happy on November 05, 2009, 02:20:38 PM
                                    Couples Retreat เกาะสวรรค์ บำบัดหัวใจ



[ชื่อไทย   เกาะสวรรค์ บำบัดหัวใจ

วันที่เข้าฉาย  3 ธันวาคม 2552

จัดจำหน่าย  บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)/color]


เนื้อเรื่องย่อ

      วินซ์ วอห์นนำทีมนักแสดงชื่อดังในภาพยนตร์ตลกขำขัน Couples Retreat ในภาพยนตร์เรื่องนี้ สี่คู่ชู้ชื่นชาวมิดเวสต์ ออกเดินทางครั้งสำคัญในชีวิต มุ่งหน้าสู่เกาะสวรรค์สุดหรู ขณะที่หนึ่งคู่เดินทางไปที่นั่นเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตสมรส อีกสามคู่ที่เหลือตั้งใจจะไปเพลิดเพลินกับเจ็ทสกี สุขแสนสบายในสปา และเริงร่าท่ามกลางแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ดี แค่ไม่นานพวกเขาก็พบว่าการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบำบัดชีวิตคู่แบบไม่เหมือนที่ไหนของรีสอร์ทแห่งนี้ เป็นไปได้ทุกอย่าง ยกเว้นการมีทางเลือก จู่ๆ การเดินทางไปพักผ่อนแบบราคาเหมาเป็นกลุ่มของพวกเขาก็มาพร้อมบทเรียนบางอย่าง

      เกาะเจ้าปัญหา ยินดีต้อนรับ………………

      เดฟ (วินซ์ วอห์น) และรอนนี่ (เมลิน  เอเคอร์แมน) เปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางทางสังคมของกลุ่มเพื่อน ตลอดหลายปีมานี้ พวกเขาได้สร้างชีวิตแบบครบวงจรผ่านการทุ่มเทให้กับทั้งลูกๆ เพื่อนๆ และหน้าที่การงาน

หลังจากอยู่ด้วยกันอย่างหวานชื่นมานาน 8 ปี เจสัน (เจสัน เบ็ทแมน) และซินเธีย (คริสเตน เบลล์) ก็มาถึงทางแยกของชีวิต คู่ที่เคยมีความสุขทำเอาเหล่าเพื่อนสนิท อันประกอบไปด้วย เดฟและรอนนี่, โจอี้ (จอน แฟฟโรว์) และลูซี่ (คริสติน เดวิส) และเชน (ไฟซอน เลิฟ) และแฟนสาวคนใหม่ของเขา ทรูดี้ (นักแสดงหน้าใหม่ คาลี ฮอว์ก) แทบช็อค เมื่อพวกเขาประกาศว่าพวกเขากำลังคิดจะหย่าร้างกัน

      เพื่อรักษาชีวิตสมรสเอาไว้ เจสันและซินเธียตัดสินใจร่วมใจกันแก้ปัญหาเป็นครั้งสุดท้าย….

      เจสันและซินเธียพบข้อมูลเกี่ยวกับอีเดนรีสอร์ท ที่พักบนเกาะสวรรค์ในเซ้าธ์แปซิฟิก ที่เชี่ยวชาญในการบำบัดชีวิตคู่ แต่หนทางเดียวที่พวกเขาจะมีเงินมากพอจะเดินทางไปยังรีสอร์ทหรูแห่งนี้ได้ ก็คือต้องซื้อ “แพ็คเกจพิลิแกน” ซึ่งเป็นแพ็คเกจแบบเหมาซื้อเป็นกลุ่ม งานนี้มีแต่ได้กับได้ ขณะที่พวกเขาเข้ารับการบำบัดตามที่ต้องการ เพื่อนๆ ก็สามารถออกไปนอนอาบแดดอยู่บนหาดทรายขาว ผ่อนคลายในสปา ขี่เจ็ทสกี และหาความบันเทิงใส่ตัวได้ง่ายๆ

      แม้จะฟังดูน่าไปแค่ไหน (รวมถึงทุกคนยังอยากจะช่วยเจสันและซินเธียใจจะขาด) แต่ดูเหมือนไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ทุกคนจะแห่ไปเที่ยวพร้อมกันได้...จนกระทั่งเดฟและรอนนี่ตกลงใจที่จะไปด้วย บัดนี้ สี่คู่ชู้ชื่นออกเดินทางมุ่งไปยังเกาะสวรรค์ และนั่นก็คือ “การเริ่มเดินเครื่อง” บนเกาะสวรรค์เขตร้อน

แต่มีเงื่อนไขเล็กๆ  อยู่ข้อหนึ่ง …

      ทั้งแปดคนพบว่าทุกคู่รักจะต้องมีส่วนร่วมในเทคนิคการบำบัดที่แหวกแนวของมองซิเออร์  มาร์เซล (ฌ็อง รีโน) “นักบำบัดชีวิตคู่” ที่มีชื่อเสียงของอีเดนรีสอร์ทแห่งนี้ ถ้าไม่เข้ารับการบำบัดทุกคน ก็ไม่ต้องเข้ากันเลยสักคน และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เชิญกลับบ้านกันได้ ในไม่ช้า ทั้งสี่คู่ต่างพบว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่ดูเหมือนจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ของพวกเขาเอง สิ่งที่ติดตามมาคือการมองปัญหาในโลกที่แท้จริงที่คนทุกคู่ต้องเผชิญในแบบที่ทั้งสนุกสนานเฮฮาและอบอุ่นใจ




เบื้องหลังงานสร้าง


ย้อนสู่จุดกำเนิด:Couples Retreat เริ่มบังเกิด

      ในปี  1996 วินซ์ วอห์น และจอน แฟฟโรว์ เริ่มสร้างชื่อในแวดวงฮอลลีวู้ดด้วยภาพยนตร์ตลกเฮฮาเรื่อง Swingers ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เขียนบทโดยแฟฟโรว์ พูดถึงชีวิตของนักแสดงตกงานสองคนที่พยายามจีบสาว และสร้างชื่อในแอลเอ Swingers กลายเป็นภาพยนตร์ที่ติดทำเนียบคลาสสิกในทันใด และยังช่วยสร้างชื่อเปิดหนทางดังให้กับทั้งวอห์นและแฟฟโรว์ และยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้กับภาพยนตร์เรื่อง Couples Retreat อย่างไม่น่าเกิดขึ้นได้ ในปี 2007 Swingers ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่คนดูชื่นชอบ แถมยังมีคนกล่าวขวัญถึงภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ คว้ารางวัล Guy Movie Hall of Fame Award ที่งานแจกรางวัล Guys Choice Awards ของสไปก์ทีวี หลังการบันทึกเทปงานแจกรางวัลดังกล่าว วอห์นและแฟฟโรว์ได้กลับไปเยือนหนึ่งในสถานที่แห่งหนึ่งที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนั้นเพื่อเฉลิมฉลอง และที่นั่น วอห์นได้เสนอไอเดียของ Couples Retreat ให้กับแฟฟโรว์

      “ผมเกิดไอเดียเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนที่แต่งงานแล้ว และกำลังมีปัญหาในชีวิตคู่ เพียงแต่บางคนอาจมีปัญหาสุดกู่มากกว่าคนอื่นๆ” วอห์นบอก “หนึ่งในสี่คู่เปรียบได้กับตัวเร่งปฏิกิริยาที่บอกกับคนอื่นๆ ว่า ‘ฉันพบสถานที่แห่งหนึ่งที่จะเป็นนครเมกกะในทุกเรื่องสำหรับคู่รัก’ เขาอยากให้เพื่อนๆ ของเขาไปด้วย เพราะหนทางเดียวที่เขากับเมียจะมีปัญญาจ่ายค่ารีสอร์ทแห่งนั้นได้ก็คือการต้องไปเที่ยวแบบราคาเหมายกแก๊งค์ แล้วคู่รักคู่อื่นๆ ก็ถือกันว่านี่คงจะเป็นการพักผ่อนที่แสนสุขี แต่เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น พวกเขาถึงได้รู้ตัวว่าพวกเขาต้องเข้าร่วมการบำบัดชีวิตคู่ ที่ตลกก็คือการได้มาเห็นว่าทุกแง่มุมในความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องถูกจับตาดูตลอด”

      “ผมอยากหยิบเรื่องของคนธรรมดาๆ กับปัญหาที่พวกเขาต้องเจอทุกวัน แล้วจับพวกเขาไปอยู่ในสถานที่ที่แปลกที่สุด” วอห์นอธิบายต่อ “เนื้อหาต้องสัมพันธ์กับคนดู เพื่อให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมเหมือนพวกเขาเป็นหนึ่งในคนสี่คู่นี้ และหัวเราะสนุกไปกับสถานการณ์และอุปสรรคต่างๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญ และต้องแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปให้ได้ นอกจากนี้ ผมยังอยากให้บทภาพยนตร์เรื่องนี้แทรกในเรื่องของความหวังและความสมหวังไว้ด้วย ถึงแม้จะต้องพยายามกันหลายๆ เรื่อง แต่การได้มีความรักและลองแก้ไขปัญหาเรื่องชีวิตคู่ไปแล้ว ย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเสียเลย”


      แฟฟโรว์พร้อมจะกลับไปร่วมงานกับเพื่อนรักที่คบหามายาวนานอย่างวอห์นอยู่แล้ว “วินซ์เสนอไอเดียให้เรากลับมาร่วมงานกันอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี” แฟฟโรว์เล่า “และเมื่อเขาเล่าไอเดียของ Couples Retreat ให้ผมฟัง ผมคิดว่าคอนเซ็ปต์ของมันน่าสนใจมาก”

      วอห์นยังติดต่อไปหา  สก็อตต์ สตูเบอร์ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่เคยอำนวยการสร้างภาพยนตร์ร่วมกับวอห์น ตอนสร้างภาพยนตร์ตลกสุดฮิตในปี  2006 เรื่อง The Break-Up โดยได้พูดคุยกับสตูเบอร์ให้กลับมาร่วมทีมกันในภาพยนตร์เรื่องนี้ “วินซ์กับผมมักจะคุยกันถึงไอเดียใหม่ๆ เสมอ เมื่อเขาเล่าให้ผมฟังถึงคอนเซ็ปต์ของ Couples Retreat ผมคิดว่ามันเป็นหนทางที่ดีมากในการสำรวจเรื่องความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ผ่านไอเดียตลกๆ แบบนี้” สตูเบอร์บอก

      เมื่อแฟฟโรว์ตกลงปลงใจที่จะร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้กับวอห์น  และดาน่า ฟ็อกซ์ พวกเขาก็เริ่มคิดสร้างเรื่องราวขึ้นมาพวกเขาเน้นเรื่องไปที่คู่รักสี่คู่จากมิดเวสต์ ได้แก่ คู่ที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบอย่างเดฟกับรอนนี่, คู่ที่ดูมีปัญหา เจสันกับซินเธีย, คู่ที่พร้อมจะแยกกัน โจอี้กับลูซี่ และเชนกับแฟนสาววัย 20 ปี ทรูดี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสี่คู่กำลังจะผ่านการทดสอบ ณ รีสอร์ทแห่งนี้

      สำหรับแฟฟโรว์ เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเขาทีเดียว และอาจได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ที่เป็นส่วนตัวที่สุดของเขานับจากเรื่อง Swingers  “ผมผ่านประสบการณ์การแต่งงานและการมีลูกเล็กๆ มาแล้ว มีเรื่องขำขันเกิดขึ้นเยอะมาก นี่คือเรื่องที่ผมยังไม่เคยสำรวจด้วยตัวเองมาก่อนเหมือนกัน”

      สตูเบอร์กล่าวเสริมว่า “สิ่งที่ผมชอบในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ มันสำรวจพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของมนุษย์ มีทั้งความหวังและความสนุกสนาน ผมรู้ดีว่ามันคงจะดีแน่ที่ได้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้กับกลุ่มของเราที่เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ยิ่งคุณสร้างภาพยนตร์กับคนที่มีอารมณ์คล้ายๆ กับคุณเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งอยากกลับไปทำงานด้วยกันซ้ำแล้วซ้ำอีกเท่านั้น”

      วอห์นเริ่มต้นค้นหาตัวผู้กำกับ และลงเอยที่ตัว ปีเตอร์  บิลลิงสลี่ย์ ซึ่งประเดิมงานกำกับชิ้นแรกด้วยเรื่อง Couples Retreat บิลลิงสลี่ย์ประสบความสำเร็จกับการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง โดยเขาเคยร่วมงานกับวอห์นมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Made, The Break-Up และ Four Christmases และเคยร่วมงานกับแฟฟโรว์ ในเรื่อง Made, Zathura, Iron Man และผลงานทางทีวีอย่างเรื่อง Dinner for Five อย่างไรก็ดี ความหวังของบิลลิงสลี่ย์ที่จะได้กำกับภาพยนตร์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นนักแสดงหนุ่ม โดยเขาเคยได้รับเลือกให้รับบทเป็น ราล์ฟฟี่ หนุ่มที่ชอบเล่นปืนบีบีกันในภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง A Christmas Story

      “ขณะที่เรากำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A Christmas Story อยู่นั้น ผมได้ใช้เวลาอยู่ในกองถ่ายกับผู้กำกับบ็อบ คล๊าร์กบ่อยมาก” บิลลิงสลี่ย์เล่า “ตลอดหลายปีนั้น ผมอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของเขา เขาเองก็ให้คำแนะนำกับผมอย่างดีที่สุดเมื่อผมบอกเขาว่าผมอยากจะเป็นผู้กำกับหนัง เขาบอกว่า ‘เข้าไปที่ห้องตัดต่อซิ เพราะนั่นคือที่ที่นายจะได้เรียนรู้ว่าจะสร้างหนังยังไง’ ดังนั้น ผมก็เลยเริ่มต้นใช้เวลาอยู่กับการทำงานโพสต์โปรดักชั่นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมรู้สึกว่าถ้างานกำกับคือสิ่งที่ผมต้องทำ โปรเจ็กต์เหมาะๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก”

      ในฐานะหุ้นส่วนคนหนึ่งของบริษัทไวลด์ เวสท์ พิคเจอร์ โชว์ โปรดักชั่นส์ของวอห์น การตัดสินใจร่วมงานกับวอห์นในครั้งนี้เป็นเรื่องง่ายมาก “วินซ์กับผมรู้ใจกัน ซึ่งเกิดมาจากการที่เราเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเป็นเพื่อนกันมานาน” บิลลิงสลี่ย์บอก “Couples Retreat คือภาพยนตร์เรื่องที่ 4 ที่เราร่วมงานกัน ซึ่งผลงานเรื่องแรกๆ ของเราช่วยเตรียมตัวผมให้พร้อมสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมเข้าใจดีว่าวินซ์อยากจะพัฒนาเรื่องและตัวละครไปอย่างไร เราทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าเราต้องการความสำเร็จแบบไหนกับภาพยนตร์เรื่องนี้”

      เมื่อได้ตัวบิลลิงสลี่ย์มาทำหน้าที่ผู้กำกับ  งานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ปักหลักกันที่ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภายใต้ข้อตกลงกับบริษัทไวลด์  เวสท์ พิคเจอร์ โชว์ โปรดักชั่นส์ ของวอห์น และบริษัทสตูเบอร์ พิคเจอร์ส ของสตูเบอร์

นักท่องเที่ยวผจญกูรู:การคัดเลือกตัวนักแสดง
      วินซ์ วอห์น, เจสัน เบ็ทแมน, จอน  แฟฟโรว์ และไฟซอน เลิฟได้รับการวางตัวให้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนที่บทภาพยนตร์จะถูกเขียนจนเสร็จด้วยซ้ำ ทำให้ทางทีมเขียนบทรู้บุคลิกเด่นของทีมดารานำชายก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น “เพราะวินซ์กับผมสามารถทำให้ภาพยนตร์ได้รับไฟเขียวได้แล้ว เขาจึงสามารถวางตัวนักแสดงที่เราอยากให้มาเล่นบทนำฝ่ายชายได้” แฟฟโรว์เล่า “นี่ถือเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อผมรู้ว่าผมกำลังเขียนบทให้ใครเล่น ทำให้การทำงานของผมง่ายขึ้นเยอะ”

      เมื่อทำการวางตัวนักแสดง ทั้งผู้กำกับและทีมผู้อำนวยการสร้างไม่ได้มองหาแต่เพียงนักแสดงตลกเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นนักแสดงที่สามารถรับมือกับฉากดราม่าได้ด้วย “คนสามในสี่คู่แต่งงานกันมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นพวกเขาต้องมีอารมณ์แบบคนที่แต่งงานแล้ว” สตูเบอร์บอก “นักแสดงชายทุกคนต้องดูน่าชื่นชม และมีการพูดจาโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ วินซ์, จอน, เจสันและไฟซอนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่คริสติน, คริสเตน และเมลินถือเป็นหน้าใหม่ในกลุ่มนี้ พวกเธอสามคนเหมือนคลิกลงตัวเป๊ะ จนดูเหมือนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมา ผมรู้ว่าคนดูจะต้องอินไปกับคนแต่ละคู่ และเอาใจช่วยพวกเขาให้เอาชนะปัญหา และทำให้ชีวิตคู่ราบรื่นไปได้”

      สำหรับวอห์น เดฟคือตัวละครที่เขารู้สึกเข้าใจเป็นอย่างดี และเป็นตัวละครที่คนดูสามารถเชื่อมโยงถึงได้ด้วย “เดฟคือผู้ชายธรรมดาๆ ที่มีชีวิตที่เป็นสุข” วอห์นบอก “เขายังเป็นพ่อและสามีที่ดี แต่เขาไม่เคยดื่มด่ำกับช่วงเวลาให้ช้าลง และชื่นชมชีวิตของตัวเองเลย เมื่อเขามาถึงเกาะแห่งนี้ เขาถูกบังคับให้หยุดและสะท้อนให้เห็นปัญหาว่า ‘ฉันกับภรรยามีปัญหากัน หรือพวกที่ปรึกษาที่นี่ทำตัวล้ำเส้นเกินไปแล้วกันแน่’”

      บิลลิงสลี่ย์รู้สึกดีใจที่เพื่อนของเขาตัดสินใจที่จะรับบทที่ดูเหมือนเป็นตัวละครแสนธรรมดาตัวนี้  เขากล่าวว่า “เซนต์ในเรื่องการเลือกเรื่อง ตัวละคร และวัตถุประสงค์ของวินซ์เยี่ยมยอดมาก คุณจับคนไปอยู่ในสถานการณ์หนึ่ง แล้วหาวิธีที่จะแสดงออกมาอย่างน่าสนใจ เมื่อเขาเกิดความเข้าอกเข้าใจตัวละครขึ้นมา เขาพบวิธีที่ดีขึ้นในการแสดงความตั้งใจออกมาได้ดีกว่าที่อยู่ในหน้ากระดาษของบทเสียอีก”

      เจสัน เบ็ทแมนรับบท เจสัน สามีจอมวิเคราะห์ที่ลงทุนทำพาวเวอร์พอยต์เพื่อชวนเพื่อนๆ เดินทางไปเที่ยวที่อีเดน  “ตัวละครของเจสันเป็นคนเริ่มต้นเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้” วอห์นอธิบาย “เขากับภรรยากำลังมีปัญหาในชีวิตแต่งงาน และพวกเขาก็คิดกันว่าการเดินทางไปเกาะสวรรค์ของคู่รัก จะช่วยทำให้การตัดสินใจของพวกเขากระจ่างขึ้นว่าควรจะอยู่ด้วยกันต่อไปหรือจะหย่าจากกันดี สุดท้ายแล้ว ทุกคู่ต่างมีเหตุผลที่จะเดินทางไป”

      “ผมได้รับโทรศัพท์ และได้ยินว่ามีภาพยนตร์ตลกเรื่องหนึ่งที่มีวินซ์ วอห์นกับจอน แฟฟโรว์ ไปถ่ายทำกันในโบราโบร่า แล้วพวกเขาก็ตั้งชื่อตัวละครของผมตามชื่อจริงของผม คงไม่มีทางหางานที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว” เบ็ทแมนหัวเราะ “พวกเขาเขียนตัวละครตัวนี้ขึ้นมาตามแบบอารมณ์ขันของผมเลย ทั้งวิธีการพูดของผม ทุกอย่างเป็นผมหมด ผมน่าจะต้องจ่ายเงินคืนให้กับยูนิเวอร์แซลด้วยซ้ำ แต่ผมหวังว่าผมคงจะชดเชยเงินนั่นด้วยการแสดงของผมได้นะ”

      แฟฟโรว์ต้องทำสองหน้าที่ คือเป็นทั้งหนึ่งในทีมเขียนบท และรับบทเป็นโจอี้ ชายที่มีเมียแล้ว แต่ไร้ความสุขที่ยืนอยู่ปากเหวใกล้หย่าเหมือนกัน “ประสบการณ์ส่วนตัวของผมถูกสะท้อนให้เห็นใน เดฟ ตัวละครของวินซ์เสียมากกว่า ส่วนตัวละครตัวอื่นๆ เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงตัวอย่างที่ว่าชีวิตคู่สามารถเดินผิดทางได้อย่างไร” แฟฟโรว์ยอมรับ “โจอี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อคุณเลิกกระตือรือร้นกับชีวิตแต่งงาน และทุกอย่างก็เริ่มตายซาก แต่คุณก็ผ่านเส้นทางนั้นมาร่วม 20 ปีแล้วนี่”

      “ผมว่าคนมากมายน่าจะอินไปกับเรื่องของโจอี้และลูซี่ ซึ่งตอนนี้ลูกของพวกเขาไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว และพวกเขาก็กำลังประสบปัญหากับบ้านที่เหมือนว่างเปล่า” สตูเบอร์บอก “ในไม่ช้า ก็กลายเป็นว่า ‘เรายังเป็นผัวเมียกันอยู่หรือเปล่า เรายังผูกพันกันอยู่ใช่ไหม’ จอนเป็นทั้งมือเขียนบทและนักแสดงที่น่าทึ่ง เขาสามารถแสดงอารมณ์เหล่านี้ออกมาบนจอหนังได้ ความคุ้นเคยที่เขามีต่อวินซ์และทีมนักแสดง ยังช่วยยกระดับการแสดงให้ดีขึ้นด้วย”

      ที่แยกทางกับภรรยาและกำลังผจญกับวิกฤตวัยกลางคน ก็คือ เชน ซึ่งรับบทโดย ไฟซอน เลิฟ เพื่อนร่วมงานขาประจำอีกคนของทั้งวอห์นและแฟฟโรว์  “ตอนที่พวกเขาทาบทามผมให้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโปรเจ็กต์การบ้านส่งโรงเรียน เพราะจอน, วินซ์, ปีเตอร์ และผมเป็นเพื่อนกันมานานมากแล้ว” เลิฟเล่า “เชนยังไม่ลงตัวกับชีวิตนัก และเขามีแฟนสาวอายุ 20 ปี แต่เธอทำให้เขารู้สึกเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอีกครั้ง และเขาก็พยายามลืมความจริงที่ว่าเขากำลังจะหย่า” 

      “ไฟซอนคือหนึ่งในผู้ชายที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร คุณเป็นต้องเหมือนถูกดึงให้เดินเข้าหาเขาตลอด” วอห์นให้ความเห็นไว้ “ตัวละครของเขาตลกมาก แต่เขายังน่ารักด้วย เพราะคุณมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่เขาต้องเจอ ไฟซอนเหมาะกับบทนี้มาก เพราะเขาปล่อยอารมณ์ที่เป็นส่วนผสมของคนที่ทั้งตลก และเป็นคนที่คุณคอยเอาใจช่วยออกมา”

      ในการคัดเลือกตัวนักแสดงหญิงในบทนำ ซึ่งลงตัวที่ เมลิน เอเคอร์แมน, คริสเตน เบลล์, คริสติน เดวิส และคาลี ฮอว์ก ทางทีมผู้สร้างพบการผสมผสานของทีมนักแสดงหญิงที่ดูเหมือนจริงมากในบทเพื่อน และยังเป็นเหมือนมุมตรงข้ามที่แข็งแกร่งของทีมนักแสดงชาย

      คนที่เข้ามารับบท  รอนนี่ ภรรยาของเดฟ ก็คือนักแสดงสาวชาวสวีเดน เมลิน เอเคอร์แมน ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งไปรับบทเป็นซิลก์ สเป็คเตอร์ ที่ 2 ในภาพยนตร์แอ็กชั่น เรื่อง Watchmen อย่างไรก็ดี คนดูมากมายรู้จักเอเคอร์แมนจากบทตลกในภาพยนตร์เรื่อง The Heartbreak Kid และ The Proposal  “สิ่งที่ทำให้ฉันชอบในเรื่องนี้ก็คือคนสี่คู่นี้แตกต่างกันมาก” เอเคอร์แมนอธิบาย “ฉันแต่งงานมาได้สองปีแล้ว และเรื่องนี้ก็เข้ากันกับชีวิตของฉันมาก ความสัมพันธ์เป็นเรื่องยากนะ ต้องผ่านการปรับตัวเยอะมาก บางครั้งเราก็จริงจังกับเรื่องต่างๆ มากเสียจนเราหลงลืมว่าเรื่องเล็กๆ ง่ายๆ ก็สำคัญเหมือนกัน”

      บิลลิงสลี่ย์ได้พูดถึงการเลือกเอเคอร์แมนให้มารับบทนี้ว่า “รอนนี่กับเดฟเป็นเหมือนตัวแทนคนดู ถ้าพวกเขาเป็นคู่ปกติในโลกผิดปกตินี้ พวกเขาก็ต้องเป็นหลักที่หนักแน่นที่สุด เราเคยเห็นเมลินในภาพยนตร์เรื่อง The Heartbreak Kid และคิดว่าเธอตลกมาก และเหมาะกับบทรอนนี่ เมลินต้องแสดงมุขฮามากๆ ในภาพยนตร์เรื่องนั้น ซึ่งต้องได้การแสดงที่ทุ่มเทอย่างมาก เราคิดว่าถ้าคนๆ หนึ่งสามารถทำแบบนั้นได้อย่างงดงามและทุ่มเทได้อย่างน่าชื่นชมขนาดนั้น นั่นเป็นตัวบ่งบอกถึงการเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ บวกกับความจริงที่ว่าเมลินมีความผ่อนคลายในตัว ซึ่งทำให้ตัวละครของเธอดูเชื่อมั่น เท่านี้ก็จบ”

      การคัดเลือกตัวนักแสดงในบท ซินเธีย ภรรยาที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์พอกันของเจสัน ทางทีมผู้สร้างหันไปหา  คริสเตน เบลล์ ดารานำของภาพยนตร์ฮิตประจำปี  2008 เรื่อง Forgetting Sarah Marshall “ซินเธียเป็นตัวละครที่มีความสำคัญด้วยเหตุผลสองข้อ” บิลลิงสลี่ย์อธิบาย “ในชีวิตแต่งงานของเธอ ไม่มีการนอกใจ แต่เธอเป็นพวกที่รู้สึกว่ายังมีเส้นทางและขั้นตอนสำหรับทุกอย่าง ถ้าคุณเดินไปตามเส้นทางนั้น หลายอย่างมักจะลงเอยด้วยดี เราต้องการคนที่ทั้งสวยและดูเป็นภรรยาที่น่าทึ่งสำหรับเจสัน คริสเตนมีคุณสมบัติเหล่านั้น ผมไม่เคยพบเธอมาก่อน แต่หลังจากได้ใช้เวลาในห้องประชุมอยู่กับเธอหนึ่งชั่วโมง เราทุกคนเชื่อสนิทใจเลยว่าเธอควรจะได้เล่นเป็นซินเธีย”

      “ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันเห็นตัวเองในตัวซินเธียมากขนาดนี้ แต่มันดูเป็นงานที่ง่ายเหลือเกิน” เบลล์หัวเราะ “เธอเป็นคนที่ฉันไม่รังเกียจที่จะเป็นเธอ เธอเป็นคนที่มาทันเวลาเสมอ เป็นคนที่ให้ความสำเร็จกับกำหนดเวลา เป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจ และมักจะอยู่เหนือใครในทุกเรื่อง เธอมุ่งมั่นไปที่ปัญหา แต่เธอก็ให้ความสำคัญในเรื่องของการหาทางออก แต่คุณจะใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอกับสามีถึงกำลังมีปัญหาชีวิตคู่”

สำหรับบท  ลูซี่ คู่ชีวิตที่ไม่ซื่อสัตย์ของโจอี้  ทีมผู้สร้างตัดสินใจเลือกนักแสดงที่อาจขัดกับบท  ด้วยการเลือก คริสติน เดวิส  จาก Sex and the City มารับบทนี้ “ลูซี่เป็นบทที่แตกต่างออกไปมากสำหรับฉัน” เดวิสบอก “มันตลก เพราะตอนที่ฉันอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรก ฉันคิดว่า ‘เขาอยากให้ฉันเล่นเป็นลูซี่จริงๆ หรือนี่’ ฉันเอาแต่กลับไปอ่านคำบรรยายถึงตัวเธอใหม่อีกรอบ เพราะฉันไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะกับบทนี้เลย แต่นั่นคือเหตุผลที่ทำให้มันสนุกและน่าตื่นเต้น บางครั้งก็ต้องให้นักแสดงคนอื่นๆ มองนักแสดงอีกคนต่างออกไปจากเดิมเหมือนกัน”

      ทางทีมผู้สร้างรู้สึกว่ามันคงตลกแน่ถ้าจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับคู่ชีวิต โดยไม่พูดถึงเรื่องการนอกใจเลย สำหรับบทคุณแม่ยังสาวที่สายตาล่อกแล่กไปเรื่อย บิลลิงสลี่ย์และทีมผู้อำนวยการสร้างรู้สึกว่าเดวิสน่าจะนำพลังที่ดูน่าชื่นชมใส่ในตัวละครที่น่ารังเกียจตัวนี้ได้ วอห์นกล่าวว่า “คริสตินแสดงภาพยนตร์ตลกมานานแล้ว เธอตลก และมีจังหวะในการปล่อยมุขที่ดี และยังมีลักษณะที่ดูน่าคบหาอยู่ในตัวโดยธรรมชาติด้วย เธอดูลงตัวกับบทนี้ เพราะเราต้องการคนที่คนดูจะคอยเอาใจช่วย และยินดีจะร่วมเดินทางไปกับเธอ”

      ที่มารับบทนำในภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในบท ทรูดี้ แฟนสาววัย 20 จอมเอะอะของเชน ก็คือ คาลี ฮอว์ก “ทรูดี้ทำในสิ่งที่เธอต้องการ แล้วเธอก็ไม่เสียใจในสิ่งที่ทำไปด้วย” ฮอว์กบอก “ฉันมีเพื่อนที่มีลักษณะคล้ายๆ ตัวละครตัวนี้ หลายอย่างที่ทรูดี้พูดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คล้ายกับที่เพื่อนฉันพูดในชีวิตจริง ฉันจะเป็นคนที่ระวังตัวมากกว่า ขณะที่ทรูดี้ ถ้าเธอไม่ชอบอะไร เธอก็จะโพล่งออกมาเลย เธอดูไม่น่าจะเข้ากับเชนและเพื่อนๆ ของเขาได้ แต่เธอเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ไม่เคยหมดสนุกไปกับทุกเรื่อง”

      ทางทีมผู้สร้างได้จัดออดิชั่นนักแสดงหลายคนเพื่อคัดเลือกตัวในบท ทรูดี้ และตัดสินใจเลือกฮอว์ก  สตูเบอร์ให้ความเห็นไว้ว่า  “คาลีมีงานยากรออยู่ตรงหน้าเมื่อเธอได้รับเลือกให้แสดงเป็นทรูดี้ ซึ่งเธอก็ตั้งตัวได้อย่างง่ายดาย หลังจากเวลาผ่านไป แค่เพียงเหลือบสายตามองเล็กน้อย หรือหันหน้ามาทั้งตัว เธอทำให้เราหัวเราะออกมาเสียงดังเลยทีเดียว”

      หลังจากเจสันและซินเธียกล่อมให้เพื่อนๆ ร่วมเดินทางไปยังอีเดนได้แล้ว คู่อื่นๆ กลับพบว่ากิจกรรมต่างๆ  ที่พวกเขารอคอย อย่างเช่นการขี่เจ็ทสกี หรือการนอนอาบแดดบนชายหาดสุดหรู จะมีได้ก็หลังจากผ่านการบำบัดชีวิตคู่ และเข้าโครงการสร้างเสริมทักษะที่เริ่มต้นกันตั้งแต่หกโมงเช้า และที่คอยดูแลการบำบัดของแต่ละคู่ ก็คือ สแตนลี่ย์ ผู้ดูแลรีสอร์ทและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ ซึ่งรับบทโดยนักแสดงตลกชาวอังกฤษ ปีเตอร์ เซราฟีโนวิคซ์ สแตนลี่ย์เป็นพวกหัวโบราณ ชอบเม้มปากให้ดูเคร่งขรึม และกลายเป็นคู่ปรับสุดฮาของเดฟ

      ที่เข้ามาเสริมทัพทีมตัวละครเจ้าหน้าที่รีสอร์ทที่สุดจะมีสีสัน  ก็คือ ครูสอนโยคะ ซัลวาดอร์  ซึ่งรับบทโดยนักแสดงชายชาวเปอโตริโก คาร์ลอส ปอนเซ่ ด้วยรูปร่างสมส่วน  เทคนิคการสอนของซัลวาดอร์เป็นตัวผลักดันขอบเขตจำกัดส่วนตัวของคนทุกคู่ที่เขาสอน

      การเรียนการสอนทั้งหมดที่อีเดนยืนอยู่บนหลักการปรัชญาของกูรูเรื่องชีวิตคู่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง  มองซิเออร์มาร์เซล ซึ่งรับบทโดยฌ็อง รีโน “ถ้าจะมีสาระข้อไหนที่มาร์เซลอย่างแบ่งปันให้กับคนทั้งโลก มันก็คงจะเป็นการเปลือยกายต่อหน้าคนที่คุณชอบนี่แหละ” รีโนหัวเราะ “เป็นการเปลือยกายในหัวคุณนะ ไม่ใช่แค่เปลือยเสื้อผ้าล้อนจ้อน อย่าปิดบัง อย่าโกหก ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวด แต่การพูดความจริงกับคนที่คุณรักย่อมดีกว่าเสมอ”

ที่ได้รับเลือกให้มารับบทเป็นลูกชายของเดฟและรอนนี่ ก็คือ แก็ตต์ลิน กริฟฟิธ จากภาพยนตร์เรื่อง Changeling และนักแสดงหน้าใหม่ โคลิน ไบอ็อคชี่ การแสดงที่สุดประทับใจในบท โรเบิร์ต วัย 8 ขวบ และเควิน วัย 5 ขวบ

      ในบรรดาทีมนักแสดงสมทบของภาพยนตร์เรื่อง  Couples Retreat ได้แก่ ทาช่า สมิธ จากภาพยนตร์เรื่อง Why Did I Get Married? มารับบท เจนนิเฟอร์, เทมูร่า มอร์ริสัน จากภาพยนตร์ชุด Star Wars รับบท บริกส์ รองผู้บัญชาการของมาร์เซล, นักแสดงหน้าใหม่ จอนน่า วอลช์ รับบท ลาซี่ย์ ลูกสาวของลูซี่และโจอี้ที่จากบ้านไปเพื่อเรียนมหาวิทยาลัย และจอห์น ไมเคิล ฮิกกิ้นส์ จาก The Break-Up และเคน เจียง จาก The Hangover รับบทนักบำบัดแหวกแนวทั้งสองคนของอีเดนรีสอร์ท

      เมื่อกระบวนการคัดเลือกตัวนักแสดงสิ้นสุดลง ทางทีมผู้สร้างจึงเริ่มต้นค้นหาโลเกชั่นที่เหมาะจะสมมติเป็นอีเดนรีสอร์ท  สถานที่พักผ่อนที่น่าตื่นตะลึงที่สุดในโลกสำหรับคู่ชีวิต



happy on November 05, 2009, 02:27:05 PM




ใกล้เคียงสวรรค์: การถ่ายทำในโบราโบร่า
การค้นหาอีเดน
      มีเกาะเขตร้อนอยู่มากมายที่ทีมผู้สร้างพิจารณาจะใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่อง Couples Retreat ซึ่งรวมถึงโลเกชั่นในฮาวาย, ทะเลแคริบเบี้ยน, เม็กซิโก, บาฮามาส และบาหลี “ผมถามเชพเพิร์ด แฟรงเกล โปรดักชั่นดีไซเนอร์ของเรา ว่า ‘ถ้าเราเลือกสักที่ในโลกที่เราจะใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ มันควรจะเป็นที่ไหนดี’” บิลลิงสลี่ย์เล่า “ดังนั้นเราก็เลยเริ่มมองหาเกาะเขตร้อนทุกแห่งบนโลก” เมื่อทีมผู้สร้างได้เห็นน้ำทะเลสีฟ้าใสที่รายล้อมชายหาดทรายสีขาวของเกาะโบราโบร่า พวกเขารู้เลยว่าพวกเขาพบฉากในอุดมคติของรีสอร์ทอีเดนเข้าแล้ว 

      Couples Retreat คือภาพยนตร์เรื่องแรกที่เข้าไปถ่ายทำในส่วนนี้ของแปซิฟิกใต้ นับแต่ที่แจน โทรเอลล์ได้ถ่ายทำภาพยนตร์ผจญภัยเอพิคเรื่อง Hurricane ในปี 1979 ทางทีมผู้สร้างค้นหารีสอร์ทมากกว่า 12 แห่งบนเกาะโพลีนีเชี่ยนแห่งนี้ โดยมุ่งเน้นไปที่โรงแรมที่มีบังกะโลเหนือน้ำ และให้บรรยากาศที่แสนผ่อนคลาย “กุญแจสำคัญก็คือการหาสถานที่ที่จะยอมให้พวกเราเข้าไปยึดใช้พื้นที่รีสอร์ททั้งหมดได้” บิลลิงสลี่ย์อธิบาย

      หลังจากตระเวนหาไปทั่วเกาะ ทางทีมผู้สร้างก็ตกลงได้กับรีสอร์ทเซนต์เรจิส  โบราโบร่า ซึ่งยินยอมพร้อมใจจะเปลี่ยนเป็นอีเดนรีสอร์ท รีสอร์ทแห่งนี้คือโรงแรมระดับห้าดาวบนเกาะโบราโบร่า ซึ่งตั้งอยู่ที่ Motu Piti Aau (ในภาษาตาฮิติหมายถึง “สองหัวใจ”) พื้นที่สุดหรูขนาด 13,000 ตารางฟุตแห่งนี้รายล้อมไปด้วยชายหาดสีขาว และทะเลสาบน้ำตื้นอันงดงาม และมีการขยายตัวอาคารแยกออกไปอีก 3 หลัง และมีภูเขาโอเตมานูเป็นวิวด้านหลัง 

“เซนต์เรจิสงดงามน่าตื่นตามาก และเป็นเกาะที่มีอาณาเขตของตัวเองโดยไม่มีทั้งถนน ไม่มีรถ” ผู้กำกับบิลลิงสลี่ย์บอก “ทางเดียวที่จะไปถึงที่นั่นได้ก็โดยทางเรือ และบังกะโลที่ตั้งอยู่ในน้ำก็น่าทึ่งมาก มันมีพื้นที่มากกว่า 1,800 ตารางฟุต ซึ่งทำให้เรามีห้องมากมายไว้ถ่ายทำด้านใน พวกเขายังมีทะเลสาบที่สวยมาก โดยมีภูเขาโบราโบร่าเป็นฉากด้านหลัง ช่างเหมาะเจาะกับแท่นโยคะที่เราอยากจะสร้างขึ้นมานัก แล้วพวกเขายังยินดีที่จะปิดทำการทั้งรีสอร์ท ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากรีสอร์ทของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ด้วย”

      ขณะที่เกาะแห่งนี้มีวิวทิวทัศน์ที่ทำให้ถึงกับลืมหายใจเอาได้  แต่ขณะเดียวกันความงามนั้นก็มาพร้อมความท้าทายด้วย “ทีมงานของเราต้องใช้ความพยายามไม่ใช่น้อยในการเตรียมงาน” บิลลิงสลี่ย์เล่า “วิคตอเรีย วอห์น, กาย รีเดล และอูดี้ เนดีวี่ (ผู้จัดการกองถ่ายย่อย) ต้องนั่งคุยกับประธานของเฟรนช์ โพลีนีเชีย และร่างกันออกมาเลยว่าเราอยากจะทำอะไรบ้าง เขากับทางรัฐบาลได้ช่วยจัดการให้เรามีความสะดวกมากขึ้น ผมว่าไม่มีใครรู้ตัวหรอกว่าเราพาตัวเองไปเจอกับอะไรในแง่ของการลำเลียงคน แต่เมื่อคุณมีกลุ่มคนที่ช่วยกันระดมสมองคิด สิ่งที่คุณทำได้สำเร็จถือว่าน่าทึ่งมาก”

      ในเมื่อแทบไม่มีกองถ่ายภาพยนตร์แวะเวียนมาถ่ายทำที่โบราโบร่าเลย ทางทีมงานจึงต้องขนอุปกรณ์ทั้งหมดขึ้นเรือหรือเครื่องบินไปที่นั่น  ทีมงานได้นำคอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต เข้าไปที่นั่นถึง 15 ตู้ กับยังมีคอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตอีกสองตู้ที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ นอกจากนี้ ยังมีการขนส่งทางอากาศอีกเป็นตันๆ รวมถึงต้องขนทั้งทีมนักแสดงและทีมงานเข้าไปที่นั่นอีก 120 ชีวิต

      “สำหรับภาพยนตร์ตลกแล้ว เรื่องปัญหาของการขนส่งและการถ่ายทำถือเป็นเรื่องซับซ้อนมาก ทีมถ่ายทำและทีมงานของเราทำงานได้ดีมาก” สตูเบอร์ให้ความเห็นเอาไว้ “พวกเขาทำงานทุกอย่างล่วงหน้าสองอาทิตย์เพื่อให้แน่ใจว่ากล้อง เลนส์ ฟิล์ม และทุกอย่างไปถึงที่นั่นได้ทันเวลา ถ้ามันถูกส่งมา เราก็ใช้มันหมดทุกอย่าง”

      วันที่ 4 ตุลาคม  2008 การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นที่ท่าเรือต้อนรับของรีสอร์ทเซนต์เรจิส ขณะที่ผู้กำกับภาพ เอริค เอ๊ดเวิร์ดส์ และผู้กำกับบิลลิงสลี่ย์จัดการถ่ายทำฉากที่ทั้งสี่คู่เดินทางโดยสารเรือมาถึงอีเดน “วันแรกของการถ่ายทำในโบราโบร่า เราถ่ายทำชอตที่เป็นภาพวงกว้างอันแสนสวยงามเป็นฉากที่นักแสดงของเรามาถึงท่าเรือของอีเดน” บิลลิงสลี่ย์เล่า “ฉากสวยมาก ดูเหมือนเราเอาสีลงไประบายในน้ำเลยแหละ เป็นสีฟ้าใส ทุกอย่างโผล่มาให้เห็นจนคนดูอาจจะคิดว่าเราใช้เทคนิคสร้างขึ้นมา แต่นั่นคือของจริงร้อยเปอร์เซนต์”


เปลือยความผูกพัน

      ความสนิทสนมของกลุ่มนักแสดงที่มีต่อกันได้รับการทดสอบหลังจากพวกเขามาถึงเกาะแห่งนี้ได้ไม่นาน หนึ่งในฉากแรกๆ ที่ถ่ายทำกันก็คือฉากที่สี่คู่รักได้พบกับกูรูด้านความสัมพันธ์ของรีสอร์ทอย่างมองซิเออร์มาร์เซล ในฉากนี้ มาร์เซลให้สมาชิกแต่ละคนในแต่ละคู่ยืนเรียงแถวกันเพื่อเผชิญหน้ากับคู่ชีวิตของตัวเอง และขอให้พวกเขาถอดชุดชั้นในออก

      “สำหรับมาร์เซล แบบฝึกหัดที่ให้ทำเป็นเหมือนอุปมาอุปไมยเกี่ยวกับการทำความรู้จักร่างกายของคุณเองต่อหน้าคนอื่น ซึ่งจะทำให้คุณเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีได้ เพราะคุณไม่ได้เก็บซ่อนอะไรเอาไว้” รีโนอธิบาย “คุณไม่มีเสื้อผ้าราคาแพง รถ หรือบ้านเพื่อเอาไว้ปกปิดตัวเองอีกแล้ว”

      “มันน่าอึดอัดเคอะเขินมากเมื่อคุณยืนอยู่ตรงนั้นกับเพื่อนสนิทคุณและสามีของพวกเขา แล้วคุณก็ต้องแก้ผ้า” เมลิน เอเคอร์แมนบอก “ยิ่งกว่านั้น คุณเจอกูรูด้านความสัมพันธ์ที่ใส่กางเกงว่ายน้ำ และกำลังพูดจาด้วยถ้อยคำให้กำลังใจคุณ ทั้งหมดที่คุณคิดได้ก็คือ ‘หมอนี่เป็นใคร แล้วทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งเขาด้วย’”

      “มันเป็นฉากที่ตลกมาก พอๆ กับที่เป็นฉากที่เหมือนทำให้โล่งอกได้” เจสัน เบ็ทแมนกล่าวเสริม “มันเป็นหนึ่งในแบบฝึกหัดแรกๆ ที่เราต้องทำกันเป็นกลุ่ม และเป็นแบบฝึกหัดที่ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวละครของพวกเรารู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเราที่เป็นนักแสดงรู้สึกไม่ค่อยสบายเอาเหมือนกัน วินซ์, จอน, ไฟซอน และตัวผมเองด้วย ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้ขึ้นปกนิตยสารก็ตาม แต่มันเป็นหนังตลก เราต้องทำทุกอย่างเพื่อเรียกเสียงหัวเราะให้ได้ ผมคิดว่าทางทีมเขียนบทคงต้องรู้สึกหงุดหงิดกับไฟซอนในอาทิตย์ที่พวกเขาเขียนฉากนี้ขึ้นมา เพราะตัวละครของไฟซอนต้องถอดกางเกงออก โดยรู้ว่าเขามีหน่วยคอมมานโดอยู่ในกางเกง” 

      อีกฉากหนึ่งที่ทำให้รู้สึกอึดอัดเคอะเขินก็คือตอนที่ทั้งสี่คู่ต้องไปเรียนโยคะกับซัลวาดอร์ ซึ่งเป็นครูฝึกผู้เชี่ยวชาญของอีเดน ไอเดียนี้เกิดมาจากประสบการณ์ของวอห์นที่โรงเรียนสอนโยคะแห่งหนึ่งในแอลเอ “ผมเคยมีแฟนที่พาผมไปเรียนโยคะด้วย และระหว่างที่เรียนอยู่ ผมพูดกับตัวเองว่า ‘มันเกิดขึ้นจริงๆ เหรอเนี่ย’ ทุกคนกำลังเล่นโยคะเหมือนพวกเขาไม่มีปัญหากับผู้ชายที่กำลังสอนอยู่เลย ถึงแม้ว่าเขาจะกำลังทำท่าโก้งโค้งอยู่กับผู้หญิงก็ตาม มันประหลาดมากๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหนัง The Twilight Zone ทำให้ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นฉากสนุกทีเดียวเมื่อไปอยู่ในภาพยนตร์ ทุกคนที่เคยผ่านเข้าไปในดินแดนของความสงบทางวิญญาณคงต้องเคยเจอผู้ชายเล่นโยคะที่ชวนขนลุกแน่”

      สำหรับปอนเซ่  การซักซ้อมถือว่ามีส่วนช่วยได้มากที่สุด เขารู้สึกขอบคุณที่ทีมงานจัดให้มีการซ้อมใส่ชุด ซึ่งเขาจะต้องแสดงท่าทางสุดฮา แต่ดูไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ปอนเซ่รู้สึกว่าก็ดีเหมือนกันที่ได้ทลายน้ำแข็งออกบ้าง เขาจึงไม่ต้องห่วงว่าหลังจากบิลลิงสลี่ย์สั่งคัทแล้ว เพื่อนนักแสดงของเขาจะพูดว่า “นายทำอะไรออกมาในนั้นอ่ะ”


การถ่ายทำในน้ำ

      หนึ่งในความท้าทายมากมายของการถ่ายทำกันในโบราโบร่าก็คือการขนย้ายนักแสดง  ทีมงาน และอุปกรณ์ไปกลับจากฉากทุกวัน เพราะไม่มีถนนหรือรถบนเกาะที่รายล้อมด้วยน้ำ การขนส่งเพียงอย่างเดียวก็คือกองทัพเรือสารพัด ภายใต้การนำทีมของผู้ประสานงานสตั๊นต์และผู้ประสานงานทางน้ำ แดน มาโลน ทีมงานต้องเคลื่อนย้ายทั้งกำลังพลและเครื่องไม้เครื่องมือจากสนามบิน ท่าเรือ และโรงแรมอีกสี่แห่งเป็นงานพื้นฐานในแต่ละวัน

      “ในโบราโบร่า ทุกอย่างต้องทำผ่านทางน้ำหมด” มาโลนบอก “เราต้องปั่นไฟใช้เองที่เซนต์เรจิส ซึ่งก็ต้องใช้เรือท้องแบนขนาดใหญ่ เราต้องขนทีมถ่ายทำทั้งกองไปทั่วด้วยเรือท้องแบนพวกนี้ สภาพน้ำจะเป็นน้ำตื้นๆ อยู่รายรอบโมตู (เกาะเล็กๆ ที่เกิดจากปะการัง) ดังนั้นเราจึงต้องลากเรือไปยังชายหาด ขนอุปกรณ์เพื่อเริ่มทำงานในแต่ละวัน จากนั้นก็ต้องขนทุกอย่างกลับ”

      ความท้าทายอีกอย่างสำหรับทีมงานก็คือการดูแลการถ่ายทำในทะเลแสนสวย ฉากหนึ่งเกี่ยวข้องกับนักแสดงที่จะต้องลงไปอยู่ในน้ำที่มีทั้งฉลามและปลากระเบน  “เราเลือกพื้นที่แห่งหนึ่งที่ต้องนั่งเรือออกไปนานประมาณ 10 นาที ที่ซึ่งน้ำลึกประมาณ 20 ฟุต เราต้องใช้เรือ 15 ลำ” มาโลนเล่า “เรามีเรือท้องแบนที่ติดตั้งเทคโนเครน รวมถึงทีมดำน้ำ เรามีทีมนักแสดงที่จะต้องไปที่ห้องลอยน้ำสีเขียวในระหว่างการถ่ายทำแต่ละชอต มันเป็นการจัดการที่น่าทึ่งมากๆ”

      สำหรับวอห์น การแสดงอยู่เคียงข้างกับสัตว์น้ำที่ว่าไป ถือเป็นงานใหม่สำหรับเขาจริงๆ “ผมลงไปว่ายน้ำกับฉลามจริงๆ นะ แต่การโตมาในมิดเวสต์ ทะเลสาบถือเป็นช่วงเวลาที่แสนสุขสำหรับผม ท้องทะเลคือที่ลึกลับที่ไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่” วอห์นบอก “ผมเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Jaws ตอนผมยังเด็ก แล้วผมก็กลัวสระว่ายน้ำมาก ผมรู้สึกกังวลที่จะต้องลงไปอยู่ในทะเลที่มีฉลาม แต่ผมก็ลงไปแล้ว และผมก็ดีใจที่ผมเคยลองมาแล้ว”

มันทำให้คุณรู้สึกยังไง? ด้นมุขสดกลางกองถ่าย
      ในขณะที่นักแสดงทุกคนยินดีที่จะด้นมุขสดกัน แต่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายเหมือนที่เห็นเสมอไป “การด้นมุขสดคือการสรรหาคำพูดมาใช้ ราวกับว่านักแสดงพยายามจะพูดข่มกัน” บิลลิงสลี่ย์บอก “มันเป็นวิธีที่แตกต่างในการทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณตั้งเป้าไว้สำหรับฉากหนึ่ง ในฐานะผู้กำกับ คุณต้องรู้จักฝึกฝนที่จะไม่ตะโกนสั่ง ‘คัท’ เร็วไปนัก เพราะบางอย่างอาจเดินหน้าต่อไปได้ และให้ผลลัพท์ที่ดีมาก เอริคกับผมใช้กล้องถ่ายหลายตัวเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะเก็บภาพได้เมื่อมีการแสดงดีๆ หรือสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น งานของเราในเวลานั้นก็คือหุบปากเงียบเอาไว้ ก้าวไปข้างหลัง แล้วปล่อยให้เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้น”

      วอห์นกล่าวว่า “เวลาที่คุณให้ผู้คนมีอิสระที่จะเล่นไปเรื่อยๆ ความรู้สึกมันจะเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมมักจะอึ้งกับคนที่รู้สึกว่าทุกอย่างต้องถูกคิดขึ้นกันสดๆ ในฉาก ในความเป็นจริง มันคือกระบวนการทำงานที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่คุณเขียนอะไรไว้เยอะแยะมากมายก่อนที่คุณจะลงมือถ่ายทำจริงๆ จากนั้นเมื่อเรารู้สึกว่าเราได้อย่างที่ต้องการแล้ว เราก็จะเริ่มถ่ายเทกที่ปล่อยกันอย่างอิสระ หรืออาจจะมีการถ่ายอีกเทกที่ใส่อะไรเพิ่มเข้าไป แต่ทุกคนต่างทุ่มเทและคิดไอเดียต่างๆ เอาไว้ก่อนหน้าที่จะลงมือถ่ายทำอยู่แล้ว”

      ทีมนักแสดงต่างยอมรับในสไตล์ของภาพยนตร์ตลกแบบนี้ โดยเฉพาะคู่ปรับที่เป็นจอมขโมยซีนของวอห์น จากภาพยนตร์เรื่อง The Break-Up จอห์น ไมเคิล ฮิกกิ้นส์ ระหว่างการถ่ายทำฉากบำบัดกับเมลิน เอเคอร์แมน ผู้ชายทั้งสองคนต้องพยายามตีหน้าตายใส่กัน “ที่จริงแล้ว ผมกับวินซ์แทบไม่มีหลุดกันเลย” ฮิกกิ้นส์ยอมรับ “ก็แค่เราสองคนแทบไม่สามารถมองตากันหรือพูดอะไรกันได้เลยโดยไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เราต้องยกนิ้วให้กันเลย”

      ถึงแม้ว่านี่จะเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของบิลลิงสลี่ย์ ทีมนักแสดงและทีมงานต่างรู้สึกว่าบิลลิงสลี่ย์สามารถจัดการกับการด้นมุขสดได้ราวกับผู้กำกับที่มีประสบการณ์สูง “ทุกวัน ปีเตอร์จะเดินเข้ามาในกองถ่ายโดยรู้แล้วว่าเขาอยากจะทำอะไร” สตูเบอร์บอก “เขายังรู้ด้วยว่าเพราะนี่เป็นภาพยนตร์ตลก บางครั้งหลายอย่างจะหลุดๆ ไปบ้าง นักแสดงจะหลุดจากบท เขาไม่กลัวที่จะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พวกนักแสดงไว้ใจเขา ถ้ามีปัญหาอะไร เขาจะใช้มันสมองแบบผู้อำนวยการสร้าง และรู้ดีว่าจะจัดการให้ได้ชอตอย่างที่เขาต้องการได้อย่างไร”

      “ผมเคยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างกับหัวหน้าทุกแผนกและทีมงานกว่า 80 เปอร์เซ็นต์  พวกเขาต่างออกมาช่วยงานภาพยนตร์เรื่องแรกของผม” บิลลิงสลี่ย์บอก “ทำให้ผมทุ่นแรงไปเยอะมาก ผมพยายามทำให้การทำงานดูสบายๆ และผมก็อยากจะทำงานให้เร็วๆ เพราะภาพยนตร์ตลกควรมีแรงกระตุ้น คุณกำลังขอให้คนทำตัวให้ตลก ดังนั้นคุณต้องเดินหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อที่กองถ่ายของคุณจะได้มีพลังดึงดูดเยอะๆ”

      “ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ว่าเรามีสถานการณ์ธรรมดาที่ทุกคนต้องเจออยู่แล้ว และเราก็พบสภาพแวดล้อมที่แสนเฮฮา มีสถานการณ์ที่ไม่เหมือนใคร เพื่อจะเล่นกับสิ่งต่างๆ ในแบบเฮฮา” วอห์นกล่าวเสริม “ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหวังและเต็มไปด้วยการมองโลกในแง่ดี แต่คงไม่ต้องชื่นชมมากนัก มันมีมุขห่ามๆ สนุก และไม่ใช่ว่าจะสุภาพเรียบร้อยเสมอไป” 

happy on November 05, 2009, 02:30:42 PM


ประวัตินักแสดง
      วินซ์ วอห์น (VINCE VAUGHN) รับบทเดฟ และทำหน้าที่เขียนบท/ อำนวยการสร้าง

วินซ์ วอห์นคือเจ้าของส่วนผสมที่มีทั้งเสน่ห์  ความสามารถ และความฉลาดเฉียบคมที่เขาใช้เป็นอาวุธได้ทั้งในฐานะนักแสดง, ผู้อำนวยการสร้าง และมือเขียนบท

      เมื่อเร็วๆ  นี้ วอห์นทำหน้าที่อำนวยการสร้างและแสดงนำในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตของค่ายวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรื่อง Four Christmases ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวฉายที่อันดับ 1 ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ และทำรายได้เฉพาะในอเมริกาไปมากกว่า $120 ล้านเหรียญ ในช่วงต้นปี 2008 วอห์นมีผลงานภาพยนตร์สารคดีแนวตลก เรื่อง Vince Vaughn’s Wild West Comedy Show: 30 Days & 30 Nights—Hollywood to the Heartland ภาพยนตร์เรื่องที่ว่านี้เป็นการติดตามนักแสดงตลกหน้าม่านสี่คนเมื่อพวกเขาเดินทงไปทั่วประเทศเพื่อเปิดการแสดง 30 รอบใน 30 วัน

      วอห์นที่ได้กลับมาร่วมทีมกับ เดวิด ด็อบกิ้น ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Wedding Crashers ได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างร่วมและรับบทเป็นน้องชายสุดแสบของซานตาคลอสที่กลับไปยังขั้วโลกเหนือหลังจากหายหน้าหายตาไปนานในภาพยนตร์ปี 2007 เรื่อง Fred Claus ในปีเดียวกันนั้น เขายังรับบทสมทบในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมของฌอน เพนน์ เรื่อง Into the Wild

      ในซัมเมอร์ ปี 2006 วอห์นแสดงนำร่วมกับเจนนิเฟอร์ อนิสตัน ในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง The Break-Up ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวฉายที่อันดับ 1 ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิศด้วยตัวเลขรายได้เปิดตัว $39.2 ล้าน และทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $209 ล้าน The Break-Up ที่คิดสร้างและอำนวยการสร้างโดยวอห์น คือผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัท ไวลด์ เวสท์ พิคเจอร์ โชว์ โปรดักชั่นส์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ของวอห์นเอง ในปีต่อมา บริษัทของเขาได้เซ็นสัญญากับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส

      ในซัมเมอร์  ปี 2005 วอห์นได้ร่วมทีมกับโอเว่น วิลสัน ในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง Wedding Crashers ด้วยตัวเลขรายได้ที่เก็บไปได้มากกว่า $208 ล้าน ทำให้ภาพยนตร์ที่เป็นผลงานการจัดจำหน่ายของนิวไลน์ซีนีม่าเรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ตลกเรท R ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับ 2 และเป็นภาพยนตร์เรท R เรื่องที่ 6 ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่ทำรายได้ในอเมริกาเกินหลัก $200 ล้าน ภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยปลุกกระแสความคึกคักให้เกิดขึ้นในแวดวงภาพยนตร์ตลกเรท R และยังกลายเป็นหนึ่งในดีวีดีที่ขายดีที่สุดของภาพยนตร์แนวนี้ด้วย

      ในซัมเมอร์  ปี 2004 วอห์นนำแสดงร่วมกับเบน สติลเลอร์ ในภาพยนตร์ตลกเรื่องฮิตอย่าง Dodgeball: A True Underdog Story ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวฉายที่อันดับ 1 ก่อนจะเก็บรวบรวมรายได้ไปสูงถึง $114 ล้าน เขายังรับบทเป็นวายร้ายอย่าง รีซ เฟลด์แมน ในภาพยนตร์เรื่อง Starsky & Hutch โดยเป็นการกลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ จากภาพยนตร์เรื่อง Old School ภาพยนตร์เรื่อง Old School ที่นำแสดงโดยลุค วิลสัน และวิลล์ เฟอร์เรลล์ ทำให้คนดูหัวเราะฮาได้ตลอดซัมเมอร์ของปี 2003 และได้กลายเป็นภาพยนตร์ตลกคลาสสิกของยุคใหม่ไปแล้ว

      วอห์นยังแสดงเป็น  ราจิ โปรดิวเซอร์เพลงที่เป็นจอมขโมยซีนในภาพยนตร์ของเอ็มจีเอ็ม  เรื่อง Be Cool ซึ่งกำกับโดย เอฟ แกรี่ เกรย์ ทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ จอห์น ทราโวลต้า, อูม่า เธอร์แมน, เซดริค ดิ เอนเตอร์เทนเนอร์ และอังเดร 3000 วอห์นยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เรื่อง Mr. & Mrs. Smith ซึ่งกำกับโดยดั๊ก ไลแมน โดยวอห์นรับบทเป็นเอ๊ดดี้ เพื่อนซี้ของ จอห์น สมิธ ซึ่งรับบทแสดงโดยแบร็ด พิตต์ ภายใต้สัญญาที่ทำไว้กับยูนิเวอร์แซล วอห์นยังมีผลงานอีกหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างพัฒนาสร้าง อาทิเช่น ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายของเมลิสซ่า มาร์ เรื่อง “Wicked Lovely” แคโรลีน ธอมป์สันจะเป็นผู้ดัดแปลงบทจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของ The New York Times เรื่องนี้

      วอห์นที่เป็นชาวชิคาโก้  เริ่มเป็นที่สนใจของนักวิจารณ์และคนดูในภาพยนตร์อินดี้ของดั๊ก  ไลแมน เรื่อง Swingers และในปี 2001 วอห์นได้กลับมาร่วมทีมกับจอน แฟฟโรว์ มือเขียนบทของภาพยนตร์เรื่อง Swingers อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Made ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย

      ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ  ของวอห์น ได้แก่ Thumbsucker; Domestic Disturbance; The Cell; Psycho; Clay Pigeons; Return to Paradise; A Cool, Dry Place; The Locusts และ The Lost World: Jurassic Park


เจสัน เบ็ทแมน (JASON BATEMAN) รับบทเจสัน

      ในปี 2004 เจสัน เบ็ทแมน ซึ่งเป็นทั้งนักแสดง, ผู้อำนวยการสร้าง และผู้กำกับ ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม จากซีรีส์แนวตลก และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสองรางวัลจากสมาคมนักแสดง จากการรับบทเป็น ไมเคิล บลูธ ในซีรีส์แนวตลกเรื่อง Arrested Development นับแต่นั้นเป็นต้นมา เบ็ทแมนได้ก้าวขึ้นมาเป็นดารานำในภาพยนตร์จอเงิน 

      หลัง  Arrested Development ปิดฉากปี 2006 เบ็ทแมนได้ก้าวขึ้นมาปักหลักในแวดวงภาพยนตร์จอเงิน

      ปัจจุบัน  เบ็ทแมนแสดงนำในภาพยนตร์ของมิราแม็กซ์ เรื่อง Extract ซึ่งกำกับโดยไมก์ จัดจ์ และอำนวยการสร้างโดยเบ็ทแมนผ่านบริษัทเอฟ +เอ โปรดักชั่นของเขา นอกจากนี้ เขายังมีบทรับเชิญในภาพยนตร์ตลกที่ ริคกี้ เจอร์เวส เป็นทั้งคนเขียนบทและกำกับเรื่อง The Invention of Lying

      ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา  เบ็ทแมนให้การแสดงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ในภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรม  เรื่อง State of Play ซึ่งกำกับโดยเควิน แม็คโดนัลด์ 

      ปลายปี  2009 เบ็ทแมนจะมีผลงานในบทสมทบ ซึ่งเขาประกบบทกับ จอร์จ คลูนี่ย์ ในภาพยนตร์เรื่อง Up in the Air ภายใต้การกำกับของเจสันไรต์แมน และในไตรมาสแรกของปี 2010 เบ็ทแมนจะแสดงนำร่วมกับเจนนิเฟอร์ อนิสตัน ในภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง The Baster 

      เบ็ทแมนเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากงานถ่ายทำภาพยนตร์ตลกของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และเวิร์กกิ้ง  ไทเทิ้ล เรื่อง Paul ซึ่งกำกับโดยเกร็ก ม็อตโตล่า เขียนบทโดยนิค ฟรอสต์ และไซม่อน เพ็กก์

      เบ็ทแมนยังอยู่ระหว่างทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและแสดงนำในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล  พิคเจอร์ส เรื่อง The Remarkable Fellows ซึ่งมี โจ คาร์นาแฮน เป็นผู้เขียนบทและกำกับ เขาได้กลับมาร่วมงานกับคาร์นาแฮนหลังจากที่เคยร่วมงานกันมาในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง Smokin’ Aces ในปี 2006

เมื่อปีที่แล้ว  เบ็ทแมนร่วมแสดงกับวิลล์  สมิธ และชาร์ลิซ เธียรอน  ในภาพยนตร์ของปีเตอร์ เบิร์ก เรื่อง Hancock ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เปิดตัวฉายด้วยรายได้สูงสุดทั่วโลกในปี 2008 Hancock เป็นผลงานที่ติดตามมาหลังจากเบ็ทแมนประสบความสำเร็จกับภาพยนตร์เรื่องเอกของค่ายฟ็อกซ์ เซิร์ชไลต์ เรื่อง Juno

ในปี  2007 เบ็ทแมนร่วมแสดงกับเจมี่ ฟ็อกซ์, คริส คูเปอร์ และเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ในภาพยนตร์ดราม่าของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง The Kingdom ภายใต้การกำกับของปีเตอร์ เบิร์ก

      ก่อนหน้า  The Kingdom เบ็ทแมนร่วมแสดงกับดัสติน ฮอฟฟ์แมน และนาตาลี พอร์ตแมน ในภาพยนตร์แฟนตาซีสำหรับครอบครัวเรื่อง Mr. Magorium’s Wonder Emporium

      ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ  ของเบ็ทแมน ได้แก่ การแสดงนำร่วมกับแซ็ค แบรฟฟ์ และอาแมนด้า พีท ในภาพยนตร์ตลกของมิราแม็กซ์ เรื่อง The Ex, บทสมทบในภาพยนตร์เรื่อง The Break-Up ก่อนหน้านั้น เขารับบทเป็นนักพากย์กีฬาในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story ซึ่งนำแสดงโดยวินซ์ วอห์น และเบน สติลเลอร์ เบ็ทแมนยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเธอร์ เรื่อง Starsky & Hutch ซึ่งเขาร่วมแสดงกับเบน สติลเลอร์, โอเว่น วิลสัน และวอห์น ในปี 2002 เขาแสดงนำร่วมกับคาเมรอน ดิแอซ, คริสติน่า แอ๊ปเปิลเกต และเซลม่า แบลร์ ในภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง The Sweetest Thing


จอน แฟฟโรว์ (JON FAVREAU) รับบทโจอี้ และทำหน้าที่ผู้เขียนบท

      จอน แฟฟโรว์เป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายมากมายในตัว  หลังสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะนักแสดงและมือเขียนบทจากภาพยนตร์ตลกที่ได้รับเสียงชมเรื่อง Swingers แฟฟโรว์ยังได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในผู้กำกับที่มาแรงที่สุดด้วยผลงานฮิตประจำซัมเมอร์ปี 2008 เรื่อง Iron Man ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $570 ล้าน เมื่อเร็วๆ นี้ แฟฟโรว์เพิ่งจะปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2 ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวฉายวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 2010   

      ก่อนจะมากำกับภาพยนตร์เรื่อง Iron Man แฟฟโรว์กำกับภาพยนตร์เรื่อง Zathura: A Space Adventure ซึ่งเป็นภาพยนตร์ผจญภัยสำหรับเด็กที่นำแสดงโดยทิม ร็อบบิ้นส์ ในปี 2003 แฟฟโรว์กำกับภาพยนตร์ฮิตที่ได้รับคำชมเรื่อง Elf ซึ่งนำแสดงโดย วิลล์ เฟอร์เรลล์ แฟฟโรว์ประเดิมผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์เรื่อง Made จากบทภาพยนตร์ที่เขาเป็นคนเขียน และเขายังแสดงนำเองด้วย

      สำหรับผลงานหน้ากล้อง  เมื่อไม่นานมานี้ แฟฟโรว์แสดงนำร่วมกับพอล  รัดด์ และเจสัน เซกัลป์ ในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง I Love You, Man ของค่ายดรีมเวิร์กส์ และเรื่อง Four Christmases ของนิวไลน์ ซีนีม่า ที่เขาร่วมแสดงกับวินซ์ วอห์น และรีส วิเธอร์สปูน

      นอกจากนี้ แฟฟโรว์ยังร่วมแสดงกับวินซ์ วอห์น และเจนนิเฟอร์  อนิสตัน ในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง The Break-Up; เขาประกบบทกับเคิร์สเตน ดันสต์ และพอล เบ็ตตานี่ย์ ในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง Wimbledon; ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของโซนี่ พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเม้นต์ ในภาพยนตร์เรื่อง Something’s Gotta Give และร่วมแสดงกับเบน อัฟเฟล็ค ในภาพยนตร์ของมาร์ก สตีเว่น จอห์นสัน เรื่อง Daredevil เขายังรับบทเป็นร็อคกี้ มาร์เซียโน่ นักมวยแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวต ในภาพยนตร์ชีวประวัติของเอ็มจีเอ็ม เรื่อง Rocky Marciano

      ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ  ของแฟฟโรว์ ได้แก่ Love & Sex ซึ่งเขาร่วมแสดงกับแฟมเก้ แจนส์เซ่น, The Replacements ซึ่งเขาร่วมแสดงกับคีอานู รีฟส์, Very Bad Things ซึ่งเขาร่วมแสดงกับคริสเตียน สเลเตอร์ และคาเมรอน ดิแอซ และ Deep Impact ที่เขาร่วมแสดงกับโรเบิร์ต ดูวัลล์, มอร์แกน ฟรีแมน และวาเนสซ่า เร็ดเกรฟ


ไฟซอน เลิฟ (FAIZON LOVE) รับบทเชน

      ไฟซอน เลิฟมีผลงานการแสดงในแวดวงฮอลลีวู้ดมานานกว่าสองทศวรรษ เขาเริ่มต้นเข้าวงการในแวดวงทีวี  โดยร่วมแสดงอยู่ในซีรีส์เรื่อง Bébé’s Kids และ The Parent Hood จากนั้น เขาได้ก้าวมาสู่วงการภาพยนตร์จอเงินด้วยการร่วมแสดงในภาพยนตร์ของเอฟ แกรี่ เกรย์ เรื่อง Friday, Don’t be a Menace to South Central While Drinking Your Juice in the Hood และภาพยนตร์เรื่อง A Thin Line Between Love and Hate

      ในปี  2000 เลิฟแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอลเรื่อง The Replacements ติดตามมาด้วย Made ที่เขาร่วมแสดงกับจอน แฟฟโรว์ และวินซ์ วอห์น และ Blue Crush ที่เขาร่วมแสดงกับเคต บอสเวิร์ธ

ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ของเลิฟ ได้แก่ The Perfect Holiday; Days of Wrath, Of Boys and Men, A Day in the Life, Elf, Torque, Just My Luck และ Idlewild


คริสติน เดวิส (KRISTIN DAVIS) รับบทลูซี่

      คริสติน เดวิสได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอเป็นนักแสดงหญิงที่มีความสามารถหลากหลายจากผลงานทั้งที่เป็นภาพยนตร์จอเงิน  จอแก้ว และละครเวที

      ซัมเมอร์ที่ผ่านมา เดวิสเริ่มต้นการถ่ายทำภาคต่อของภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Sex and the City: The Movie ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2010 เดวิสรับบทเป็นชาร์ล็อต ยอร์กในซีรีส์เรื่อง Sex and the City มานานถึงหกซีซั่น เธอเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลเอ็มมี่และรางวัลลูกโลกทองคำ ในสาขาดาราสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากซีรีส์แนวตลก

      ในปี 2006 เดวิสแสดงนำร่วมกับแมทธิว บรอเดอริค, แดนนี่ เดอวีโต้ และคริสติน ชีโนเว็ธ ในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Deck the Halls ซึ่งกำกับโดย จอห์น ไวท์เซลล์ เธอยังร่วมแสดงกับ ทิม อัลเลน, แดนนี่ โกลเวอร์ และโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Shaggy Dog ซึ่งกำกับโดยไบรอัน ร็อบบิ้นส์ ในปี 2005 เดวิสร่วมแสดงกับเดวิด อาร์เค็ตต์ ในภาพยนตร์ผจญภัยสำหรับเด็กของโรเบิร์ต ร็อดริเกซ เรื่อง The Adventures of Shark Boy and Lava Girl in 3-D


เมลิน เอเคอร์แมน (MALIN AKERMAN) รับบทรอนนี่

      เมลิน เอเคอร์แมนกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่มีงานชุกที่สุดของวงการ  เมื่อเร็วๆ นี้ เธอรับบทเป็น ลอรี่ จูปิเตอร์ หรือซิลก์  สเป็คเตอร์ ที่ 2 ในภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูน  เรื่อง Watchmen เมื่อปีที่แล้ว เธอแสดงนำในภาพยนตร์ตลกโรแมนติคสุดฮิตเรื่อง 27 Dresses โดยร่วมแสดงกับแคเธอรีน ไฮเกิล, เจมส์ มาร์เด้นส์ และเอ๊ดเวิร์ด เบิร์นส์ ภายใต้การกำกับของแอนน์ เฟล็ทเชอร์ เมื่อเร็วๆ นี้ เอเคอร์แมนได้กลับไปร่วมงานกับเฟล็ทเชอร์อีกครั้ง โดยร่วมแสดงกับแซนดร้า บูลล็อค และไรอัน เรย์โนลด์ส ในภาพยนตร์ตลกสุดฮิตประจำซัมเมอร์ที่ผ่านมา เรื่อง The Proposal

      ในปี 2007 เอเคอร์แมนแสดงนำร่วมกับเบน สติลเลอร์ ในภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง The Heartbreak Kid  ซึ่งกำกับโดยพี่น้องฟาร์เรลลี่ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่ Harold & Kumar Go to White Castle และ The Brothers Solomon


คริสเตน เบลล์ (KRISTEN BELL) รับบทซินเธีย

      เมื่อเร็วๆ  นี้ คริสเตน เบลล์แสดงนำในภาพยนตร์ตลกที่ประสบความสำเร็จของยูนิเวอร์แซล  เรื่อง Forgetting Sarah Marshall โดยเธอร่วมแสดงกับเจสัน ซีเกล, โจนาห์ ฮิลล์ และพอล รัดด์ หลังจากนี้ เธอยังให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Astro Boy ซึ่งเปิดตัวฉายไปในเดือนตุลาคม ปี 2009 ที่ผ่านมา   

      ในวันที่ 29 มกราคม ปี 2010 เบลล์จะรับบทนำในภาพยนตร์ตลกโรแมนติคของดิสนีย์ เรื่อง When in Rome โดยเธอประกบบทกับ จอช ดูฮาเมล, แดนนี่ เดอวีโต้ และแด็กซ์ เชพพาร์ด เมื่อเร็วๆ นี้ เบลล์แสดงนำในภาพยนตร์ของดิสนีย์ เรื่อง You Again ซึ่งกำกับโดยแอนดี้ ฟิคแมน

      ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเบลล์  ได้แก่ การรับบทเป็นลูกสาวของประธานาธิบดีที่โดนลักพาตัวไป  ในภาพยนตร์ทริลเลอร์ของวอร์เนอร์  บราเธอร์ส เรื่อง Spartan นำแสดงวัล คิลเมอร์ และกำกับโดย เดวิด มาเม็ต 


คาลี  ฮอว์ก (KALI HAWK) รับบททรูดี้

      คาลี  ฮอว์กเริ่มประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในเรื่อง Couples Retreat นักแสดงสาวชาวนิวยอร์กผู้นี้เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์ของจัดด์ อาปาโทว์ เรื่อง Get Him to the Greek ซึ่งนำแสดงโดยรัสเซลล์ แบรนด์, โจนาห์ ฮิลล์ และฌอน ค็อบส์

      ผลงานอื่นๆ  ของเธอ ได้แก่ ภาพยนตร์ทริลเลอร์ของไลออนส์เกต เรื่อง Holla, บทสมทบในภาพยนตร์ตลกของสไปก์ ลี เรื่อง Lovers & Haters


ฌ็อง  รีโน (JEAN RENO) รับบทมาร์เซล

      ฌ็อง  รีโนเป็นนักแสดงชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และกลายเป็นที่รู้จักในหมู่คนดูชาวอเมริกันอย่างรวดเร็วด้วยการรับบทเด่นในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง ภาพยนตร์ของไบรอัน เดอ พัลม่า เรื่อง Mission: Impossible ซึ่งเขาประกบบทกับ ทอม ครูซ, ภาพยนตร์ของโรแลนด์ เอ็มเมอริช เรื่อง Godzilla; ภาพยนตร์ของลุค เบสซง เรื่อง The Professional ซึ่งเขาร่วมแสดงกับนาตาลี พอร์ตแมน และภาพยนตร์ของ จอห์น แฟรงเกนไฮเมอร์ เรื่อง Ronin ซึ่งเขาร่วมแสดงกับโรเบิร์ต เดอนีโร

      เมื่อเร็วๆ  นี้ รีโนแสดงนำร่วมกับสตีฟ  มาร์ติน ในภาพยนตร์เรื่อง The Pink Panther และประชันบทบาทกับทอม แฮงก์ส ในภาพยนตร์ของโซนี่ พิคเจอร์ส เรื่อง The Da Vinci Code ซึ่งกำกับโดยรอน ฮาวเวิร์ด หลังจากนี้ รีโนแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Armored ซึ่งเขาประกบบทกับลอเรนซ์ ฟิชเบิร์น และมีกำหนดเปิดตัวฉายในเดือนธันวาคม ปี 2009

      รีโนเป็นนักแสดงขาประจำให้กับภาพยนตร์ของผู้กำกับชาวฝรั่งเศสผู้โด่งดังอย่างลุค เบสซง นอกจากจะแสดงนำในภาพยนตร์ของเบสซงเรื่อง The Professional แล้ว เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์อีกหลายเรื่องของเบสซง อาทิเช่น Le dernier combat; Subway ซึ่งเขาร่วมแสดงกับคริสโตเฟอร์ แลมเบิร์ต และอิซาเบลล์ แอ็ดจานี่, The Big Blue ซึ่งเขาร่วมแสดงกับโรซานน่า อาร์เค็ตต์ และภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ได้รับคำชมเรื่อง La Femme Nikita ที่นำแสดงโดยแอนน์ พาริลลาด

      ผลงานภาพยนตร์อเมริกันเรื่องอื่นๆ  ของรีโน ได้แก่ The Pink Panther 2; ภาพยนตร์ของพอล ไวแลนด์ เรื่อง For Roseanna, ภาพยนตร์ของลอเรนซ์ คาสแดน เรื่อง French Kiss ซึ่งเขาร่วมแสดงกับเควิน ไคลน์ และเม็ก ไรอัน, ภาพยนตร์ของจอห์น แม็คเทียร์แนน เรื่อง Rollerball; Flyboys และภาพยนตร์การ์ตูนของดรีมเวิร์กส์เรื่องFlushed Away ซึ่งเขาให้เสียงพากย์เป็นตัวละคร ลอ ฟร็อก