happy on July 17, 2016, 10:13:35 PM
“ลูกเรือที่แบ่งแยก”มือเขียนบทผู้รับผิดชอบในการนำลูกเรือไปสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครเหยียบย่างมาก่อนคือดั๊ก จุง ทีมงานหน้าใหม่สำหรับแฟรนไชส์นี้ (Dark Blue, Banshee) และนักแสดงผู้ผันตัวมาเป็นมือเขียนบทร่วม ไซมอน เพ็กก์
“ผมกำลังถ่ายทำ Mission: Impossible - Rogue Nation อยู่ในลอนดอน” เพ็กก์เล่า “แล้วไบรอัน เบิร์ค (ผู้อำนวยการสร้าง Rogue Nation และ Into Darkness) ก็เรียกผมไปคุย ผมคิดว่าเขาจะลอบสังหารผมซะอีก แต่เขาถามผมว่าผมอยากจะเขียนบทหนังเรื่องนี้รึเปล่า ผมคุมสติไม่อยู่เลยและบอกเขาว่า ‘แน่นอนเลย!’ แล้วผมก็ได้พบกับดั๊ก ผู้กลายเป็นคู่หูและเพื่อนรรักของผมครับ”
“ผมกับไซมอนไม่เคยพบกันมาก่อน” จุงกล่าว “แต่ผมเป็นแฟนผลงานของเขา ตอนที่เราเริ่มระดมความคิด ผมรู้ว่าการได้ตัวเขามาจะเป็นเรื่องเยี่ยมเพราะเขาเป็นคนตลกอย่างยอดเยี่ยม มีความคิดสร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อและรู้จัก Star Trek เป็นอย่างดี”
“ผมโตมากับการดู Star Trek” จุงกล่าวต่อ “แต่ผมไม่ได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันจนกระทั่งผมโตขึ้น ความรู้ที่สะสมมาตลอดชีวิตของไซมอนเป็นสิ่งที่ช่วยได้มากเพราะเขาพูดได้ว่า ‘ผมคิดว่าเคิร์จจะพูดแบบนี้’ หรือ ‘สป็อคอาจจะใช้คำนี้แทน’ บางครั้ง เขาก็จะแสดงเป็นสก็อตในห้องอย่างสมจริงมากๆ และบางครั้ง เขาก็จะเป็นโบนส์หรือไม่ก็สป็อค มันตลกมากๆ เลยครับ”
“ตอนที่เราเริ่มงาน ผมยังถ่ายทำ Mission: Impossible อยู่ ผมก็เลยเข้ามาช้าและผมก็ได้ประชุมสายกับดั๊กเรื่อยมาเพื่อสร้างไอเดียน่ะครับ” เพ็กก์เล่า “ผมไปแอลเอแล้วก็ขังตัวอยู่ในห้องที่แบ๊ด โรบ็อท เราติดไอเดียของเราไว้ทั่วกระดานเลย จากนั้น ดั๊กก็จะมาอังกฤษแล้วพักที่บ้านผมหนึ่งสัปดาห์ เพื่อเขียนบทและดู Star Trek ต้นฉบับในช่วงเย็น เพื่อเก็บรายละเอียดและชื่อของพวกเสื้อแดงและคนอื่นๆ ที่อาจจะอยู่ไทม์ไลน์ใหม่นี้ได้ แล้วเราก็ร่วมกันเขียนดราฟท์แรกขึ้นมาครับ”
“ผมมีความสุขกับกระบวนการนี้มาก” จุงกล่าว “บ่อยครั้งในฐานะมือเขียนบท คุณจะนั่งอยู่ในห้องคนเดียวท่ามกลางความมืด เพื่อนึกถึงบางอย่างที่คุณคิดว่าเข้าท่า แต่คุณไม่รู้หรอกว่ามันเวิร์คมั้ยจนกระทั่งคุณจะได้เล่ามันให้คนอื่นฟัง ไซมอนเป็นเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยมและก็มีหลายครั้งที่เราจะเขียนอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วถามว่า ‘เราจะทำแบบนี้ได้มั้ย’ ซึ่งจัสตินก็จะบอกเราว่า ‘เอาให้ใหญ่กว่านี้อีก!’ ถ้าปล่อยให้ผมทำของผมเอง ผมอาจจะไม่ไปไกลขนาดนั้นก็ได้”
หนึ่งในประเด็นสำคัญทางพล็อตเรื่องที่เปลี่ยนแปลงการเดินเรื่องอย่างสลักสำคัญคือการพังพินาศของยานสตาร์ชิพ เอนเตอร์ไพรส์ ซึ่งทำให้ลูกเรือติดอยู่ในดาวเคราะห์ต่างดาวที่ยังไม่เคยได้รับการสำรวจมาก่อน
“ความเสี่ยงสูงมากครับ” อับรามส์กล่าว “หลังจากที่พวกเขาได้เห็นยานเอนเตอร์ไพรส์พังเป็นชิ้นๆ ลูกเรือก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางและถูกบีบให้ต้องหาทางเอาตัวรอดและติดต่อกับลูกเรือคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องวิเศษสุดเพราะเราจะได้เห็นว่าแต่ละกลุ่มทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียวยังไงน่ะครับ”
การพังพินาศของยานเอนเตอร์ไพรส์ทำให้ลูกเรือติดอยู่บนอัลทามิด ดาวเคราะห์ที่อันตราย มือเขียนบทชื่นชอบการได้จับคู่ตัวละครที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนหน้าจอ เพื่อดูว่าอะไรที่จะกระตุ้นตัวละครแต่ละตัวได้
ยกตัวอย่างเช่น กัปตันเคิร์ค (คริส ไพน์) ผู้ชอบใช้ความคิด พบว่าตัวเองติดอยู่บนดาวแห่งนี้กับเชคอฟ หนุ่มน้อยโลกสวย (แอนตัน เยลชิน)
มือเขียนบทร่วมจุงอธิบายว่า “เคิร์ค (คริส ไพน์) เป็นหัวหน้าที่มีคำตอบสำหรับทุกอย่างและใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ เขาได้พิสูจน์ตัวเองและก้าวพ้นจากเงาของพ่อเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ เขาต้องเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับตัวตนที่ว่า ‘จะเป็นยังไงต่อไป’ เราชื่นชอบไอเดียของการจับคู่เคิร์ค ที่ปลงตกกับโลกมากขึ้น กับเชคอฟ (แอนตัน เยลชิน) ที่อายุน้อย กระตือรือร้น และไม่เย้ยหยันโลกเท่าไหร่น่ะครับ”
คริส ไพน์กล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “สองภาคแรกจะเน้นไปที่สป็อคและเคิร์ค แต่ผมคิดว่าดั๊กและไซมอนฉลาดมากๆ ที่แยกทุกคนออกจากกันเพื่อดูว่าพวกเขาทุกคนทำงานร่วมกันเป็นยังไง และพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กันยังไง การเป็นกัปตันยานเอนเตอร์ไพรส์เป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในชีวิตของเคิร์ค พ่อของเขาก็เป็นกัปตันของยานที่ถูกทำลายเช่นกัน ดังนั้น การที่ยานเอนเตอร์ไพรส์ถูกทำลายก็ทำให้เกิดอารมณ์ซับซ้อนที่เกี่ยวเนื่องกับตัวตนของเขา และผมคิดว่าเคิร์คมองเห็นอะไรหลายอย่างที่เหมือนกับเขาในตัวของเชคอฟครับ"
“ในขณะที่ตอนเริ่มต้นเรื่อง เคิร์ครู้สึกไม่มั่นใจกับอนาคต เชคอฟกลับมีความมั่นใจเปี่ยมล้นกับภารกิจนี้” เยลชินกล่าว “ตอนที่ยานเอนเตอร์ไพรส์พัง มันเป็นการพรากทุกอย่างที่พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญไป พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกเรือคนอื่นๆ จะมีชีวิตอยู่รึเปล่า ดังนั้น มันก็เลยบีบให้พวกเขาต้องเรียนรู้คุณค่าของความรักและความนับถือที่พวกเขามีต่อเพื่อนร่วมงานใหม่น่ะครับ”
“ผมกับแอนตันหัวเราะกันบ่อยครับ” ไพน์เล่า “มีฉากที่ผมบ่นเขาและเขาก็บ่นผม เราถูกยิงใส่และมีระเบิดตูมตามเกิดขึ้นรอบด้าน มันทั้งน่าวิตกและตึงเครียด แต่สนุกกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะตัวละครของแอนตันและตัวแอนตันเองมีความอบอุ่นเหลือเกินครับ”
สำหรับตัวละครตลกและดรามาที่จะมาจับคู่กับ สป็อค ผู้บัญชาการลูกครึ่งวัลแคน (แซ็คคารี ควินโต) มือเขียนบทรู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการจะจับคู่เขากับด็อกเตอร์ “โบนส์” แม็คคอย (คาร์ล เออร์เบิน) ชายขี้หงุดหงิด ในฐานะเพื่อนที่สนิททที่สุดของเคิร์ค พวกเขาก็เลยไม่คิดที่จะเห็นพ้องต้องกันในการตัดสินใจเรื่องใดๆ ก็ตาม
“ความสัมพันธ์ระหว่างสป็อคและโบนส์ ‘มีเสน่ห์’ เสมอและตลกมากๆ เพราะพวกเขาตรงกันข้ามกันในหลายๆ อย่างครับ” เพ็กก์อธิบาย “แต่ลึกลงไปนั้นคือมิตรภาพเยี่ยมๆ ที่เราอยากจะสำรวจ”
“เมื่อมองย้อนหลังไป โบนส์และสป็อคแตกต่างกันสุดขั้วครับ” ควินโตกล่าว “ในขณะที่เคิร์คและสป็อคเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน โบนส์และสป็อคกลับมีแนวทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“คุณจะได้เห็นความสัมพันธระหว่างโบนส์และสป็อคพัฒนาอย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน” เออร์เบินกล่าว “ตัวละครทั้งสองตัวของเราต่างก็มาถึงจุดเปลี่ยนและต้องเจอกับเรื่องหนักใจของตัวเอง และการติดอยู่บนดาวเคราะห์ต่างดาวก็บีบให้เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ด้วยกันครับ”
“สป็อคมีความเป็นมนุษย์และความเปราะบางมากขึ้นในภาคนี้” ควินโตกล่าวอธิบาย “ผมชื่นชมเวลาที่แอ็กชันเบาลงเพื่อที่สป็อคจะมีช่วงเวลาที่สงบขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดและน่าสนใจที่สุดด้วยครับ”
ด้วยการจากไปของเลียวนาร์ด นีมอย ทีมผู้สร้างก็อยากจะระลึกถึงการเสียชีวิตของ “สป็อค ไพรม์” และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่การสูญเสียเขามีต่อสป็อคหนุ่ม
“เลียวนาร์ด นีมอยเป็นนักแสดงพรสวรรค์ ที่กลายเป็นเพื่อนที่ดีครับ” อับรามส์กล่าว “เราอยากจะยกย่องเขาด้วยการกล่าวถึงการจากไปของเขาในหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าถ้าไม่อย่างนั้น มันคงให้ความรู้สึกที่ไม่ใช่น่ะครับ”
“มันเป็นเรื่องยากเป็นพิเศษสำหรับผม” ควินโตกล่าว “เพราะเราใกล้ชิดกันมากๆ และเป็นเพื่อนกันจนถึงตอนสุดท้าย ผมเชื่อว่าไซมอนและดั๊กทำหน้าที่ได้อย่างวิเศษสุดในการยกย่องเขาในเรื่องราวนี้ และผมคิดว่าเขาคงจะภูมิใจ ซึ้งใจและเขินนิดๆ มันเป็นการอุทิศที่เหมาะสมและผมก็ดีใจที่มันถูกพูดถึงอย่างงดงามครับ”
หลังจากที่สป็อคได้รับบาดเจ็บ โบนส์ก็พบว่าตัวเองถูกผลักให้พ้นจากสิ่งที่คุ้นชิน “เขาเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณและจิตใจงาม ผู้ถูกบีบให้ต้องเจอกับสถานการณ์ที่เขาอาจจะต้องคร่าชีวิตแทนที่จะรักษาชีวิต” เออร์เบินกล่าว “เขาเจอกับปัญหาใหญ่และต้องกลายเป็นแอ็กชันฮีโรแบบจำเป็นน่ะครับ”
“โบนส์เป็นตัวละครที่คนรัก และผมก็รู้สึกเหมือนเขาไม่เคยได้โชว์เต็มที่ซักที” เพ็กก์กล่าวอย่างเสียใจ “นี่เป็นเวลาที่เราจะแก้ไขเรื่องนั้น แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายที่จะให้สก็อตตี้พูดบทพูดเจ๋งๆ แต่มันก็ให้ความรู้สึกแปลกนิดๆ ดังนั้น เราก็เลยตั้งใจที่จะแบ่งบทพูดเจ๋งๆ ระหว่างพวกเขาครับ”
“ตอนที่ผมยังเล็ก โบนส์เป็นตัวละครโปรดของผม” ลินเล่า “และคาร์ลก็พร้อมเสมอที่จะเพิ่มเติมสิ่งต่างๆ ที่ตัวละครของเขาจะต้องทำน่ะครับ”
“ผมชอบการได้ทำงานกับคาร์ล” ควินโตกล่าว “เขาตลกมากและมันก็สนุกมากที่ได้เห็นเขาบู๊ในภาคนี้ เขาเก่งมากครับ”
นอกเหนือจากการสูญเสียยานเอนเตอร์ไพรส์แล้ว จุดจบของความสัมพันธ์ระหว่างสป็อคและอูฮูรา (โซอี้ ซัลดานา) ก็เป็นความสูญเสียอีกอย่างหนึ่งสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
ซัลดานากล่าวว่า “พวกเขาทำงานร่วมกัน มันก็เลยเป็นการเลิกรากันแบบผู้ใหญ่ ที่มีความเป็นมืออาชีพมากๆ พวกเขาปฏิบัติภารกิจห้าปีด้วยกัน และแม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยและคิดถึงบ้านมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับภารกิจเป็นอันดับแรก โดยไม่สร้างความเครียดให้กับเพื่อนร่วมทีมน่ะค่ะ”
ก่อนหน้าที่ทั้งคู่จะใช้ความคิดเกี่ยวกับการเลิกรากันครั้งนี้ ยานของพวกเขากลับแตกเป็นเสี่ยงๆ และอูฮูราก็พบตัวเองอยู่บนดาวอัลทามิดกับซูลู (จอห์น โช)
เช่นเดียวกับเพ็กก์ โชก็มีปฏิกิริยาต่อการสูญเสียยานเอนเตอร์ไพรส์อย่างชัดเจน “หัวใจผมแตกสลายทุกครั้งที่เราทำให้ยานเอนเตอร์ไพรส์เจ็บแม้เพียงน้อยนิด มันแข็งแกร่งครับ ผมเป็นพลขับ ผมก็เลยรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบสภาพของมันและมันก็ผ่านอะไรมากมายเกินกว่าที่ควรจะเป็น และอุปสรรคครั้งนี้ก็รุนแรงเป็นพิเศษครับ” โชกล่าว
“เมื่อไม่มียาน มันก็มีความรู้สึกของการสูญเสียสมดุล ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมา” โชกล่าวต่อ “ตอนที่ผมได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ผมชอบที่โทนของมันทำให้ผมนึกถึงซีรีส์ดั้งเดิม ว่ามันมีทั้งอารมณ์ขันและความแปลกประหลาด และความรู้สึกคุ้นเคยในบรรดาลูกเรือ ผมสนุกมากกับการได้อยู่ในฉากเล็กๆ กับโซอี้ครับ”
“ฉันรู้จักจอห์นมาหลายปีแล้วและฉันก็รักอารมณ์ขันและความมุ่งมั่นที่เขามีต่อตัวละครของเขาค่ะ” ซัลดานากล่าว “ฉันตระหนักได้ว่าในหนังเรื่องนี้ อูฮูราและซูลูต่างก็มีความมุ่งมั่นต่อหน้าที่และความศรัทธาในตัวลูกทีมของพวกเขาคล้ายๆ กัน พวกเขาไว้ใจลูกเรือคนอื่นมากพอๆ กับที่ลูกเรือคนอื่นไว้ใจพวกเขา มันเหมือนกับการที่จอห์นและฉันมีศรัทธาในกันและกันและในตัวทีมงานทุกคนน่ะค่ะ”
“ผมกับจอห์นเคยร่วมงานกันมานานแล้ว” ลินเล่า “จอห์นแสดงใน Better Luck Tomorrow ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของผม ผมยังต้องจ่ายเงินค่าสร้างหนังเรื่องนั้นด้วยบัตรเครดิตอยู่เลย แต่จอห์นกลับกลายเป็น “หนุ่มมิลฟ์” ใน American Pie ไปซะแล้ว นับตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็ได้ก้าวไปไกลแล้วในหน้าที่การงานของเรา แต่มันก็ค่อนข้างเหลือเชื่อที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้งหลังจากสิบสองปีผ่านไปครับ”
มือเขียนบทร่วมไซมอน เพ็กก์ กลับมารับบท หัวหน้าวิศวกรมอนท์โกเมอร์รี สก็อต หรือ “สก็อตตี้” ตามที่เขาเป็นที่รู้จักในวัฒนธรรมป็อป
“ในบรรดาลูกเรือทั้งหมด สก็อตอาจะเป็นคนที่พอใจกับชีวิตของเขาตอนเริ่มต้นเรื่องมากที่สุด” เพ็กก์อธิบาย “เขากำลังทำงานของเขา เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ขับเคลื่อนต่อไป และแน่นอนว่าทุกอย่างถูกพรากไปจากเขาอย่างรวดเร็วครับ”
สก็อตตี้พบว่าตัวเองต้องพึ่งพาเจย์ลาห์ (โซเฟีย บูเทลลา นักแสดงหน้าใหม่สำหรับแฟรนไชส์นี้) พันธมิตรต่างดาวผู้ชำนาญเทคโนโลยี ผู้มีจิตใจเข้มแข็ง หลังจากที่เธอช่วยชีวิตเขาบนพื้นผิวของดาวอัลทามิด
“เจย์ลาห์อยู่ตามลำพังบนดาวแห่งนี้มาได้ซักระยะแล้วค่ะ” บูเทลลากล่าว “เธอจะต้องปกป้องตัวเองมานานจนเมื่อสก็อตตี้มาถึง เธอมองเห็นโอกาสในการมีเพื่อน แม้ว่าเธอจะยังหวาดระแวง แต่เจย์ลาห์และสก็อตตี้ก็พัฒนาความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ฉันกับไซมอนมีนอกฉากน่ะค่ะ”
“โซเฟียทำให้เราหลงใหลครับ” เพ็กก์เล่า “เธอสวมบทนี้ในแบบที่ทำให้การได้ประกบคู่กับเธอในหนังเรื่องนี้เป็นความสุขอย่างแท้จริง เธอทั้งรอบรู้และแข็งแกร่งมากๆ ผมชอบที่เธอมีวิธีการพูดแปลกๆ ซึ่งทำให้เธอให้ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ต่างดาวมากๆ แต่เธอก็เป็นคนที่น่าเห็นใจอย่างเหลือเชื่อด้วยครับ”
เนื่องด้วยเจย์ลาห์จะต้องผ่านการเมคอัพอย่างมาก หลายวันในกองถ่ายของบูเทลลาจึงเริ่มต้นก่อนที่วันของหลายๆ คนจะสิ้นสุดลง
“มีหลายวันที่ฉันจะต้องตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืนครึ่งเพื่อแต่งหน้าก่อนการถ่ายทำในตอนเช้าค่ะ” บูเทลลาเล่า “มันเป็นกระบวนการที่ยาวนานแต่สนุก ในตอนที่คุณต้องนั่งเก้าอี้นานๆ คุณก็จะเข้าสู่ห้วงสมาธิที่ช่วยทำให้คุณสวมบทตัวละครตัวนั้นได้จริงๆ ค่ะ”
“เราอยากจะทำให้เจย์ลาห์โดดเด่น” นักออกแบบเมคอัพและซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายเมคอัพ เอฟเฟ็กต์ โจเอล ฮาร์โลว์ อธิบาย “ผมคิดว่าเส้นสีขาวและดำจากเมคอัพของเธอ ผสมผสานกับส่วนตรงผมของเธอทำให้เธอมีลุคที่ลืมไม่ลงครับ”
“ผมคิดว่าเจย์ลาห์เป็นตัวละครโปรดตัวใหม่ของผม” อับรามส์กล่าว “เธอเป็นตัวละครที่แข็งแกร่ง ตลก น่ารักและแสบซ่าส์อย่างเหลือเชื่อ เธอกลายเป็นพันธมิตรคนสำคัญสำหรับลูกเรือและโซเฟียก็ทำได้อย่างเหลือเชื่อในการเนรมิตชีวิตให้กับเธอครับ”
« Last Edit: July 20, 2016, 08:41:36 AM by happy »
Logged