จาก “บุปผาราตรี” สู่ “บุปผาอาริกาโตะ” “ต้อม – ยุทธเลิศ สิปปภาค” ผกก.บุปผาอาริกาโตะ
Q. พูดถึงปรากฎการณ์ความสำเร็จของ "บุปผาราตรี" หนังผีที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ซึ่งเป็นลายเซ็นต์เฉพาะตัวของ ผู้กำกับ "ยุทธเลิศ สิปปภาค"
A. บุปผาราตรีมันเป็นเหมือนปรากฎการณ์บางอย่างซึ่งมันมาจากคาแรคเตอร์ของมัน วิธีของมันมากกว่า มีคนเคยบอกว่ามันเป็นหนังที่มีคาแรคเตอร์ และทุกคนชอบมันเสน่ห์อย่างหนึ่งของบุปผาที่พี่มักจะได้รับรู้เสมอ คือเป็นหนังที่อยู่ในใจคน ซึ่งมันเหมือนว่าบุปผาราตรีกับ "ยุทธเลิศ" มันเหมือนจะกลายเป็นของสิ่งเดียวกัน ซึ่งจริงๆ พี่ทำมือปืนโลกพระจัน, กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะทำบุปผาราตรีอีก แต่คำว่า "บุปผาราตรี" พี่ไม่แน่ใจว่ามันคือ ความสำเร็จรึเปล่า ถ้าพูดถึงความสำเร็จในแง่การทำอะไรที่มีเอกลักษณ์ สามารถทำให้คนจดจำแล้ว พี่ว่าโอเคมันสำเร็จ
Q.โรแมนติค เลือดนอง สยองขำ รสชาติในความเป็นหนังผีแบบบุปผา
A. รสชาติการดูหนังแบบนี้เป็นอะไรที่คนไทยคุ้นเคยอยู่แล้วนะ ว่ามันเป็นทั้งตลกน่ากลัว และทั้งดราม่าอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ได้ฟีดแบ็คมาจากคนดูหนังต่างประเทศ คาแรคเตอร์ของหนังที่มันทั้งตลกทั้งน่ากลัว แล้วอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นอะไรที่ยากที่จะชงให้มันพอดี แต่บุปผาราตรีมันหลุดออกมาอยู่ตรงนั้นได้ คนจดจำว่าหนังเรื่องนี้มันมีคาแรคเตอร์ที่แบบว่าไม่รู้จะฮาไม่รู้จะกลัวในเวลาเดียวกัน ตรงนั้นมากกว่า พี่ว่ามันคือความสำเร็จในการสร้างคาแรคเตอร์หนังผีของพี่นะ มันจะมีทั้งตลกโรแมนติค น่ากลัว เสียดสี กัดจิกสังคม สะท้อนสังคม สะท้อนโน่นนี่นั่น ขณะเดียวกัน 18+ ได้
Q.ทำไมเลือกสร้างบุปผาฯในยุคนี้
A. จริงๆ พี่ไม่อยากแตะบุปผาราตรีแล้ว แต่ว่าสิ่งหนึ่งซึ่งคนก็ยังถามเสมอว่า มันไม่มีหนังแบบนี้ ไม่ทำอีกแล้วเหรอ เพราะว่าจริงๆ หลังจากบุปผามันก็มีหนังอย่างอื่น แต่พี่รู้สึกว่ามันเก่าละ พอรู้สึกว่ามันเก่าก็เลยไม่สนใจ ก็พยายามเสนอเรื่องใหม่ ก็คือมาคุยกับคุณเจียง (เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตะรัตนประเสริฐ ประธานบริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้อำนวยการสร้าง บุปผาอาริกาโตะ)ก็คือ พี่มีหนังเรื่อง อาริกาโตะ เป็นหนังผีแต่ไม่ใช่บุปผา พี่คิดว่าโอกาสที่จะทำให้หนังผีแตกต่างกัน มันทำได้ยากมาก โอกาสที่มันจะซ้ำมันมีสูง พี่ก็เลยคิดโปรเจกต์ใหม่ทุกอย่าง เปลี่ยนโลเกชั่นใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ สร้างพล็อตใหม่ๆ แต่ตอนที่คุยกับคุณเจียง คุณเจียงก็คงเหมือนคนอื่นทั่วไปก็ยังชอบบุปผาราตรีอยู่ ก็บอกกับพี่ว่าถ้าพี่จะทำอย่างนั้น ทำไมพี่ไม่ทำบุปผาอาริกาโตะล่ะ จริงๆ มันยากนะ แต่พี่กลับมาคิดดูว่า เอ๊ะงานดีๆ จริงๆ มันต้องยากนะ พี่มองว่างานทุกอย่างถ้ามันยากมันต้องใช้ความพยายามสูง ใช้ความอดทนสูงมากกว่างานง่ายๆ ทั่วไป พี่ก็เลยคิดว่าเอ๊ะ บุปผาอาริกาโตะมันอยู่ด้วยกันได้มั้ย ทำยังไงก็เลยคิดว่า ทำให้มันใหม่หมดทุกอย่าง ดาราใหม่ เปลี่ยนโลเกชั่นใหม่ ใช้เทคนิคการแสดงแบบใหม่ ใช้การกำกับแบบใหม่ อะไรที่มันเก่าก็ไม่ต้องทำ นอกจากชื่อบุปผา
Q.แล้วทำไมถึงต้องอาริกาโตะ
A. คำว่า "อาริกาโตะ" มันเป็นคำ คือส่วนใหญ่หนังผี สมัยเด็กๆ หนังผีญี่ปุ่นจะเป็นหนังผีที่น่ากลัวมาก ถ้ารองจากแม่นากถ้าดูหนังผี ผีญี่ปุ่นมันจะเป็นมู้ดแบบ เหมือนว่าเป็นต้นตำรับในเรื่องของความสยองขวัญแบบเย็นๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งมันจะแตกต่างจากอารมณ์ผีของไทยมาก ของไทยผีมันจะโฉ่งฉ่างมากๆ แล้วอาริกาโตะมันเป็นเหมือนในทางตลกหน่อย คือถ้าคนรู้ภาษาญี่ปุ่นมันคงเป็นคำแรกที่ (หัวเราะ) เข้าใจกันนะ อาริกาโตะ และที่สำคัญคือ ด้วยความที่พี่เป็นคนชอบเที่ยว ชอบไปต่างเมือง แล้วทีนี้พี่คิดว่าพี่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวเท่าไหร่ ก็เลยคิดโปรเจกต์มาเอ๊ะถ้าเกิดว่าเราจะทำหนังผีในแต่ละเมืองเป็นคอนเซ็ปท์คนไทยๆ ไปตายในต่างแดนแล้วเป็นผีไทยสมมติไปตายที่อเมริกา เอ๊ะเวลาไปหลอกฝรั่งๆ จะมีฟีดแบ็คอย่างไร เวลาไปตายในเขมรก็จะใกล้เคียง ถ้าไปตายในฮ่องกงจะเป็นอย่างไร ไปตายที่ดูไบคือๆ พี่มองว่ามันจะกลายเป็น มันจะไม่ใช่หนังภาคต่อละ มันจะเป็นหนังผีภาคใหม่เรื่อยๆ เพราะว่ามันใหม่ทุกประเทศ และพี่คิดว่าโปรเจกต์แบบนี้มันน่าสนุก แต่ที่เริ่มที่ญี่ปุ่นก่อน เพราะรู้สึกว่าเหมือนตอนนี้คนไทยจะคุ้นเคยกับญี่ปุ่น แล้วก็อย่างที่พี่บอกว่าผีญี่ปุ่นมันน่ากลัว เราก็เลยเอ๊ะ เอาเริ่มที่ญี่ปุ่นก่อนละกัน
Q. "ความใหม่" ใน "ความต่าง" อันนำไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการทำงานใหม่หมด
A. คือจริงๆความแตกต่างพี่มองว่า ต่อเนื่องจากเสี่ยเจียงละกันที่แกว่าทำให้มันใหม่ จริงๆ หนังมันสามารถทำให้ใหม่ได้หมด ซึ่งก็คือ 1. การเลือกไปที่ญี่ปุ่น มันก็ใหม่สำหรับการทำงานของพี่ เพราะว่าเราได้โลเกชั่นใหม่ เราได้ทำงานในที่แปลกใหม่ มันจะช่วยให้เรามองเห็นไดเรคชั่นใหม่ๆ ซึ่งไอ้ตัวนี้พี่มองว่าคนดูน่าจะได้อะไร มันเหมือนสมัยเด็กๆ พี่จำได้ว่ามีหนังที่เขาชอบไปถ่ายเมืองนอกเหมือนได้พาไปเที่ยวในต่างแดน แต่คราวนี้เราไม่ได้พาไปเที่ยวอย่างเดียว เรายังพาไปสยองไปหัวเราะกันในต่างแดน เหมือนไปเที่ยวบ้านผีในญี่ปุ่น ถ้าการดูหนังบุปผาอาริกาโตะ มันน่าจะมาในมู้ดนั้นมากกว่า มันมี2อย่างที่เราจะกลัวนะ คือ 1.เราจะกลัวกับสิ่งที่มันมองไม่เห็น อีกอันหนึ่งก็คือตื่นเต้นกับสิ่งที่ยังไม่เคยลอง พี่เลือกใช้วิธีที่เรียกว่าอะไรนะ การทำงานที่มันตื่นเต้น มันจะทำให้สมองเกิดการพัฒนา มันจะทำงานได้เยอะกว่าปกติ อย่างเรื่องนี้เราวางแผนแบบนี้ สมมติว่าตอนเลือกโลเกชั่นเราเลือกจากกูเกิ้ล แล้วเราก็ไม่รู้โลเกชั่น สิ่งที่มันได้คือ 1.มันเสี่ยง แต่สิ่งที่ได้คือเรารู้สึกว่ามันตื่นเต้น ท้าทาย เรารู้สึกว่ามันต้องพร้อมเสมอกับความผิดพลาด แค่เรื่องเลือกโลเกชั่นมันก็ทำให้เรารู้ว่าเราต้องเตรียมพร้อม ที่จะต้องแก้ปัญหา มันก็คือการทำหนังอีกแบบหนึ่งซึ่งมันสนุกมากกว่า
Q. รูปแบบการทำงานใหม่ๆ จากโลเกชั่นที่ถ่ายทำนำไปสู่หัวใจสำคัญของเรื่องราวคือ "บทภาพยนตร์"
A.โลเกชั่นแล้วมาสู่เรื่องบท ด้วยความที่เราล็อคโลเกชั่นไว้ เราต้องการอยากถ่ายหิมะ เราล็อควันที่จะถ่ายในอพาร์ทเมนท์ ซึ่งมีแค่นี้หลังจากนั้นมันจะเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น บทมันต้องเสร็จก่อนที่จะไป แต่ด้วยความที่โลเกชั่นมันถูกล็อคเร็วมาก ในการทำหนังทั่วไปก็คือเวลาบทไม่เสร็จมันถ่ายไมได้ แต่มันมีโครงไง (ทรีทเมนท์หนังทั้งเรื่อง) งานที่นักแสดงและผกก.เดินไปด้วยกัน พี่บอกว่ามันสนุกดีจะมีพวกเจ้านักแสดงที่มันผู้ชายหน่อย มันก็โอเค มันน่าสนุกตรงนี้ เฮ้ยไปลุยกันตรงนั้น เราคิดว่าถ้าคนทำงานสนุก งานมันต้องสนุก มันก็กลายเป็นสิ่งที่ทีมงานทุกคนต้องสแตนบายรอ พี่แบบพี่รู้สึกว่ามันเป็นการทำงานแบบใหม่ของทีมงาน อันนี้เป็นการเล่นของเป็นเทคนิคใหม่ๆ
Q. นำไปสู่การแสดงใหม่ๆ
A. บทพอมันไม่ complete นักแสดงมันต้องใช้ความสามารถในการทำงานมากกว่าปกติ อันนี้บีบให้นักแสดงต้องคิด บางทีพี่จะ บทเป็นอย่างนี้แล้วเราคิดว่ามันเป็นอย่างไรละ นักแสดงก็เลยต้องคอยโฟกัสตลอดว่ามันจะมูฟเมนท์อย่างไร ตัวอะไรอย่างไรซึ่งเทคนิคการแสดงใหม่ๆ แต่ละคนมันก็ใช้วิธีของมัน คุณก็ต้องรับผิดชอบด้วยนะ คือคุณต้องเป็นแบบคุณเป็นนักแสดงที่ไม่ใช่เป็นการท่องจำ แต่การครีเอทความรู้สึกของนักแสดงเข้ากับโดยใช้ความเป็นธรรมชาติ พี่ว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างการแสดงกับความรู้สึกจริงๆ เป็นสิ่งทีเอื้อให้เกิดการแสดงอารมณ์แอ็คติ้งอีกรูปแบบหนึ่ง คนดูก็จะเกิดความรู้สึกที่ว่าเออมันไม่ใช่วิธีการแบบบล็อคว่าเรื่องมันจะไปทางไหน นักแสดงกับผกก.พากันไปไปอีกโลกหนึ่ง
Q. ถือว่าเป็นการทำงานในการใช้สัญชาตญาณสูงมาก เราทำงานอยู่บนอุปสรรคที่ยาก ทีมงานนักแสดงไม่เคยทำงานท่ามกลางอุณหภูมิ หิมะแบบนี้แน่ฯลฯไม่รู้ว่าจะมากวนสมาธิหรือเปล่า แต่ว่านี่คือหนังที่ใช้สัญชาตญาณทางการกำกับและการแสดงสูงมาก
A. หิมะตรงนี้...คือมันกลายเป็นการแก้ปัญหา ในขณะที่แก้ปัญหามันต้องคิดๆ ว่าไอ้นี้จะไปต่ออย่างไร ประมวลภาพในหัว พี่คิดแก้ปัญหาทุกวันๆ อยู่ประมาณวันที่12 น็อคลุกจากเตียงไม่ได้เลย เพราะว่าเราทำงานเกินลบสี่ ลบสี่อยู่ข้างนอกแล้วหิมะ ลม เราถ่ายกล้อง ดันถ่ายเองด้วยมือนี้มันบล็อค แล้วอากาศที่มันเลวร้าย เราอยู่เป็นคนเมืองร้อน ตอนแรกที่เราเลือกไปถ่าย พออยู่ที่โน้นคิดถึงดวงอาทิตย์ คิดถึงความร้อนเราไม่เจอมันหลายวัน แต่ในโมเมนต์ที่มันพีคที่สุดเวลาเรากัดฟันทำงานเพื่อให้มันลุล่วง ในขณะที่เราจะต้องคิดครีเอทอะไรแบบนั้นนะ มีความรู้สึกว่าไม่แน่ใจขึ้นมาในวันสุดท้าย (ในวันที่น็อค) แต่สิ่งที่เรารู้สึกว่าเราได้เปิดโอกาสให้ทีมงานและนักแสดงได้ลองอะไรใหม่ๆ แล้วเราเห็นว่าฟีดแบ็คเขาเริ่มสนุกกับวิธีการทำงานแบบนี้
Q. มันจะไม่เหมือนกับบุปผาที่คุณเคยดูมา
A. มันไม่ใช่บุปผาภาคต่อ อะไรที่เป็นภาพจำจากบุปผามันจะไม่เหลือเลย แต่ซึ่งพี่มองว่ามันน่าจะเหมาะกับยุคนี้ บุปผามันควรจะเก็บไว้อย่างนั้นด้วยคาแรคเตอร์ของมัน แต่ถ้าบุปผาใหม่มันควรจะเป็นอะไรเปิดโลกอีกโลกหนึ่ง บุปผาอินนิวยอร์คก็จะไม่ใช่ภาคต่อของบุปผาอาริกาโตะ มันก็จะเป็นใหม่ไปเลย คาแรคเตอร์ใหม่ มันก็จะเป็นหนังที่คนดูก็คาดเดาไม่ถูก
Q. เรื่องราวของบุปผา
A. บุปผาราตรี (น้องเก้า-สุภัสรา) ไปจับได้ว่าแฟนตัวเองมีชู้ ตัวเองไปแอบดู ด้วยความโกรธ หรือด้วยความไม่อะไร เขาก็เลยฆ่าแฟน เอาค้อนทุบอ่ะ ผู้หญิงไม่ตาย ผู้หญิงไปอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนตัวเองก็ทำจนเสร็จแล้วเพิ่งรู้สึกตัวว่า เฮ้ย กูทำเกินไป ด้วยความรัก ยิ่งรักยิ่งโกรธมาก เลยหนีไปญี่ปุ่นกะแบบหนีไปเลย บ้านเขารวยเขาก็ให้ทางนี้เคลียร์เรื่องตำรงตำรวจ แต่ตอนไปญี่ปุ่น เขาไปเจอผู้ชายคนหนึ่งหน้าเหมือนแฟนตัวเองเป๊ะ ความแค้น-ความรักเข้าครอบงำอีกครั้ง เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
Q. นักแสดงที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราว
A. เราต้องการความใหม่หมดใช่ไหม แต่ว่าเผอิญทางสหมงคลฟิล์มเขาแนะนำว่าเก้า พี่ก็โอเคนะ ก็ยังถือว่าใหม่ เพราะเขายังเล่นหนังได้ไม่กี่เรื่อง แล้วก็สิ่งหนึ่งที่พี่ชอบ คือพี่ไม่ได้สนใจเรื่องการแสดง ไม่ได้สนใจเรื่องความดัง พี่สนใจตาเขาอ่ะ เขาเป็นคนที่อาจจะคิดเยอะหรือคิดอะไรสักอย่างเสมอ เวลาพูดคุยเวลาอะไรอย่างนี้ มันไม่เหมือนเป็นการแสดงชั้นเดียวอ่ะ คือหมายถึงว่า อ่านละเห็นหมดเลยว่าในตาคิดอะไร แต่พี่ชอบนักแสดงที่เราไม่รู้ว่าคิดอะไร ซึ่งเหมือนพลอย-เฌอมาลย์ แล้วเราไม่รู้ว่าดีหรือร้าย นิ่งๆ แล้วมึงยิ้มให้กูเนี่ย มันเป็นคาแรคเตอร์ที่มันมีบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งเก้าเขามี โอเค มันก็น่าลอง คือถ้าเขาตัดสินใจเล่น เขาต้องเล่นด้วย ใช้สัญชาตญาณตัวเองว่าเขาจะเล่นด้วยเพราะอะไร หรืออะไรยังไง แต่การเลือกมาแล้วก็คือว่า หนึ่งคือเขาเหมาะกับบทแล้วเขาเป็นผู้หญิงที่มี เขาเรียกว่า sex appeal เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดคนค่อนข้างเยอะ จากสายตา จาก มันเหมาะที่จะเป็นบุปผาคนใหม่
Q. เสน่ห์ของตัวละคร..
A.คือในเรื่องของนักแสดงที่มีคาแรคเตอร์พี่ว่าบุปผาราตรีเนี่ย มันก็เป็นคาแรคเตอร์ที่เหมือนคนจะจำได้แล้วแน่นอน สิ่งที่มันยากที่สุด คือ การจะหาบุปผาราตรีคนใหม่ เพราะว่าพลอย-เฌอมาลย์ เขาสวมบทเป็นบุปผาราตรีไปแบบได้ 100% คือนักแสดงที่จะมารับบทบุปผาราตรี ก็จะต้องกลัวการแสดงของตัวเองเลย เขาทำไว้ดีอยู่แล้ว แต่พี่มองอย่างนี้ เก้ารับบทบุปผา จะไม่ธรรมดา คือไม่กลัวอ่ะ หนึ่ง ถ้าเขากล้าคิดว่าตรงนี้มันจะเป็นมิติที่อยู่ในตัวเขาโดยอัตโนมัติ ใครกล้ารับบทบุปผา แต่พี่ถือว่าผ่านในเรื่องของความกล้า แล้วก็พี่เชื่อว่าเขาต้องตัดสินใจลำบากพอสมควรในการรับเรื่องนี้ แต่สัญชาตญาณสุดท้าย เขาอ่ะตัดสินใจรับ พี่ไม่ใช่คนกำกับเก่งนะ พี่แค่ไกด์ พี่แค่ขุดแค่นั้นเอง แต่ ณ เวลาสั้นๆ ช่วง moment สั้นๆ พี่ว่าเขาปรับตัวได้เร็ว แล้วเค้าประคองมันอยู่ และพี่เชื่อว่าเขาเก็บเสน่ห์ ความเป็นบุปผาราตรีไว้กับเขาได้ ความรู้สึกของเขามันไปเกินครึ่งแล้วไง ที่เหลือมันเป็นที่การแสดงอีกนิดหน่อย ที่มันแบบคนดูไม่น่า อาจจะเซอร์ไพรส์คนดูก็ได้
มันเป็นการพูดคุยให้เขาเข้าไปถึงสมาธิ คือดึงอารมณ์ตัวนั้น มันจะถูกเค้นออกมาผ่านการแสดง คือ ฉากร้องไห้เนี่ย มันเป็นฉากที่ธรรมดา คือ นักแสดงที่เค้นน้ำตาได้ส่วนใหญ่ แต่การเค้นน้ำตาของคนที่น้ำตาที่ไหล ไม่ได้ออกมาจากใครตายอ่ะ ไม่ใช่คนรักเสียชีวิตอ่ะ น้ำตามันจะออกมาได้เฉยๆ เนี่ย พี่ไม่รู้เขาคิดอะไร แต่โจทย์ของพี่ก็คือว่า คุณอยู่ในภาวะที่กลัวที่สุด แล้วพี่ต้องการน้ำตา พี่รอได้ คือก่อนหน้านั้นพี่กดดันอีกแบบหนึ่งนะ ที่พี่เลือกเพราะว่า เก้าไม่ได้เล่นเก่งนะ แต่เก้าเหมาะ พี่บอกเก้าเสมอ เก้าเหมาะ เก้าเป็นคาแรคเตอร์ที่มีอยู่ แต่จะลองก็ได้ ให้ฉากนี้ ฉากที่ได้เป็นซีนที่น่ากลัว เจอปะทะกับผีตัวข้างหน้า แต่พี่ต้องการกลัวจนน้ำตาตก กลัวจนน้ำตามันไหลออกมา พี่ไม่เคยเป็นนักแสดงและพี่ก็ว่าพี่ทำไม่ได้ แต่ถ้าเก้าทำได้ก็ปล่อย ต้องไปถามเก้าเขา เขามีวิธีคิดอะไรระหว่างนั้นพี่ไม่รู้ พี่ไม่ใช่ผู้กำกับที่เก่ง ที่เขาบอกว่านี่คือวิธีเปิดโอกาส เขาเรียกว่าเป็นการทำงานที่ อาจจะไม่ใช่ อาจจะเป็นผู้กำกับที่ไม่ได้เรื่องก็ได้ในเรื่องนั้น แต่ว่าพี่ถือว่าพี่เปิดโอกาสให้คุณ ซึ่งมันเป็นซีนสั้นๆ นะ พี่ว่าเทคเดียวผ่าน พี่ว่าได้ละ พี่ลองเก้าอีกที อีกทีไหวป่ะ ได้ค่ะ อีกที ได้ค่ะ
คือคนจะได้เห็นเก้าในบทแบบนี้ หนึ่ง ฆ่า เป็นคนสวยนะแต่ฆ่าคน สอง แล้วจะฆ่าอีกรอบด้วย มีทั้งซอฟท์และรุนแรงอยู่ในตัว ซึ่งการแสดง2คาแรคเตอร์ในร่างเดียว คือคาแรคเตอร์บุปผาเก่ามันจะมีชั้นเดียว แต่นี่อ่ะสองชั้น ดูเหมือนมันไม่ปกติ ซึ่งการแสดงสองชั้นแบบนี้ วิธีการของพี่มันอาจจะเวิร์คก็ได้ ด้วยความที่พี่ไม่ได้เซ็ตไม่ได้บอกอะไร มันทำให้เก้ามี Question
เสมอในระหว่างเล่น เพราะงั้นมันก็จะกลายเป็นคนที่พูดอีกอย่าง แต่ข้างในเนี่ยคิดไปไหน เราไม่รู้ ซึ่งมันเหมาะกับหนัง คือคนเราเนี่ย การแสดงดีไม่ดีมันอยู่ที่ลูกตาจริงๆ คือถ้าคิดอีกแบบหนึ่งเนี่ยคนจะรู้เลย คือเราดูแล้วมันอ่านออกอ่ะ เป็นเทคนิคการแสดง หรือว่ามันเป็น Improvise ซึ่งมันเกิดคือความลงตัวขึ้นตรงนี้ พี่มองว่าเก้าอาจจะ เขาเรียกพัฒนาการ เล่นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเขาจะชอบหรือเปล่าไม่รู้ แต่เขาทำได้ เขาทำได้ในสิ่งที่บุปผาราตรีภาคใหม่ควรจะมี
....สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือความโรแมนติก...
A. คือแน่นอนนอกจากความรุนแรง ความมีสองคาแรคเตอร์ ความอ่อนหวาน ความโหดร้าย ความน่ากลัวเนี่ย ในคาแรคเตอร์ของบุปผา ก็คือในด้านของความรัก ผู้หญิงที่อ่อนไหวเรื่องนี้ น่าจะเป็นบุปผาที่ เป็นคนที่มีรักมากเลยเจ็บมาก พอเจ็บมากมันจะทำให้เขากลายเป็นผู้หญิงอีกแบบหนึ่ง ความรักเนี่ยกลับกลายไป ความเหือดแห้ง กลับไปกระทบชิ่งถึงผู้ชาย ซึ่งปกติผู้ชาย ความรักแบบนี้คาแรคเตอร์แบบนี้กลายเป็นทำให้ผู้ชายคนหนึ่งหลงรัก ทั้งๆ ที่เจอในวันสองวัน มันบุคลิกแบบนี้มันครีเอท มันทำให้คนหนึ่งหลงรัก มันก็จะกลายเป็นเรื่องความโรแมนติกในหนังที่น่ากลัว นั่นเป็นคาแรคเตอร์ของบุปผาในความรักเรื่องนี้
ซึ่งพอบทส่งไปหาแน็คเนี่ย เราก็จะได้เห็นการแสดงของแน็คอีกแบบหนึ่ง เพราะมันเจอพี่ แล้วก็ในมู้ดที่ซีเรียสในเรื่องของความรัก คราวนี้แน็คโตเป็นหนุ่มที่จะเริ่มเข้าใจว่า เฮ้ย การประคับประคองกัน รักษาความรู้สึกในเรื่องของความรู้สึกของผู้หญิงที่มีความรักหรืออะไรแบบนี้ มันจะค่อนข้างออกมา ค่อนข้างชัดเจนนะคล้ายๆกับถ้าเคยดูกุมภาพันธ์น่ะ คือจะได้เห็นแน็ค ปกติเราจะเห็นแน็คบ้าๆบอๆ แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ซีเรียสในการทำงาน คือในเรื่องเขาเล่นเป็นตัวเขานะ ความเป็นศิลปิน ความเป็นนักแต่งเพลง นักดนตรีเนี่ย มันหล่อหลอมจนเหมือนมันไม่ได้แสดงอ่ะ แต่มันดึงตัวตนที่มันไม่มีใครเคยเห็นออกมาให้เราเห็น ซึ่งกลายเป็นผู้ชายโรแมนติก ผู้ชายที่เข้าใจ ทะนุถนอมความรู้สึกของผู้หญิง เป็นผู้ชายอบอุ่น ซึ่งอยู่รายล้อมด้วยหัวโจกที่ขัดแย้งมากๆในแก๊งแฟนฉัน
....ทำไมต้องแน็ค ทำไมต้องแจ๊ค..
A. คือพอเรามีนางเอกใช่ไหม เรามีพระเอกแน็คเนี่ย แต่ว่าพอดีพี่สนิทกับแจ๊คเคยคุยกัน เฮ้ย พี่ก็สงสัย มันเป็นเพื่อนกันใช่ไหม เพื่อนๆ แฟนฉันอะไรพวกนี้มันเป็นกันยังไง มันก็แยกย้ายกันไปทำนู่นนี่ โตแล้วไง คือทุกคน เราเชื่อว่าแฟนคลับของแฟนฉันเนี่ยอยากรู้ว่าพอโตพวกนี้เป็นยังไง คืออันนี้ส่วนตัว แล้วพี่ก็ถามเลยนะ เฮ้ยแจ๊ค พวกนี้มันเล่นรวมกัน คือเล่นเป็นตัวพวกเขาอ่ะ คือพวกนี้เป็นเพื่อนที่เคยเล่นหนังแฟนฉันด้วยกันน่ะ แล้ววันหนึ่งมันก็จะมาทำ MV ให้ไอ้เจ้าแน็คซึ่งจะออกเทป ซึ่งเป็นชีวิตจริงของมันอะไรแบบนี้ ปรากฏว่าทุกคนรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มาเจอกัน พี่เห็นในหนังคือพี่รู้สึกว่า เออ พี่ชอบแฟนฉัน ชอบคาแรคเตอร์ แล้วการเห็นพวกมันกลับมารวมตัวในหนังของเรา มันก็น่ารักดี ไหนๆ มีแน็ค แจ๊คตามมาละ พี่ว่ามันมีคาแรคเตอร์น่ารักอยู่แล้ว แค่เอามาพาไปผจญภัยเหมือนแบบแก๊งค์เนี่ย แก๊งค์ไอติมผจญภัยผีที่ญี่ปุ่นน่ะ เหมือนแฟนฉันกับบุปผาราตรีมันยุคใกล้กันมั้ง แล้วพวกนี้รู้จักบุปผาราตรี ทุกคนแฮปปี้ที่จะมาอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของบุปผาอาริกาโตะ พี่มองแก๊งนี้ไม่ได้เหมือนว่ามาแสดงอะไร ไปทดลองทำอะไรสนุกๆ กันดีกว่า
...ขยายเรื่องนิดหนึ่ง...
แก๊งแฟนฉันเนี่ย ตอนแรกเริ่มจากแน็ค คือการเลือกคาแรคเตอร์ของพระเอกพี่เบสออนชีวิตจริงมา แน็คทำอะไรได้บ้าง เล่นดนตรี มันก็เอาดนตรีมาโชว์ใหญ่ แจ๊คนี่พี่รู้อยากเป็นผู้กำกับ ก็เลยเซ็ทเรื่องจากคาแรคเตอร์จริงของแน็คที่ชอบเล่นดนตรี มันเล่นเพลงเพราะ มันเรียนรู้ พี่ชอบแบบนี้ มันสดมากไม่มีใครเคยเห็น มันควรจะอยู่ในหนัง แจ็คพี่ก็คิดต่อว่าเป็นผู้กำกับ MV แล้วมันก็ชวนทั้งหมดมาช่วยเพื่อนทำ MV ที่ญี่ปุ่นกัน ก็จะมี หยก หน้าไม่มีอารมณ์ ตอนนี้มันสูงมาก ถือบูมทำเสียง เก็ท ตัวเล็กๆ เป็นอาร์ตไดฯในกอง อ๋อง ตอนนี้ผมยาวเลย ที่ร้องโว้ววๆ เยเย้เนี่ยเซอร์มากเปลี่ยนไปขนาดนี้ ให้เป็นตากล้อง มู้ดมันอะไรแบบนี้ได้ อ๊อฟ ที่แต่ก่อนอ้วนมาก เดี๋ยวนี้ผอมเป็นคนจัดการกองถ่าย หาโลเคชั่น ทำไมไปเลือกบ้านผีสิงที่อะไรพวกนี้ ซึ่งมู้ดของผู้ชายเหมือนการรียูเนี่ยนเล็กๆ การกลับมาเจอกันมาช่วยเหลือกันอะไรอย่างนี้ มันน่ารักดี เป็นพาร์ตหนังเพื่อนแบบร่วมหัวจมท้าย แล้วก็ทำงานด้วยกัน โดนผีหลอก
สิ่งหนึ่งที่น่าจะทำให้มันกระโดดอยู่คนละโลกกับบุปผาภาคผ่านๆ มา ก็คือเรื่องของโลเคชั่นเนี่ย โดยเฉพาะบุปผาราตรีเนี่ยจะมีโลเคชั่นหลักก็คือออสก้า อพาร์ตเม้นท์ที่เพชรบุรี น่ากลัวมาก เห็นแล้วน่ากลัวเลย แต่ว่าอันนี้เป็นวิธีใหม่ของพี่ บ้านผีสิงแต่ใหม่ไง ที่ญี่ปุ่นเนี่ยเลือกเป็นบ้านเช่าที่ทันสมัย อยู่ในป่าเขา ที่สวยอ่ะ หน้าที่พี่ยากขึ้นอีก เราจะทำยังไงให้ที่ที่สวยอย่างนั้น คือขาวหมดเนี่ย ทำให้มันน่ากลัว ยากแน่นอน พี่มองว่าความน่ากลัวเนี่ย พี่ไม่ได้เอาไปใส่ในโลเคชั่น เพราะคิดว่ามันซ้ำ คราบดำคราบเก่า แต่ความน่ากลัวเนี่ย มันอยู่ที่เรื่องราวมากกว่า ความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นกับคาแรคเตอร์ ความน่ากลัวของผีที่มันอยู่อ่ะ มันน่ากลัวตรงไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น มันคาดเดาไม่ได้ สิ่งที่คอนโทรลไม่ได้ คาแรคเตอร์ผีบุปผาก็ซับซ้อน จะฆ่ากูหรือเปล่า ยืนอยู่ใกล้ๆ มันจะแทงกูหรือเปล่า คือความน่ากลัวมันจะอยู่แบบนั้น คือถ้าน่ากลัวแล้วซ้ำ พี่ขอเดินทางใหม่
....ถอดเสื้อกลางหิมะ....
A. คือเอาอุปสรรคก่อนแล้วกัน โลเคชั่นใหม่เราต้องการความสว่าง เราต้องการหิมะ เราไม่ได้ต้องการความหนาวนะ เราต้องการบ้าง แต่ว่าความหนาวมันติดมากับหิมะ มากับน้ำแข็ง มันเย็นมาก มันติดลบอ่ะ -3, -4 นักแสดง พี่ก็ไม่ได้คิดจะให้เขาแก้ผ้าหรอก แต่ว่าก็คุยกันเล่นๆ ว่าต้องแก้ผ้าเปล่าวะ คือบทมันไม่ได้มีแก้ผ้า พวกเราก็ เฮ้ย ลองเล่นกันไหม มันได้ความรู้สึกดีนะ แก้ผ้าในที่ๆ ร้อนมันเรื่องปกติ แก้ผ้าในหิมะนี่มันช่วยอะไร มันก็ต้องมีเหตุมีผล มึงใส่เสื้อผ้าผีมันเห็นนะ ไม่มีใครอิดอออด ทุกคนสนุก ถามว่า ลำบากไหม หนาวอ่ะ มีเด็กคนหนึ่งที่เล่นเป็นผี มันก็ถอดเสื้อกลางหิมะ มันทำได้ มันรู้สึกว่าความขัดแย้ง หนาวแต่ไม่กลัว คือบุปผามันเป็นไทยมากอ่ะ ถ้าเปลี่ยนเป็นใส่ชุดกิโมโน จะรู้สึกยังไงน่ากลัวไหม
...เราจะเห็นเก้าใน 3 ลุค...
A.โอเค บุปผาราตรีที่ผ่านมามีชุดประจำอยู่ประมาณ 2 ชุด ชุดนักศึกษา ชุดนอนกับชุดกระโปรง จริงๆ คอสตูมของบุปผาก็สำคัญนะ คนดูก็คงจะได้ดูเก้าในชุดที่ไม่ปกติทั้งสามชุด แต่ส่วนใหญ่ก็จะขาวหมด ชุดสกีก็ขาวหมด ชุดกิโมโนก็ขาว ชุดอวกาศ ชุดบอดี้สูทก็ขาว ซึ่ง 3 ชุดเนี่ย มันมีแต่ละชุดที่มันใส่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน มีที่มาที่ไปของมันอยู่ ซึ่งมันจะไปเฉลย ต้องไปดูในหนัง แต่ว่ามัน เราก็จะได้บุปผาราตรีใน 3 คาแรคเตอร์ 3 คอสตูม
แล้วที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องนี้มักจะมีอยู่เสมอก็คือดารารับเชิญ ซึ่งเรื่องนี้มีดารารับเชิญอยู่ 1 2 3 4 สี่คนเนี่ยรับเชิญในบทที่ไม่ธรรมดา แล้วแต่ละคนมันจะเล่นกับความเชื่อของคนไทยอ่ะ
....พูดถึงโลเคชั่น...
A.นิซาโกะที่เขาบอกว่าหิมะสวยที่สุดในญี่ปุ่น เขาเรียกว่าเป็น powder snow คือมันเหมือนแป้งโรยอ่ะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หิมะมันมีหลายแบบนะตอนไปถ่ายเนี่ย พายุหิมะ หิมะแบบฟูฟ่อง เป็น flake เป็นแป้ง มันมีหลายแบบมาก ซึ่ง แล้วเมืองนี้เป็นเมืองที่เป็นที่นิยมในการไปเล่นสกี และเป็นเมืองที่ฮิตมากสำหรับคนไทย ตอนพี่ไปถ่าย เจอคนไทยเยอะเลย แต่พี่ไม่ได้บอกเขาว่าพี่มาถ่ายหนัง พี่ก็นั่งแอบๆ แต่ว่าด้วยความที่เราจะไปทำให้เมืองนิเซโกะเป็นเมืองผีสิงอ่ะ พี่ก็เลย แต่บอกทุกคนไปเล่นสกีดีแล้ว ในหนังก็จะเห็นมู้ด มันสวย สวยงาม หิมะที่นี่มีหลายเวอร์ชั่นมาก หิมะโปรยปลิวๆ แล้วแบบมันเหมือนในโปสการ์ดที่เราเคยเห็นที่เขาถ่ายสวยๆ ที่เราก็ไม่นึกว่าจะมีอยู่จริง แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถนนอ่ะสีขาวอ่ะ สีขาวแบบเป็นแป้งจริงๆ เลยนะ ในหนังน่าจะมี หิมะตกเยอะๆ ก็ตกเยอะ ตกเหมือนฝนก็มี พี่ชอบหิมะ แต่ไม่ชอบความหนาวนะ ก็เหมือนบุปผาอาริกาโตะ ขอบคุณคนดูด้วยกัน พาไปดูหิมะก่อนจะหัวเราะกัน หลอนกันไปอะไรแบบนี้
...เพลงของแน็ค...
A.เพลงของแน็คนี่ คือตัวเพลงจะเป็นตัวแสดงศักยภาพของคาแรคเตอร์ของแน็ค ด้วยความที่หนังเนี่ยมันสร้างจากคาแรคเตอร์ของแน็คจริงๆ เพลงมันก็เลยลิ้งกับในหนังโดยอัตโนมัติ พี่ทำ MV ก็ใช้ทุกอย่างอยู่ในหนังหมดเลย กลายเป็นมันออกมาจากธรรมชาติของแน็ค ออกมาจากความรู้สึกของมันจริงๆ เวลาแต่ง คือ แล้วที่สำคัญ ทุกๆ คนมันก็แต่งเพลงเล่นดนตรีได้อ่ะ แต่เล่นแล้วมันมีคาแรคเตอร์ มีเสน่ห์ มีน้ำเสียง คือนักร้องต้องมีน้ำเสียงที่ นักแต่งเพลง คือแต่งเพลงดี แน็คมีครบ ซึ่งเพลงของแน็คมี ฟังทีเดียวมันติดหูอ่ะ ซึ่งมันหายาก แล้วก็น้ำเสียงของแน็คไม่ธรรมดา เลียนแบบยาก มีคาแรคเตอร์ พี่ว่าเขาเป็นศิลปินจริงๆ อ่ะ