เกี่ยวกับงานสร้าง
คงความยิ่งใหญ่ของอเมริกา:
The Purge: Election Year เริ่มต้นขึ้น
ใน The Purge และ The Purge: Anarchy ผู้ชมต่างรู้สึกตกตะลึงไปกับเนื้อเรื่องที่เหมือนจะเรียบง่าย ที่โลดแล่นมีชีวิตด้วยฝีมือของมือเขียนบท/ผู้กำกับเจมส์ เดอโมนาโก ผู้ได้แรงบันดาลใจจากผลงานคลาสสิกอย่าง “The Lottery” โดยเชอร์ลีย์ แจ็คสันและ “The Most Dangerous Game” โดยริชาร์ด คอนเนล
ภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ The Purge ล้วงลึกถึงการที่สังคมเสื่อมโทรมลงเมื่อรัฐบาลคอรัปชันได้สนับสนุนให้คนตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ย และทำร้ายกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในสังคมเรา และสิ่งที่เกิดขึ้นกับประชากรที่ถูกสนับสนุนให้มีส่วนร่วมกับแนวความคิดแบบนี้
หลังจากความสำเร็จของสองภาคแรก เขาก็กลับสู่โลกที่ดุเดือดนี้อีกครั้งเพื่อสร้างภาคสามในแฟรนไชส์ยอดนิยม ซึ่งในครั้งนี้ เขาจะสร้างเรื่องราวขึ้นในสเกลที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก เดอโมนาโกได้สร้างแฟรนไชส์นี้ให้เป็นเหมือนนิทานสอนใจ ด้วยการตั้งคำถามต่างๆ เช่น “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนในรัฐบาลของเราพยายามบังคับให้เราทำลายกันและกัน และทำลายผู้ที่อยู่ในสถานะที่เปราะบางที่สุดของสังคม เราจะตกเป็นเหยื่อของแนววคิดนี้ หรือเราจะสู้กับรัฐบาล่ะ”
สิ่งที่เป็นเรื่องแปลกในโลกภาพยนตร์คือการที่ The Purge: Election Year เป็นการกลับมาทำงานนี้อีกครั้งของผู้กำกับ/มือเขียนบทคนเดิม ที่ทำหน้าที่เดิมในทั้งสามภาคของไตรภาคเรื่องนี้ “ไอเดียสำหรับแฟรนไชส์นี้คือการผสมผสานหนังแนวต่างๆ เข้าด้วยกัน มันเหมือนการบ่มแนวหนังหลายๆ เรื่องเข้าด้วยกันครับ” เดอโมนาโกพูดถึงความชื่นชอบที่เขามีต่อแฟรนไชส์นี้ “คุณมีแอ็กชัน มีสยองขวัญ มีไซไฟ มีองค์ประกอบของอนาคตแบบดิสโทเปียและยูโทเปีย แล้วมันก็ยังมีนัยยะทางการเมืองด้วยครับ”
อย่างไรก็ดี สำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับ จังหวะการสร้างภาพยนตร์ทริลเลอร์ภาคนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ “กลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องดีสำหรับเรา แต่ผมเขียนบทหนังเรื่องนี้ในปี 2014 มันก็เลยเป็นเรื่องของโชคโดยแท้ครับ” เขาเล่า “หนังเรื่องนี้ไม่ได้แรงบันดาลใจจากผู้สมัครคนไหนเป็นพิเศษ แต่ด้วยความวุ่นวายของวงจรการเลือกตั้งนี้ ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่คนจะสรุปไปแบบนั้นน่ะครับ”
สำหรับเดอโมนาโกและเซบาสเตียน เลอเมอร์ซิเออร์ ผู้ร่วมงานกับเขาเป็นประจำ The Purge: Election Year เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติในแฟรนไชส์ที่เติบโตขึ้นทั้งด้านขนาดและสโคป The Purge เกิดขึ้นในบ้านของครอบครัวชนชั้นสูงและละแวกใกล้เคียง The Purge: Anarchy เปิดโปงการสมคบคิดจากรัฐบาลด้วยการนำเรื่องราวออกสู่ท้องถนนและแสดงให้เห็นถึงค่ำคืนสยดสยองจากมุมมองของคนธรรมดา
“The Purge: Election Year ไปสู่สโคปที่ยิ่งใหญ่กว่า ด้วยการพาเราไปสู่ใจกลางของการคอรัปชัน สู่ความนึกคิดและบ้านของผู้นำทางการเมือง ผู้ปกครองโลกใบนี้ที่เราได้สร้างขึ้นครับ” เลอเมอร์ซิเออร์อธิบาย “ผลของการตัดสินใจของพวกเขากำลังจะตรงไปสู่ประตูบ้านของพวกเขา”
สำหรับภาคที่สามในแฟรนไชส์นี้ บลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ของเจสัน บลูมจะเป็นผู้นำทีมโปรดักชัน ทีมงานเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้รู้ว่าสัญชาตญาณของมือเขียนบท/ผู้กำกับองพวกเขาคือสิ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จของทริลเลอร์สองภาคแรก และพวกเขาก็เชื่อมั่นว่าผลงานเรื่องถัดไปของเขาจะต้องยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยอดนิยมอย่างแฟรนไชส์ Paranormal Activity และ Insidious รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง The Visit ซึ่งเป็นผลงานการร่วมงานกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานเมื่อปีที่ผ่านมา บลูมเข้าใจดีว่าจะผลักดันภาพยนตร์ทุนต่ำที่ประสบความสำเร็จให้กลายเป็นแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ได้อย่างไร ความจริงนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนทีเดียวจากความสำเร็จของสองภาคแรกในแฟรนไชส์ The Purge ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งตามข้อตกลงเสนองานก่อนเป็นพิเศษกับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สของบลูมเฮาส์
“ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับ เจมส์เป็นปรมาจารย์ในการปูพื้นความตื่นเต้น และสร้างหนังลุ้นระทึก ที่กระตุ้นความคิดครับ” บลูมกล่าว “สำหรับภาคสาม เจมส์ตรงเข้าสู่หัวใจของมัน มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาที่จะขยายสโคปและสำรวจเรื่องการสมคบคิดในวงกว้างในแฟรนไชส์นี้ ซึ่งมาจากผู้นำที่ได้รับเลือกมาของโลกที่เขาสร้างขึ้นครับ” บลูมชื่นชอบการร่วมงานกับผู้กำกับมากประสบการณ์อย่างเดอโมนาโกและให้อิสระสร้างสรรค์กับพวกเขาเต็มที่ในการสร้างวิสัยทัศน์ของพวกเขาให้เป็นจริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็คอยดูให้แน่ใจว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ จะถ่ายทำตามกำหนดเวลาและภายใต้งบประมาณ “สิ่งที่ทำให้ผมสนใจหนังทุนต่ำคือความคิดสร้างสรรค์และพลังงานแบบนอนสต็อปที่พวกเขาใส่เข้าไประหว่างการถ่ายทำครับ” บลูมบอก “ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับของแฟรนไชส์นี้ เจมส์ไม่เพียงแต่เข้าใจทุกองค์ประกอบของเรื่องราวโดดเด่นนี้ที่เขากำลังเล่าอยู่ แต่เขายังเข้าใจว่าทุกส่วนทุกตอนจะขับเคลื่อนไปอย่างไรในหนังฟอร์มขนาดนี้ เขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการทำให้แต่ภาคสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง แต่ก็ร้อยเรียงธีมหลักและตัวละครเข้าไปเพื่อเชื่อมต่อการดำเนินเรื่องระหว่างแต่ละภาคด้วยครับ”
อีกครั้งหนึ่งที่บลูมเฮาส์ได้ร่วมมือกับแพลตินัม ดูนส์ของไมเคิล เบย์ในการทำงานภาคนี้ การสานต่อเรื่องราวของล้างบาปประจำปีของกลุ่มเอ็นเอฟเอฟเอและผู้ที่ต่อต้านธรรมเนียมนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับแบรด ฟูลเลอร์ ผู้รู้ว่าผู้ชมจะตอบสนองต่อการขยายโลกที่เดอโมนาโกได้จินตนาการขึ้นให้กว้างออกไปอีก “อย่างที่เจมส์บอก หนังเรื่องนี้ผสมผสานเรื่องหลายแนว ทั้งสยองขวัญ แอ็กชันและทริลเลอร์ โดยมีนัยยะทางการเมืองครับ” เขากล่าว “สำหรับภาคนี้ ความเสี่ยงมันมีเยอะขึ้น มันเป็นมากกว่ากลุ่มคนที่ต้องเอาชีวิตรอดผ่านค่ำคืนหฤโหด แต่มันเป็นเรื่องที่ว่า ธรรมเนียมการล้างบาปจะอยู่รอดรึเปล่า และคำถามสำคัญสุดท้ายคือ เราจะกอบกู้ศีลธรรมของประเทศชาติได้รึเปล่า”
แอนดรูว์ ฟอร์ม หุ้นส่วนงานสร้างของฟูลเลอร์ที่แพลตินัม ดูนส์ เล่าว่าเดอโมนาโกให้ความสำคัญกับการดึงดูดใจผู้ชมผ่านการเล่าเรื่องราวที่น่าติดตาม “งานเขียนของเจมส์มีความเป็นมนุษย์สูงครับ” ผู้อำนวยการสร้างกล่าว “เขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนธรรมดาภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา และมันก็เข้าถึงได้และน่าเชื่อ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจเหลือเกินครับ”
การที่ทริลเลอร์เรื่องนี้นำเสนอความหมายของการเป็นครอบครัวท่ามกลางช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัวตามที่ปรากฏในแฟรนไชส์นี้ทำให้ The Purge มีความลึกซึ้งและความเป็นมนุษย์ยิ่งขึ้น “มันมีพัฒนาการตัวละครที่ยอดเยี่ยมและความสัมพันธระหว่างครอบครัวระหว่างโจ, ลานีย์และมาร์คอสครับ” ฟอร์มกล่าว “นี่เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่คุณไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจาก Purge ครับ”
เดอโมนาโกอาศัยสองตัวละครหลักในการสานต่อความต่อเนื่องและพาเราเดินหน้าต่อไปในไตรภาคเรื่องนี้ คนแปลกหน้าจากภาคแรก ผู้หลบซ่อนตัวในบ้านของครอบครัวแซนดินและได้ปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะพวกปฏิวัติใน Anarchy มีบทบาทสำคัญในภาคใหม่นี้ เดอโมนาโกอธิบายว่าผู้ชมได้เห็นวิวัฒนาการของพิธีล้างบาปผ่านสายตาของดันเต้ บิช็อป (เอ็ดวิน ฮ็อดจ์จาก The Purge: Anarchy, The Purge) “ในภาคแรก เขาถูกตามล่า และพอถึงภาคสา เขากลายเป็นผู้นำการปฏิวัติที่ไล่ล่าผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของกลุ่มเอ็นเอฟเอฟเอครับ” เดอโมนาโกพูดถึงผู้นำกลุ่มต่อต้านผู้ลึกลับ “เขากลายเป็นเหมือนผู้ที่ไล่จับเขาครับ”
ผู้ที่กลับมาอีกครั้งในภาคสามคือลีโอ อดีตตำรวจผู้มุ่งมั่นที่จะตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ยในภาคสองของแฟรนไชส์ “ในฐานะคนที่เกือบจะลงมือล้างบาป ลีโอเข้าใจดีถึงความเลวร้ายของมันและการที่พิธีนี้กำลังทำลายชีวิตและประเทศชาติ” เดอโมนาโกเล่า “เขาจะทำทุกอย่างเพื่อผลักดันวุฒิสมาชิกให้ก้าวเข้าไปในทำเนียบขาว ที่ซึ่งเธอสามารถยกเลิกธรรมเนียมนี้ได้ครับ”