happy on July 07, 2016, 08:12:27 PM

ชื่อภาพยนตร์:   THE PURGE ELECTION YEAR
ชื่อไทย:      คืนอำมหิต:ปีเลือกตั้งโหด
วันที่เข้าฉาย:   14 กรกฏาคม 2559
จัดจำหน่าย:    บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


ระทึกขวัญไปกับคืนอำมหิต 12 ชั่วโมงสุดโหด ใน The Purge: Election Year

จากความสำเร็จของภาพยนตร์ทริลเลอร์สุดล้ำ The Purge และ The Purge: Anarchy ที่กวาดรายได้รวมกันมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ปีนี้ เจมส์ เดอ โมนาโก กลับมารับหน้าที่เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ The Purge อีกครั้ง โดยร่วมงานกับเจสัน บลัมจากบลัมเฮาส์ โปรดักชั่นส์ (Paranormal และแฟรนไชส์ Insidious) และ ไมเคิล เบย์, แบรด ฟูลเลอร์,แอนดรูว์ ฟอร์ม จาก แพลตตินั่ม ดูนส์ (Teenage Mutant Ninja Turtles, The Texas Chainsaw Massacre, Ouija) และเซบาสเตียน เค.เลอเมอซิเออร์ (Assault on Precinct 13, Four Lovers) โดยใช้ชื่อภาคนี้ว่า The Purge: Election Year คืนอำมหิต: ปีเลือกตั้งโหด

ระทึกขวัญไปกับคืนชำระบาปประจำปี 12 ชั่วโมงสุดโหด ที่อาชญากรรมทุกประเภท รวมถึงฆาตกรรมกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย คราวนี้ แฟรงก์ กริลโล (จาก The Purge: Anarchy และ Captain America: Civil War กลับมารับบทนำเหมือนเดิม โดยในภาคนี้ เขารับหน้าปกป้องวุฒิสมาชิกที่ต้องการล้มคืนล้างบาปของบุรษผู้ก่อตั้งอเมริกาใหม่  กลับมาคราวนี้ การก่ออาชญากรรมถูกกฎหมายได้ก้าวสู่ระดับโลกเป็นครั้งแรก นักท่องเที่ยวจากหลายชาติเดินทางเข้ามาเพื่อร่วมล้างบาปในครั้งนี้ แต่กระแสการล้มล้างธรรมเนียมจะเริ่มรุนแรงขึ้นเช่นกัน
 
ร่วมลุ้นระทึกไปกับการเอาชีวิตรอดในค่ำคืนสุดโหดที่ผู้คนต้องกระเสือกกระสนหนีตายจากคมมีด, กระสุนปืน และเกมไล่ล่าชีวิตมนุษย์กันอีกครั้ง ภาพยนตร์นำแสดงโดย แฟรงก์ กริลโล, เอ็ดวิน ฮอดจ์, เบ็ตตี้ เกเบรียล, ไคล์ เซคอร์, เจเจ โซเรีย, มิเคลติ วิลเลียมสัน และอลิซาเบธ มิทเชล
กำหนดเข้าฉาย 14 กรกฎาคม ในโรงภาพยนตร์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=qK2zrDVmgsg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=qK2zrDVmgsg</a>

ข้อมูลงานสร้าง

สามปีก่อน โลกได้รู้จักกับ The Purge คอนเซ็ปต์แปลกใหม่ที่ในค่ำคืนหนึ่งของแต่ละปี ไม่เพียงแต่อาชญากรรมทุกรูปแบบจะถูกกฎหมาย แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอีกด้วย The Purge และ The Purge: Anarchy ที่เข้าฉายปี 2013 และ 2014 ตามลำดับ ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมและทำรายได้ไป 200 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก

The Purge: Election Year เผยถึงตอนต่อที่น่าสะพรึงกลัว ที่เกิดขึ้นระหว่าง 12 ชั่วโมงของช่วงเวลาที่บ้านเมืองไร้ขื่อแป ภาพยนตร์ทริลเลอร์เกี่ยวกับสถานการณ์สมมตินี้นำเรากลับสู่อนาคตดิสโทเปียอีกครั้ง...ครั้งนี้ ในค่ำคืนก่อนหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสุดดุเดือด ที่ประชาชนในชาติแบ่งเลือกข้างระหว่างผู้ที่สนับสนุนและต่อต้านการล้างบาป

รัฐบาลของเรา ที่บัดนี้บริหารงานโดยกลุ่มบิดาผู้ก่อตั้งใหม่แห่งอเมริกา (เอ็นเอฟเอฟเอ) ได้อนุมัติการล้างบาปประจำปีเพื่อทำให้แน่ใจว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมจะต่ำกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในวันอื่นๆ ที่เหลือของปี แต่การปฏิวัติกำลังก่อตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มผู้คัดค้าน ผู้เชื่อว่าการล้างบาปเป็นวิธีลับๆ ของพวกผู้มีอำนาจในการกำจัดกลุ่มคนยากจนและกลุ่มคนอ่อนแอ เพื่อทำให้กลุ่มคนชั้นสูงเฟื่องฟูขึ้นมา

ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย โกลาหล เราได้ติดตามกลุ่มคนที่พบตัวเองอยู่ในค่ำคืนภายในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างช่วงเวลาแห่งการล้างบาป บัดนี้ เมื่อพวกเขาได้รู้ความจริงของการสมคบคิดครั้งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเอ็นเอฟเอฟเอ ซึ่งมาจากกลุ่มผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้ง ผู้สัญญาว่าจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น เหล่าวีรบุรุษทั้งห้าก็จะต้องหาคำตอบว่าพวกเขาจะยินยอมทำซักแค่ไหนเพื่อปกป้องสิ่งที่พวกเขาเชื่อและคนที่พวกเขารัก

ถึงเวลาที่เราจะผจญภัยในท้องถนนของเมืองหลวงประเทศเราเสียที และในค่ำคืนแห่งการล้างบาปนี้ จิตวิญญาณของประเทศชาติจะตกอยู่ในอันตราย

เป็นเวลาสองปีแล้วนับตั้งแต่ลีโอ บาร์เนส (แฟรงค์ กริลโลจาก The Purge: Anarchy, Captain America: The Winter Soldier, Zero Dark Thirty) ได้ยับยั้งใจตัวเองไม่ให้ลงมือแก้แค้นในค่ำคืนแห่งการล้างบาปในตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง The Purge: Anarchy ปัจจุบัน ลีโอทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยให้กับวุฒิสมาชิก ชาร์ลีย์ โรน (อลิซาเบธ มิทเชลจากซีรีส์ Lost และ Once Upon a Time) ภารกิจของเขาคือการคุ้มครองเธอระหว่างการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ดุเดือดเลือดพล่านของเธอ

เช่นเดียวกับลีโอ วุฒิสมาชิกโรนก็เคยประสบกับความสูญเสียยิ่งใหญ่ ในฐานะสมาชิกคนเดียวของครอบครัวที่รอดชีวิตจากค่ำคืนล้างบาปเมื่อหลายปีก่อน เธออุทิศชีวิตและแคมเปญการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเธอเพื่อกำจัดพิธีกรรมที่เธอรู้ว่ามีเป้าหมายที่คนยากจนและผู้บริสุทธิ์ และนี่ก็เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้เธอได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ประชาชนและทำให้เธอตกเป็นเป้าหมาย

ในบริเวณของดี.ซี. ที่นักการเมืองน้อยคนจะสนใจ เว้นแต่ว่าจะมีโอกาสในการถ่ายรูป โจ (มิเคลตี้ วิลเลียมสันจาก Forrest Gump, ซีรีส์ Justified) เป็นเจ้าของร้านอาหารที่โด่งดังในละแวกนั้น ในค่ำคืนก่อนหน้าคืนแห่งการล้างบาปของปีนี้ เขาได้รู้ว่าอัตราค่าประกันการล้างบาปของเขาได้เพิ่มสูงขึ้นและเขาก็ไม่มีเงินจ่ายสำหรับค่าคุ้มครองได้อีกต่อไป เมื่อไม่มีเงินและหนทาง โจก็จะต้องอาศัยความกล้าในการย่างเท้าออกไปสู่ท้องถนนที่โหดร้ายของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องการมีชีวิตอยู่ของตัวเองและครอบครัวอุปถัมภ์ของเขา

หลังจากหนีจากประเทศบ้านเกิดที่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงสงคราม มาร์คอส (โจเซฟ จูเลียน โซเรียจาก Crank: High Voltage, ซีรีส์ Army Wives) ลูกจ้างที่อยู่กับโจมายาวนาน ก็สามารถทำตามความฝันแบบอเมริกันดรีมของเขาให้เป็นจริงได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพราะโจ มาร์คอสยืนหยัดเคียงข้างเจ้านายของเขาในการปกป้องร้านอาหารของพวกเขา และเมื่อค่ำคืนแห่งความวุ่นวายดำเนินไป อาชญากรรมที่มาร์คอสจำเป็นต้องทำเพื่อการอยู่รอดในบ้านเกิดของเขาก็กลายเป็นประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอดของพวกเขา

การกระทำรุนแรงสมัยวัยรุ่นของลานีย์ (เบ็ตตี้ กาเบรียลจาก Experimenter) หญิงสาวแข็งแกร่ง ผู้มีอดีตแข็งแกร่งยิ่งกว่า ได้ทำให้เธอมีสถานะคนดังในหมู่ผู้ล้างบาป เธอปรับเปลี่ยนชีวิตของตัวเองเสียใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากโจ ผู้ที่เธอมองว่าเป็นเหมือนพ่อของเธอ เช่นเดียวกับมาร์คอส และเธอก็ไถ่บาปของตัวเองด้วยการขับรถตู้เพื่อช่วยเหลือเหยื่อการกระทำรุนแรงในค่ำคืนล้างบาป สิ่งที่เธอแคร์มีเพียงความปลอดภัยและการไถ่บาป

ในตอนที่การหักหลังในหน่วยรักษาความปลอดภัยของวุฒิสมาชิกโรนบีบให้เธอต้องผจญภัยในท้องถนนของดี.ซี. ในค่ำคืนที่ไม่มีการหยิบยื่นความช่วยเหลือ  โจ, ลานีย์และมาร์คอสก็จะต้องร่วมมือกับลีโอเพื่อช่วยเหลือเธอจากความพยายามลอบสังหารโดยเอ็นเอฟเอฟเอ กลุ่มคนที่มาร่วมมือกันโดยไม่ได้ตั้งตัวนี้จะต้องจับมือกันเพื่อต่อสู้ หรือแม้กระทั่งฆ่า เพื่อรักษาชีวิตตัวเองในระหว่างที่พวกเขาถูกไล่ล่าทั่วเมืองจากกองกำลังที่อำมหิตที่สุด ถ้าพวกเขาสามารถรักษาชีวิตของวุฒิสมาชิกผู้นี้ได้จนกระทั่งรุ่งสาง ก็ถือว่าพวกเขาได้รักษาความหวังเพียงหนึ่งเดียวของประเทศในการกำจัดคืนล้างบาป...และพวกเขาก็จะได้พบสันติสุขอย่างที่พวกเขาภาวนาให้เกิดขึ้นมานานเสียที

ผู้ที่กลับมาร่วมงานกับเจมส์ เดอโมนาโก (มือเขียนบท/ผู้กำกับ The Purge, The Purge: Anarchy) ผู้สร้างแฟรนไชส์นี้อีกครั้งได้แก่ผู้อำนวยการสร้างของแฟรนไชส์ที่ประกอบไปด้วย เจสัน บลูม (แฟรนไชส์ Insidious และ Ouija, The Visit) จากบลูมเฮาส์ โปรดักชัน์, หุ้นส่วนจากแพลตินัม ดูนส์ ไมเคิล เบย์, แบรด ฟูลเลอร์และแอนดรูว์ ฟอร์ม (แฟรนไชส์ Teenage Mutant Ninja Turtles และ Ouija, The Texas Chainsaw Massacre) และผู้ร่วมงานกับมือเขียนบท/ผู้กำกับเดอโมนาโกมายาวนาน เซบาสเตียน เค. เลอเมอร์ซิเออร์ (Assault on Precinct 13, Four Lovers)

สำหรับภาคที่สามของแฟรนไชส์นี้ เดอโมนาโกได้รวมทีมงานเบื้องหลังที่ประสบความสำเร็จ ที่รวมถึงผู้กำกับภาพ ฌาคส์ โจเฟร็ท (Lone Survivor, แฟรนไชส์ The Purge), ผู้ออกแบบงานสร้างชารอน โลมอฟสกี้ (Man on Wire, Bring It On) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย อลิซาเบธ วัสโทลา (Stake Land, Cold in July) ผู้ประพันธ์ดนตรี นาธาน ไวท์เฮ้ด (แฟรนไชส์ The Purge, ซีรีส์ The Last Ship) กลับมาแต่งดนตรีประกอบภาคที่สามของแฟรนไชส์นี้

The Purge: Election Year ควบคุมงานสร้างโดยผู้ร่วมงานกลุ่มเดิมของแฟรนไชส์นี้ ได้แก่ลุค เอเตียง, เจเน็ตต์ โวลเทอร์โนและคูเปอร์ ซามวลสัน





happy on July 07, 2016, 08:16:33 PM
เกี่ยวกับงานสร้าง

คงความยิ่งใหญ่ของอเมริกา:
The Purge: Election Year เริ่มต้นขึ้น

ใน The Purge และ The Purge: Anarchy ผู้ชมต่างรู้สึกตกตะลึงไปกับเนื้อเรื่องที่เหมือนจะเรียบง่าย ที่โลดแล่นมีชีวิตด้วยฝีมือของมือเขียนบท/ผู้กำกับเจมส์ เดอโมนาโก ผู้ได้แรงบันดาลใจจากผลงานคลาสสิกอย่าง “The Lottery” โดยเชอร์ลีย์ แจ็คสันและ “The Most Dangerous Game” โดยริชาร์ด คอนเนล 

ภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ The Purge ล้วงลึกถึงการที่สังคมเสื่อมโทรมลงเมื่อรัฐบาลคอรัปชันได้สนับสนุนให้คนตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ย และทำร้ายกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในสังคมเรา และสิ่งที่เกิดขึ้นกับประชากรที่ถูกสนับสนุนให้มีส่วนร่วมกับแนวความคิดแบบนี้

หลังจากความสำเร็จของสองภาคแรก เขาก็กลับสู่โลกที่ดุเดือดนี้อีกครั้งเพื่อสร้างภาคสามในแฟรนไชส์ยอดนิยม ซึ่งในครั้งนี้ เขาจะสร้างเรื่องราวขึ้นในสเกลที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก เดอโมนาโกได้สร้างแฟรนไชส์นี้ให้เป็นเหมือนนิทานสอนใจ ด้วยการตั้งคำถามต่างๆ เช่น “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนในรัฐบาลของเราพยายามบังคับให้เราทำลายกันและกัน และทำลายผู้ที่อยู่ในสถานะที่เปราะบางที่สุดของสังคม เราจะตกเป็นเหยื่อของแนววคิดนี้ หรือเราจะสู้กับรัฐบาล่ะ”

สิ่งที่เป็นเรื่องแปลกในโลกภาพยนตร์คือการที่ The Purge: Election Year เป็นการกลับมาทำงานนี้อีกครั้งของผู้กำกับ/มือเขียนบทคนเดิม ที่ทำหน้าที่เดิมในทั้งสามภาคของไตรภาคเรื่องนี้ “ไอเดียสำหรับแฟรนไชส์นี้คือการผสมผสานหนังแนวต่างๆ เข้าด้วยกัน มันเหมือนการบ่มแนวหนังหลายๆ เรื่องเข้าด้วยกันครับ” เดอโมนาโกพูดถึงความชื่นชอบที่เขามีต่อแฟรนไชส์นี้ “คุณมีแอ็กชัน มีสยองขวัญ มีไซไฟ มีองค์ประกอบของอนาคตแบบดิสโทเปียและยูโทเปีย แล้วมันก็ยังมีนัยยะทางการเมืองด้วยครับ”

อย่างไรก็ดี สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับ จังหวะการสร้างภาพยนตร์ทริลเลอร์ภาคนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ “กลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องดีสำหรับเรา แต่ผมเขียนบทหนังเรื่องนี้ในปี 2014 มันก็เลยเป็นเรื่องของโชคโดยแท้ครับ” เขาเล่า “หนังเรื่องนี้ไม่ได้แรงบันดาลใจจากผู้สมัครคนไหนเป็นพิเศษ แต่ด้วยความวุ่นวายของวงจรการเลือกตั้งนี้ ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่คนจะสรุปไปแบบนั้นน่ะครับ”

สำหรับเดอโมนาโกและเซบาสเตียน เลอเมอร์ซิเออร์ ผู้ร่วมงานกับเขาเป็นประจำ The Purge: Election Year เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติในแฟรนไชส์ที่เติบโตขึ้นทั้งด้านขนาดและสโคป The Purge เกิดขึ้นในบ้านของครอบครัวชนชั้นสูงและละแวกใกล้เคียง The Purge: Anarchy เปิดโปงการสมคบคิดจากรัฐบาลด้วยการนำเรื่องราวออกสู่ท้องถนนและแสดงให้เห็นถึงค่ำคืนสยดสยองจากมุมมองของคนธรรมดา

 “The Purge: Election Year ไปสู่สโคปที่ยิ่งใหญ่กว่า ด้วยการพาเราไปสู่ใจกลางของการคอรัปชัน สู่ความนึกคิดและบ้านของผู้นำทางการเมือง ผู้ปกครองโลกใบนี้ที่เราได้สร้างขึ้นครับ” เลอเมอร์ซิเออร์อธิบาย “ผลของการตัดสินใจของพวกเขากำลังจะตรงไปสู่ประตูบ้านของพวกเขา”

สำหรับภาคที่สามในแฟรนไชส์นี้ บลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ของเจสัน บลูมจะเป็นผู้นำทีมโปรดักชัน ทีมงานเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้รู้ว่าสัญชาตญาณของมือเขียนบท/ผู้กำกับองพวกเขาคือสิ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จของทริลเลอร์สองภาคแรก และพวกเขาก็เชื่อมั่นว่าผลงานเรื่องถัดไปของเขาจะต้องยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยอดนิยมอย่างแฟรนไชส์ Paranormal Activity และ Insidious รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง The Visit ซึ่งเป็นผลงานการร่วมงานกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานเมื่อปีที่ผ่านมา บลูมเข้าใจดีว่าจะผลักดันภาพยนตร์ทุนต่ำที่ประสบความสำเร็จให้กลายเป็นแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ได้อย่างไร ความจริงนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนทีเดียวจากความสำเร็จของสองภาคแรกในแฟรนไชส์ The Purge ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งตามข้อตกลงเสนองานก่อนเป็นพิเศษกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สของบลูมเฮาส์

“ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับ เจมส์เป็นปรมาจารย์ในการปูพื้นความตื่นเต้น และสร้างหนังลุ้นระทึก ที่กระตุ้นความคิดครับ” บลูมกล่าว “สำหรับภาคสาม เจมส์ตรงเข้าสู่หัวใจของมัน มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาที่จะขยายสโคปและสำรวจเรื่องการสมคบคิดในวงกว้างในแฟรนไชส์นี้ ซึ่งมาจากผู้นำที่ได้รับเลือกมาของโลกที่เขาสร้างขึ้นครับ”





บลูมชื่นชอบการร่วมงานกับผู้กำกับมากประสบการณ์อย่างเดอโมนาโกและให้อิสระสร้างสรรค์กับพวกเขาเต็มที่ในการสร้างวิสัยทัศน์ของพวกเขาให้เป็นจริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็คอยดูให้แน่ใจว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ จะถ่ายทำตามกำหนดเวลาและภายใต้งบประมาณ “สิ่งที่ทำให้ผมสนใจหนังทุนต่ำคือความคิดสร้างสรรค์และพลังงานแบบนอนสต็อปที่พวกเขาใส่เข้าไประหว่างการถ่ายทำครับ” บลูมบอก “ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับของแฟรนไชส์นี้ เจมส์ไม่เพียงแต่เข้าใจทุกองค์ประกอบของเรื่องราวโดดเด่นนี้ที่เขากำลังเล่าอยู่ แต่เขายังเข้าใจว่าทุกส่วนทุกตอนจะขับเคลื่อนไปอย่างไรในหนังฟอร์มขนาดนี้ เขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการทำให้แต่ภาคสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง แต่ก็ร้อยเรียงธีมหลักและตัวละครเข้าไปเพื่อเชื่อมต่อการดำเนินเรื่องระหว่างแต่ละภาคด้วยครับ”

อีกครั้งหนึ่งที่บลูมเฮาส์ได้ร่วมมือกับแพลตินัม ดูนส์ของไมเคิล เบย์ในการทำงานภาคนี้ การสานต่อเรื่องราวของล้างบาปประจำปีของกลุ่มเอ็นเอฟเอฟเอและผู้ที่ต่อต้านธรรมเนียมนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับแบรด ฟูลเลอร์ ผู้รู้ว่าผู้ชมจะตอบสนองต่อการขยายโลกที่เดอโมนาโกได้จินตนาการขึ้นให้กว้างออกไปอีก “อย่างที่เจมส์บอก หนังเรื่องนี้ผสมผสานเรื่องหลายแนว ทั้งสยองขวัญ แอ็กชันและทริลเลอร์ โดยมีนัยยะทางการเมืองครับ” เขากล่าว “สำหรับภาคนี้ ความเสี่ยงมันมีเยอะขึ้น มันเป็นมากกว่ากลุ่มคนที่ต้องเอาชีวิตรอดผ่านค่ำคืนหฤโหด แต่มันเป็นเรื่องที่ว่า ธรรมเนียมการล้างบาปจะอยู่รอดรึเปล่า และคำถามสำคัญสุดท้ายคือ เราจะกอบกู้ศีลธรรมของประเทศชาติได้รึเปล่า”

แอนดรูว์ ฟอร์ม หุ้นส่วนงานสร้างของฟูลเลอร์ที่แพลตินัม ดูนส์ เล่าว่าเดอโมนาโกให้ความสำคัญกับการดึงดูดใจผู้ชมผ่านการเล่าเรื่องราวที่น่าติดตาม “งานเขียนของเจมส์มีความเป็นมนุษย์สูงครับ” ผู้อำนวยการสร้างกล่าว “เขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนธรรมดาภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา และมันก็เข้าถึงได้และน่าเชื่อ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจเหลือเกินครับ”

การที่ทริลเลอร์เรื่องนี้นำเสนอความหมายของการเป็นครอบครัวท่ามกลางช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัวตามที่ปรากฏในแฟรนไชส์นี้ทำให้ The Purge มีความลึกซึ้งและความเป็นมนุษย์ยิ่งขึ้น “มันมีพัฒนาการตัวละครที่ยอดเยี่ยมและความสัมพันธระหว่างครอบครัวระหว่างโจ, ลานีย์และมาร์คอสครับ” ฟอร์มกล่าว “นี่เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่คุณไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจาก Purge ครับ”

เดอโมนาโกอาศัยสองตัวละครหลักในการสานต่อความต่อเนื่องและพาเราเดินหน้าต่อไปในไตรภาคเรื่องนี้ คนแปลกหน้าจากภาคแรก ผู้หลบซ่อนตัวในบ้านของครอบครัวแซนดินและได้ปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะพวกปฏิวัติใน Anarchy มีบทบาทสำคัญในภาคใหม่นี้ เดอโมนาโกอธิบายว่าผู้ชมได้เห็นวิวัฒนาการของพิธีล้างบาปผ่านสายตาของดันเต้ บิช็อป (เอ็ดวิน ฮ็อดจ์จาก The Purge: Anarchy, The Purge) “ในภาคแรก เขาถูกตามล่า และพอถึงภาคสา เขากลายเป็นผู้นำการปฏิวัติที่ไล่ล่าผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของกลุ่มเอ็นเอฟเอฟเอครับ” เดอโมนาโกพูดถึงผู้นำกลุ่มต่อต้านผู้ลึกลับ “เขากลายเป็นเหมือนผู้ที่ไล่จับเขาครับ”

ผู้ที่กลับมาอีกครั้งในภาคสามคือลีโอ อดีตตำรวจผู้มุ่งมั่นที่จะตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ยในภาคสองของแฟรนไชส์ “ในฐานะคนที่เกือบจะลงมือล้างบาป ลีโอเข้าใจดีถึงความเลวร้ายของมันและการที่พิธีนี้กำลังทำลายชีวิตและประเทศชาติ” เดอโมนาโกเล่า “เขาจะทำทุกอย่างเพื่อผลักดันวุฒิสมาชิกให้ก้าวเข้าไปในทำเนียบขาว ที่ซึ่งเธอสามารถยกเลิกธรรมเนียมนี้ได้ครับ”