MSN on June 21, 2016, 08:53:05 AM
บลจ.กรุงไทยขายตราสารหนี้3เดือนชู1.40% ช่วงเศรษฐกิจผันผวนแนะจัดพอร์ตลงทุน

นางชวินดา  หาญรัตนกูล  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกกรุงไทยตราสารหนี้เอฟไอเอฟ  102 ( KTFF102 ) เสนอขาย วันที่ 22-28 มิถุนายน 2559   อายุ 3 เดือน  เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศทั้ง100%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ซึ่งประกอบด้วย  เงินฝากประจำ  Bank of china  (Macau)   , China Construcytion Bank (Asia) Corp.Ltd  , Agricultural Bank  of CHINA , Union National  Bank  PJSC  และ First  Gulf  Bank  PJSC ผลตอบแทนประมาณ 1.40% ต่อปี   เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการล็อคผลตอบแทนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ   และผลตอบแทนสำหรับบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี

นางชวินดา  กล่าวต่อไปว่า ในช่วงเวลานี้ตลาดหุ้นมีความผันผวน  สาเหตุหลักมาจากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าห์แข็งค่าขึ้น  ซึ่งทำให้ตลาดตราสารหนี้และทองคำ มีการขายทำกำไรออกมา    ปัจจัยหลักๆเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนในเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด การประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น และสิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญมากคือเรื่องของประชามติ Brexit   ทั้งนี้  หากอังกฤษเลือกที่จะออกจากกลุ่มสหภาพยุโรป  จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน รวมถึงระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ  ซึ่งจะทำให้ตลาดเข้าสู่โหมดการปกป้องตัวเองจากความเสี่ยง ( Risk-Off)  เม็ดเงินลงทุน จะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย  เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ -เยอรมนี  และทองคำ  ในขณะที่ตลาดหุ้นในยุโรปเกิดแรงเทขายอย่างมาก

ในมุมองของบลจ.กรุงไทย   คาดว่า  ธนาคารกลางสหรัฐฯ ( Fed ) จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย    โดยเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงเดือน กรกฎาคม กันยายน หรือ ธันวาคม  อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน  คาดว่าจะมีผลต่อการตัดสินในการดำเนินนโยบายของเฟด

ด้านปัจจัยการลงคะแนนประชามติ Brexit    บลจ.กรุงไทย  คาดว่า มีโอกาสอยู่บ้างที่จะอยู่ต่อในยูโรโซนต่อไป

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้  การจัดพอร์ตการลงทุนนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประชาชนที่ต้องการลงทุน เพื่อเก็บออมไว้ใช้ในอนาคต   และเป็นการสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่มากขึ้น  ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังมีความผันผวนต่อการลงทุน  จึงไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง  ควรจะมีการกระจายพอร์ตการลงทุน 

การปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนที่พอรับความเสี่ยงได้  อาจจะพิจารณาลงทุนในตราสารทุน   46% ตราสารหนี้ 38% สินทรัพย์ทางเลือก 11% และเงินสด 5% โดยคิดเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ภายในประเทศ 68% ต่างประเทศ 32%   ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดตราสารทุนยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หากสามารถผ่านพ้นปัจจัยลบที่เป็นเหตุการณ์ต่างๆไปได้ จะทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาดีและเพิ่ม Upside ให้กับตลาดตราสารทุนได้อีกครั้ง
« Last Edit: June 21, 2016, 03:20:38 PM by MSN »