JASON BOURNE
กำหนดเปิดตัวฉายในประเทศไทย: 28 กรกฎาคม 2016
ชื่อไทย เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย
จัดจำหน่าย: บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด
เบื้องหลังงานสร้าง
แม็ตต์ เดม่อน กลับมารับบทบาทที่ถือว่าโด่งดังที่สุดของเขาใน Jason Bourne พอล กรีนกราสส์ ผู้กำกับ The Bourne Supremacy และ The Bourne Ultimatum กลับมาผนึกกำลังกับเดม่อนอีกครั้งในเรื่องราวบทต่อมาของภาพยนตร์แฟรนไชส์ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ชุด Bourne ซึ่งมาครั้งนี้ อดีตสายลับสุดอันตรายของซีไอเอ ตัดสินใจเผยตัวออกจากเงามืด
เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ทหารหนุ่มฝีมือดีได้อาสาเข้าโครงการทดลองลับ หลังจากทางการแจ้งเขาว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายลงมือสังหารพ่อของเขา เขาคิดดีอย่างมีความหวังว่าเขาจะสามารถยกย่องให้เกียรติกับครอบครัวและประเทศชาติ ด้วยการพัฒนาความเฉลียวฉลาด ความว่องไว และทักษะในการปรับตัวที่เกินจินตนาการของทุกคน
แต่ทุกอย่างกลับเป็นคำโกหก
เขากลายเป็นหนูทดลองการฝึกซ้อมสุดโหดที่ตัวเขาเองก็จำไม่ได้ โดยกลุ่มคนที่เขาเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร มือสังหารที่ผ่านการฝึกมาจนกลายเป็นระดับหัวกะทิ ที่ถูกเรียกชื่อว่า เจสัน บอร์น ถูกสร้างให้กลายเป็นมนุษย์ที่เป็นเหมือนอาวุธมูลค่า $100 ล้าน แต่ตามที่ผู้ออกแบบเขาได้บอกเอาไว้ เขาเกิดทำงานผิดพลาด
เมื่อบอร์นพยายามแกะรอยผู้สร้างเขาขึ้นมา คนกลุ่มนี้กลับพยายามกำจัดเขาทิ้ง แถมยังพรากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักไป เมื่อเขาได้ล้างแค้น และได้รู้ถึงตัวตนจริงๆ และได้รู้ว่าสิ่งที่เขาเคยเชื่อแท้จริงแล้วคือเป้าหมายของโครงการของผู้สร้างเขาขึ้นมา บอร์นรู้สึกเหมือนจะสงบ และหายตัวไป เพื่อสิ่งที่เขาหวังว่าจะเป็นการหายไปตลอดกาล
เมื่อมีการเริ่มต้นโครงการใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกพัฒนาโดยหน่วยงานที่ทรงอำนาจที่มีความลึกลับและน่าสงสัยยิ่งกว่ากลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่สร้างบอร์นขึ้นมา เขาถูกเครือข่ายที่มีอันตรายยิ่งกว่าหน่วยงานรัฐบาลใดๆ บีบให้ก้าวออกมาจากที่ซ่อน เป้าหมายเดียวขององค์กรที่มีอำนาจนี้ ก็คือการใช้ความกลัว เทคโนโลยี และการจลาจลเพื่อเป้าหมายสุดท้าย
ขณะที่ผู้ตามล่าเขาเชื่อว่าบอร์นจะยอมกลับเข้าโครงการเพื่อปรับสภาพ ถ้าพวกเขาให้ในสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด แต่อาวุธร้ายที่สุดที่เคยมีการสร้างกันออกมาผู้นี้ รู้ดีว่าผู้ตามล่าไม่สามารถเข้าใจได้ว่า แม้แต่ทหารที่ชีวิตพังพินาศไปแล้วนั้น ก็ยังปกป้องคนบริสุทธิ์จากผู้มีอำนาจที่ไม่ผ่านการตรวจสอบได้
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Jason Bourne นี้ เดม่อนได้ทีมนักแสดงนานาชาติมาร่วมประชันบทบาทด้วย นำทีมโดยเหล่านักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ทอมมี่ ลี โจนส์ (Men in Black series, The Fugitive) และอลิเซีย วิกันเดอร์ (The Danish Girl, Ex Machina) รวมถึง วินเซนต์ แคสเซล (Black Swan, Ocean’s Thirteen), ริซ อาห์เหม็ด (Nightcrawler, Four Lions), อาโต เอสแซนโดห์ (Django Unchained, Blood Diamond) และสก็อตต์ เชพเพิร์ด (Bridge of Spies, Ithaca) จูเลีย สไตลส์ (Silver Linings Playbook, ภาพยนตร์ Bourne ไตรภาค) กลับมารับบทบาทสำคัญบทเดิม
แฟรงก์ มาร์แชลล์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 5 ครั้ง (Jurassic World, ภาพยนตร์แฟรนไชส์ Bourne) ทำหน้าที่อำนวยการสร้างอีกครั้ง ร่วมกับ เจฟฟรีย์ เอ็ม ไวเนอร์ (The Bourne Ultimatum, The Bourne Supremacy) ให้กับบริษัท แค็ปติเวท เอนเตอร์เทนเม้นต์ รวมถึง เบน สมิธ (The Bourne Legacy), เดม่อน, กรีนกราสส์ และเกรกอรี่ กู้ดแมน (X-Men: First Class, Captain Phillips)
สร้างจากตัวละครที่สร้างสรรค์โดย โรเบิร์ต ลัดลั่ม ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทโดยกรีนกราสส์ และผู้ที่ร่วมงานกับเขามานานอย่างเจ้าของรางวัลออสการ์ คริสโตเฟอร์ เร้าส์ (Captain Phillips, ภาพยนตร์ไตรภาค Bourne) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องนี้ด้วย
ทีมงานหลังกล้องที่ถือเป็นคนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังรวมถึงผู้ที่เคยร่วมงานกับกรีนกราสส์มาแล้ว นำทีมโดยผู้กำกับภาพ แบร์รี่ แอ็ครอยด์ (The Hurt Locker, Captain Phillips), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ พอล เคอร์บี้ (Captain Phillips, Kingsman: The Secret Service), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ได้รับรางวัลออสการ์ มาร์ก บริดเจส (The Artist, Captain Phillips) และผู้แต่งดนตรีประกอบ จอห์น พาวเวลล์ (ภาพยนตร์ชุด How to Train Your Dragon, ภาพยนตร์ชุด Bourne) และเดวิด บั๊คลี่ย์ (The Town, TV’s The Good Wife)
ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่อง Jason Bourne ได้แก่ เฮนรี่ มอร์ริสัน (The Bourne Supremacy, The Bourne Ultimatum), เร้าส์, เจนนิเฟอร์ ท็อดด์ (Memento, Alice in Wonderland) และดั๊ก ไลแมน (The Bourne Identity, Edge of Tomorrow)เบื้องหลังงานสร้าง
เจสัน บอร์น กลับมาแล้ว:
สายลับปรากฎกาย
ในโลกของการออกแบบฉากแอ็กชั่น ฉากไล่ล่า ภาพยนตร์ชุด Bourne ที่มาพร้อมเรื่องราวและโครงเรื่องสุดสร้างสรรค์ ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับภาพยนตร์แนวนี้ เป็นเวลานานเกือบสิบปีแล้วที่คนดูได้เรียกร้องให้กรีนกราสส์และเดม่อนกลับมาร่วมมือกันอีกครั้งในเรื่องราวบทใหม่ที่มีทั้งความเฉลียวฉลาด งานจารกรรม และฉากแอ็กชั่นเท่าเทียมกัน
หลายสิ่งอย่างเกิดขึ้นในโลกนี้นับแต่สายลับ เจสัน บอร์น หายหน้าหายตาไปในตอนจบของภาพยนตร์ปี 2007 เรื่อง The Bourne Ultimatum กาลเวลาผันผ่านจนได้เวลาที่เขาจะกลับมา ทางทีมผู้สร้างเองก็มองหาจุดบรรจบของเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมที่จะเป็นฉากที่เหมาะให้บอร์นได้กลับมาและสืบสานเรื่องราวของเขาให้เดินหน้าต่อไป และเหตุการณ์เหล่านั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 2014
ผู้อำนวยการสร้าง แฟรงก์ มาร์แชลล์ ผู้ทำงานกับทีม Bourne มาตั้งแต่ภาพยนตร์ภาคแรก บอกว่า “ในที่สุด เราก็ลงเอยกับเรื่องที่มีความเป็นปัจจุบันและสัมพันธ์กันเพื่อแสดงให้เห็นถึงการกลับมาของบอร์น พอล, คริส, แม็ตต์ และพวกเราที่เหลือทุกคน พูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เป็นไปได้ และในที่สุด ก็โดนใจกับเรื่องหนึ่ง หนึ่งในหลายๆ เรื่องที่เรารู้สึกเป็นห่วง ไม่ใช่แค่การต้องสร้างภาพยนตร์ออกมาอีกเรื่อง เป็นภาคต่ออีกตอนของ Bourne แต่จะต้องมีการก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่ที่จะต้องมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งต่อมาได้สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเราที่จะเล่าเรื่องราวใหม่”
“เราทุกคนต่างรู้สึกว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงไป และสร้างแรงบันดาลใจให้เราคิดสร้างเรื่องที่จะต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทุกวันนี้” ผู้อำนวยการสร้างมาร์แชลล์ กล่าวต่อ “ภาพยนตร์ชุดนี้ถือว่ามีความพิเศษสำหรับผม เพราะผมอยู่ด้วยมาตั้งแต่เริ่มต้นคิดไอเดียกัน ซึ่งตอนนั้นเรานำเรื่องราวในหนังสือเล่มแรกของ โรเบิร์ต ลัดลั่ม มาใช้ ในทีแรก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามเย็น และทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาในโลกศตวรรษที่ 21 สำหรับผม มันน่าตื่นเต้นที่ได้มาทำงานกับภาพยนตร์ภาคที่ 5 และรู้ว่าคนดูยังคงกระตือรือร้นที่จะได้ดูว่า บอร์น จะเดินหน้าไปทางใดต่อไป”
ผู้อำนวยการสร้าง เกรกอรี่ กู้ดแมน บอกว่าสิ่งที่กรีนกราสส์และ คริสโตเฟอร์ เร้าส์ ได้สร้างขึ้นมาในบทภาพยนตร์ของพวกเขา ไม่ใช่แค่ถูกเวลาเท่านั้น แต่มันยังช่วยผลักดันไปข้างหน้าอีกด้วย “ผมเชื่อว่าการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะมันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีโอกาสที่จะได้พูดถึงปัญหาที่จริงจังมากขึ้น และตรงไปตรงมาด้วย ความเป็นกังวลที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในภาพยนตร์ภาคก่อนๆ นี้ แทบจะดูใสซื่อไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเราต้องเจอในโลกยุคหลังสโนว์เด้น, วิกิลีกส์ ควบคู่ไปกับความรู้สึกว่ามีรัฐบาลลับที่ทำงานแยกต่างหากจากเราอยู่จริงๆ สิ่งที่ผมพบว่าน่าสนใจอย่างมาก ก็คือ แม้แต่เหล่าร้ายก็มีข้อโต้แย้งที่ถูกต้อง สำหรับผมแล้ว เห็นได้ชัดในฐานะพลเรือนว่าพวกเราในฐานะที่เป็นสังคม ต้องตัดสินใจเลือกอย่างยากลำบากในการสร้างสมดุลให้กับความต้องการในความปลอดภัยและความมั่นคง กับความต้องการในความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใส ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวตรงนั้น แต่ในเนื้อหาของภาพยนตร์แอ็กชั่นที่ทำให้อดรีนาลีนพุ่งกระฉูดได้”
แม็ตต์ เดม่อนได้พูดถึงความนิยมที่อยู่คงทนของตัวละครที่เขาเป็นผู้มอบชีวิตให้ “เรารักเขาเท่ากับคนอื่นๆ และเราก็คงรู้สึกเหมือนกำลังโกงถ้าจะเอารถลากไปผูกเอาไว้ด้านหน้าของม้า และสร้างภาพยนตร์ Bourne ออกมาอีกหนึ่งเรื่องก่อนที่เราจะพร้อม โดยมีเรื่องราวที่ดี มันคือเรื่องของการรอให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอีกนิด พอลและผมได้พูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ และสิ่งหนึ่งที่ผมมักพูดเสมอ ก็คือ ผมจะยอมแสดงถ้าเขาเป็นคนเข้ามาทำงาน เราจะคุยกันถึงโปรเจ็กต์ต่างๆ ตลอดเวลา และเราก็ได้ร่วมกันสร้างภาพยนตร์ออกมาอีกเรื่อง ทุกๆ สองเดือน เราจะต้องพูดคุยกันเกี่ยวกับ Bourne แต่ดูเหมือนจะไม่เดินหน้าไปไหนเลยจนกระทั่ง 18 เดือนต่อมา”
ปัญหาที่ต้องจัดการก่อนเป็นอย่างแรกเลยก็คือคำถามที่ว่า “ตกลงบอร์นหายไปอยู่ที่ไหนมา” ตามกรอบเวลาที่ถูกวางเอาไว้ใน Ultimatum สายลับผู้นี้ได้เดินจากไปในช่วงสิ้นปี 2004 “ดังนั้น เขาไปทำอะไรมานานถึง 12 ปี และชีวิตเขาเป็นยังไงบ้าง” เดม่อนกล่าวต่อ “นั่นคือคำถามที่สำคัญที่สุดที่จะต้องหาคำตอบ และเมื่อเราได้คำตอบแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง”
ทางทีมผู้สร้างยอมรับว่าบรรดาแฟนๆ ที่อยากดูภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อ มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นภาพยนตร์ภาคล่าสุดนี้ แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับเช่นกันว่ามันเป็นเพราะความนิยมของดารานำและตัวละครที่เขาได้สร้างขึ้นมา กรีนกราสส์กล่าวว่า “ภาพยนตร์เรื่อง Bourne เป็นเหมือนครอบครัวเลยครับ ทุกคนกลับมา ผมชอบมาก คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง แต่มันก็เกิดขึ้น มันเหมือนกับวงดนตรีร็อคกลับมารวมตัวกันเพื่อออกทัวร์เล่นเพลงเก่า และก็เล่นเพลงใหม่ไปพร้อมกับเพลงคลาสสิคด้วย”
กู้ดแมนเห็นด้วยกับผู้กำกับ “แม็ตต์ทำให้บอร์นเป็นตัวละครที่ทุกคนสัมผัสได้ในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เขาเป็นตัวละครที่พบหนทางที่จะก้าวเข้าสู่สถานการณ์นี้ และพยายามที่จะค้นหาความจริง มันคือสมดุลในส่วนที่ว่าเขาคือใคร นอกจากนี้ ผมยังเชื่อว่าความดิบและความเหมือนจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกัน มันทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังดูบางอย่างที่มาพร้อมแรงดึงดูดมากขึ้น ความรู้สึกที่แทบจะเหมือนกับสารคดี และการเข้าถึงได้ง่ายของแม็ตต์ เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ และทำให้คนสนใจได้ครับ”
อย่างไรก็ดี แม้จะปราศจากโครงเรื่องสุดโลดโผนที่จะใส่ตัวละครตัวนี้เข้าไป แต่บอร์นยังคงเก็บตัวเงียบ ไม่ว่าจะเป็นทางภาพยนตร์หรือทางอื่นๆ ก็ตาม เดม่อนกล่าวว่า “คอนเซ็ปต์ของภาพยนตร์ภาคที่สี่ที่เป็นเรื่องของการทำสงครามไซเบอร์ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเทคโนโลยีเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือสิ่งที่มีผลอย่างมากต่อจิตสำนึกของสาธารณชน อย่างชีวิตดิจิตอลของพวกเรา สิทธิเสรีภาพในฐานะพลเรือนของเรา ไปจนถึงสิ่งที่ผู้คนเฝ้าจับตาดูเรา บอร์นพบตัวเขาเองอยู่ในโลกใบใหม่ใบนี้ครับ”
ขณะที่ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่องนี้แตะประเด็นปัญหาการเมืองปัจจุบัน แต่ความรู้สึกประชดประชันและความเบื่อหน่ายที่โลกรู้สึกกับคนที่ไว้วางใจเพื่อให้มาบริหารโลกนี้ให้กับเรา กู้ดแมนอธิบายว่า “หลายปีที่ผ่านไป ได้นำพวกเราไปสู่จุดที่แตกต่าง ด้วยวิถีที่เรามองโลกและที่ที่เราอยู่ มีความกังวลและความเป็นห่วงมากมายเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกของสังคมของเราในระดับโลก”
ถึงแม้เรื่องราวของบอร์นจะมีความต่อเนื่อง รวมถึงการค้นหาความจริงของเขา แต่เรื่องราวในบทภาพยนตร์ตอนนี้กลับเป็นเหมือนเรื่องที่จบเบ็ดเสร็จในตนเอง มาร์แชลล์บอกว่า “คุณเคยตกลงไปในโลกใบก่อนของบอร์น ซึ่งเป็นโลกของงานจารกรรมและสายลับ และบัดนี้ ด้วยดาวเทียม กล้องวงจรปิด และข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย ผู้คนคุ้นเคยกับโลกนี้แล้ว เมื่อคนดูเข้าใจในโลกที่เจสันอาศัยอยู่ สิ่งที่เขาพยายามทำ พวกเขาก็จะตามติดเรื่องได้เร็ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยดูหนังภาคก่อนๆ นี้ก็ตาม ส่วนคนที่รู้จักดีว่าเจสัน บอร์นเป็นใคร ก็คงอยากเห็นว่าเขาจะเคลื่อนไหวยังไงต่อไป และร่วมผจญภัยไปกับเขาด้วย”
การผจญภัยหมายถึงการต้องจัดการกับคนที่นั่งอยู่ในที่นั่งคนขับ และกรีนกราสส์ก็รู้จักตัวละครและโลกของเขาเป็นอย่างดี มันคือการจับคู่กันระหว่างสสารและสไตล์ ตามที่กรีนกราสส์บอก “การสร้างหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับการยึดมั่นต่อวิธีที่คุณมองดูโลกนี้ หนึ่งในหลายๆ อย่างที่คุณต้องทำในฐานะผู้กำกับก็คือการเป็นผู้ควบคุมวงออร์เคสตร้า การนำพวกเขาไปสู่การประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน และส่วนหนึ่งของงานที่คุณทำในฐานะคอนดั๊คเตอร์ ก็คือการกำหนดจังหวะความเร็ว”
“มันมีจังหวะของการถ่ายทำ เป็นจังหวะความเร็วที่คุณถ่ายภาพ” ผู้กำกับกรีนกราสส์กล่าวต่อ “ทีมงานจะชอบมากเวลาที่มีเป้าประสงค์ มันยังมีจังหวะภายในของตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ ชอตต่อชอต จังหวะตรงนั้นมันคืออะไร ทุกคนเคลื่อนที่เร็วพอไหม หรือพวกเขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป การประสานงานของกล้องและเสียงและการแสดง และฉากเข้ากันได้หรือไม่ ทุกอย่างนั้นสร้างจังหวะออกมาได้ลงตัวหรือไม่ ดังนั้นการได้เฝ้าดู และทำให้มันลงตัวตั้งแต่แรกเริ่มจึงเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่คุณพยายามทำครับ”
และพลังความคิดสร้างสรรค์นี้นี่เองที่ทั้งท้าทายและดึงดูดเหล่าคนมีฝีมือมาสู่ผลงานภาพยนตร์ของกรีนกราสส์ “นักแสดงต้องทุ่มสุดตัว พวกเขาต้องรู้บทพูด และต้องเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขากำลังพูดออกไป เพราะพอลชอบทำงานแบบเรียลไทม์ และถ่ายทำกันแบบเทกยาวๆ” มาร์แชลล์ตั้งข้อสังเกต “มีบทหลายหน้ามาก ดังนั้นมันจึงท้าทายสำหรับนักแสดง แต่มันก็ได้ผลจริงๆ เพราะเป็นอารมณ์ในเวลานั้น เรามีภาพฟุตเตทเยอะแยะที่ให้ความรู้สึกจริงมากๆ”
นอกเหนือไปจากการพูดคุยอย่างมีสไตล์แล้ว เดม่อนบอกเอาไว้อย่างตรงประเด็น เมื่อเขากล่าวว่า “สุดท้ายแล้ว เหตุผลข้อแรกที่เราทำหนังเรื่องนี้กันก็เป็นเพราะคนดูอยากดู ในทุกสนามบินที่ผมไปหรือในทุกครั้งที่ผมเดินไปตามถนน และมีคนหยุดทักทายผม นั่นจะเป็นคำถามอย่างแรก ซึ่งก็คือ ‘คุณจะเล่นหนัง Bourne อีกตอนไหม’ ในทางหนึ่งมันก็น่าตื่นเต้นนะครับ แต่ก็มีความกดดันอยู่ด้วย เพราะคุณอยากให้มันเข้ากันกับหนังภาคอื่นๆ เราทุกคนต่างรู้สึกภูมิใจกับหนังสามภาคก่อนมาก และเราก็อยากให้หนังภาคนี้เข้ากันกับหนังสามภาคแรกเป็นอย่างดี เราทั้งตื่นเต้นและกระวนกระวาย และรู้สึกถึงความกดดัน แต่เราก็รู้สึกราวกับว่าเรารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่คนดูชอบในหนังเหล่านี้ และเราก็ทำอย่างสุดความสามารถเพื่อสร้างหนังที่ดีออกมา”
เดม่อนหยุดพูดไปชั่วครู่ “ผมแน่ใจว่าผมจะยังคงผูกพันกับบทบาทนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าผมจะไปทำอะไรอย่างอื่น คุณได้ทำบางอย่างถึงสี่ครั้งในชีวิตการทำงานของคุณ และมันก็จะติดตามคุณไปรอบๆ แต่ผมไม่รังเกียจหรอกนะที่จะถูกติดตามด้วยบทนี้ เพราะผมชอบเจสัน บอร์นจริงๆ ครับ”
กรีนกราสส์กล่าวถึงความต่อเนื่องของธีมนี้ว่า “ความจริงก็คือ เราไม่รู้ว่าชื่อหนังจะชื่อว่าอะไรตอนที่เราเริ่มต้นทำงานกัน มันยังใช้ชื่อว่า Untitled Bourne Project ตอนที่เราเริ่มต้นเขียนบท จากนั้น ทางสตูดิโอก็พูดขึ้นว่า ‘เรียกมันว่า Jason Bourne ดีไหม’ ผมว่ามันเป็นไอเดียที่ดีมากเพราะมันฟังดูคลาสสิก แต่ขณะเดียวกันก็ดูสดใหม่ด้วย”
มาร์แชลล์ได้พูดถึงการที่ได้ทีมงานหลักๆ กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งว่า “ตัวละคร เจสัน บอร์น คือสิ่งที่ผู้คนตอบรับ พวกเขาเห็นใจ เจสัน บอร์น และอยากเห็นเขาหลุดพ้นจากสถานการณ์เหล่านี้ พวกเขาเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ และถ้าผมสามารถได้ตัว แม็ตต์ เดม่อนมาแสดงในหนังทุกเรื่องที่ผมสร้างได้ ผมก็คงจะมีความสุขมาก เขาคืออัจฉริยะ เป็นคนสุภาพและเป็นคนดีมาก และยังเป็นนักแสดงที่มีความเป็นมืออาชีพ ให้ความร่วมมือดี และยังเป็นคนมีอารมณ์ขันอีกด้วย”