MSN on April 25, 2016, 10:10:18 PM
ข้อคิดเห็นต่อการปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ    ศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์



เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2559 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกคำสั่งที่ 10/2559 และ11/2559ให้มีการปรับโครงสร้างการบริหารของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเพิ่มเอกภาพในการบริหารและกระชับสายบังคับบัญชา การปรับโครงสร้างนี้มุ่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างทำ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีอยู่จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นที่น่ากังวล เพราะอาจยึดหลักการสั่งการมากกว่าการมีส่วนร่วมและการกระจายอำนาจซึ่งเป็นแนวทางที่จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนมากกว่า

ในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารได้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค” ซึ่งประกอบไปด้วยรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยและเลขาธิการของกรมทั้ง 5 ในกระทรวงฯ และได้มีการตั้ง“คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด” (กศจ.) และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทำหน้าที่วางแผนการศึกษาจังหวัด โดยดูแลกำกับทั้งสถานศึกษาทุกสังกัด ในระดับปฐมวัยจนถึงมัธยมปลายและอาชีวศึกษา และทำหน้าที่ทั้งวางแผนนโยบายวิชาการและบุคลากร แทนที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาและคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)ในเขตพื้นที่การศึกษา225 เขต

   หากคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารการศึกษาของประเทศก็น่าจะมีเอกภาพมากขึ้น โดยหน่วยงานต่างๆ มองปัญหากว้างขึ้นและประสานงานกัน ซึ่งจะแก้ปัญหาสำคัญหลายประการได้เช่นในปัจจุบัน มีนักเรียนจำนวนมากที่หลุดออกจากระบบในช่วงรอยต่อของป. 6 และ ม. 1 และ ม. 3ขึ้น ม. 4 นอกจากนี้ โรงเรียนสายสามัญบางแห่งยังปิดกั้นการเรียนต่ออาชีวศึกษา เพราะเกรงว่าจะได้รับเงินอุดหนุนรายหัวลดลง การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะต้องมีระบบติดตามนักเรียนตลอดทางและต้องเปิดทางเลือกให้แก่นักเรียนเข้าเรียนในสายต่างๆ ตามความสนใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้หากมีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานที่ดูแลประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา

การจัดสรรครูเป็นอีกปัญหาสำคัญที่จะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อมีการประสานกันระหว่างหน่วยงาน ปัจจุบัน
ในระดับเขตพื้นที่มีทั้งโรงเรียนที่ครูเกินและครูขาดแคลน อีกทั้งในจังหวัดเดียวกันก็มีทั้งเขตที่ครูเกินและครูขาดแคลน แต่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และเขตพื้นที่ไม่สามารถบริหารให้เกิดความสมดุลได้ ส่วนหนึ่งเพราะติดกฎระเบียบที่กำหนดให้การย้ายครูระหว่างโรงเรียนในกรณีปรกติทำได้เฉพาะกรณีที่ครูสมัครใจและหากเป็นการย้ายระหว่างเขตพื้นที่การศึกษา ต้องให้เขตพื้นที่ทั้งสองฝ่ายยินยอม

   อย่างไรก็ตาม การสร้างเอกภาพในการบริหารเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง อันที่จริงการจัดตั้งสพฐ. และเขตพื้นที่การศึกษาเป็นความพยายามสร้างเอกภาพในการบริหารเช่นกัน โดยรวมการบริหารที่เดิมแยกกันระหว่างสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติและกรมสามัญศึกษาเข้าด้วยกัน ก่อนปี 2553 มีเขตพื้นที่การศึกษาเพียง 185 เขตซึ่งแต่ละเขตดูแลการศึกษาทั้งระดับประถมและมัธยม แต่สุดท้าย กลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษาขอแยกเขตพื้นที่การศึกษา ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในคณะกรรมการและ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่และได้รับการสนับสนุนลดลง 

ข้อเป็นห่วงของผู้เขียนคือ การปรับโครงสร้างครั้งนี้อาจลดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของผู้มีส่วนได้เสียลงและเน้นการสั่งการจากส่วนกลางมากขึ้น เนื่องจากกรรมการในคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด 20-22 คน มาจากหน่วยงานราชการ 13 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 1-3 คน มีตัวแทนภาคเอกชนและประชาสังคมเพียง4คน และมีตัวแทนครูเพียง 2 คนซึ่งไม่น่าจะสามารถสะท้อนความเห็นที่ครอบคลุมการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงอาชีวศึกษาได้ และไม่มีตัวแทนสมาคมผู้ปกครองเหมือนในคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา

กระบวนการการคัดเลือกตัวแทนประชาชนและครูยังไม่มีความชัดเจน โดยคำสั่งฯ กำหนดเพียงให้รัฐมนตรีแต่งตั้งตามความเห็นชอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาฯ ซึ่งมีความเสี่ยงว่าผู้ได้รับการแต่งตั้งอาจไม่ใช่ตัวแทนที่แท้จริงของประชาชนและครูส่วนกลางยังพยายามกระชับสายบังคับบัญชาให้แน่นขึ้น โดยจัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค 18 แห่ง ซึ่งทำหน้าที่รับส่งคำสั่งและนโยบายจากส่วนกลางไปยังสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด

หากไม่ได้รับฟังปัญหาและความคิดเห็นที่หลากหลาย คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดจะไม่สามารถมองภาพรวมของการศึกษาในจังหวัดและไม่สามารถประสานงานกับหน่วยงานต่างๆได้ และเสี่ยงต่อการทำงานตามโครงการของส่วนกลางมากกว่าตอบโจทย์ของพื้นที่

การที่กระทรวงศึกษาธิการเลือกวิธีกระชับสายบังคัญชาอาจเป็นเพราะมองว่าการกระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่ได้สร้างกลุ่มผลประโยชน์ขึ้นในพื้นที่ ซึ่งทำให้การบริหารด้อยประสิทธิภาพลง อย่างไรก็ตาม ควรระวังว่าการลดส่วนร่วมของพื้นที่อาจเพิ่มอำนาจให้กลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งอาจหาผลประโยชน์เสียเองในอนาคตที่จริงแล้ว สาเหตุหนึ่งของการหาผลประโยชน์คือ ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลการเรียนของนักเรียน

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ปัญหาหลักของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา ไม่ใช่มาจากการมีอำนาจมากเกินไป แต่มาจากการไม่มีอำนาจตัดสินใจและงบประมาณเพียงพอ เพราะเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเพียงผู้บริหารและกำกับให้โรงเรียนดำเนินโครงการของส่วนกลาง ทำให้ไม่สามารถคิดและทำโครงการที่ตอบโจทย์ของพื้นที่ได้
   
การปฏิรูปการศึกษาให้ได้ผลอย่างยั่งยืนควรเกิดจากการกระจายอำนาจตัดสินใจให้โรงเรียนและพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลการเรียนของนักเรียนโดยตรงเช่น ให้โรงเรียนคัดเลือกครูได้เองจากผู้สอบผ่านการทดสอบมาตรฐานกลางและให้โรงเรียนรับผิดชอบต่อพ่อแม่มากขึ้น โดยเพิ่มบทบาทของพ่อแม่และชุมชนในการบริหารโรงเรียน เช่น ให้มีส่วนร่วมคัดเลือกผู้อำนวยการ  ส่วนภาครัฐส่วนกลางและจังหวัดควรเป็นผู้วางมาตรฐานคุณภาพขั้นต่ำและช่วยเหลือสนับสนุนโรงเรียน

เช่นเดียวกัน การวางแผนพัฒนาการศึกษาของจังหวัด ควรต้องเพิ่มตัวแทนของผู้ปกครอง ภาคประชาสังคม และตัวแทนครูเพื่อให้ทิศทางการจัดการศึกษาสอดคล้องกับโจทย์ปัญหาของแต่ละพื้นที่ หรืออย่างน้อยควรรับฟังความเห็นของบุคคลเหล่านั้นก่อนจะดำเนินการในเรื่องใดที่จะมีผลกระทบในวงกว้าง
« Last Edit: April 25, 2016, 10:14:59 PM by MSN »