรีไรต์ มีการออกแบบฉากต่อสู้ใหม่ การเปลี่ยนแปลงมากมายถือเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อคงความรู้สึกของภาพยนตร์เอาไว้ในเวลานั้นๆ ความสะดวกการยืดหยุ่นได้รับการตอบแทบเกือบจะเสมอ

     อาห์เหม็ดเหมือนพูดแทนนักแสดงทุกคนของภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อเขากล่าวว่า “พอลมีความสามารถอันน่าทึ่งที่จะคิดในขณะที่ยืนอยู่ และเขียนหลายฉากออกมาในขณะที่เขาอยู่ในกองถ่าย เขาไม่ห่วงเลยเรื่องที่ว่าไอเดียต่างๆ มันมาเร็วมาก และหลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตลอด เขาไม่ยึดติดกับทางใดทางหนึ่ง และเขามักชวนให้คนมาออกความเห็น และให้ความร่วมมือ มีอยู่หลายวันด้วยกันที่ผมกำลังถ่ายทำฉากหนึ่งที่เขาเพิ่งจะเขียนขึ้นเมื่อวันก่อน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ ได้ผ่านการค้นคว้ามาเป็นอย่างดี ละเอียด และอิงอยู่กับความเป็นจริง ผมได้เรียนรู้ฉากต่างๆ เหล่านั้น และยังมีการค้นคว้า ผมไม่เคยรู้สึกงงเลยเมื่อผมได้รับฉากนั้นในเวอร์ชั่นที่ต่างออกไป เขามักปรับแก้สิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นเสมอ”

     ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่มาร์แชลล์มักร่วมงานกับผู้กำกับกรีนกราสส์อยู่บ่อยๆ “มันเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะสร้างภาพยนตร์สักเรื่อง คุณไม่กลัวที่จะแสดงความเห็น เพราะคนอื่นอาจคิดถึงคุณน้อยมาก ไม่มีใครรู้สึกมั่นใจในการพูดคุยถึงปัญหาสำคัญต่างๆ  เราเปลี่ยนแปลงหลายอย่างกันจนนาทีสุดท้าย เพราะเมื่อเราถ่ายทำมันแล้ว หลายอย่างอาจไม่ดีนัก หรือมันอาจให้ความรู้สึกว่าไม่เหมาะกับแม็ตต์ เขาก็จะเดินเข้ามาหาพอล และพูดว่า  ‘ผมไม่คิดว่าบอร์นจะทำแบบนี้นะ’ แล้วเราก็เห็นด้วย การเปลี่ยนแปลงบทที่พอลและคริสเขียนเอาไว้นั้นยังคงเกิดขึ้นตลอด ทุกคนอยากทำให้มันดีขึ้นทั้งนั้น”

     กรีนกราสส์บอกว่ามีวิธีการจัดการกับความบ้าแบบนั้น “ถ้าคุณไม่ได้วางแผนเอาไว้ คุณก็ย่อมไม่สามารถสร้างภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ๆ ได้ เพราะมันก็เหมือนการวิ่งเข้าหาปัญหา แต่คุณต้องไม่เสียความสามารถที่จะคิดสร้างสรรค์และพูดว่า  ‘เอาล่ะ แบบนี้มันได้ผล’ ดังนั้นคุณต้องมองหาอีกวิธีที่จะลองทำมัน คุณอาจทำมันได้แล้วในทางหนึ่ง แต่คุณก็ยังลองสิ่งที่ต่างออกไป สุดท้าย ทุกคนมาที่นี่เพื่อจะสัมผัสกับประสบการณ์เช่นนั้น มันคือสิ่งที่ทุกคนที่ทำงานในภาพยนตร์ต้องเจอ นั่นก็คือ ไอเดียง่ายๆ” 

     การเตรียมงานในสเกลงานที่เล็กลงมาตกเป็นหน้าที่ของนักแสดงแต่ละคน สำหรับเดม่อน เขาอธิบายว่า “ตอนนี้ผมอายุมากขึ้นกว่าเมื่อตอนที่แสดงภาพยนตร์ภาคก่อนๆ ดังนั้นหลายสิ่งหลายอย่างจึงต้องใช้เวลามากขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็เกี่ยวข้องกับการต้องฝึกยกน้ำหนัก การชกมวย และเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ผมอยากให้ตัวเองออกมาดูน่าเชื่อในฐานะชายคนนี้ ดังนั้นผมจึงต้องมุ่งมั่นและดูแลตัวเองให้ดีครับ”

     ก่อนเริ่มต้นถ่ายทำภาพยนตร์ปี 2002 อย่าง The Bourne Identity มีคนแนะนำเดม่อนว่าการชกมวยจะส่งอิทธิพลต่อทั้งการเดินและท่าทางของ เจสัน บอร์น ดังนั้นเดม่อนจึงฝึกต่อยมวยทุกวันนานถึงหกเดือน โดยเริ่มต้นด้วยการฝึกพื้นฐานและฟุตเวิร์ก นับแต่นั้นมา เขาก็ชกมวยมาตลอด “ตอนนั้นผมอายุ 29 ตอนนี้ผมอายุ 45 แล้ว และตลอด 16 ปีมานี้ ผมยังคงชกมวยอยู่ครับ เพราะผมหลงรักกีฬาชนิดนี้ไปแล้ว ผมว่ามันช่วยได้มากกับตัวละครตัวนี้ โดยเฉพาะมันเป็นบทที่ต้องใช้ร่างกายเยอะ ผมพบว่าการทำให้แน่ใจว่าผมยังคงชกมวยอยู่เพื่อภาพยนตร์เหล่านี้ มันคือหนึ่งในรูปแบบการเตรียมตัวที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชายคนนี้ครับ” 

     เจสัน วอล์ช เทรนเนอร์ส่วนตัว ทำงานร่วมกับเดม่อน เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และเพราะเดม่อนหุ่นดีอยู่แล้วจากการแสดงภาพยนตร์สองภาคก่อน วอล์ชจึงเรียกสิ่งที่พวกเขาทำด้วยกันว่าเป็น “การปรับแต่งให้เข้าที่”
 
     เมื่อสภาพร่างกายของเขาแข็งแกร่งถึงที่สุด เดม่อนไม่ได้รับอนุญาตให้ถอยหลังกลับ การฝึกของเขายังคงดำเนินต่อไปตลอดการถ่ายทำเพื่อคงรูปลักษณ์ของเขาเอาไว้ (เพราะฉากแอ็กชั่นของ Jason Bourne ต้องใช้เวลาถ่ายทำนานเจ็ดวัน ตัวละครจึงต้องดูเหมือนกันทุกวัน)

     เดม่อนยังคงทำงานร่วมกับนักมวย แม็ตต์ ไบอามอนเต้ ซึ่งเขาเคยร่วมงานด้วยระหว่างเตรียมตัวเพื่อแสดงภาพยนตร์เรื่อง Invictus และ The Adjustment Bureau ไบอามอนเต้อยู่ภายใต้การดูแลของ แองเจโล ดันดี เทรนเนอร์ผู้เป็นตำนาน ซึ่งเคยร่วมงานกับ มูฮัมหมัด อาลี, ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด, จอร์จ โฟร์แมน และเฮ็คเตอร์ คามาโช่ และอื่นๆ อีกมากมาย จากนั้น การต่อยมวยของเดม่อนจะถูกขยับขยายให้เดินหน้าไกลอีกด้วยนักออกแบบคิวบู๊ โรเจอร์ หยวน และอยู่ในการดูแลของผู้ประสานงานสตั๊นต์อย่าง แกรี่ พาวเวลล์