MSN on June 23, 2015, 02:04:17 PM
KTAMจ่ายปันผลESET50-CHINA ชี้ช่องยุโรปยังสดใสหลังกรีซชัดเจน

นายวีระ  วุฒิคงศิริกูล  รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน งานลงทุนในตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด  (มหาชน) เปิดเผยว่า   ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุน มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผล ครั้งที่ 1 /2558  จำนวน2 กองทุน ได้แก่  กองทุนเปิด KTAM SET50 ETF   Tracker   ( ESET50 )   และกองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า  แทร็กเกอร์ (CHINA)  โดย กองทุนESET50   จ่ายเงินปันผลในอัตราหน่วยลงทุนละ0.20 บาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี  วันที่ 1 มีนาคม 2558  - 29 กุมภาพันธ์ 2559   ผลการดำเนินงานสิ้นสุด  ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2558   ส่วนกองทุนCHINA จ่ายเงินปันผล ในอัตรา 1.50 บาทต่อหน่วย  สำหรับรอบบัญชี วันที่ 1  ธันวาคม 2557  - 30 พฤศจิกายน 2558   สิ้นสุด  ณ วันที่ 31  พฤษภาคม 2558    โดยทั้ง 2 กองทุน ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน ในวันที่ 2  กรกฎาคม 2558  และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ในวันที่  14 กรกฎาคม 2558

ทั้งนี้  กองทุน ESET50 มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET 50  โดยจุดเด่นของกองทุน ESET 50  นอกจากผู้ลงทุนจะมีโอกาสกระจายการลงทุนในหุ้นชั้นนำ 50 บริษัทของไทยแล้ว  ยังได้รับผลตอบแทนตามการเคลื่อนไหวของดัชนี SET 50 อีกด้วย   โดยผลการดำเนินงานของกองทุน  ณ วันที่  12 มิถุนายน  2558   สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน AIMC   ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 0.24 %   ย้อนหลัง 9 เดือน -4.29 %   ย้อนหลัง1 ปี อยู่ที่ 3.94 % และ YTD อยู่ที่ 0.86 %  ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ -1.49 % ย้อนหลัง 9 เดือน อยู่ที่ -6.04 % ย้อนหลัง1 ปี อยู่ที่ 1.34  % และ YTD อยู่ที่ -0.86 %

ส่วนกองทุน CHINA เข้าลงทุนในกอทุนรวมหลัก W.I.S.E – CSI 300 China Tracker  ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี CSI300  โดยกระจายการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ และซื้อขายสกุงเงินหยวน (A-Share )    ผลการดำเนินงานของกองทุนใกล้เคียงกับดัชนี  โดยผลตอบแทนย้อนหลัง  ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2558  ย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 61.88 %  ย้อนหลัง 9 เดือน อยู่ที่ 100.37 %   ย้อนหลัง1 ปี อยู่ที่ 126.20 %  และ YTD อยู่ที่ 56.66 %  ส่วนเกณฑ์มาตรฐาน ย้อนหลัง6 เดือน อยู่ที่ 62.49 %   ย้อนหลัง 9 เดือนอยู่ที่ 101.90 % ย้อนหลัง1 ปี อยู่ที่ 128.71 %  และ YTD  อยู่ที่ 56.93 %

นายวีระ กล่าวต่อไปว่า  แนวโน้มการลงทุนในจีน เศรษฐกิจจีนโดยภาพรวมยังขยายตัวในระดับสูงแม้ว่าจะมีทิศทางลดลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 7.0% ในปีนี้ และ 6.7% ในปีหน้า แม้ว่าที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง แต่ทางการจีนได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเริ่มจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยังมีมาตรการเศรษฐกิจอื่นๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การประกาศลดอัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) การตั้งโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงมาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะต้องมีการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงปัญหา Shadow Banking ที่อาจกลับมาสร้างความกังวลได้อีกรอบ

ส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอาจจะเริ่มมีความผันผวนในระยะสั้นมากขึ้น เนื่องจากดัชนีปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา  ทำให้ P/E Ratio ของดัชนี A-Share อยู่ที่ระดับ 19.9 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กบางส่วนมีการซื้อขายที่ระดับ P/E สูงมากกว่า 70-80 เท่า  นอกจากนั้น การซื้อขายโดยใช้สินเชื่อ (Margin Trade) ในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 7.9% ของ Free Float Market Cap ซึ่งถือว่ามีระดับสูงที่สุดในโลก ทำให้มีความเสี่ยงที่ทางการจีนอาจจะเข้ามาควบคุมการซื้อขายมากขึ้นจากที่เคยทำไปแล้วเมื่อตอนต้นปี แต่ในระยะกลางยังคงน่าลงทุนจากแนวโน้มที่รัฐบาลจีนยังคงมีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน การคลังต่อไป ในขณะที่การปฏิรูปที่มีเป้าหมายให้การบริโภคภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้นแทนการเน้นโยบายการส่งออกและการลงทุน จะทำให้จีนมีความสมดุลของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น  ดังนั้น หากตลาดหุ้นจีนยังคงมีการปรับตัวลงในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยเข้าสะสมเพื่อการลงทุน

นอกจากนี้ กองทุนเปิดเคแทม ยูโรเปียน อิควิตี้  ฟันด์  ( KT-EURO)  นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจ ในช่วงเวลานี้ ซึ่งกองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Invesco Continental European Small Cap  Equity Fund เนื่องจาก ตลาดหุ้นยุโรปยังคงมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในครึ่งปีหลัง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะถูกแรงกดดันจากปัญหาเรื่องกรีซ ซึ่งยังคงมีความเป็นไปได้ที่กรีซอาจผิดชำระหนี้ในสื้นเดือนนี้ แต่หากมีความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาของกรีซก็จะทำให้ตลาดคลายความกังวลไปได้ ในขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจยุโรปยังอยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัวทีแท้จริง โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาได้แก่การบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่เงินเฟ้อเริ่มกลับมาเป็นบวกซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายของบริษัทจดทะบียน และยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการ QE ซึ่งจะมีการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่องไปถึงเดือนกันยายน 2559

ส่วนปัจจัยบวกในระยะยาว ได้แก่ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้กับครัวเรือนและบริษัทเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับต่ำนับตั้งแต่วิกฤตยุโรปปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย และการที่ประเทศที่เคยมีปัญหาด้านหนี้สินอย่างอิตาลีและสเปนได้เริ่มดำเนินการแผนปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจก็น่าจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนมีความแข็งแกร่งและยังยืนมากยิ่งขึ้น ตลาดหุ้นมีการซื้อขายที่ระดับ P/E ประมาณ 16-17 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่อยู่ประมาณ 14-15 เท่า แต่ Earning ของบริษัทฯในยุโรปยังคงมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการที่เศรษฐกิจในยุโรปผ่านระดับต่ำสุดไปแล้วรวมถึงการอ่อนค่าของเงินยูโร จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน