happy on July 17, 2016, 10:11:41 PM

ชื่อภาพยนตร์      STAR TREK BEYOND
ชื่อไทย      สตาร์ เทรค ข้ามขอบจักรวาล
วันที่เข้าฉาย      20 กรกฏาคม 2559
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=AW03MJANgUk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=AW03MJANgUk</a>

เตรียมมันส์ทะลุจอกับ Star Trek Beyond สตาร์ เทรค ข้ามขอบจักรวาล

เตรียมพบกับการกลับมาของภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟสุดยิ่งใหญ่ Star Trek Beyond สตาร์ เทร็ค ข้ามขอบจักรวาล สนุกสุดมันส์ไปกับการผจญภัยครั้งใหม่ของลูกเรือยานเอนเตอร์ไพร์ส จากฝีมือกำกับโดย จัสติน ลิน (จากแฟรนไชส์ Fast & Furious) โดยที่ เจ. เจ. อับรามส์ ยังดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เขียนบทโดย ไซม่อน เพ็กก์ และดั๊ก จุง โดยที่นักแสดงทีมเดิมอย่าง คริส ไพน์, แซ็คคารี ควินโต, โซอี้ ซัลดานา, คาร์ล เออร์บัน, แอนตัน เยลชิน และ จอห์น โช ก็กลับมารับบทเดิมทั้งทีม ในภาคนี้ ยังมีการเสริมทัพนักแสดงอย่าง ไอดริส เอลบา, โจ ทาสลิม และโซเฟีย โบเทลลา อีกด้วย





ข้อมูลงานสร้าง

Star Trek Beyond ภาคต่อในแฟรนไชส์ Star Trek ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกและสร้างสรรค์โดยยีน ร็อดเดนเบอร์รีและถูกนำกลับมาสร้างใหม่โดยเจ.เจ. อับรามส์ในปี 2009 เป็นการกลับมาอีกครั้งของผู้กำกับจัสติน ลิน (แฟรนไชส์ The Fast and the Furious) ผู้มานั่งแท่นกำกับการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของยานยูเอสเอส เอนเตอร์ไพรส์และลูกเรือ ใน Beyond ลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์ได้สำรวจสุดขอบจักรวาลไกลโพ้น ที่นั่น พวกเขาได้พบกับศัตรูใหม่ลึกลับ ผู้ทดสอบพวกเขาและทุกสิ่งที่สหพันธ์เป็น

พาราเมาท์ พิคเจอร์สและสกายแดนซ์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยแบ๊ด โรบ็อท/สนีคกี้ ชาร์ค/เพอร์เฟ็กต์ สตอร์ม เอนเตอร์เทนเมนต์ Star Trek Beyond
 
ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ, เดวิด เอลลิสัน, ดานา โกลด์เบิร์กและทอมมี ฮาร์เปอร์

อำนวยการสร้างโดยเจ.เจ. อับรามส์, พี.จี.เอ., โรแบร์โต้ ออร์ซี, ลินด์ซีย์ เวเบอร์, พี.จี.เอ. และจัสติน ลิน, พี.จี.เอ. สร้างขึ้นจากเรื่องราว Star Trek โดยยีน ร็อดเดนเบอร์รี เขียนบทโดยไซมอน เพ็กก์และดั๊ก จุง กำกับโดยจัสติน ลิน นำแสดงโดยจอห์น โช, ไซมอน เพ็กก์, คริส ไพน์, แซ็คคี ควินโต, โซอี้ ซัลดานา, คาร์ล เออร์เบิน, แอนตัน เยลชิน, โซเฟีย บูเทลลาและอิดริส เอลบา

ข้อสังเกตพิเศษ: ในวันที่ 19 มิถุนายน ปี 2016 ครอบครัว Star Trek ได้สูญเสียสมาชิกคนหนึ่งไป การจากไปอย่างกระทันหันของแอนตัน เยลชินได้สร้างความเสียใจให้กับทีมงานและนักแสดงของ Beyond ทุกคน ทั้งทีมงาน นักแสดงและแฟนๆ ทั่วโลกต่างก็แสดงความรักที่มีต่อแอนตันและการแสดงในบทพาเวล เชคอฟของเขา

เยลชินจะเป็นที่จดจำจากความรักลึกซึ้งที่เขามีต่อภาพยนตร์และความรู้สึกซาบซึ้งที่มีต่อการได้ทำงานที่เขารัก “ผมรู้สึกซาบซึ้งใจทุกวันที่ผมอยู่ในกองถ่าย ถ้าผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำตัวไม่ซาบซึ้งล่ะก็ ผมก็จะผิดหวังกับตัวเองมากๆ เพราะเราทุกคนต่างก็โชคดีสุดๆ ที่ได้ทำในสิ่งที่งดงาม วิเศษสุดนี้...จำนวนคนและความพยายามที่ใช้ในการสร้างภาพเหล่านี้เพื่อให้ผู้ชมได้ดูเป็นอะไรที่บ้าสุดๆ และการได้เป็นส่วนหนึ่งของมันก็เป็นเรื่องพิเศษสุดครับ”

“เชคอฟมีช่วงเวลาโดดเด่นครับ” เยลชินเคยอธิบาย “แต่สิ่งที่ทำให้การรับบทเขาเป็นเรื่องสนุกคือความขำขันและความโลกสวยของเขา คุณสมบัติน่ารักนั้นที่วอลเตอร์ โคเอนนิก (ผู้รับบทเชคอฟคนแรก) นำมาสู่ตัวละครตัวนี้อย่างงดงาม ทำให้ผมรู้สึกโชคดีที่ได้เล่นกับมันครับ”

“ผมชื่นชอบการได้ร่วมงานกับแอนตัน” เจ.เจ. อับรามส์กล่าว “เขาเป็นคนที่ดีจริงๆ ผมไม่อยากจะเชื่อและรับไม่ได้เลยกับเรื่องที่ว่าเขาจากไปแล้วน่ะครับ”


“กัปตันยานเอนเตอร์ไพรส์คนใหม่”

“การได้ทำงานใน Star Trek เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่โชคดีที่สุดในชีวิตผม” ผู้อำนวยการสร้างเจ.เจ. อับรามส์ ชายผู้มีหน้าที่ในการเนรมิตชีวิตใหม่ให้กับแฟรนไชส์ไซไฟที่เป็นที่รัก และเพิ่งจะเฉลิมฉลองครบรอบปีที่ 50 ในปีนี้นี่เอง กล่าว “ยีน ร็อดเดนเบอร์รีได้สร้างโลกที่เหลือเชื่อ ที่ทำให้เราตื่นเต้นที่ได้แวะเวียนมาเยี่ยมมันครั้งแล้วครั้งเล่าน่ะครับ”

   หลังจากนั่งแท่นผู้กำกับในภาพยนตร์เรื่อง Star Trek ในปี 2009 และ Star Trek: Into Darkness ในปี 2012 อับรามส์และทีมงานของเขาก็ได้เลือกผู้กำกับจัสติน ลิน จากแฟรนไชส์ Fast & Furious ให้มาเนรมิตชีวิตให้กับ Beyond

   “จัสตินพิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็นนักเล่าเรื่องที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ” อับรามส์อธิบาย “แต่สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งที่สุดคือความรักแท้จริงที่เขามีต่อ Star Trek ผมรู้ว่าเขาจะสามารถจัดการกับซีเควนซ์แอ็กชันได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดคือการได้ยินเขาพูดถึงตัวละครพวกนี้เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนจริงๆ ที่เขารู้จัก เขาเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์ครับ”

   ลิน ที่โตขึ้นมาในยุค 80s จำได้ว่า Star Trek ที่ถูกนำกลับมาฉายใหม่ กลายเป็นช่วงเวลาประจำของครอบครัว “ซีรีส์ Star Trek มีความพิเศษสำหรับผม เพราะการได้ดูเอพิโซดเก่าๆ พวกนี้เป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่ผมได้ใช้กับพ่อแม่ผม ลูกเรือเอนเตอร์ไพรส์ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวของเราครับ”

   เช่นเดียวกับอับรามส์ ลินมีประสบการณ์ในการกำกับจอแก้วมาก่อนที่จะได้รับกุญแจในการขับเคลื่อนแฟรนไชส์นี้ “Star Trek มีความพิเศษสุดตรงที่มันครอบคลุมสื่อหลายประเภทครับ” ลินอธิบาย “หลังจากที่ผมได้ทำงานจอแก้ว ผมก็รู้สึกได้ถึงความท้าทายที่เจ.เจ.เจอในการเริ่มต้นเรื่องราวที่เป็นตอนๆ และทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ช่วงฤดูร้อน เราได้คุยกันบ่อยๆ เกี่ยวกับการรักษาสมดุลระหว่างแอ็กชันที่คุณสามารถคาดหวังได้จากหนังแอ็กชันทุนหนา และการรักษาแก่นแท้และหัวใจสำคัญของซีรีส์นี้เอาไว้ครับ”

   “หนังภาคแรกเป็นเรื่องของการรวมกลุ่มที่จะกลายเป็นครอบครัวนี้ ภาคสองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มพลังให้กับพวกเขาในการสู้กับภัยคุกคามใหม่” อับรามส์กล่าว “แต่ที่สุดแล้ว ทั้งสองภาคก็อยู่บนโลก ดังนั้น Beyond ก็จะเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นพวกเขาในภารกิจห้าปี มันเป็นโอกาสในการได้เห็นเอนเตอร์ไพรส์ผจญภัยในแบบที่จะทำให้คุณนึกถึงซีรีส์ดั้งเดิม ท่ามกลางอวกาศไกลโพ้นน่ะครับ”





happy on July 17, 2016, 10:13:35 PM



“ลูกเรือที่แบ่งแยก”

มือเขียนบทผู้รับผิดชอบในการนำลูกเรือไปสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครเหยียบย่างมาก่อนคือดั๊ก จุง ทีมงานหน้าใหม่สำหรับแฟรนไชส์นี้ (Dark Blue, Banshee) และนักแสดงผู้ผันตัวมาเป็นมือเขียนบทร่วม ไซมอน เพ็กก์

“ผมกำลังถ่ายทำ Mission: Impossible - Rogue Nation อยู่ในลอนดอน” เพ็กก์เล่า “แล้วไบรอัน เบิร์ค (ผู้อำนวยการสร้าง Rogue Nation และ Into Darkness) ก็เรียกผมไปคุย ผมคิดว่าเขาจะลอบสังหารผมซะอีก แต่เขาถามผมว่าผมอยากจะเขียนบทหนังเรื่องนี้รึเปล่า ผมคุมสติไม่อยู่เลยและบอกเขาว่า ‘แน่นอนเลย!’ แล้วผมก็ได้พบกับดั๊ก ผู้กลายเป็นคู่หูและเพื่อนรรักของผมครับ”
   “ผมกับไซมอนไม่เคยพบกันมาก่อน” จุงกล่าว “แต่ผมเป็นแฟนผลงานของเขา ตอนที่เราเริ่มระดมความคิด ผมรู้ว่าการได้ตัวเขามาจะเป็นเรื่องเยี่ยมเพราะเขาเป็นคนตลกอย่างยอดเยี่ยม มีความคิดสร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อและรู้จัก Star Trek เป็นอย่างดี”
   “ผมโตมากับการดู Star Trek” จุงกล่าวต่อ “แต่ผมไม่ได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันจนกระทั่งผมโตขึ้น ความรู้ที่สะสมมาตลอดชีวิตของไซมอนเป็นสิ่งที่ช่วยได้มากเพราะเขาพูดได้ว่า ‘ผมคิดว่าเคิร์จจะพูดแบบนี้’ หรือ ‘สป็อคอาจจะใช้คำนี้แทน’ บางครั้ง เขาก็จะแสดงเป็นสก็อตในห้องอย่างสมจริงมากๆ และบางครั้ง เขาก็จะเป็นโบนส์หรือไม่ก็สป็อค มันตลกมากๆ เลยครับ”
   “ตอนที่เราเริ่มงาน ผมยังถ่ายทำ Mission: Impossible อยู่ ผมก็เลยเข้ามาช้าและผมก็ได้ประชุมสายกับดั๊กเรื่อยมาเพื่อสร้างไอเดียน่ะครับ” เพ็กก์เล่า “ผมไปแอลเอแล้วก็ขังตัวอยู่ในห้องที่แบ๊ด โรบ็อท เราติดไอเดียของเราไว้ทั่วกระดานเลย จากนั้น ดั๊กก็จะมาอังกฤษแล้วพักที่บ้านผมหนึ่งสัปดาห์ เพื่อเขียนบทและดู Star Trek ต้นฉบับในช่วงเย็น เพื่อเก็บรายละเอียดและชื่อของพวกเสื้อแดงและคนอื่นๆ ที่อาจจะอยู่ไทม์ไลน์ใหม่นี้ได้ แล้วเราก็ร่วมกันเขียนดราฟท์แรกขึ้นมาครับ”
   “ผมมีความสุขกับกระบวนการนี้มาก” จุงกล่าว “บ่อยครั้งในฐานะมือเขียนบท คุณจะนั่งอยู่ในห้องคนเดียวท่ามกลางความมืด เพื่อนึกถึงบางอย่างที่คุณคิดว่าเข้าท่า แต่คุณไม่รู้หรอกว่ามันเวิร์คมั้ยจนกระทั่งคุณจะได้เล่ามันให้คนอื่นฟัง ไซมอนเป็นเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยมและก็มีหลายครั้งที่เราจะเขียนอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วถามว่า ‘เราจะทำแบบนี้ได้มั้ย’ ซึ่งจัสตินก็จะบอกเราว่า ‘เอาให้ใหญ่กว่านี้อีก!’ ถ้าปล่อยให้ผมทำของผมเอง ผมอาจจะไม่ไปไกลขนาดนั้นก็ได้”
หนึ่งในประเด็นสำคัญทางพล็อตเรื่องที่เปลี่ยนแปลงการเดินเรื่องอย่างสลักสำคัญคือการพังพินาศของยานสตาร์ชิพ เอนเตอร์ไพรส์ ซึ่งทำให้ลูกเรือติดอยู่ในดาวเคราะห์ต่างดาวที่ยังไม่เคยได้รับการสำรวจมาก่อน
“ความเสี่ยงสูงมากครับ” อับรามส์กล่าว “หลังจากที่พวกเขาได้เห็นยานเอนเตอร์ไพรส์พังเป็นชิ้นๆ ลูกเรือก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางและถูกบีบให้ต้องหาทางเอาตัวรอดและติดต่อกับลูกเรือคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องวิเศษสุดเพราะเราจะได้เห็นว่าแต่ละกลุ่มทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียวยังไงน่ะครับ”
การพังพินาศของยานเอนเตอร์ไพรส์ทำให้ลูกเรือติดอยู่บนอัลทามิด ดาวเคราะห์ที่อันตราย มือเขียนบทชื่นชอบการได้จับคู่ตัวละครที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนหน้าจอ เพื่อดูว่าอะไรที่จะกระตุ้นตัวละครแต่ละตัวได้
ยกตัวอย่างเช่น กัปตันเคิร์ค (คริส ไพน์) ผู้ชอบใช้ความคิด พบว่าตัวเองติดอยู่บนดาวแห่งนี้กับเชคอฟ หนุ่มน้อยโลกสวย (แอนตัน เยลชิน)
มือเขียนบทร่วมจุงอธิบายว่า “เคิร์ค (คริส ไพน์) เป็นหัวหน้าที่มีคำตอบสำหรับทุกอย่างและใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ เขาได้พิสูจน์ตัวเองและก้าวพ้นจากเงาของพ่อเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ เขาต้องเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับตัวตนที่ว่า ‘จะเป็นยังไงต่อไป’ เราชื่นชอบไอเดียของการจับคู่เคิร์ค ที่ปลงตกกับโลกมากขึ้น กับเชคอฟ (แอนตัน เยลชิน) ที่อายุน้อย กระตือรือร้น และไม่เย้ยหยันโลกเท่าไหร่น่ะครับ”
คริส ไพน์กล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “สองภาคแรกจะเน้นไปที่สป็อคและเคิร์ค แต่ผมคิดว่าดั๊กและไซมอนฉลาดมากๆ ที่แยกทุกคนออกจากกันเพื่อดูว่าพวกเขาทุกคนทำงานร่วมกันเป็นยังไง และพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กันยังไง การเป็นกัปตันยานเอนเตอร์ไพรส์เป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในชีวิตของเคิร์ค พ่อของเขาก็เป็นกัปตันของยานที่ถูกทำลายเช่นกัน ดังนั้น การที่ยานเอนเตอร์ไพรส์ถูกทำลายก็ทำให้เกิดอารมณ์ซับซ้อนที่เกี่ยวเนื่องกับตัวตนของเขา และผมคิดว่าเคิร์คมองเห็นอะไรหลายอย่างที่เหมือนกับเขาในตัวของเชคอฟครับ"
“ในขณะที่ตอนเริ่มต้นเรื่อง เคิร์ครู้สึกไม่มั่นใจกับอนาคต เชคอฟกลับมีความมั่นใจเปี่ยมล้นกับภารกิจนี้” เยลชินกล่าว “ตอนที่ยานเอนเตอร์ไพรส์พัง มันเป็นการพรากทุกอย่างที่พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญไป พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกเรือคนอื่นๆ จะมีชีวิตอยู่รึเปล่า ดังนั้น มันก็เลยบีบให้พวกเขาต้องเรียนรู้คุณค่าของความรักและความนับถือที่พวกเขามีต่อเพื่อนร่วมงานใหม่น่ะครับ”
“ผมกับแอนตันหัวเราะกันบ่อยครับ” ไพน์เล่า “มีฉากที่ผมบ่นเขาและเขาก็บ่นผม เราถูกยิงใส่และมีระเบิดตูมตามเกิดขึ้นรอบด้าน มันทั้งน่าวิตกและตึงเครียด แต่สนุกกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะตัวละครของแอนตันและตัวแอนตันเองมีความอบอุ่นเหลือเกินครับ”
สำหรับตัวละครตลกและดรามาที่จะมาจับคู่กับ สป็อค ผู้บัญชาการลูกครึ่งวัลแคน (แซ็คคารี ควินโต) มือเขียนบทรู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการจะจับคู่เขากับด็อกเตอร์ “โบนส์” แม็คคอย (คาร์ล เออร์เบิน) ชายขี้หงุดหงิด ในฐานะเพื่อนที่สนิททที่สุดของเคิร์ค พวกเขาก็เลยไม่คิดที่จะเห็นพ้องต้องกันในการตัดสินใจเรื่องใดๆ ก็ตาม
“ความสัมพันธ์ระหว่างสป็อคและโบนส์ ‘มีเสน่ห์’ เสมอและตลกมากๆ เพราะพวกเขาตรงกันข้ามกันในหลายๆ อย่างครับ” เพ็กก์อธิบาย “แต่ลึกลงไปนั้นคือมิตรภาพเยี่ยมๆ ที่เราอยากจะสำรวจ”
“เมื่อมองย้อนหลังไป โบนส์และสป็อคแตกต่างกันสุดขั้วครับ” ควินโตกล่าว “ในขณะที่เคิร์คและสป็อคเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน โบนส์และสป็อคกลับมีแนวทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“คุณจะได้เห็นความสัมพันธระหว่างโบนส์และสป็อคพัฒนาอย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน” เออร์เบินกล่าว “ตัวละครทั้งสองตัวของเราต่างก็มาถึงจุดเปลี่ยนและต้องเจอกับเรื่องหนักใจของตัวเอง และการติดอยู่บนดาวเคราะห์ต่างดาวก็บีบให้เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ด้วยกันครับ”
“สป็อคมีความเป็นมนุษย์และความเปราะบางมากขึ้นในภาคนี้” ควินโตกล่าวอธิบาย “ผมชื่นชมเวลาที่แอ็กชันเบาลงเพื่อที่สป็อคจะมีช่วงเวลาที่สงบขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดและน่าสนใจที่สุดด้วยครับ”
ด้วยการจากไปของเลียวนาร์ด นีมอย ทีมผู้สร้างก็อยากจะระลึกถึงการเสียชีวิตของ “สป็อค ไพรม์” และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่การสูญเสียเขามีต่อสป็อคหนุ่ม
“เลียวนาร์ด นีมอยเป็นนักแสดงพรสวรรค์ ที่กลายเป็นเพื่อนที่ดีครับ” อับรามส์กล่าว “เราอยากจะยกย่องเขาด้วยการกล่าวถึงการจากไปของเขาในหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าถ้าไม่อย่างนั้น มันคงให้ความรู้สึกที่ไม่ใช่น่ะครับ”
“มันเป็นเรื่องยากเป็นพิเศษสำหรับผม” ควินโตกล่าว “เพราะเราใกล้ชิดกันมากๆ และเป็นเพื่อนกันจนถึงตอนสุดท้าย ผมเชื่อว่าไซมอนและดั๊กทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษสุดในการยกย่องเขาในเรื่องราวนี้ และผมคิดว่าเขาคงจะภูมิใจ ซึ้งใจและเขินนิดๆ มันเป็นการอุทิศที่เหมาะสมและผมก็ดีใจที่มันถูกพูดถึงอย่างงดงามครับ”
หลังจากที่สป็อคได้รับบาดเจ็บ โบนส์ก็พบว่าตัวเองถูกผลักให้พ้นจากสิ่งที่คุ้นชิน “เขาเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณและจิตใจงาม ผู้ถูกบีบให้ต้องเจอกับสถานการณ์ที่เขาอาจจะต้องคร่าชีวิตแทนที่จะรักษาชีวิต” เออร์เบินกล่าว “เขาเจอกับปัญหาใหญ่และต้องกลายเป็นแอ็กชันฮีโรแบบจำเป็นน่ะครับ”
“โบนส์เป็นตัวละครที่คนรัก และผมก็รู้สึกเหมือนเขาไม่เคยได้โชว์เต็มที่ซักที” เพ็กก์กล่าวอย่างเสียใจ “นี่เป็นเวลาที่เราจะแก้ไขเรื่องนั้น แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายที่จะให้สก็อตตี้พูดบทพูดเจ๋งๆ แต่มันก็ให้ความรู้สึกแปลกนิดๆ ดังนั้น เราก็เลยตั้งใจที่จะแบ่งบทพูดเจ๋งๆ ระหว่างพวกเขาครับ”
“ตอนที่ผมยังเล็ก โบนส์เป็นตัวละครโปรดของผม” ลินเล่า “และคาร์ลก็พร้อมเสมอที่จะเพิ่มเติมสิ่งต่างๆ ที่ตัวละครของเขาจะต้องทำน่ะครับ”
“ผมชอบการได้ทำงานกับคาร์ล” ควินโตกล่าว “เขาตลกมากและมันก็สนุกมากที่ได้เห็นเขาบู๊ในภาคนี้ เขาเก่งมากครับ”
นอกเหนือจากการสูญเสียยานเอนเตอร์ไพรส์แล้ว จุดจบของความสัมพันธ์ระหว่างสป็อคและอูฮูรา (โซอี้ ซัลดานา) ก็เป็นความสูญเสียอีกอย่างหนึ่งสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
ซัลดานากล่าวว่า “พวกเขาทำงานร่วมกัน มันก็เลยเป็นการเลิกรากันแบบผู้ใหญ่ ที่มีความเป็นมืออาชีพมากๆ พวกเขาปฏิบัติภารกิจห้าปีด้วยกัน และแม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยและคิดถึงบ้านมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับภารกิจเป็นอันดับแรก โดยไม่สร้างความเครียดให้กับเพื่อนร่วมทีมน่ะค่ะ”
ก่อนหน้าที่ทั้งคู่จะใช้ความคิดเกี่ยวกับการเลิกรากันครั้งนี้ ยานของพวกเขากลับแตกเป็นเสี่ยงๆ และอูฮูราก็พบตัวเองอยู่บนดาวอัลทามิดกับซูลู (จอห์น โช)
เช่นเดียวกับเพ็กก์ โชก็มีปฏิกิริยาต่อการสูญเสียยานเอนเตอร์ไพรส์อย่างชัดเจน “หัวใจผมแตกสลายทุกครั้งที่เราทำให้ยานเอนเตอร์ไพรส์เจ็บแม้เพียงน้อยนิด มันแข็งแกร่งครับ ผมเป็นพลขับ ผมก็เลยรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบสภาพของมันและมันก็ผ่านอะไรมากมายเกินกว่าที่ควรจะเป็น และอุปสรรคครั้งนี้ก็รุนแรงเป็นพิเศษครับ” โชกล่าว
“เมื่อไม่มียาน มันก็มีความรู้สึกของการสูญเสียสมดุล ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมา” โชกล่าวต่อ “ตอนที่ผมได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ผมชอบที่โทนของมันทำให้ผมนึกถึงซีรีส์ดั้งเดิม ว่ามันมีทั้งอารมณ์ขันและความแปลกประหลาด และความรู้สึกคุ้นเคยในบรรดาลูกเรือ ผมสนุกมากกับการได้อยู่ในฉากเล็กๆ กับโซอี้ครับ”
“ฉันรู้จักจอห์นมาหลายปีแล้วและฉันก็รักอารมณ์ขันและความมุ่งมั่นที่เขามีต่อตัวละครของเขาค่ะ” ซัลดานากล่าว “ฉันตระหนักได้ว่าในหนังเรื่องนี้ อูฮูราและซูลูต่างก็มีความมุ่งมั่นต่อหน้าที่และความศรัทธาในตัวลูกทีมของพวกเขาคล้ายๆ กัน พวกเขาไว้ใจลูกเรือคนอื่นมากพอๆ กับที่ลูกเรือคนอื่นไว้ใจพวกเขา มันเหมือนกับการที่จอห์นและฉันมีศรัทธาในกันและกันและในตัวทีมงานทุกคนน่ะค่ะ”
“ผมกับจอห์นเคยร่วมงานกันมานานแล้ว” ลินเล่า “จอห์นแสดงใน Better Luck Tomorrow ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของผม ผมยังต้องจ่ายเงินค่าสร้างหนังเรื่องนั้นด้วยบัตรเครดิตอยู่เลย แต่จอห์นกลับกลายเป็น “หนุ่มมิลฟ์” ใน American Pie ไปซะแล้ว นับตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็ได้ก้าวไปไกลแล้วในหน้าที่การงานของเรา แต่มันก็ค่อนข้างเหลือเชื่อที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้งหลังจากสิบสองปีผ่านไปครับ”
มือเขียนบทร่วมไซมอน เพ็กก์ กลับมารับบท หัวหน้าวิศวกรมอนท์โกเมอร์รี สก็อต หรือ “สก็อตตี้” ตามที่เขาเป็นที่รู้จักในวัฒนธรรมป็อป
“ในบรรดาลูกเรือทั้งหมด สก็อตอาจะเป็นคนที่พอใจกับชีวิตของเขาตอนเริ่มต้นเรื่องมากที่สุด” เพ็กก์อธิบาย “เขากำลังทำงานของเขา เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ขับเคลื่อนต่อไป และแน่นอนว่าทุกอย่างถูกพรากไปจากเขาอย่างรวดเร็วครับ”
สก็อตตี้พบว่าตัวเองต้องพึ่งพาเจย์ลาห์ (โซเฟีย บูเทลลา นักแสดงหน้าใหม่สำหรับแฟรนไชส์นี้) พันธมิตรต่างดาวผู้ชำนาญเทคโนโลยี ผู้มีจิตใจเข้มแข็ง หลังจากที่เธอช่วยชีวิตเขาบนพื้นผิวของดาวอัลทามิด
“เจย์ลาห์อยู่ตามลำพังบนดาวแห่งนี้มาได้ซักระยะแล้วค่ะ” บูเทลลากล่าว “เธอจะต้องปกป้องตัวเองมานานจนเมื่อสก็อตตี้มาถึง เธอมองเห็นโอกาสในการมีเพื่อน แม้ว่าเธอจะยังหวาดระแวง แต่เจย์ลาห์และสก็อตตี้ก็พัฒนาความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ฉันกับไซมอนมีนอกฉากน่ะค่ะ”
“โซเฟียทำให้เราหลงใหลครับ” เพ็กก์เล่า “เธอสวมบทนี้ในแบบที่ทำให้การได้ประกบคู่กับเธอในหนังเรื่องนี้เป็นความสุขอย่างแท้จริง เธอทั้งรอบรู้และแข็งแกร่งมากๆ ผมชอบที่เธอมีวิธีการพูดแปลกๆ ซึ่งทำให้เธอให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ต่างดาวมากๆ แต่เธอก็เป็นคนที่น่าเห็นใจอย่างเหลือเชื่อด้วยครับ”
เนื่องด้วยเจย์ลาห์จะต้องผ่านการเมคอัพอย่างมาก หลายวันในกองถ่ายของบูเทลลาจึงเริ่มต้นก่อนที่วันของหลายๆ คนจะสิ้นสุดลง
“มีหลายวันที่ฉันจะต้องตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืนครึ่งเพื่อแต่งหน้าก่อนการถ่ายทำในตอนเช้าค่ะ” บูเทลลาเล่า “มันเป็นกระบวนการที่ยาวนานแต่สนุก ในตอนที่คุณต้องนั่งเก้าอี้นานๆ คุณก็จะเข้าสู่ห้วงสมาธิที่ช่วยทำให้คุณสวมบทตัวละครตัวนั้นได้จริงๆ ค่ะ”
“เราอยากจะทำให้เจย์ลาห์โดดเด่น” นักออกแบบเมคอัพและซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเมคอัพ เอฟเฟ็กต์ โจเอล ฮาร์โลว์ อธิบาย “ผมคิดว่าเส้นสีขาวและดำจากเมคอัพของเธอ ผสมผสานกับส่วนตรงผมของเธอทำให้เธอมีลุคที่ลืมไม่ลงครับ”
“ผมคิดว่าเจย์ลาห์เป็นตัวละครโปรดตัวใหม่ของผม” อับรามส์กล่าว “เธอเป็นตัวละครที่แข็งแกร่ง ตลก น่ารักและแสบซ่าส์อย่างเหลือเชื่อ เธอกลายเป็นพันธมิตรคนสำคัญสำหรับลูกเรือและโซเฟียก็ทำได้อย่างเหลือเชื่อในการเนรมิตชีวิตให้กับเธอครับ”
« Last Edit: July 20, 2016, 08:41:36 AM by happy »