ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส
ร่วมกับ
เพอร์เฟ็กต์ เวิลด์ พิคเจอร์ส
ภูมิใจเสนอ
ผลงานสร้างโดยร็อธ ฟิล์มส์
คริส เฮมส์เวิร์ธ
ชาร์ลิซ เธอรอน
เอมิลี บลันท์
นิค ฟรอสท์
แซม คลาฟลิน
ร็อบ ไบรดอน
และเจสสิกา แชสเทน
ผู้ควบคุมงานสร้าง
ซาราห์ แบรดชอว์
พาลัค พาเทล
อำนวยการสร้างโดย
โจ ร็อธ, พี.จี.เอ.
สร้างจากตัวละครโดย
อีแวน โดเกอร์ตี้
เขียนบทโดย
อีแวน สปิลิโอโทปูลอส และเคร็ก มาซิน
กำกับโดย
เซดริค นิโคลัส-โทรยัน
ชื่อไทย พรานป่าและราชินีน้ำแข็ง
ชื่อหนัง THE HUNTSMAN: WINTER’S WAR
วันที่เข้าฉาย 6 เมษายน 2559
จัดจำหน่าย บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัดข้อมูลงานสร้าง
ขอเชิญพบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน Snow White ในเรื่องราวของ The Huntsman: Winter’s War คริส เฮมส์เวิร์ธ (Thor และแฟรนไชส์ Avengers) และนักแสดงหญิงรางวัลออสการ์ ชาร์ลิซ เธอรอน (Mad Max: Fury Road, Prometheus) กลับมารับบทเดิมจาก Snow White and the Huntsman อีกครั้ง และครั้งนี้ พวกเขาได้ร่วมแสดงกับเอมิลี บลันท์ (Sicario, Into the Woods) และเจสสิกา แชสเทน (The Martian, Zero Dark Thirty)
เธอรอนนำแสดงในบทราชินีโฉดราเวนนา ผู้หักหลังน้องสาวแสนดีของเธอ เฟรยา (บลันท์) ด้วยการกระทำที่ไม่อาจยกโทษให้ได้ โดยเธอได้แช่แข็งหัวใจของเฟรยาให้ไร้ความรัก และปลดปล่อยพลังเยือกแข็งที่เธอไม่รู้มาก่อนว่าอยู่ในตัวเธอออกมา เฟรยาได้ถอยไปตั้งหลักยังอาณาจักรที่ห่างไกลทางทิศเหนือ เธอได้รวบรวมกองทัพนายพรานเพื่อให้เป็นผู้คุ้มครองเธอ โดยมีกฎข้อเดียวเท่านั้นคือห้ามไม่ให้คนของเธอรักกัน
เมื่อสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างราชินีทั้งสองทวีความรุนแรงขึ้น วีรบุรุษผู้ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความดีและความชั่วคืออีริค (เฮมส์เวิร์ธ) นายพรานผู้เก่งกาจที่สุดของเฟรยา อีริคและเพื่อนนักรบของเขา ซารา (แชสเทน) หญิงสาวเพียงคนเดียวที่กุมหัวใจของเขาเอาไว้ได้ จะต้องช่วยเหลือเฟรยาปราบพี่สาวของเธอ...ไม่เช่นนั้น ความชั่วร้ายของราเวนนาก็จะมีชัยไปชั่วกัลปาวสาน
ผู้อำนวยการสร้างโจ ร็อธ (Maleficent, Alice in Wonderland) นำทีมงานเบื้องหลังในพรีเควลสุดตระการตาของตำนานที่ยิ่งใหญ่นี้ ภายใต้การกำกับของพ่อมดวิชวล เอฟเฟ็กต์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ เซดริค นิโคลัส-โทรยัน (แฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean, Snow White and the Huntsman) ผู้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยอีพิคแอ็กชันผจญภัยเรื่องนี้
นักแสดงคนอื่นๆ ในภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยเรื่องนี้ได้แก่นิค ฟรอสท์ (Hot Fuzz) ผู้กลับมารับบท นิออน คนแคระผู้ใจร้อน และแซม คลาฟลิน (แฟรนไชส์ The Hunger Games) ผู้กลับมารับบทเจ้าชายวิลเลียม ข้ารับใช้ผู้ภักดีต่ออาณาจักร ร่วมทีมโดยร็อบ ไบรดอน (Cinderella) ในบทกริฟฟ์ หนึ่งในตัวละครที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่ในดินแดนเวทมนตร์, เชอริแดน สมิธ (ซีรีส์ Mrs. Biggs) ในบทคุณนายบรอมวิน คู่ปรับของกริฟฟ์ หนึ่งในคนแคระที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จินตนาการได้ และอเล็กซานดรา โร้ค (The Iron Lady) ในบท โดรีนา ไซด์คิกผู้อ่อนหวานแต่แข็งแกร่งของคุณนายบรอมวิน
ผู้ที่ร่วมงานกับทีมงานสร้างสรรค์ของนิโคลัส-โทรยันได้แก่หัวหน้าแผนกต่างๆ รวมถึงผู้กำกับภาพฟีดอน ปาปาไมเคิล (Nebraska, Sideways), ผู้ออกแบบงานสร้าง โดมินิค วัตคินส์ (Snow White and the Huntsman, United 93), มือลำดับภาพ คอนราด บัฟฟ์ ที่สี่ (Titanic, Rise of the Planet of the Apes), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของสามรางวัลออสการ์ คอลลีน แอทวู้ด (Chicago, Alice in Wonderland), ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ พอล แลมเบิร์ต (Oblivion, Gone Girl) และผู้ประพันธ์เพลงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงแปดรางวัลออสการ์ (แฟรนไชส์ The Hunger Games, Snow White and the Huntsman)
The Huntsman: Winter’s War เขียนบทโดยอีแวน สปิลิโอโทปูลอส (Beauty and the Beast) และเคร็ก มาซิน (แฟรนไชส์ The Hangover) และสร้างจากตัวละครที่สร้างสรรค์โดยอีแวน โดเกอร์ตี้ (Divergent) ควบคุมงานสร้างโดยซาราห์ แบรดชอว์ (Maleficent) และพาลัค พาเทล (Snow White and the Huntsman)เกี่ยวกับงานสร้าง
ก่อนหน้า Snow White:
The Huntsman: Winter’s War เริ่มอุบัติ
ในปี 2012 Snow White and the Huntsman ได้เนรมิตชีวิตใหม่ให้กับโลกเทพนิยายด้วยการนำเสนอเรื่องราวคลาสสิกนี้ในมุมมองอีพิคที่มืดหม่น ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ที่นำแสดงโดยคริสเตน สจวร์ต, คริส เฮมส์เวิร์ธและชาร์ลิซ เธอรอน ทำรายได้ไปเกือบ 400 ล้านเหรียญทั่วโลกและสร้างความยินดีให้กับผู้ชมทั่วโลก
เมื่อถึงเวลาพิจารณาการกลับมาสู่โลกแฟนตาซีที่มืดหม่นที่เหล่าผู้สร้างได้เคยจินตนาการเอาไว้อีกครั้ง บรรดาผู้อำนวยการสร้างก็ตัดสินใจที่จะสำรวจเรื่องราวที่ภาพยนตร์ภาคแรกเคยเกริ่นเอาไว้แล้ว ซึ่งอ้างถึงอดีตคนรักของอีริคและการเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าของเธอ ด้วยฝีมือของเฮมส์เวิร์ธ นายพรานกลายเป็นตัวละครที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และความคิดของเรื่องราวคู่ขนานทั้งสองเรื่องในโลกที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นี้ก็เป็นที่ถูกใจของทุกคนที่เกี่ยวข้อง
การมองแฟรนไชส์นี้แบบอ้อมๆ เป็นโอกาสให้ทีมผู้สร้างได้มองย้อนไปถึงความสำเร็จของภาคแรกและพิจารณาถึงพื้นที่ในการพัฒนาเพิ่มเติม “เราไม่อยากให้ภาคนี้มืดหม่นเท่าภาคแรก” ผู้อำนวยการสร้างโจ ร็อธ ผู้เนรมิตชีวิตใหม่ให้กับเทพนิยายในภาพยนตร์อย่าง Maleficent และ Oz the Great and Powerful และผู้ซึ่งความชำนาญและการเล่าเรื่องราวแนวนี้ไม่มีใครเทียบได้ กล่าว “เราอยากจะนำเสนอเรื่องโรแมนซ์ด้วยครับ”
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เขียนโดยอีแวน สปิลิโอโทปูลอส และเคร็ก มาซิน และสร้างจากตัวละครโดยอีแวน โดเกอร์ตี้ เป็นเช่นนั้น โดยมันบอกเล่าเรื่องราวของรักแท้คนแรก และคนเดียว ผู้ล่วงลับไปแล้วของอีริค การที่พวกเขาได้พบกันอย่างไร และต้องพรากจากกันอย่างไร นอกจากนั้น เรื่องราวนี้ยังเป็นเหมือนอดีตความเป็นมาสำหรับนายพราน ผู้ปรากฏตัวในการผจญภัยครั้งแรกในฐานะตัวละครที่มีที่มาที่ไปครบสมบูรณ์ ไม่ใช่บุรุษปริศนา
เมื่อราชินีโฉดราเวนนาถูกปราบ ทุกคนก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์ในอาณาจักร ภายใต้การปกครองของ สโนว์ไวท์ ราชินีผู้มีสิทธิ์และศักดิ์ในบัลลังก์ แต่เมื่อเธอเนรเทศกระจกวิเศษไปให้พ้นจากปราสาทและมันหายสาบสูญไป เจ้าชายวิลเลียมก็พึ่งพาได้เพียงคนเดียวที่จะนำมันกลับมาได้ เขาก็คือนายพรานอีริค เมื่ออีริคออกเดินทางเพื่อรักษาพลังของกระจกวิเศษไม่ให้ตกอยู่ในมือของคนชั่ว และเผยความลับของผู้ที่อยู่เบื้องหลังการขโมยสมบัติชิ้นนี้ เรื่องเก่าๆ จากเมื่อครั้งอดีตก็หวนคืนและเขาก็ได้เผชิญหน้ากับการผจญภัยครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
เฮมส์เวิร์ธอธิบายว่าความสนใจที่เขามีต่อเรื่องราวพรีเควลนี้เกิดจากธีมที่มันสำรวจ “เราจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดความรักไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายที่ความรักมีต่ออีริค และสิ่งที่เขาจะทำเพื่อความรักครับ”
นักแสดงหนุ่มคิดว่าความสำเร็จของภาพยนตร์ภาคแรกไม่ได้อยู่ที่ความคุ้นเคยที่เรามีต่อตำนานสโนว์ไวท์เพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่การออกแบบงานสร้างพิเศษสุดที่เปลี่ยนเด็กสาวที่ไร้เดียงสาในเทพนิยายให้กลายเป็นนักรบทรงพลัง ผู้ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เธอศรัทธา “ในภาคนี้ แม้จะอยู่ในโลกเดิม แต่เราก็มีโอกาสในการทำให้โทนสดใสขึ้นในหลายๆ ทาง สีสันต่างๆ สดใสขึ้นครับ”
ทีมผู้สร้างมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ภาพยนตร์ภาคนี้จะเผยเรื่องราวต่างๆ มากขึ้นสำหรับผู้ชม และเรื่องราวนี้ก็จะบอกเล่าอีกชิ้นส่วนหนึ่งของปริศนา เรื่องราวที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครล่วงรู้จนกระทั่งตอนนี้ “สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกี่ยวกับโลกใบนี้” นิโคลัส-โทรยัน ตั้งข้อสังเกต “คือมันเป็นช่วงรอยต่อที่วิเศษสุด มันไม่ได้เป็นโลกแฟนตาซีเต็มตัว และก็ไม่ใช่โลกตามประวัติศาสตร์ซะทีเดียว เมื่อมีพื้นฐานจากโลกโบราณเสมือน คุณก็สามารถเพิ่มเติมเวทมนตร์ ความรัก และอื่นๆ เข้าไปได้ครับ”
สำหรับอีริค ที่รับบทโดยเฮมส์เวิร์ธ เรามองเห็นนักรบมากความสามารถ ผู้จัดเจนในวิถีแห่งพงไพร คนที่ภักดี ซื่อสัตย์ ผู้ไม่เผยความรู้สึกตัวเองออกไปให้โลกได้รับรู้ The Huntsman: Winter’s War สำรวจอดีตของอีริค และเราก็ได้เรียนรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง ในความเป็นจริงแล้ว เขาต่อสู้มาทั้งชีวิต ในตอนแรกก็เพื่อเฟรยา น้องสาวของราเวนนา
ในขณะที่ราเวนนาเป็นผู้กลืนกินวิญญาณผู้ชั่วร้าย และใช้มนตร์ดำของเธอในการดูดพลังชีวิตจากเหยื่อของเธอ เฟรยา น้องสาวของเธอกลับเป็นราชินีแห่งหิมะและน้ำแข็งผู้แสนดี เธอได้สร้างอาณาจักรเยือกแข็งของเธอเองตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา...และเฝ้ามองการขึ้นเป็นใหญ่ของราเวนนาอย่างเงียบๆ
ในตอนที่ราชินีราเวนนาผู้โฉดชั่วและกระหายในอำนาจได้หักหลังราชินีหิมะอย่างไม่น่าให้อภัย เฟรยา ผู้หัวใจสลาย ก็ได้หนีจากบ้านและสร้างอาณาจักรที่เย็นยะเยือกเฉกเช่นหัวใจของเธอ ไม่มีใครสัมผัสเธอได้อีก และในการรวมกองทัพนายพราน ผู้ถูกพรากจากครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก เธอก็ได้สร้างกองกำลังที่คุ้มครองเธอขึ้นมา...และเธอกับทหารของเธอก็จะไม่ต้องทนทรมานจากความเจ็บปวดเพราะความรักอีกต่อไป
อีริคเป็นหนึ่งในทหารกลุ่มที่ว่า เขาถูกหล่อหลอมให้เชื่อในราชินีของเขาและต่อสู้เพื่อเธอ แต่เขาก็อายุน้อยเกินกว่าจะตระหนักถึงความเจ็บปวดในหัวใจของเฟรยา แต่เมื่อเขาได้พบกับซารา และพวกเขาตกหลุมรักกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในอาณาจักรของเฟรยา เขาก็เริ่มเรียนรู้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าพลังและการครอบครอง
“ความคิดของเฟรยาคือความรักฆ่าคนได้” ร็อธอธิบาย “แต่ไม่ว่าเธอจะเตือนยังไง อีริคและซาราก็อดไม่ได้ที่จะพึงพอใจซึ่งกันและกัน หนังเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าเราจะทำยังไงให้อีริคและซาราได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าเฟรยาจะทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งมันก็ตาม เพราะยังไงซะ ในเทพนิยาย ความรักก็เอาชนะได้ทุกอย่างอยู่แล้วครับ”
“ในตอนที่คุณได้เห็นอีริคครั้งแรกใน Snow White and the Huntsman เขาเป็นขี้เมา ผู้ไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิต” เฮมส์เวิร์ธกล่าว “เขาใช้ชีวิตอยู่กับความสิ้นหวังและความน่าสมเพชเนื่องจากการสูญเสียภรรยา ในตอนที่เขาได้พบกับสโนว์ไวท์ เขาเหมือนกับได้เกิดใหม่ ดังนั้น ในตอนที่คุณได้เจอเขาอีกครั้งในหนังเรื่องนี้ เขาก็ได้จิตวิญญาณของตัวเองกลับคืนมาและกำลังใช้ชีวิตที่เงียบสงบในป่าครับ”
แต่ไม่นานนัก เขาก็ถูกเรียกตัวไปช่วยเหลือราชินีอีกครั้ง และเขาก็จำต้องเผชิญกับอดีตของตัวเอง โดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วย
ทีมผู้สร้างไม่ได้มองไปไกลเลยสำหรับผู้กำกับที่มีการมองโลกในแง่บวก วิสัยทัศน์และความคิดสร้างสรรค์ ในการบอกเล่าเรื่องราวของอีริค เซดริค นิโคลัส-โทรยัน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ ผู้ได้รับการยกย่อง และผู้มีบทบาทสำคัญในการเนรมิตชีวิตให้กับภาพวิชวลที่ตระการตาในภาคแรก มีความปรารถนาที่จะกำกับผลงานภาพยนตร์ของตัวเองในซักวันหนึ่งมานานแล้ว
“ไอเดียของการได้รับโอกาสให้กำกับหนังเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลย” เขาหัวเราะ “ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้กำกับหนังสเกลยักษ์แบบนี้เป็นงานแรก แต่ตอนที่ผมได้รับโทรศัพท์ มันก็เมคเซนส์ครับ ด้วยความที่ผมเคยทำงานในภาคแรกมาแล้ว มันก็เลยเป็นเหมือนการได้กลับบ้านเลยครับ”
เฮมส์เวิร์ธประทับใจในตัวเขามานานแล้ว ดังนั้น เขาก็ไม่ลังเลใจเลยที่จะกล่าวชื่นชมผู้กำกับ ในตอนที่ผู้อำนวยการสร้างพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “ผมจำได้ว่าตอนภาคแรก ผมคิดว่าเขามีสัญชาตญาณด้านการเล่าเรื่องจริงๆ และมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสุนทรียศาสตร์ทางวิชวลเท่านั้นสำหรับเขา”
นิโคลัส-โทรยันกล่าวยืนยันว่า “ผมสนใจเรื่องราวและตัวละครมากกว่าวิชวล เอฟเฟ็กต์เสมอครับ ตอนนี้ เมื่อผมได้ทำงานกับนักแสดงของผมโดยตรง สิ่งสำคัญอันดับแรกคืออารมณ์ครับ”
สำหรับร็อธ การที่นิโคลัส-โทรยันในการเป็นผู้กำกับมือใหม่แทบจะไม่ถูกแสดงออกให้เห็นเลยในประสบการณ์และความชาญฉลาดที่เขานำมาสู่กองถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมได้ดูแลงานสร้างหนังกว่า 400 เรื่อง และคุณก็จะรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าใครทำได้ทำไม่ได้ สำหรับเซดริค เขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้กำกับมากประสบการณ์เสมอ เขาไม่ได้กลัวกับระดับนักแสดงที่เราส่งไปตรงหน้าเขาเลย ความเปิดกว้างของเขาเป็นสิ่งที่ทีมนักแสดงรัก พวกเขาสามารถพูดคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง และเขาก็มีมุมมองที่จะนำเสนอจริงๆ ด้วยครับ”
ผู้กำกับกล่าวเห็นด้วยกับเฮมส์เวิร์ธที่ว่าเสน่ห์ของโลกใบนี้อยู่ที่หัวใจของมันเช่นเดียวกับกล้ามเนื้อของมัน “มันไม่ได้เป็นเรื่องของการกอบกู้โลก” นิโคลัส-โทรยันกล่าว “นี่เป็นหนังที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ เป็นเรื่องรักครับ ผมสามารถใส่เอาสัตว์ประหลาด และช็อตเจ๋งๆ สารพัดเข้าไปในโลกใบนี้ได้ แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้ว ผมไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครบนหน้าจอและอารมณ์ของสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ผมก็จะไม่มีอะไรให้ยึดเกาะครับ”
นี่เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งเมื่อเราพิจารณาถึงตัวละครเอกของเรื่อง นิโคลัส-โทรยันกล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือการนำความลึกลับน่าค้นหาใส่เข้าไปในตัวละครตัวนี้มากขึ้น ตอนนี้ เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว” เขาหยุดครู่หนึ่ง “ผมชื่นชอบคนแคระในหนังภาคแรกครับและผมก็อยากจะต่อยอดจากตรงนั้นและใส่อารมณ์ขันเข้าไปในโลกใบนี้มากขึ้นครับ”