MSN on March 24, 2015, 03:17:54 PM
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ รถอเนกประสงค์ล้ำสมัย เปี่ยมสมรรถนะและเทคโนโลยีเหนือชั้นพร้อมลุยตลาดอาเซียน



· ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับแก่ผู้บริโภค ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการผสมผสานความสมบุกสมบันแบบออฟโรดเข้ากับการขับขี่ที่เหนือชั้นและความคล่องตัวที่เกินความคาดหมายจากรถอเนกประสงค์ทั่วไป
· รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งรุ่นล่าสุด มาพร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวและบึกบึน ประณีต โครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบ Terrain Management System (TMS) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคในทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจ
· ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมระบบช่วงล่างอันล้ำสมัยเพื่อช่วยให้การขับขี่ราบรื่น นุ่มนวล โดยไม่ทิ้งความคล่องตัวในการขับขี่ ห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่ง กว้างขวาง ดูหรูหรา ทันสมัยและประณีตในทุกรายละเอียด
· เทคโนโลยีอัจฉริยะรวมถึงระบบสั่งงานด้วยเสียงซิงค์ 2 ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบตรวจจับรถในจุดบอด พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด ได้รับการติดตั้งในรถระดับนี้เป็นครั้งแรกทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์ที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาด
· ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 แบบพับเรียบด้วยระบบไฟฟ้า และ ประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า เป็นครั้งแรกในรถระดับนี้ เพื่อความอเนกประสงค์และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
· ราคาในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 1,269,000 บาท พร้อมเปิดรับจองในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์

          วันนี้(24 มีนาคม) ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย สร้างนิยามใหม่ให้กับตลาดรถอเนกประสงค์ในอาเซียนด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยวและบึกบึน พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ผสานสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดและภายในหรูหรา ทันสมัยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 คน
          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในโชว์รูมของเราทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนด้วยสมรรถนะที่ครบครันของความเป็นรถอเนกประสงค์ ที่มาพร้อมความสะดวกสบายเหมาะเป็นรถสำหรับครอบครัวและสามารถใช้ในเส้นทางสมบุกสมบันได้” มร.แมท แบรดลีย์ ประธานฟอร์ด อาเซียน กล่าว “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เป็นรถที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ภายนอกถึงภายใน พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเป็นครั้งแรกสำหรับรถระดับนี้ มอบความคุ้มค่าเหนือกว่ารถอื่นๆ ในเซ็กเม้นต์เดียวกัน”
          ภายใต้รูปลักษณ์ดุดันที่สะท้อนถึงความสมบุกสมบันและเทคโนโลยีล้ำสมัย ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบครันทั้งความแข็งแกร่ง เทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย ดีไซน์สวยสะดุดตา และสมรรถนะเพื่อการขับขี่แบบออฟโรดเต็มรูปแบบ โดยที่ยังรักษาความเป็นรถยนต์ที่ขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดไว้ได้อย่างครบถ้วนด้วยความคล่องตัวบนท้องถนน พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งหรูหราและสะดวกสบาย
          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะเปิดโอกาสให้เราได้ขยายตลาดในภูมิภาคนี้ได้กว้างขึ้น ด้วยรถยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถพาผู้ขับขี่ เพื่อนๆ สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานไปยังทุกจุดหมายได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือบนเส้นทางแบบออฟโรดอันสมบุกสมบัน” มร. ริชาร์ด ทิลลี่ ผู้อำนวยการฝ่ายยานพาหนะ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว “ด้วยสมรรถนะอันเป็นเลิศทั้งหมดนี้ ทำให้รถยนต์อเนกประสงค์ของเราในภูมิภาคนี้ ทั้งฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างครบถ้วน”
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นผลงานการสร้างสรรค์ขึ้นโดยทีมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งยังนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดรถอเนกประสงค์ทั่วโลกของฟอร์ดมาใช้ ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถสานต่อความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านความทนทานและความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ทั้งนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะมีให้เลือกทั้งในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ
          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของฟอร์ดในการพัฒนารถยนต์คุณภาพเยี่ยมที่เหนือความคาดหวังของลูกค้า” มร. ทิลลี่ กล่าวเสริม “กระบวนการพัฒนาฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายให้สูงไว้ก่อน ซึ่งในที่สุดเราก็ประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์รถยนต์อเนกประสงค์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านการออกแบบและสมรรถนะการขับขี่ พร้อมมอบเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมายทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เหนือชั้นกว่า ปลอดภัยกว่า และมีสมรรถนะเหนือกว่าที่เคย”
         
ดุลยภาพแห่งสมรรถนะ ความพร้อมลุยแบบออฟโรด และนุ่มสบายบนท้องถนน
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีความทนทานในระดับแถวหน้าของตลาด พร้อมฝ่าฟันทุกเส้นทาง ด้วยโครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ทำให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่มีตัวถังที่แข็งแกร่ง เหมาะสมกับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน นอกจากนี้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ระบบเกียร์แบ่งกำลังพร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิด (Torque on Demand) ระบบ Terrain Management System ความสูงจากพื้นรถ ถึง 225 มิลลิเมตร สูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน พร้อมลุยน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตร ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย
          เพื่อให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ รับมือกับทุกสภาพพื้นผิวการขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระบบ Terrain Management System จึงมาพร้อมกับโหมดตั้งค่าการขับขี่พิเศษสี่แบบ 1. สำหรับพื้นผิวทั่วไป 2. พื้นหิมะ/กรวด/หญ้า 3. พื้นทราย และ 4. พื้นหินขรุขระ โดยที่แต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่าอัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ ส่วนในกรณีที่ต้องเผชิญกับเส้นทางออฟโรดสุดหฤโหด ผู้ขับขี่ก็สามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อที่อัตราทดรอบต่ำเพื่อการควบคุมรถได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
          นอกเหนือไปจากสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดแล้ว รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นนี้ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและมอบความคล่องตัวในระดับที่เหนือความคาดหมาย ด้วยช่วงล่างแบบคอยล์สปริงหน้า-หลัง พร้อม วัตต์ลิงค์ที่เพลาหลัง มอบความสะดวกสบาย รวมถึงการเกาะถนนอย่างดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกสนุกในการขับขี่ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของฟอร์ดไว้ได้อย่างเต็มรูปแบบ

เทคโนโลยีล้ำสมัย มอบความสะดวกสบายและปลอดภัยอย่างเหนือชั้น
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมายที่พร้อมสร้างประสบการณ์การขับขี่อันสุดพิเศษ จนถือเป็นหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์แบบออฟโรดที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา นับเป็นการต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในระดับโลกของฟอร์ดด้านการสร้างสรรค์รถยนต์อเนกประสงค์ที่ดีเยี่ยม
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ติดตั้งระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 2 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อการสื่อสารภายในรถรุ่นล่าสุดจากฟอร์ด ผู้ขับขี่จึงสามารถใช้เสียงสั่งการอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับตัวรถได้อย่างเป็นธรรมชาติและสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ระบบ ซิงค์ 2 ยังมาพร้อมจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ที่ใช้งานง่ายด้วยเมนูควบคุมที่แบ่งจอออกเป็น 4 มุม และใช้สีที่แตกต่างกันบ่งบอกถึงฟังก์ชันการใช้งานหลักๆ อย่างชัดเจน พร้อมระบบเพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบด้วยลำโพงคุณภาพสูงถึง 10 ตัวรวมซับวูฟเฟอร์ มอบเสียงที่ชัดเจนพร้อมเสียงเบสทุ้มลึกและหนักแน่น
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอีกมากมายที่ไม่เคยปรากฏในรถอเนกประสงค์รุ่นใดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (Blind Spot Information System หรือ BLIS) พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ซึ่งจะคอยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่มีรถคันอื่นอยู่ในจุดบอด หรือมีรถตัดผ่านในขณะถอยออกจากซองจอด
          เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ ที่มีอยู่ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้แก่ ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ (Roll Stability Control) และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) ที่ทำงานสอดประสานกับระบบควบคุมการเกาะถนนเพื่อความมั่นใจสูงสุดขณะขับขี่ ส่วนระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) จะช่วยให้การนำรถเข้าจอดเทียบข้างเป็นเรื่องง่าย โดยที่ผู้ขับขี่จะควบคุมเพียงแค่การเหยียบคันเร่ง เข้าเกียร์ และเบรก โดยไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย โดยเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกในตลาดรถอเนกประสงค์ระดับเดียวกันในประเทศไทย
          นอกเหนือจากเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเหล่านี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ยังปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนด้วยโครงสร้างห้องโดยสารที่แข็งแกร่งด้วยวัสดุสุดทนทานอย่างเหล็กโบรอน และอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย เช่นถุงลมนิรภัย 7 จุด เพื่อป้องกันผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน เป็นต้น
         
ไปได้ไกลกว่า กับขุมพลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมัน
          สมรรถนะอันเหนือชั้นของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาจากขุมพลังของเครื่องยนต์ดีเซล 2 รุ่น ในตระกูลดูราทอร์คของฟอร์ดที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด โดยเทคโนโลยีอันทันสมัยทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและมอบสมรรถะในการขับขี่ที่เป็นเลิศ
          · สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังและแรงบิดสูงสุดเพื่อใช้ในการลากจูง เครื่องยนต์ดีเซลดูราทอร์ค ทีดีซีไอ ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบรุ่นล่าสุด ให้กำลังสูงสุด 147 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุดถึง 470 นิวตันเมตร มอบประสิทธิภาพเหนือระดับด้วยคุณสมบัติใหม่มากมาย รวมถึงระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
          · สำหรับผู้ที่มองหาเครื่องยนต์ที่ยังคงความประหยัดน้ำมันโดยไม่สูญเสียสมรรถนะการขับขี่ ฟอร์ดพร้อมนำเสนอเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 118 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุดถึง 385 นิวตันเมตร

ความชาญฉลาดในการออกแบบเพื่อตอบสนองต่อการใช้งาน
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ โดดเด่นด้วยด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวแต่แข็งแกร่ง สื่อถึงสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้นและเทคโนโลยีล้ำสมัยที่อยู่ภายใน ส่วนหน้ารถที่ดุดัน ไฟหน้าขนาดใหญ่ พร้อมไฟวิ่งกลางวันแอลอีดี อันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ดควบคู่กับตัวถังที่ผ่านการทดสอบทางอากาศพลศาสตร์โดยละเอียดทุกขั้นตอน จนเกิดเป็นผลงานการออกแบบที่ผสมผสานความสวยงามและประสิทธิภาพเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
          ห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบความหรูหราโดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพสูง และเส้นสายรอบคันที่สอดประสานกันอย่างกลมกลืนและลงตัวภายในห้องโดยสาร 7 ที่นั่งที่ทั้งสวยงาม นั่งสบาย และใช้งานสะดวกด้วยคุณสมบัติมากมาย ทั้งหลังคาแบบพาโนรามิคมูนรูฟขนาดใหญ่ ประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ช่องเก็บของกว่า 30 ช่อง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับเบาะหน้าและเบาะหลัง ที่นั่งและพื้นที่เก็บของที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับทุกการใช้งานได้ โดยเบาะนั่งแถวที่สองและสามสามารถพับเก็บให้แบนราบได้ทั้งสองแถว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานและการบรรทุกสัมภาระได้อย่างลงตัว
          เพื่อให้ห้องโดยสารปราศจากเสียงรบกวน ฟอร์ดจึงได้ติดตั้งเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน ไว้ภายในตัวรถ ทั้งยังพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย
          เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน มีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกับการต้านเสียงรบกวนของหูฟังระดับพรีเมียม โดยภายในห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีไมโครโฟนจำนวน 3 ตัวที่ทำหน้าที่ตรวจจับและวัดระดับเสียง ก่อนที่ระบบควบคุมและเครื่องเสียงในตัวรถจะทำการสังเคราะห์คลื่นเสียงที่ตรงข้ามกันเพื่อหักล้างกับเสียงรบกวน จึงทำให้ห้องโดยสารเงียบสนิท ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถพูดคุยกับผู้โดยสารในแถวที่สามได้โดยไม่ต้องใช้เสียงดัง

          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ครบครันด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยและระบบป้องกันความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม และสุดยอดสมรรถนะสำหรับทุกการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นการลุยแบบออฟโรด และนุ่มสบายบนท้องถนน จึงถือเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดกลาง และสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์รถยนต์อเนกประสงค์ของฟอร์ดสำหรับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้เป็นอย่างดี” มร. ทิลลี่ กล่าว้ “เราได้นำเอาความเชี่ยวชาญในการออกแบบและพัฒนารถยนต์ทั่วโลก และประสบการณ์อันยาวนานในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ มาผสมผสานกันเพื่อสร้างสรรค์รถยนต์คุณภาพที่เหนือกว่าความคาดหมายของลูกค้าอย่างแท้จริง”
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะผลิตที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง ผู้สนใจสามารถจอง ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมฟอร์ดทุกสาขาทั่วประเทศ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1,269,000 บาท สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม แบบขับเคลื่อนสองล้อ ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคาอยู่ที่ 1,459,000 บาท และสำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม พลัส แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคาอยู่ที่ 1,599,000 บาท โดยการส่งมอบรถจะเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีสีให้เลือก5 สี ได้แก่สีขาว คูล ไวต์ (Cool White) สีดำ แบล็ก ไมก้า เมทัลลิก (Black Mica Metallic ) สีเงิน อะลูมินัม เมทัลลิก (Aluminum Metallic) สีทอง สปาร์คลิ่ง โกล์ด เมทัลลิก (Sparkling Gold Metallic) และสีแดง ซันเซต เมทัลลิก (Sunset Metallic)

MSN on March 24, 2015, 03:18:51 PM
ฟอร์ดท้าทายตลาดรถกระบะด้วยฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อัจฉริยะยิ่งขึ้น และประหยัดยิ่งขึ้น





. ฟอร์ด เรนเจอร์ พัฒนาต่อยอดจากสมรรถนะความแข็งแกร่งระดับโลก พร้อมอวดโฉมใหม่และเทคโนโลยีอันทันสมัยที่จะช่วยให้รถมีสมรรถนะดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
· กระจังหน้าสไตล์ใหม่ ดุดันและทันสมัย ห้องโดยสารดีไซน์ใหม่ทั้งหรูหรา ประณีต และเปี่ยมด้วยประโยชน์ใช้สอย
· เทคโนโลยีล้ำสมัยในฟอร์ด เรนเจอร์ รวมถึงระบบสั่งงานด้วยเสียงซิงค์ 2 (SYNC2) ระบบรักษาช่องทางขับขี่ (Lane Keeping Aid) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า (adaptive cruise control) ระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (Driver Impairment Monitor) และเซนเซอร์ช่วยจอดหน้า-หลัง (Front and Rear Parking Sensors) ทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เป็นหนึ่งในรถกระบะที่ไฮเทคที่สุดบนท้องถนน
· เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ พร้อมเทคโนโลยีสตาร์ทและดับเครื่องอัตโนมัติ (Start-Stop technology) พวงมาลัยพาวเวอร์ระบบไฟฟ้า (Electric Power Assisted Steering) ช่วยให้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ทั้งเงียบ และประหยัดน้ำมันได้มากกว่าถึง 22 เปอร์เซ็นต์ พร้อมทรงสมรรถนะยิ่งกว่าเดิม
· ช่วงล่างถูกปรับแต่งเพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบายและความคล่องตัวมากขึ้น แต่ยังคงความสนุกพร้อมความนุ่มนวลยิ่งขึ้น

          วันนี้(23 มีนาคม) วันนี้ ฟอร์ดเผยโฉมรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ พร้อมความแข็งแกร่งและอัจฉริยะยิ่งขึ้น พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถกระบะด้วยการผสมผสานสมรรถนะที่ดุดัน ความประณีตและเทคโนโลยีนำสมัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยฟอร์ดจะเดินหน้าเปิดตัวฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก ในปีนี้
          “ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จะสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านความสะดวกสบายและความหรูหรา โดยที่ยังรักษาไว้ซึ่งความสมบุกสมบันที่ลูกค้าของเราชื่นชอบ” มร. แบรท วีทลีย์ รองประธานฝ่ายการตลาด การขาย และบริการ ฟอร์ด เอเชียแปซิฟิก กล่าว “รถกระบะรุ่นล่าสุดนี้แสดงออกถึงรูปลักษณ์อันแข็งแกร่งแต่ยังมีความอัจฉริยะได้เป็นอย่างดี และจะช่วยให้ลูกค้าของฟอร์ดใช้ชีวิตได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น ไม่ว่าในวันทำงานหรือวันพักผ่อน”
          ด้วยกระจังหน้ารูปลักษณ์ใหม่ และห้องโดยสารดีไซน์ใหม่ที่เพียบพร้อมทั้งประโยชน์ใช้สอยและความหรูหรา จึงถือได้ว่า ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการสร้างขึ้นจากชื่อเสียงของรถกระบะตระกูลเรนเจอร์ที่มีสมรรถนะเป็นเลิศ พร้อมนวัตกรรมและความสะดวกสบายมากมาย ทำให้ฟอร์ด เรนเจอร์ โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งรถกระบะทั่วไป และยังล้ำหน้าเหนือใครด้วยเทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เอาชนะทุกความท้าทายในทุกวันได้มากกว่าที่เคย
          “การพัฒนา ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ให้เหนือกว่ารุ่นเดิม ถือเป็นโจทย์ที่ยากไม่น้อย เพราะฟอร์ด เรนเจอร์รุ่นปัจจุบันเป็นหนึ่งในรถกระบะที่แข็งแกร่งและสมบุกสมบันที่สุดในตลาดอยู่แล้ว” มร. ริชาร์ด ทิลลี่ ผู้อำนวยการฝ่ายยานพาหนะ เอเชียแปซิฟิก กล่าว “แต่ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดรถกระบะและรถอเนกประสงค์ของเรา ทำให้เราประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ให้ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มีความเหนือชั้นยิ่งกว่าเดิมด้วยดีไซน์สะดุดตา เครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม และการขับขี่ที่นุ่มสบาย”

ดีไซน์แกร่ง ดูทันสมัย
          ความเปลี่ยนแปลงในฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เริ่มต้นตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่ทันสมัย ทรงพลังกว่าเดิม และสื่อถึงสมรรถนะของตัวรถได้อย่างชัดเจน
          กระโปรงหน้ารถมีเส้นสายที่ดุดันยิ่งขึ้น เข้ากับกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูได้เป็นอย่างดี ขณะที่ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่เสริมให้ตัวรถดูแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
          “เมื่อพิจารณาจากการขับขี่ของลูกค้าแล้ว เราเห็นว่าฟอร์ด เรนเจอร์ จะต้องมีรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอยที่โดดเด่นอย่างรอบด้านไม่แพ้กัน เพื่อประกอบกันเป็นรถยนต์ที่สมบุกสมบันและพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์” มร. เดฟ ดูวิท ผู้จัดการฝ่ายออกแบบ ฟอร์ด เอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริม “เราใช้โอกาสนี้ในการเสริมให้ดีไซน์ของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ดุดันกว่าในรุ่นก่อนหน้า และยังเน้นองค์ประกอบความเป็นกระบะพันธุ์แกร่งตามมาตรฐานฟอร์ด (Built Ford Tough) อย่างช่องระบายอากาศบนตัวถัง โดยที่ยังคงรักษาสมรรถนะด้านอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมไว้เช่นเคย”
          รูปลักษณ์ภายนอกใหม่ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับส่วนห้องโดยสาร ทำให้มีความสบายยิ่งขึ้น
รวมถึงทันสมัยและสร้างบรรยากาศที่เหมือนกับรถยนต์นั่งสำหรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เส้นสายต่างๆ ตามทางยาวช่วยขับเน้นให้ห้องโดยสารดูโอ่อ่า กว้างขวาง ก่อนจะมาบรรจบกันด้านหน้ารถที่บริเวณจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว กลางแผงคอนโซล ส่วนแผงหน้าปัดควบคุมแบบหน้าจอคู่ ทีเอฟที (Dual TFT) แสดงข้อมูลของตัวรถและสถานะของฟังก์ชันต่างๆ อย่างครบครัน ทั้งระบบความบันเทิง ระบบนำทาง และระบบปรับอากาศ
          “ห้องโดยสารของ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ดูหรูหรา ทันสมัย และยังไฮเทคอีกด้วย” มร.ดูวิท กล่าว “เราได้เลือกใช้วัสดุภายในห้องโดยสารที่เข้ากับดีไซน์ใหม่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่ทิ้งความทนทาน สมบุกสมบัน และประโยชน์ใช้สอยในแบบรถกระบะพร้อมลุย ทำให้เหมือนห้องโดยสารของรถยนต์นั่งแต่ไม่ทิ้งความอเนกประสงค์”

ฝ่าฟันทุกอุปสรรค พร้อมมาตรฐานใหม่ของความนุ่มนวล
          ฟอร์ด เรนเจอร์ เป็นหนึ่งในสุดยอดรถกระบะพันธุ์แกร่งในตลาด โดยสามารถขับขี่ลุยน้ำได้ที่ความลึกถึง 800 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าลึกที่สุดในรถประเภทนี้ ส่วนพื้นรถสูง 230 มิลลิเมตร ออกแบบมาเพื่อรับมือกับเส้นทางวิบากได้อย่างคล่องตัว ด้วยมุมตัดที่ 28 องศาและ มุมจากที่ 25 องศา ทำให้ผู้ขับขี่ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ สามารถขับขี่ขึ้นลงทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ
          ระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อที่ควบคุมแบบระบบอิเล็กทรอนิกส์ใน ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ สามารถเลือกโหมดทำงานได้ทั้งแบบขับเคลื่อนสองล้อและสี่ล้อเกียร์สูงได้ด้วยการหมุนปุ่มที่คอนโซลกลาง ส่วนในสถานการณ์ที่ต้องใช้แรงบิดสูงที่ความเร็วต่ำ หรือกรณีที่ต้องเบรกขณะลงเขา ผู้ขับขี่ก็สามารถปรับไปใช้งานโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อเกียร์ต่ำได้ ส่วนชุดเฟืองท้ายแบบอิเล็กทรอนิกล็อค เสริมให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นในสภาวะการขับขี่ที่ยากลำบาก
          ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่สามารถลากจูงน้ำหนักได้สูงสุด 3,500 กิโลกรัม และรับน้ำหนักบรรทุกสูงถึง 1,175 กิโลกรัม
          ถึงแม้ว่าฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จะคงความทรงพลังเป็นเยี่ยม แต่ยังมอบการขับขี่นุ่มนวลซึ่งไม่สามารถพบได้จากรถกระบะโดยทั่วไป ในขณะที่เรนเจอร์ รุ่นปัจจุบันได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการขับขี่และความคล่องตัว วิศวกรของฟอร์ดยังได้พัฒนาระบบช่วงล่างที่เสริมทั้งความสบายและการควบคุมที่คล่องแคล่ว แม่นยำ
          ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ระบบไฟฟ้า (EPAS) เสริมประสบการณ์ขับขี่ให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างมั่นใจและเป็นธรรมชาติ โดยระบบจะปรับให้พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาในขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ เช่นกรณีเข้าช่องจอด ก่อนจะปรับมาเน้นความแม่นยำเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง โดยมีการตั้งค่าที่แตกต่างกันไปตามความเร็วของรถ มุมเลี้ยวของพวงมาลัย แรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้ง และอัตราการเร่งหรือลดความเร็ว ทั้งนี้ ระบบ EPAS ไม่มีอุปกรณ์ปั๊มน้ำมันอยู่ภายในเหมือนระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ทั่วไป จึงช่วยให้รถเดินเครื่องเงียบลง และประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นราว 3 เปอร์เซ็นต์
          วิศวกรของฟอร์ดได้เลือกใช้วัสดุเก็บเสียงคุณภาพสูงในห้องโดยสารเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก จึงทำให้ห้องโดยสารของ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ทั้งเงียบและสะดวกสบายที่สุดในตลาด

เทคโนโลยีอันทันสมัย
          ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีล่าสุดมากมายที่เสริมคุณสมบัติในการเชื่อมต่อ และการควบคุมรถ
ระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 2 ระบบเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารภายในตัวรถรุ่นล่าสุด ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมระบบต่างๆ ของตัวรถได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยระบบการรับคำสั่งผ่านเสียง โดยผู้ขับขี่สามารถพูดคำสั่งภาษาอังกฤษเช่น “Temperature 20 degrees” “play AC/DC” หรือ “I’m hungry” เพื่อควบคุมระบบปรับอากาศ ระบบความบันเทิง หรือระบบนำทางของรถได้ทันที ส่วนจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และคำสั่งแบบแยกสี ช่วยให้การเลือกใช้งานเมนูต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้น
          ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ติดตั้งช่องชาร์จไฟแบบ 240 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้ชาร์จไฟคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคที่ไหนก็ได้ ให้คุณไม่พลาดทุกงานเร่งด่วนนอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบ ที่จะช่วยให้ทุกการขับขี่ของคุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
          · ระบบช่วยเตือนการขับขี่ในช่องทาง (Lane Keeping Alert) และระบบรักษาช่องทางขับขี่ (Lane Keeping Aid) โดยระบบทั้งสองจะทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่เบนตัวรถออกจากช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ในขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดยหากกล้องด้านหน้ารถมองเห็นว่ารถกำลังเบนหัวออกจากช่องทางขับขี่ ระบบจะทำการแจ้งเตือนโดยจะทำการสั่นพวงมาลัยเพื่อเตือนผู้ขับขี่ และหากผู้ขับขี่ไม่หันหัวรถกลับเข้าสู่ช่องทางเดิม ระบบรักษาช่องทางขับขี่ก็จะใช้แรงบิดจากพวงมาลัยเพื่อเบนรถให้กลับสู่เลนที่ถูกต้อง
          · ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า (Adaptive Cruise Control) ใช้อุปกรณ์เรดาร์ช่วยรักษาความเร็วตามที่ตั้งค่าไว้ และช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอีกด้วย เมื่อระบบตรวจพบว่ามีรถยนต์คันอื่นอยู่ข้างหน้า จะทำการลดความเร็วเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ก่อนจะเร่งกลับมาที่ความเร็วที่ตั้งไว้เมื่อถนนโล่ง ส่วนฟังก์ชั่นจำกัดความเร็วแบบตั้งค่าได้ ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่เร่งความเร็วเกินกว่าที่กำหนดไว้โดยไม่ตั้งใจ
          · ระบบเตือนป้องกันการชนรถคันหน้า (Forward Alert) ทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า เพื่อส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟและเสียง หากตัวรถเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป ระบบจะเริ่มควบคุมการเบรกเพื่อให้สามารถหยุดรถได้ทันท่วงทีหากจำเป็น
          · สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง (Front and Rear Park Assist) ใช้อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางขณะจอดรถ และส่งสัญญาณเสียงเตือนหากรถเข้าใกล้สิ่งกีดขวางดังกล่าวที่ความเร็วต่ำ ส่วนกล้องมองหลังช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นด้านท้ายรถอย่างชัดเจน สามารถจอดรถหรือเตรียมการพ่วงรถได้อย่างมั่นใจ
          · ระบบตรวจสอบวัดและแจ้งเตือนลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) เสริมความปลอดภัยและช่วยประหยัดน้ำมันด้วยการเตือนผู้ขับขี่ หากความดันยางต่ำเกินไป
          · ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) พร้อมระบบป้องกันการพลิกคว่ำและลดอาการส่ายขณะลากจูงเทรลเลอร์ ช่วยให้รถอยู่ในการควบคุมได้เสมอ แม้ในสภาวะการขับขี่ที่ยากลำบาก
          · ระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (Driver Impairment Monitor) ใช้กล้องหน้าและเซนเซอร์ตรวจจับผู้ขับขี่ว่ามีอาการง่วงหรือหลับในหรือไม่ โดยหากพบว่ารถเริ่มวิ่งออกจากเส้นทางหรือมีการกระตุกพวงมาลัยบ่อยครั้ง ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือนผู้ขับขี่ โดยใช้ระดับเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะกลับสู่สภาวะปกติ
          · ในบางประเทศ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จะมาพร้อมกับระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Assistance) ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านสัญญาณบลูทูธเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยระบบจะแจ้งรายละเอียดและตำแหน่งของตัวรถโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเปิดสายให้ผู้ขับขี่สนทนากับเจ้าหน้าที่ต่อไป
          · เทคโนโลยีอัจฉริยะอื่นๆ ในฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่รวมถึง ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ขับบนทางลาดชันได้อย่างมั่นใจไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) ที่ช่วยควบคุมการขับลงเขาที่เสริมแรงเบรกในความเร็วที่ต่อเนื่อง ระบบควบคุมการบรรทุก (Adaptive Load Control) ช่วยรักษาระบบควบคุมการทรงตัวขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสัมภาระ และระบบเบรกฉุกเฉิน (Emergency Brake Assistance) ซึ่งจะส่งน้ำหนักไปที่ระบบเบรกเพื่อเพิ่มพลังในการเบรกเมื่อผู้ขับขี่เบรกในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ขุมพลังที่มาพร้อมความประหยัด
          ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มอบสมรรถนะการขับขี่ชั้นยอดและพละกำลังในการลากจูงและบรรทุกของหนักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติและธรรมดาแบบ 6 สปีด เครื่องยนต์มีให้เลือก 4 รุ่น ล้วนเปี่ยมด้วยสมรรถนะและความคุ้มค่าในทุกสภาพการขับขี่ และยังตอกย้ำเอกลักษณ์ความขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดอีกด้วย
          เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ ขนาด3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ รุ่นล่าสุด ที่มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่ เพื่อพัฒนาความสามารถในการประหยัดน้ำมันสูงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ พร้อมมอบพละกำลังสูงสุด 147 กิโลวัตต์และแรงบิด 470 นิวตันเมตร สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะและแรงบิดสูงสุดในการลากจูง
เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค รุ่น ขนาด 2.2 ลิตร แบบ 4 สูบ ให้ความประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังเดินเครื่องเรียบ นุ่มนวล แต่ยังทรงพลังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เครื่องยนต์รุ่นนี้จะวางจำหน่ายในรูปแบบที่ต่างกันไปในแต่ละตลาด โดยบางประเทศจะได้เลือกใช้รุ่นสมรรถนะสูง ที่มีพละกำลัง 118 กิโลวัตต์พร้อมแรงบิด 385 นิวตันเมตร หรือรุ่นเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังสูงสุด 96 กิโลวัตต์ ที่กินน้ำมันน้อยลงถึง 20 เปอร์ซ็นต์
          นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์เบนซิน ดูราเทค ขนาด 2.5 ลิตร ที่มอบพละกำลังสูงสุด 122 กิโลวัตต์ และแรงบิด 225 นิวตันเมตร#
          เพื่อการประหยัดน้ำมันสูงสุด ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มีการติดตั้งระบบสตาร์ทและดับเครื่องอัตโนมัติ (Automatic Start/Stop) ซึ่งจะดับเครื่องขณะที่รถหยุดนิ่งอยู่กับที่ เช่นขณะที่รอสัญญาณไฟเขียว ช่วยประหยัดน้ำมันสูงถึง 3.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราทดเฟืองท้ายได้รับการปรับแต่งยาวขึ้น ช่วยให้ประหยัดน้ำมันดียิ่งขึ้นเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง
          “ด้วยประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ผนวกกับความปราณีตและเทคโนโลยีอัจฉริยะที่หลากหลาย ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับรถกระบะที่สมบุกสมบัน พร้อมฝ่าฟันทุกงาน เกินกว่าความคาดหวังของลูกค้า” มร. ทิลลี่ สรุป
          ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จะผลิตที่โรงงาน ออโต้ อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง สำหรับส่งออกไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยโรงงานซิลเวอร์ตัน แอสเซมบลี ในพรีโตเรีย แอฟริกาใต้ จะผลิตเพื่อส่งออกไปยังทวีปแอฟริกาและยุโรป ในขณะที่โรงงานปาเชโก้ ในอาร์เจนติน่าจะผลิตเพื่อส่งออกไปยังทวีปละตินอเมริกา

MSN on March 24, 2015, 03:21:07 PM
เอ.พี.ฮอนด้าเผยโฉม RC213V-S Prototypeซูเปอร์ไบค์ที่เป็นที่สุดของโลกในมอเตอร์โชว์2015









          เอ.พี.ฮอนด้าเผยโฉม RC213V-S Prototypeซูเปอร์ไบค์ที่เป็นที่สุดของโลกในมอเตอร์โชว์2015 พร้อมนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านบูทคอนเซปต์ “My Rides My Stories” เปิดตัว New MOOVE14 รถเอ.ที.ล้อ 14 นิ้ว ติดตั้งฮอนด้าสมาร์ทเทคโนโลยีครบครัน
          เอ.พี.ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย แสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่ภายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2015 นำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างผ่านบูทขนาดใหญ่ภายใต้คอนเซปต์ “My Rides My Stories ทุกเส้นทางสร้างประสบการณ์” ด้วยรถฮอนด้าบิ๊กไบค์และรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กหลากหลายรุ่นแบ่งตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนไทย เผยโฉม RC213V-S Prototype สุดยอดซูเปอร์ไบค์ต้นแบบที่ทั่วโลกกำลังกล่าวขานถึง ด้วยคอนเซปต์ใหม่ของการถ่ายทอดสุดยอดเทคโนโลยีจากRC213V รถแข่งระดับแชมป์โลกโมโตจีพี 2 สมัยซ้อนลงสู่ท้องถนนเป็นครั้งแรกในโลก จัดแสดงในเมืองไทยเป็นประเทศที่ 3 ของโลกต่อจากอิตาลีและญี่ปุ่นเพื่อให้คนไทยได้ชมอย่างใกล้ชิดตลอดทั้ง 13 วันของงาน พร้อมเปิดตัว New Honda MOOVE14 รถสมาร์ทเอ.ที.รุ่นใหม่ล้อ 14 นิ้ว ติดตั้งฮอนด้าสมาร์ทเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ โดยมี ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ถ่ายทอดคาแรกเตอร์ความสนุกและสมาร์ทในฐานะพรีเซนเตอร์ เตรียมวางจำหน่ายทั่วประเทศเร็วๆนี้ และพบกับความสนุกจากศิลปินชื่อดังและประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้เข้าเยี่ยมชมบูทอีกมากมาย รวมถึงข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่จองฮอนด้าบิ๊กไบค์ภายในงาน และสินค้าใหม่ล่าสุดจาก Honda Collection ในราคาพิเศษ
          นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า“ภายใต้เป้าหมายของการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคชาวไทย เอ.พี.ฮอนด้าได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อส่งมอบประสบการณ์จากการขับขี่ที่แตกต่างสำหรับแต่ละไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถบิ๊กไบค์หรือรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก ดังนั้นในงาน Bangkok International Motorshow 2015 เราจึงสร้างสรรค์บูทของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าด้วยคอนเซปต์ My Rides My Stories ทุกเส้นทางสร้างประสบการณ์ โดยการออกแบบบูทในปีนี้ เราได้แรงบันดาลใจมาจากชีลด์หน้าของหมวกกันน็อคที่ถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ที่ไม่เคยซ้ำกันของผู้ขับขี่ พร้อมกับเปิดตัวไฮไลท์สำคัญอย่าง RC213V-S Prototype รถซูเปอร์ไบค์คันแรกของโลกที่ได้รับการถ่ายทอดสุดยอดเทคโนโลยีจากRC213V รถแข่งระดับแชมป์โลกโมโตจีพีลงสู่ท้องถนน ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราได้รับโอกาสจากฮอนด้ามอเตอร์ประเทศญี่ปุ่น ให้จัดแสดงรถคันนี้ในเมืองไทยเป็นประเทศที่ 3 ของโลกต่อจากอิตาลีและญี่ปุ่นเพื่อให้คนไทยได้ชมอย่างใกล้ชิดตลอดทั้ง 13 วันของงานในปีนี้ โดยจะจัดแสดงพร้อมกับรถ RC213V หมายเลข 93 ของมาร์ค มาร์เกวซ แชมป์โลกโมโตจีพี2 สมัยซ้อน และเจ้าของสถิติแชมป์สนามมากที่สุด 13 สนามจาก 18 สนาม รวมถึงสถิติแชมป์สนามติดต่อกัน 10 สนามรวดในฤดูกาลที่ผ่านมา”
          “นอกจากสุดยอดซูเปอร์ไบค์แล้ว เรายังได้นำรถบิ๊กไบค์ระดับพรีเมียมมาจัดแสดงแบบครบครันพร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองรถภายในงาน และจัดแสดงรถแข่งจากทีมแข่ง A.P. Honda Racing Thailand ที่พึ่งจะประกาศศักดาคว้าแชมป์ซัพพอร์ตเรซของเวิลด์ซูเปอร์ไบค์รุ่นซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซีมาหมาดๆ รวมถึงนำรถแข่งหมายเลข 9 ของฟีม-รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ เจ้าของแชมป์เวิลด์ซูเปอร์ไบค์รุ่นซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี คนแรกในประวัติศาสตร์ไทยภายใต้สังกัด คอร์ มอเตอร์สปอร์ต ไทยแลนด์ และรถแข่งระดับ World GPในรุ่น Moto2 มาให้คนไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ เรายังได้เปิดตัว Honda MOOVE14 รถเอ.ที.ล้อ 14 นิ้วที่ล้ำสมัยกว่าใครด้วย Honda Smart Technology ที่ให้ทั้งความสนุก ความประหยัด และความมั่นใจ โดยมี ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทยเป็นพรีเซนเตอร์ถ่ายทอดคาแรกเตอร์ Fun & Smart ถือเป็นการเปิดตัวล่วงหน้าก่อนวางจำหน่ายจริงทั่วประเทศเร็วๆนี้”
          สำหรับบูทรถจักรยานยนต์ฮอนด้า “My Rides My Stories ทุกเส้นทางสร้างประสบการณ์” แบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 โซน โดยใน 3 โซนแรกจะถูกนำเสนอภายใต้แนวคิด“Honda BigBike Excites the World” ได้แก่
          - Premium Sport โซนจัดแสดงรถซูเปอร์ไบค์ที่เป็นที่สุดของโลกอย่างRC213V-S Prototype และรถแข่ง RC213V เบอร์ 93 ของมาร์ค มาร์เกวซ แชมป์โลกในรุ่นโมโตจีพีคนปัจจุบัน
          - Sport Racing โซนจัดแสดงรถแข่งจากทีม A.P. Honda Racing Thailandเจ้าของแชมป์ซัพพอร์ตเรซของเวิลด์ซูเปอร์ไบค์รุ่นซุปเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี และรถแข่งระดับ World GP รุ่น Moto2 รวมถึงรถแข่ง Honda CBR300R จากโครงการHonda CBR300R Thailand Dream Cup
          - Premium Elegance โซนจัดแสดงรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ระดับพรีเมียมครบทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ นำโดย Honda Goldwing รุ่นพิเศษในโอกาสครบรอบ 40 ปีของรถตระกูลโกลด์วิง และ Honda CBR1000RR Champion Special สุดยอดรถซูเปอร์สปอร์ตลายแชมป์โลกเบอร์ 93 ของมาร์ค มาร์เกวซ รวมไปถึงโมเดลระดับท็อปคลาสอื่นๆอาทิ Goldwing F6B, F6C, CB1100, VFR1200X, NM4, CTX1300 เป็นต้น
และอีก 1 โซนสำหรับรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก Fun & Smart จะนำเสนอประสบการณ์ความสนุกภายใต้แนวคิด “Power of Fun Projects” นำโดยโมเดลใหม่ล่าสุดHonda MOOVE14 รถเอ.ที.ล้อ 14 นิ้ว ที่เปิดตัวในงานนี้เป็นครั้งแรก พร้อมด้วยรถแต่งCustomized หลากสไตล์อาทิ MSX125 Masked Rider V1 Model, Zoomer-X Café Racer, Forza300 New Concept และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถสไตล์วิบาก เอ.พี.ฮอนด้าก็ได้นำHonda CRF250R เวอร์ชันพิเศษจาก James Bond 007 มาร่วมจัดแสดงเพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับคนชอบลุย
          นอกจากรถรุ่นต่างๆแล้ว เอ.พี.ฮอนด้ายังนำความสนุกมาให้ผู้เข้าชมบูทได้เปิดประสบการณ์อีกมากมายอาทิกิจกรรมร่วมกับนักแสดงและศิลปินชื่อดังอย่าง ญาญ่า, น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, วง 25Hours รวมไปถึงประสบการณ์ความสนุกใหม่ๆจาก Track Feeling Eyeglass หรือแว่นตาแสดงมุมภาพของนักแข่งขณะลงแข่งขัน,Augmented Reality (AR) , Lean Machine, กิจกรรม Red Fan Battle สำหรับแฟนหงส์-สาวกผี และในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2558 พบกับการจัดแสดงผลงานของทีมนักศึกษาผู้ชนะเลิศการแข่งขันประกวดแผนการตลาด Marketing Plan Contest ครั้งที่ 7 ณ ลานกิจกรรมด้านหลังชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1
          สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแต่งรถและการแต่งตัว เอ.พี.ฮอนด้ายังได้นำเสนออุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ H2C ควบคู่ไปกับสินค้าเครื่องแต่งกาย Honda Collection ลิขสิทธิ์แท้ให้ผู้เข้าชมได้เป็นเจ้าของในราคาพิเศษก่อนใคร
ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมบูท My Rides My Stories ได้ในงาน The 36th Bangkok International Motorshow 2015 ที่บูท M1/1 ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่25 มีนาคม ถึงวันที่ 5 เมษายน 2558 ติดตามรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆตลอดงานได้ที่www.facebook.com/hondamotorcyclethailand

MSN on March 25, 2015, 03:20:59 PM
แลมโบร์กีนี ฉลองความสำเร็จสุดยอดแบรนด์ซูเปอร์คาร์ระดับโลกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36





           ออโตโมบิลิ แลมโบร์กินี โชว์ศักยภาพแบรนด์ซูเปอร์คาร์ระดับพรีเมี่ยมที่มียอดจำหน่ายสูงทั่วโลก นำรถยนต์ระดับเวิลด์คลาสจากอิตาลีหลากหลายรุ่นจัดแสดงภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี อาคารชาเลนเจอร์ ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 5 เมษายน 2558 เวลา 12.00-22.00 น. จัดแสดงรอบเอ็กซคลูซีฟวีไอพีในวันที่ 23 มีนาคม 2558 และรอบสื่อมวลชนในวันที่ 24 มีนาคม 2558
          การร่วมนำเสนอยานยนต์ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ของ บริษัท นิช คาร์ จำกัด ในปีนี้ ถือเป็นการประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ โดยแลมโบร์กินีสามารถทำยอดจำหน่ายทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 19% ในปี 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งทุบสถิติยอดจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ดังจากอิตาลีในอดีตได้อย่างดงาม ปัจจุบัน แลมโบร์กินีมีตลาดใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อเมริกา และเขตเศรษฐกิจยุโรปเมดิเตอร์เรเนียน (ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) มียอดจำหน่ายสูงใกล้เคียงกัน สำหรับประเทศไทย แลมโบร์กินีมียอดจำหน่ายสูงอย่างน่าพอใจและมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ซึ่งทาง ออโตโมบิลิ แลมโบร์กินี ยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและระบบวิศวกรรมยานยนต์รุ่นใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อมอบความพึงพอใจขั้นสูงสุดแก่นักขับชั้นสูงผู้ชื่นชอบประสบการณ์การขับขี่ระดับไฮเอนด์
          ออโตโมบิลิ แลมโบร์กินี ยังได้เปิดดำเนินการโชว์รูมที่ทันสมัยแบบครบวงจรในกรุงเทพฯ ช่วงปลายปี 2557 ที่ผ่านมา โดยโชว์รูมแห่งนี้มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียเพื่อรองรับตลาดที่กำลังขยายตัวของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย ออโตโมบิลิ แลมโบร์กินี ได้ประสานงานกับพันธมิตรชั้นยอดที่ร่วมงานกันมาแล้วว่า 3 ทศวรรษอย่าง บริษัท นิช คาร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์แลมโบร์กินีอย่างเป็นทางการในประเทศไทย นำเสนอสุดยอดยานยนต์รุ่น แลมโบร์กินี อเวนทาดอร์และ ฮูราแคน ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด โดยโชว์รูมระดับโลกแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนมอเตอร์เวย์ พระราม 9 มีพื้นที่เพื่อการติดต่อประสานงานสำหรับตัวแทนจัดจำหน่ายทั้งรถซูเปอร์คาร์และรถสปอร์ตที่กว้างถึง 15,000 ตารางเมตร
          แอนเดรีย บัลดี้ ผู้จัดการทั่วไป ออโตโมบิลิ แลมโบร์กินี เอเชีย แปซิฟิก กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการนำเสนอแลมโบร์กินีในฐานะแบรนด์แห่งลักชัวรี่คาร์ระดับโลกในเมืองไทยว่า “ด้วยการสนับสนุนจาก นิช คาร์ ทำให้เราได้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ของแบรนด์แลมโบร์กินีในประเทศไทย ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยมูลค่าของแบรนด์ ความบริสุทธิ์ นวัตกรรมและความล้ำหน้า จะดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคให้มีความสนใจต่อแบรนด์แลมโบร์กินีจากทั่วประเทศเพิ่มสูงขึ้น”
          “แชมป์” วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิช คาร์ จำกัด ทายาทรุ่นที่สองของบริษัทผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างวัฒนธรรมซูเปอร์คาร์แลมโบร์กินีในประเทศไทย มีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าแบรนด์แลมโบร์กินีจะเติบโตขึ้นอย่างมากในตลาดเมืองไทย “แลมโบร์กินีคือซูเปอร์คาร์ของเราที่มียอดขายสูงสุด ซึ่งทำให้ นิช คาร์ ภูมิใจที่ได้ลงทุนสร้างโชว์รูมที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเอเชียเพื่อลูกค้าของเรา ซึ่งโชว์รูมแห่งนี้ได้กระแสตอบรับอย่างดียิ่ง”
          การนำเสนอยานยนต์ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36 ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จหลังการจัดแสดงยานยนต์แลมโบร์กินีรุ่นใหม่ ณ งานอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 85 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้แก่ รุ่นอเวนทาดอร์ เอสวี (Aventador SV) ยนตกรรมใหม่ล่าสุดที่เหนือชั้นด้วยสมรรถนะและการผสานเป็นหนึ่งกับผู้ขับขี่ และรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น อเวนทาดอร์ พิเรลลี (Aventador Pirelli) ซึ่งเป็นการร่วมมือกันผลิตกับ พิเรลลี บริษัทยางรถยนต์ชั้นนำของอิตาลีซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีเยี่ยมของแลมโบร์กินีมานานกว่า 50 ปี
          อเวนทาดอร์ เอสวี โฉมใหม่ ถือเป็นยานยนต์แลมโบร์กินีที่เน้นความเป็นรถสปอร์ตขั้นสุดยอดที่สมบูรณ์แบบด้วยสมรรถนะความเร็วและแรงเต็มอารมณ์ โดยลดน้ำหนักตัวรถลงถึง 50 กก. ผ่านการใช้ระบบวิศวกรรมยานยนต์น้ำหนักเบารุ่นใหม่ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ อีกทั้งกำลังของเครื่องยนต์ V12 ยังเพิ่มขึ้นไปถึง 552 กิโลวัตต์ / 750 แรงม้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพของอัตราส่วนกำลังเครื่องต่อนำหนักที่ 2.03 กก./แรงม้า ผสานระบบ Superveloce ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการเร่งเครื่องยนต์จาก 0-100 กม./ชม. (62 ไมล์/ชม.) ได้ในเวลาเพียง 2.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 กม./ชม. (217 ไมล์/ชม.)

อเวนทาดอร์อเวนทาดอร์อเวนทาดอร์
          อเวนทาดอร์ พิเรลลี รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น มอบภาพลักษณ์สุดเท่ที่สะกดทุกสายตาด้วยบอดี้สีขาว-ดำแบบทูโทน ไล่ขอบด้วยเส้นสีแดงสุดเฉี่ยวพร้อมฝาครอบเครื่องยนต์แบบโปร่งใสสุดล้ำไม่ซ้ำใคร ทั้งยังเป็นครั้งแรกของการนำเทคโนโลยีตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์แบบไร้โครงมาใช้เสริมประสิทธิภาพของยานยนต์ระดับซูเปอร์สปอร์ตของแลมโบร์กินี ประกอบกับเครื่องยนต์ V12 ให้กำลังสูง 700 แรงม้า พร้อมระบบกันสะเทือนแบบ Push-rod และการขับขี่เคลื่อนแบบครบล้อ จึงทำให้อเวนทาดอร์ครองใจนักขับมาแล้วทั่วโลก

MSN on March 25, 2015, 03:21:48 PM
Lamborghini welcomes an accelerated Thai market at 36th Bangkok International Motor Show





           Automobili Lamborghini is set to steer the growing Thai market for global-brand supercars into the fast lane when it showcases its models at the 36th Bangkok International Motor Show. The Italian high-end, luxury car manufacturer will be exhibiting at IMPACT Challenger Halls, Muang Thong Thani, from March 25 - April 05, 2015, between 12 pm and 10 pm, with an exclusive VIP day on March 23 and a press day on March 24.
          For Niche Cars Co., Ltd., Lamborghini commercial partner in Thailand, this year's presence at the 36th Bangkok International Motor Show is the celebration of a record-breaking year of success for the Italian Brand in 2014, with a global sales increase of 19%. With sales balanced evenly between Asia Pacific, America and EMEA (Europe, Middle East and Africa), the USA and Greater China are the biggest markets to date, with Thailand increasing its share year on year. Automobili Lamborghini continues to drive innovation and engineering expertise to the limits, promising a unique driving experience.
          With a buoyant market in Asia Pacific, Automobili Lamborghini opened its flagship showroom in Bangkok in late 2014, its biggest space in Asia to date. Collaborating with sole authorized distributor, Niche Cars, for the supercar brand in Thailand, the showroom showcases the Lamborghini Aventador and Huracán.
          The World-Class Showroom just outside the main city area, on Motorway Rama 9, marks a successful relationship between Automobili Lamborghini and Niche Cars which began over three decades ago. The Thai supercar and sports car dealer successfully markets Lamborghini in the impressive 15,000 square meter space.
          General Manager of Automobili Lamborghini Asia Pacific, Andrea Baldi, highlights the importance of Lamborghini's continued presence as a luxury car brand in Thailand. "With the support of Niche Cars we are sharing our vision for the future of Lamborghini in Thailand. I am confident that our brand values, pure, innovative and cutting edge, will resonate with our growing network of customers across the country."
          Managing Director of Niche Cars, Vittawat 'Champ' Chinabarramee, recently took over the helm; a second-generation leader with a vision to promoting Lamborghini to the growing supercar culture within Thailand. He is optimistic about the continued growth of Lamborghini in Thailand. "Lamborghini is our bestselling supercar. Niche Cars is proud to invest in the biggest and best quality showroom for our customers and their response is encouragingly positive so far."
          The 36th Bangkok International Motor Show follows hot on the trail of success showcasing new models in Switzerland. At the 85th International Motor Show in Geneva in March of this year Automobili Lamborghini unveiled the new high performance Aventador SV model and the limited edition Aventador Pirelli celebrating over half a century of creative collaboration with Italian tire company Pirelli, .
          The new Aventador SV is the most sports-oriented, fastest and most emotional series production Lamborghini ever. The weight has been further reduced by 50 kg through enhanced lightweight engineering including significant use of carbon fiber. The naturally aspirated V12 engine’s power is increased to 552 kW/750 hp. This results in a power-to-weight-ratio of 2,03 kg/hp. The Superveloce accelerates from 0 to 100 km/h (62 mph) in 2.8 seconds and powers on to reach a top speed of more than 350 km/h (more than 217 mph).
          The special series Aventador Pirelli, with its black and white two-tone bodywork, red trim design details and transparent engine cover, is available in a coupe or roadster model with limited numbers being built. The super sports car maintains all Aventador unique technical features, first and foremost the carbon fiber monocoque, the V12 engine with 700 HP, pushrod suspensions and the permanent all-wheel drive, which underlie the Aventador’s global success.

MSN on March 25, 2015, 03:24:12 PM
กระแสรถจีนมาแรง ตงฟง มอเตอร์ส เปลี่ยนเป็น ยูไนเต็ด มอเตอร์ส เพื่อเพิ่มขยายตลาดรถยนต์พาณิชย์







          บริษัท ตงฟง มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า DFSK? ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นตัวแทนรถยนต์ตงฟง จากค่ายรถยนต์ระดับแนวหน้า ที่มียอดการผลิตเป็นอันดับ 2 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำหน้าที่ผลิตและจำหน่ายรถตงฟง บริหารเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย 50 แห่งทั่วประเทศ
          ดำเนินงานการตลาดและบริหารการบริการหลังการจำหน่ายสู่ความเป็นเลิศ ให้กับรถยนต์ของตงฟงทุกคัน ในประเทศไทย ?ในปี 2553?ภายใต้ความร่วมมือทางเทคโนโลยีจาก ดี เอฟ เอส เค มอเตอร์ส หรือ ตงฟง เสี่ยวคัง (ประเทศจีน) ทางบริษัทมีการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิต และประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ของ ตงฟง ในประเทศไทย เพื่อรองรับการจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกในภูมิภาคอาเซียน (AEC)? โดยปัจจุบันมียอดจำหน่ายในตลาดไทยแล้วกว่า 10,000 คัน และรถยนต์เชิงพาณิชย์ แบรนด์โฟตอน คัมมินส์ ซึ่งเป็นตัวแทนรถยนต์โฟตอน จากค่ายรถยนต์ระดับแนวหน้า ที่มียอดการผลิตเป็นอันดับ 4 ของปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ทำหน้าที่ผลิตและจำหน่ายรถตงฟง บริหารเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย 15 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้บริษัทได้สามารถขยายตลาดยานยนต์ให้เพิ่มขึ้นในประเทศไทย จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์ส จำกัด”
          คุณพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์ส จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ตงฟง และ รถตู้เพื่อการพาณิชย์ โฟตอน คัมมินส์ เปิดเผยว่า “การเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก ตงฟง มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เป็น บริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์ส จำกัด ในครั้งนี้
          โดยทาง ยูไนเต็ด มอเตอร์ส กรุ๊ป ได้นำวิสัยทัศน์ที่ว่า “เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมุมองของลูกค้าเกี่ยวกับรถยนต์นำเข้าจากจีนได้ แต่เพื่อให้การยอมรับที่ดีขึ้นทาง ยูไนเต็ด มอเตอร์ส กรุ๊ป จึงนำจุดนี้เพื่อให้เป็นจุดแข็ง คือ รถทุกคันที่ออกจาก ยูไนเต็ด มอเตอร์ส กรุ๊ป ได้มีการรับรองคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือได้ อีกทั้งในรถทุกคันยังมีจุดเด่นโดยการนำเทคโนโลยีระดับโลกมาใช้ในทุกคัน”
          อีกทั้งรถทุกรุ่นก่อนที่จะนำเข้ามาทาง ยูไนเต็ด มอเตอร์ กรุ๊ป ได้มีการคัดสรรเป็นอย่างดี เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคของคนไทย รวมถึงส่วนประกอบทั้งหมดได้มีการเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทย มีการตรวจสอบคุณภาพเพื่อให้พร้อมใช้ก่อนถึงมือลูกค้า และรวมถึงการบริการหลังการขายและอะไหล่ที่พร้อมให้บริการตลอดเวลา
          สำหรับการตลาดในปี 2558 ทาง โฟตอนคัมมินส์ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1500 คัน โดยแบ่งเป็น รถตู้ โฟตอน คัมมินส์ โคลัมบัส จำนวน 1,200 คัน (ตั้งแต่เดือนมกราคม – ธันวาคม 2558) โดยในตลาดกลุ่มกลุ่มรถตู้ คอมมิวเตอร์ ดีเซลมีทั้งหมด 14,000 คัน สำหรับตลาดรถบรรทุก 6 ล้อ หรือที่เรียกว่า รถบรรทุก 6.5 ตัน ตั้งเป้าไว้ที่ จำนวน 100 คัน (ก.ค. –ธ.ค. 58) ในกลุ่มตลาดทั้งหมด 2,000 คัน และในปีนี้ด้วยกฎหมาย พรบ. ขนส่งทางบกได้มีการปรับเปลี่ยนข้อคับจากรถบรรทุก 4 ล้อ บรรทุกน้ำหนักได้เพียง 1.6 ตัน เป็น 2.2 ตัน จึงทำให้ตลาด ผู้ใช้รถกระบะตอนเดียว จากการใช้รถกระบะ(ปิกอัพ) เปลี่ยนมาเป็น รถรถบรรทุก 4 ล้อ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ คือ รถบรรทุก 4 ล้อ โดยตั้งยอดขายไว้ที่ 200 คัน (ต.ค.-ธ.ค. 58) เพื่อรองรับกับกลุ่มตลาดที่กำลังจะเติบโตขึ้น 10% หรือประมาณ 6,000 คันต่อปี ที่กำลังเปลี่ยนมาจากกลุ่มตลาดรถกระบะตอนเดียวมาเป็น กลุ่มตลาดรถบรรทุก ทำให้ตลาดรถบรรทุก 4 ล้อ จากเดิมมีเพียงประมาณ 1,000 คัน ขยายเป็น 7,000 คัน ต่อปี
          โฟตอน คัมมินส์ ได้มีการลงทุนในประเทศไทยครั้งนี้ที่มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้โฟตอน คัมมินส์ และ ใน 2 ปีข้างหน้าทางโฟตอน คัมมินส์ ได้ตั้งเป้าหมายเพื่อให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดรถตู้และรถบรรทุกอยู่ที่ 10% และโดยมีอัตรากำลังการผลิตโฟตอน คัมมินส์ ทั้งหมดที่ 2,200 คัน ต่อปี
          โฟตอน-คัมมินส์ เป็นแบรนด์รถยนต์ในเครือ ปักกิ่ง ออโตโมทีพ หรือ BAIC หนึ่งในสี่ ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน ผู้ผลิตรถยนต์ฮุนไดและเมอร์ซีดีสเบนซ์ในจีน และเป็นผู้ผลิตที่มียอดผลิตและยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์เป็นอันดับหนึ่งในจีนอีกด้วย ค่ายรถยนต์โฟตอน-คัมมินส์ นั้นโดยชูจุดเด่นที่การใช้เทคโนโลยีระดับโลกจากนานาประเทศ มาวางในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เครื่องยนต์ดีเซลระดับโลกอันลือชื่อ ยี่ห้อคัมมินส์ จาก สหรัฐอเมริกา
          ในการทำการตลาดรถตู้เพื่อการพาณิชย์ครั้งนี้ บริษัทฯ เปิดตัวรถตู้เพื่อการพาณิชย์ โฟตอน-คัมมินส์ รุ่น โคลัมบัส (Foton-Cummins รุ่น Columbus) โฟตอน-คัมมินส์ โคลัมบัส สุดยอดรถตู้เพื่อการพาณิชย์ที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะแห่งขุมพลัง เครื่องยนต์ดีเซล ISF 2.8 CUMMINS COMMON RAIL, 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 – 3,000 รอบ/นาที ใช้เทคนิคการออกแบบ โมดูลาดีไซน์ ชิ้นส่วนลดลง 40% ช่วยลดค่าบำรุงรักษา พร้อมเสริมสมรรถนะด้วยอะไหล่จากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก อาทิ เพลาท้าย จาก DANA จากประเทศสหรัฐอเมริกา , ชุดเกียร์จาก GETRAG ผู้ผลิตชุดเกียร์ที่ค่ายรถชั้นนำให้ความไว้วางใจ , ระบบเบรก ABS เทคโนโลยีล่าสุดจาก BOSCH ควบคุมมั่นใจทุกทิศทางแม้ฝนตกหนัก และชุดคลัตช์ จาก AISIN ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
          โครงสร้างตัวถังแข็งแรงพิเศษด้วย 3H Ultra-hight strength body คานเหล็กพิเศษ 2 ชั้นลดแรงปะทะได้อย่างยอดเยี่ยม แกนพวงมาลัยและแป้นขาเบรก แบบยุบตัวเมื่อเกิดการชนด้านหน้า พร้อมถุงลมเสริมคู่หน้า SRS และเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง เพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ถอยหลัง ขณะหมอกลงจัดด้วยกระจกส่องทางและแผงไล่ฝ้า ไฟเบรกดวงที่สามและที่ปัดน้ำฝน มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบดิสก์เบรกคู่หน้าและระบบเบรก ABS ควบคุมทิศทางได้อย่างมั่นใจ ผสานความทันสมัยสไตล์สปอร์ตกับไฟตัดหมอกหน้าหลัง เพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมอุปกรณ์ฉุกเฉิน 2IN1 สามารถใช้ทุบกระจกรถยนต์และตัดสายเข็มขัดนิรภัย
          โฟตอน-คัมมินส์ โคลัมบัส สะดวกสบายด้วยห้องโดยสารสุดหรู ขนาด 16 ที่นั่ง แผงคอนโซลดีไซน์ใหม่ เรือนไมล์ดิจิตอล พวงมาลัยรุ่นใหม่เสริมฟังก์ชั่นให้ปรับระดับรองรับทุกสรีระของผู้ใช้งาน ขับสนุกมากขึ้นด้วยเกียร์แบบ I/P Shift ผ่อนคลายยิ่งขึ้นกับช่องลมแอร์แบบ Spot type กระจายลมทั่วทิศทาง รัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 6.2 เมตร เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยกระจังหน้าสไตล์สปอร์ตพร้อมชุดไฟหน้าดวงโต บันไดข้างมาพร้อมกับไฟส่องสว่าง เพิ่มทัศนียภาพให้ห้องโดยสารด้วยหน้าต่างแบบ Hidden Pillar ซ่อนเสากลางพร้อมกระจกกรองแสงช่วยถนอมสายตา อเนกประสงค์ทุกการใช้งานด้วยเบาะนั่งแถวสุดท้ายสามารถพับเก็บได้ เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างจุใจ
          เพื่อตอกย้ำความแรง อย่างต่อเนื่องโฟตอน คัมมินส์ เตรียมขยายตลาดในกลุ่มรถใหญ่ ซึ่งในปี 2557 ที่ผ่านตลาดรถใหญ่มียอดจำหน่ายรวมประมาณ 26,000 คัน และถือเป็นยานพาหนะหลักของการขนส่งสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยๆ ทำให้โฟตอน คัมมินส์ โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 นี้ โฟตอน คัมมินส์ พร้อมเปิดตัวรถบรรทุก 6 ล้อ โฟตอน คัมมินส์ เอามาร์ค ซี (Foton Cummins Augmark C) มาพร้อมกับเครื่องยนต์รุ่น Cummins ISF2.8s3148T (Euro III) เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 4 จังหวะ ระบบคอมมอนเรล ระบายความร้อนด้วยน้ำ เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวด้วยการดีไซน์หัวเก๋งโดย Lotus จากประเทศอังกฤษ เพิ่มความมั่นใจด้วยชิ้นส่วนมาตรฐานโลกอาทิ เฟื่องท้าย DANA นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา, ชุดเกียร์ ZF Friedrichafen ประเทศเยอรมนี, ระบบเบรก ABS ของ BOSCH จากประเทศเยอรมนีและ เสื้อสูบ AVL จากประเทศออสเตรเลีย ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมให้ความสุนทรียในการขับขี่ด้วยระบบแอร์, คลัตช์บูทเตอร์1, พวงมาลัยเพาเวอร์, วิทยุ+อุปกรณ์ต่อพ่วง,ระบบ LSPV พร้อมรับประกันนาน 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

MSN on March 25, 2015, 03:25:23 PM
จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ ยกขบวนยานยนต์พรีเมี่ยมระดับโลก เปิดจองพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36





           พบกัน ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี อาคารชาเลนเจอร์ 1 บูธจากัวร์แลนด์โรเวอร์ 25 มีนาคม – 5 เมษายนนี้ วันธรรมดา 12.00-22.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 11.00-22.00 น.
          ซิตี้ ออโต้โมบิล ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการในประเทศไทย นำขบวนสุดยอดรถสปอร์ต สปอร์ตซีดาน และเอสยูวีสุดหรูที่การันตีด้วยรางวัลระดับโลก เปิดจองในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36 (The 36th Bangkok International Motor Show 2015) ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 5 เมษายน 2558 ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี อาคารชาเลนเจอร์ 1 เอาใจแฟนๆ ของสองแบรนด์ดังจากอังกฤษด้วยยานยนต์รุ่นท้อปของแต่ละคลาส อาทิ จากัวร์เอฟ-ไทป์ (F-type), จากัวร์ เอ็กซ์เอฟ (XF), จากัวร์ เอ็กซ์เจ (XJ) รวมไปถึง เรนจ์โรเวอร์ อีโวค, เรนจ์โรเวอร์ โวค, แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ และ ฟรีแลนเดอร์ นำเสนอขายในราคาพิเศษสุด พร้อมรับโปรโมชั่นและแพ็คเกจฟรีมากมายเฉพาะผู้ที่สั่งจองภายในงานเท่านั้น ทั้งการรับประกันตัวถังมาตรฐานนาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. บริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรีตลอด 24 ชั่วโมงนาน 5 ปี และ พิเศษ ส่วนลด 15% เมื่อซื้อชิ้นส่วนประดับยนต์ของแท้ พร้อมบริการติดตั้งและซ่อมบำรุงโดยช่างผู้ชำนาญงานของ ซิตี้ ออโต้โมบิล ที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานของจากัวร์แลนด์โรเวอร์
          นอกจากนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อผู้จัดจำหน่ายภายในงานเพื่อขอทดสอบสมรรถนะยานยนต์ (สำหรับรุ่นจากัวร์เอฟ-ไทป์ คอนเวอร์ทิเบิล, จากัวร์ เอ็กซ์เจ (XJ), จากัวร์ เอ็กซ์เอฟ (XF), และ เรนจ์โรเวอร์ อีโวค) โดยเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
          มร.ริชาร์ด เฮก ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด เปิดเผยว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่จะได้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36 ผ่านการนำเสนอขบวนยานยนต์ที่โดดเด่นของเรา โดยปี 2558 ยังเป็นปีที่ ซิตี้ ออโต้โมบิล กำหนดเปิดตัวโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ที่ทันสมัยครบวงจรบนถนนพระราม 4 เพื่อเป็นการขยายเครือข่ายศูนย์บริการของเราให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันเราบริหารโชว์รูมและศูนย์บริการ 3 แห่ง ได้แก่ เพรสทีจ มอเตอร์ คาร์ส ถนนวิทยุ, จีที คาร์ส ถนนเพชรบุรี และ จีบี ออโต้โมบิลส์ ในจังหวัดภูเก็ต เรายังมีแผนการลงทุนจัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยีและขยายเครือข่ายบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่มีต่อรถยนต์จากัวร์แลนด์โรเวอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ผ่านการนำเสนอบริการทั้งก่อนและหลังการขายชั้นเลิศระดับเวิลด์คลาสแก่ลูกค้าในประเทศไทย”
          ท่านสามารถค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับยานยนต์และข้อมูลเชิงเทคนิคได้ที่เว็บไซต์ www.landroverthailand.com และ www.jaguarthailand.com

MSN on March 25, 2015, 03:26:10 PM
Jaguar Land Rover shows entire award-winning model line-up at The 36th Bangkok International Motor show 2015





           The 36th Bangkok International Motor Show 2015, IMPACT Muang Thong Thani, Challenger 1 Booth Jaguar Land Rover; 25th March to 5th April; Weekdays: 12.00-22.00,
weekends: 11.00-22.00
          City Automobiles, Jaguar Land Rover’s only authorised distributor and service provider in Thailand, is pleased to showcase its complete line-up of sports cars, sports sedans and luxury SUVs at this year’s The 36th Bangkok International Motor Show 2015, held at Impact Muang Thong Thani from 25th March to 5th April 2015. The display comprises Jaguar F-TYPE, Jaguar XF, XJ, Range Rover Evoque, Range Rover Vogue, Land Rover Defender and Freelander each vehicle a recognised leader in its respective class globally. In addition, City Automobiles offers special pricing across the board with unique promotions available only during show days.
          Jaguar Land Rover customers also enjoy a standard 5-year, 150,000km warranty, 5 years roadside assistance, a 15% discount on accessories with free fitting, and excellent after-sales care provided by Jaguar Land Rover’s authorised distributor, City Automobiles. Customers wishing to organise test drives (Jaguar F-TYPE convertible, Jaguar XJ, XF and Range Rover Evoque) can book directly with JLR sales staff at the show.
          Richard Haigh, General Manager, City Automobiles Co. Ltd., said, “We appreciate the opportunity to get close to our customers at the 36th Bangkok International Motor Show, and look forward to showing our incredible range of vehicles. This year brings the launch of City Automobiles’ new flagship showroom and service centre at Rama 4, and so we look forward to growing our network of distributors which includes Prestige Motorcars on Wireless Road, GT Cars on Petchburi Road and GB Automobiles in Phuket. We continue to invest in building our capacity to grow the network further to cater to strong and increasing demand for JLR products in Thailand, offering best-in-class sales, serving and after-sales support.”
          Further product and technical information is available at www.landroverthailand.com or at www.jaguarthailand.com.

MSN on March 25, 2015, 03:27:48 PM
ไทยรุ่ง เปิดตัวรถยนต์ตรวจการณ์ สายพันธุ์แกร่ง TR TRANSFORMER MAX ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 36





           ไทยรุ่งฯ ผู้นำการออกแบบและผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ของไทย เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ TR TRANSFORMER MAX ซึ่งเป็นรถยนต์ตรวจการณ์หลังคาทรงสูง กว้าง โปร่ง โล่ง สบาย ทุกที่นั่ง พร้อมพื้นที่บรรทุกสัมภาระ กว้างสุด...เหนือใคร เพื่อให้เป็นรถยนต์ที่มีประโยชน์ใช้สอยสูงสุด ด้วยขนาดตัวถังและห้องโดยสารที่กว้างกว่ารถทั่วไปในระดับเดียวกัน สามารถจัดรูปแบบที่นั่งได้หลากหลาย ตั้งแต่ 5 – 11 ที่นั่ง และสามารถดัดแปลงให้ใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น รถพยาบาลฉุกเฉินภาคสนาม รถบรรเทาสาธารณะภัย รถควบคุมระบบสื่อสาร เป็นต้น อนาคต สามารถขยายตลาดไปยังประเทศในกลุ่ม AEC พร้อมเปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 36 ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม – 5 เมษายน 2558
          นายสมพงษ์ เผอิญโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้คิดค้นพัฒนารถตรวจการณ์ รุ่นนี้ให้มีคุณสมบัติเหนือกว่า คู่แข่ง รถ PPV ทั่วไปในประเทศ เพราะเป็นรถตรวจการณ์รุ่นเดียว ที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากถึง 11 ที่นั่งอย่างสะดวกสบายสุด เพราะมีขนาดห้องโดยสารที่กว้างที่สุด หลังคาทรงสูง สามารถรองรับผู้โดยสารที่มีความสูงถึง 175 ซม. ได้ทุกที่นั่ง สามารถปรับรูปแบบที่นั่งโดยสารได้หลากหลาย มีพื้นที่บรรทุกสัมภาระ มากที่สุดในรถระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีตัวถังยกสูง สามารถลุยน้ำได้ไม่น้อยกว่า 50 ซม. ยังคงมีเอกลักษณ์ที่ดูแข็งแรง บึกบึน ในสไตล์รถยนต์ตรวจการณ์ Off Road ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่หลากหลายอเนกประสงค์ ตั้งแต่ครอบครัวขนาดใหญ่ ที่รักการเดินทางท่องเที่ยว หน่วยงานเอกชน หรือข้าราชการที่ต้องการใช้รถยนต์ตรวจการณ์ในภารกิจต่าง ๆ รถยนต์รุ่นนี้ได้พัฒนาขึ้นบน โครงสร้างของรถยนต์ Pick Up Toyota Vigo ที่มีทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร 171 แรงม้า และ 2.5 ลิตร 143 แรงม้า ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องสมรรถนะที่ดีเยี่ยม มีค่าบำรุงรักษาต่ำ สามารถเข้ารับบริการด้านเครื่องยนต์และช่วงล่าง ได้ที่ศูนย์ บริการ Toyota ทั่วประเทศ ทั้งนี้บริษัทเชื่อว่า TR Transformer MAX จะเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะคุ้มค่า ด้วยรูปลักษณ์ตัวถังที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร จะทำให้ผู้ใช้รถยนต์มีความภูมิใจ ที่ได้ใช้รถยนต์ของคนไทยที่สวยงามไม่แพ้ใคร
          ทั้งนี้ บริษัทฯ ที่จะร่วมพัฒนารถยนต์รุ่นนี้กับหน่วยงานราชการ ต่าง ๆ ที่ต้องการใช้รถลักษณะพิเศษ เช่นทหาร ตำรวจ ป่าไม้ หน่วยงานบรรเทาสาธารณะภัย ฯ เพื่อช่วยให้ประเทศสามารถมีรถใช้งานตรงตามความต้องการ และช่วยประหยัดงบประมาณประเทศ ลดการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ อีกทั้งเป็นการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตชิ้นส่วนและยานยนต์ของไทย ในการวิจัยและพัฒนายานยนต์เพื่อให้สามารถพึ่งตนเอง และสร้างความมั่นคงในประเทศในยามเกิดภาวะสงครามได้อีกด้วย
          ทั้งนี้สามารถชมและสัมผัสได้ที่ งาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 36 ณ. บูธไทยรุ่ง ชาเลนเจอร์ 1 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม – 5 เมษายน 2558

MSN on March 25, 2015, 03:28:59 PM
มาสด้าส่งเทคโนโลยีสกายแอคทีฟเบนซินลงมาสด้า2 ใหม่ เขย่าตลาดเก๋งเล็ก เพิ่มทางเลือกที่ตอบทุกความต้องการตั้งเป้าขายสวนกระแสตลาด 5 หมื่นคัน





           บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังคงความแข็งแกร่ง เสริมทัพต่อยอดความสำเร็จจากเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล เปิดตัวแนะนำรถยนต์นั่ง ออลนิว มาสด้า2 สกายแอคทีฟใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 1300 ซีซี อย่างเป็นทางการ มาพร้อมความคุ้มค่า คุ้มราคา แถมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน เอาใจวัยรุ่นยุคดิจิตอลเชื่อมต่อกับโลกโซเชียลด้วยระบบ MZD Connect เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถยนต์บี-คาร์ ประกาศขึ้นแท่นผู้นำรถยนต์นั่งขนาดเล็กระดับพรีเมียมหนึ่งเดียวในคลาส วางราคาขายเริ่มต้นเพียง 5 แสนกว่าบาท พร้อมตั้งเป้าการขายสูงถึง 30,000 คัน
          นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าว มาสด้าถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่มุ่งมั่นเพื่อพัฒนารถยนต์นั่งซับคอมแพ็คคาร์ภายใต้มาตรฐานใหม่ ด้วยการแนะนำมาสด้า2 สกายแอคทีฟใหม่ ที่มีเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดลงในตลาดถึง 2 เครื่องยนต์ เพื่อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าชาวไทย ทั้งสกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1500 ซีซี ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงอยู่ในขณะนี้ และล่าสุดส่งเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1300 ซีซี ที่ให้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่เปี่ยมด้วยพลังแรง ให้กำลังสูงสุดที่ 93 แรงม้าที่ 5,800 รอบ แรงบิดสูงสุด 123 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ เป็นเครื่องยนต์เบนซินประสิทธิภาพสูงประหยัดน้ำมันสูงถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร พร้อมมาตรฐานด้านความปลอดภัยทั้งเชิงป้องกัน (Active Safety) และเชิงปกป้อง (Passive Safety) รวมถึงการออกแบบให้ผู้ขับขี่สามารถเพิ่มการรับรู้และการคาดการณ์ต่อสถานการณ์ที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ รถยนต์มาสด้า2 สกายแอคทีฟเบนซิน สกายแอคทีฟ-จี1.3L เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านมาตรฐานข้อบังคับมลพิษของยุโรป EURO 5 เป็นครั้งแรกของรถที่จำหน่ายในประเทศ ด้วยการปล่อยไอเสียต่ำเพียง 100 กรัมต่อกิโลเมตร อีกทั้งการใส่อุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันตอบสนองการใช้งาน ดังนั้นมาสด้า2 สกายแอคทีฟ-จี เบนซิน ใหม่ จึงเป็นรถยนต์ในกลุ่มบีเซ็กเมนต์ที่เหนือความคาดหมายของลูกค้า ซึ่งจะเข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ และจะเป็นทางเลือกสำคัญหนึ่งเดียวในคลาส
          การเสริมทัพในครั้งนี้มาสด้าวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของมาสด้า2 ออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความต้องการชัดเจนในเรื่องของการใช้งานของรถที่ให้สมรรถนะสูง มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดี คุณภาพและมาตรฐานการขับขี่ขั้นสูง กลุ่มที่สองคือกลุ่มลูกค้าที่เน้นเครื่องยนต์เบนซิน ต้องการรถที่ขับสนุก คล่องตัว ประหยัดน้ำมัน กลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหาความคุ้มค่าคุ้มราคา และเป็นรถยนต์ที่ให้อรรถประโยชน์มากกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน ซึ่งทั้งสองกลุ่มเป็นตลาดหลักที่สำคัญของตลาดรถยนต์ประเทศไทย สำหรับมาสด้า2 สกายแอคทีฟ ใหม่ ทั้งสองรุ่น มาสด้าตั้งเป้าการขายไว้สูงถึง 30,000 คัน และจะตัวจักรสำคัญที่จะช่วยผลักดันยอดจำหน่ายโดยรวมให้ประสบความสำเร็จในปีนี้ของมาสด้าที่ตั้งเป้าไว้สูงถึง 50,000 คัน โดยประมาณ หรือเพิ่มขึ้นถึง 40% ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 5.5% ในขณะที่ตลาดรถยนต์โดยรวมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 900,000 คัน
          จุดเด่นที่สำคัญของมาสด้า2 สกายแอคทีฟเบนซิน ใหม่ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ มาพร้อมรูปลักษณ์การออกแบบภายใต้ “โคโดะ ดีไซน์” ที่สุดของการดีไซน์ที่ผสานจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันงดงาม พร้อมเทคโนโลยีแห่งความปลอดภัยขั้นสูง มิติใหม่ของรถซับคอมแพ็คคาร์ระดับโลกที่สามารถเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำ MZD Connect ที่สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารบนโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา มาสด้าตั้งใจที่จะสร้างรถมาสด้า2 สกายแอคทีฟเบนซิน ใหม่ ให้แตกต่างเหนือชั้น ก้าวข้ามรถยนต์ที่มีอยู่ในตลาดทุกคัน เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ให้ประสิทธิภาพสูงและประหยัด ใส่อุปกรณ์มาตรฐานครบครัน คุณภาพที่พิถีพิถัน จึงมีความคุ้มค่าและทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย
          เป้าหมายในการสร้างมาตรฐานการออกแบบภายในขึ้นใหม่ให้โลกได้รับรู้ เราใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างจริงจังรวมถึงความพิถีพิถันในการขึ้นรูปทรงที่สวยงาม คุณภาพที่เหนือกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกัน การสร้างสิ่งแวดล้อมภายในห้องโดยสารที่ยึดเอาผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง การเลือกสรรและการผสมผสานคู่สีที่สวยงาม จนเป็นห้องโดยสารที่เพิ่มความเพลิดเพลินให้กับประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถมาสด้า2 สกายแอคทีฟเบนซิน 1.3 ลิตร ใหม่ ความสุขในทุกครั้งที่ได้อยู่บนรถคันนี้ ทำให้เกิดความกระตือรือร้นทุกครั้งและอยากจะขับรถคันนี้ให้บ่อยครั้งที่สุด
          เทคโนโลยี SKYACTIV-DRIVE คือ เกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด ที่รวมเอาข้อดีของเกียร์ทุกระบบเข้าไว้ด้วยกัน ให้อารมณ์ตอบสนองที่แม่นยำเฉกเช่นเกียร์ธรรมดา โดยกำลังจากเครื่องยนต์ถูกส่งไปยังตัวถังและล้ออย่างสมบูรณ์และลดการสูญหายของกำลัง จึงยังคงความแรงและให้ประสิทธิภาพของการประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม
          โครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟ SKYACTIV-BODY ซึ่งเป็นโครงสร้างของรถยนต์ยุคใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มีน้ำหนักที่เบาลงเหมาะสมกับขนาดและกำลังของเครื่องยนต์ และเพิ่มโลหะเกรดพรีเมียมเหล็กกล้าทนแรงดึงสูง (High Tensile Steel) ที่แข็งแกร่งแต่มีน้ำหนักเบาทดแทนเหล็กประเภทเดิม อีกทั้งยังเพิ่มจุดเชื่อมยึดเพื่อให้โครงสร้างหลักกับโครงสร้างส่วนอื่นของรถเป็นมวลเดียวกัน จึงให้ความมั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่า พร้อมทั้งประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น
          ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวสกายแอคทีฟ SKYACTIV-CHASSIS ให้ความรู้สึกในการขับที่เกาะถนนมั่นคง ขณะที่ความนุ่มนวลของช่วงล่างยังคงอยู่ ซึ่งระบบบังคับเลี้ยวระบบใหม่ให้ความมั่นใจในการควบคุมรถขณะเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ
          เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซินขนาด 1.3 ลิตร SKYACTIV-G และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-DRIVE ที่พัฒนาขึ้นใหม่เพื่อ อีกทั้งติดตั้งระบบ i-stop (idling stop system) และระบบช่วยประหยัดน้ำมันอัจฉริยะ i-ELOOP หรือระบบเปลี่ยนรูปพลังงานที่สูญเสียจากการชะลอหยุดรถกลับมาใช้ ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟเพื่อให้การประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม
          รถยนต์มาสด้า2 สกายแอคทีฟใหม่ สามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมากมาย ล่าสุดคือ Japan Car of the Year 2014 ประเทศญี่ปุ่น และรางวัล Germany Golden Steering Wheel จากประเทศเยอรมัน สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารถมาสด้า2 สกายแอคทีฟใหม่ ได้เอาชนะข้อจำกัดต่างๆ และสร้างมาตรฐานขึ้นมาใหม่ให้กับรถยนต์ในเซ็กเมนต์นี้แล้ว
          รถยนต์มาสด้า2 สกายแอคทีฟเบนซินใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 6 รุ่น ประกอบด้วยรุ่นแฮตช์แบค 5 ประตู 3 รุ่น และรุ่นซีดาน 4 ประตู 3 รุ่น สำหรับสีภายนอกเป็นอีกหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบรถยนต์มาสด้า และเป็นการนำเสนอรถยนต์ที่น่าดึงดูดใจ โดยสีภายนอกมีความสำคัญเช่นเดียวกับอุปกรณ์อื่นๆ สีใหม่ที่มาสด้านำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการพัฒนาแบบใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะของสีที่มีความงดงาม เงาวาวเป็นประกายเมทัลลิก ดูมีมิติเชิงลึก คือ สีแดง โซล เรด รถยนต์นั่งมาสด้า2 สกายแอคทีฟใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 8 สี ประกอบด้วย สีแดง โซล เรด, สีขาวมุก สโนว์เฟลก, สีน้ำตาล ไททาเนียม แฟลช, น้ำเงิน ไดนามิก บลู, สีเงิน อลูมินัม, สีดำ แบล็ก, สีขาว อาร์กติค ไวท์ และสีเทา เมโทรโปลิตัน เกรย์
          มาสด้าวางเป้าหมายเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กระดับพรีเมียมด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่เป็นอีกหนึ่งความสำคัญเพื่อให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้และเพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบสมรรถนะของเครื่องยนต์คลีนดีเซล ซึ่งหาไม่ได้จากรถในระดับเดียวกัน มาสด้านำมาพิจารณาในการนำมาสด้า2 สกายแอคทีฟเบนซินใหม่ ลงสู่ตลาดด้วยราคาเริ่มต้นที่ 5 แสนกลางๆ ในขณะที่รุ่นท็อป ซึ่งทั้งภายนอก ภายในมาพร้อมกับชุดเสริมความสปอร์ตที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ราคาเพียง 6 แสนกว่าบาท เมื่อเทียบคุณสมบัติและอุปกรณ์มาตรฐานที่มาสด้า2 ใหม่ มีมาให้กับราคา นับว่าเป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่งในตลาดที่คุ้มค่ามาก มาสด้า2 สกายแอคทีฟ ใหม่ มีให้เลือกด้วยกัน 6 รุ่นคือ
          Mazda2 Sports แฮตช์แบค รุ่น Standard เกียร์อัตโนมัติ ราคาจำหน่าย 550,000 บาท
          Mazda2 Sports แฮตช์แบค รุ่น High เกียร์อัตโนมัติ ราคาจำหน่าย 610,000 บาท
          Mazda2 Sports แฮตช์แบค รุ่น High Plus เกียร์อัตโนมัติ ราคาจำหน่าย 665,000 บาท
          Mazda2 Sedan รุ่น Standard เกียร์อัตโนมัติ ราคาจำหน่าย 550,000 บาท
          Mazda2 Sedan รุ่น High เกียร์อัตโนมัติ ราคาจำหน่าย 610,000 บาท
          Mazda2 Sedan รุ่น High Plus เกียร์อัตโนมัติ ราคาจำหน่าย 665,000 บาท
          นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการเปิดตัวรถยนต์มาสด้า2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ใหม่ ในงานมอเตอร์โชว์แห่งนี้แล้ว มาสด้ายังยกทัพยานยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟมากันครับทุกรุ่น อาทิ รถยนต์มาสด้า2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล ที่ทั้งแรงทั้งประหยัด โดยเฉพาะล่าสุดมาสด้าจัดกิจกรรม Mazda SKYACTIV Clean Diesel Challenge โดยการพิสูจน์อัตราการประหยัดน้ำมันจากกรุงเทพถึงประเทศมาเลเซียด้วยน้ำมันเพียงถังเดียว ซึ่งเป็นการทดสอบที่ออกแบบให้มีความใกล้เคียงกับการใช้งานจริงมากที่สุด ผลปรากฏว่ามาสด้า2 สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1.5L มีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 33.22 กิโลเมตรต่อลิตร
          อีกทั้งงานมอเตอร์โชว์นี้ยังมี รถสปอร์ตอเนกประสงค์เอสยูวี All New Mazda CX-5 ตามมาด้วยรถยนต์นั่งคอมแพ็คคาร์ All New Mazda3 พร้อมทั้งการเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเป็นสปอร์ตพรีเมียมของมาสด้า3 ให้มีความสดใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยรุ่นพิเศษ Mazda3 Racing Series ซึ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น หนึ่งเดียวแห่งจิตวิญญาณสปอร์ตพรีเมียม ยากที่ใครจะเหมือน เติมเต็มอารมณ์เรซซิ่งด้วยชุดแต่งแอร์โร่พาร์ทแท้จากประเทศญี่ปุ่นที่ดีไซน์เฉพาะตัว ทั้งสเกิร์ตหน้าและสเกิร์ตด้านข้างสีดำ และสปอยเลอร์หลังสีดำ มาพร้อมล้ออัลลอยด์สีพิเศษ Gun Metallic ขนาด 18 นิ้ว คอนโซลหน้าสีดำเปียโนแบล็ก พร้อมโลโก้ Racing Series เบาะหนังดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยวัสดุหนังสีดำ-แดงแต่งขอบด้วยด้ายแดง พร้อมโลโก้ Racing Series บนพนักพิงศีรษะ มีให้เลือก 2 สี คือสีขาวมุก สโนว์เฟลกและสีแดงโซล เรด วางราคาจำหน่ายเพียง 968,000 และ 973,000 บาท มีให้เลือกทั้งรุ่นแฮตช์แบคและซีดาน มาสด้ามีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าเสียงตอบรับอย่างดียิ่งของลูกค้าที่มีต่อเทคโนโลยี สกายแอคทีฟ ในรถยนต์ทุกรุ่นของมาสด้า จะส่งผลให้มาสด้าสามารถทำยอดจองในงานมอเตอร์โชว์แห่งนี้ได้ในอันดับต้นๆ ได้
          www.mazda.co.th

MSN on March 25, 2015, 03:30:49 PM
Mazda injects SKYACTIV technology into new Mazda2 gasoline to rattle the Thai small car market





           Japanese auto maker plans to reverse the trend with a sales target of 50,000 units in 2015
          With full confidence in the Thai economy, Mazda Sales (Thailand) Co. Ltd. is expanding its product portfolio with the official introduction of the all-new Mazda2 gasoline SKYACTIV. The Mazda2 gasoline is powered by a newly-developed SKYACTIV-G 1.3L engine boasting an average fuel economy of 23.3 kilometers per liter and comes with innovative safety technology as well as outstanding value-for-money. The MZD Connect system provides in-car online connection for modern customers and sets a new standard in the B-segment. The premium Mazda2 is expected to become the best-selling model in the subcompact car market, with prices starting in the Bt500,000-plus neighborhood. The sales target for the Mazda2 is 30,000 units per year.
          Mr. Hidesuke Takesue, President of Mazda Sales (Thailand) Co. Ltd., said Mazda is the first manufacturer to develop a subcompact car with a new set of standards. “The all-new Mazda2 SKYACTIV is equipped with the two best engines in the market, and represents the best choice for Thai customers,” he said.
          “The 1.5-liter SKYACTIV Clean Diesel engine is enjoying tremendous popularity and we are completing the Mazda2 model range with the introduction of the 1.3-liter SKYACTIV-G engine which offers outstanding performance of 93hp/ 5,800 rpm with the highest torque of 123 nm/ 4,000 rpm. It is an efficient gasoline engine that offers fuel economy of 23.3 kilometers per liter. It comes with a host of standard safety features both active and passive safety. The Mazda2 SKYACTIV-G 1.3L offers eco-friendliness with just 100g/km of carbon dioxide emissions allowing it to be the first model in Thailand to pass the stringent EURO 5 emission standards. This makes the Mazda2 a premium model in the B-segment that exceeds customer expectations, and it will penetrate the market as the top pick in its segment,” Mr. Takesue added.
          With the addition of the Mazda2 gasoline, Mazda plans to cater to two major customer groups. The first group consists of Mazda2 Clean Diesel buyers who are from the new generation and have individual preferences. They have clear requirements in terms of wanting a high performance car with good fuel economy, offering both high driving quality and standard. Meanwhile, Mazda2 gasoline buyers want a car that is fun to drive, agile with high fuel economy. They look for high value-for-money and superior features than the competition.
          “These two groups are considered as a major market for Thailand. For both Mazda2 models, the combined sales target is 30,000 units per year, which will help drive up Mazda’s total sales to 50,000 units, a surge of 40 per cent compared to the last year, and equivalent to a market share of 5.5 per cent from the projected 900,000 vehicles to be sold in 2015,” he said.
          The all-new Mazda2 gasoline oozes with the complete SKYACTIV technology and features the “KODO: Soul of Motion” design philosophy that combines the beauty of movement with high-level safety technology. Online communication is provides through the MZD Connect system, allowing continuous interactions with the world of social media.
          Through the all-new Mazda2 SKYACTIV-G, Mazda intended to set a new benchmark in the subcompact car market whether in terms of design or technology that is highly efficient and offers high fuel economy. The standard features are well-equipped with attention to detail in manufacturing, making the all-new Mazda2 SKYACTIV a great value for money car that everyone can own.
          Regarding the interior, Mazda looked into every detail and made sure that the Mazda2 offered higher quality than other cars in its segment. The interior provides a driver-oriented atmosphere and comes with well-match color schemes, making it highly enjoyable to be in and own. The Mazda2 is a car that arouses the senses, making you want to drive it as often as possible.
          The SKYACTIV-DRIVE is a 6-speed automatic transmission that combines the benefits of every transmission systems, providing the driver with the responsiveness of a manual gearbox. As the engine power is transmitted to the wheels with much less loss along the way, performance is maintained whereas fuel economy is much improved.
          The SKYACTIV-BODY structure is developed to be lighter and matches the size and output of the engine. High-tensile steel, which is more rigid and lighter, has been introduced while the continuous bonding was implemented to offer higher stability, safety and fuel economy.
          The lightweight SKYACTIV-CHASSIS provides stable road handling while maintaining comfort of the suspension. The new electric power steering system facilitates confidence while cornering as well.
          The 1.3-liter SKYACTIV-G engine and the newly-developed 6-speed SKYACTIV-DRIVE also features the i-stop idling stop system and the i-ELOOP Brake Energy Regeneration System which team up to offer excellent fuel economy. The all-new Mazda2 SKYACTIV-G has won numerous awards from around the world, including the Japan Car of the Year 2014 and the German Golden Steering Award. These awards are proof that the all-new Mazda2 has overcome the boundaries and have set a new benchmark in the subcompact car segment.
          The all-new Mazda2 SKYACTIV-G is available in 6 different grades– 5-door hatchback and sedan -- each with three trim levels. The exterior color is an important factor when designing a new Mazda model, as helps establish an exciting presentation to the product, as much as other equipment. The new color that Mazda is offering, particularly Soul Red, has been developed using unique paint technologies and offer exceptional shine and dimension. The new Mazda2 SKYACTIV is available in attractive 8 colors – Soul Red (which is the color used for the launch), Snowflake White Pearl, Titanium Flash, Dynamic Blue, Aluminum Metallic, Black Mica, Arctic White and Metropolitan Grey.
          The Mazda2 range aims to cover the premium small car segment with an attractive pricing strategy which allows everyone to become an owner, as well as catering to customers who favor the unrivalled performance of the SKYACTIV-D power plant. Prices of the all-new Mazda2 start in the mid-Bt500,000 neighborhood while the top version that comes fully-equipped both inside and out, is priced at Bt600,000-plus. When comparing retail prices and the equipment level offered, the Mazda2 emerges with one of the best value-for-money in the market. The 6 trim levels are as follows:

          Mazda2 Sports Standard Hatchback Automatic Price 550,000 Baht
          Mazda2 Sports High Hatchback Automatic Price 610,000 Baht
          Mada2 Sports High Plus Hatchback Automatic Price 665,000 Baht
          Mazda2 Standard Sedan Automatic Price 550,000 Baht
          Mazda2 High Sedan Automatic Price 610,000 Baht
          Mazda2 High Plus Sedan Automatic Price 665,000 Baht
          Mr. Takesue added that apart from introducing the all-new Mazda2 gasoline at the Bangkok International Motor Show, Mazda has also brought along other SKYACTIV models such as the Mazda2 SKYACTIV Clean Diesel that is both powerful and economical. At the recently-staged Mazda Clean Diesel Challenge from Bangkok to Malaysia using just one tank of fuel, the Mazda2 diesel was able to achieve a highly impressive fuel economy of 33.22km/l.
          Also being displayed at the Mazda booth is the CX-5 sport utility vehicle and the Mazda3. The Mazda3, in particular, will get a special customization in order to further express its premium character with the Racing Series limited-edition model. Featuring a complete package of aerodynamic parts from Japan including black front apron, side skirts and rear spoiler, the Mazda3 Racing Series runs on special 18-inch Gun Metallic rims. Inside you will find a black piano console with Racing Series logo, newly-design leather-upholstered seats with red trim, red stitching and Racing Series logo on the headrest. Two body colors are available – Snowflake White Pearl and Soul Red priced at Bt968,000 and Bt973,000 respectively – and both hatchback and sedan body styles are available.
          Mazda is confident that the positive response from customers to the SKYACTIV technology in every Mazda model will help increase the number of orders placed for Mazda vehicles at the Bangkok International Motor Show, putting Mazda in the forefront.

MSN on March 25, 2015, 03:32:10 PM
นิสสัน ตอกย้ำการก้าวสู่ความเป็นยุคใหม่ ยกขบวนรถนิสสัน 9 รุ่น เอาใจลูกค้าทุกกลุ่มในงาน บางกอก อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36 พร้อมอัด 3 แคมเปญพิเศษ ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดในงาน 10%







           นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยกทัพรถนิสสันมาจัดแสดงในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36 นี้ ครบทุกเซกเมนต์ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม ตอกย้ำพันธะสัญญาของบริษัทในการสร้างนวัตกรรมที่ตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมแนะนำข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับรถยนต์ทุกรุ่น
          ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 36 บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดแสดงยานยานยนต์ บนพื้นที่ 1,728 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด นวัตกรรมที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจ Innovation that excites โดยนิสสันได้นำรถยนต์มาจัดแสดงรวมทั้งสิ้น 9 รุ่น คือ นิสสัน เทียน่า นิสสัน ซิลฟี นิสสัน ลิวิน่า นิสสัน มาร์ช และ นิสสัน เออร์แวน และอีก 4 รุ่นที่นับเป็นไฮไลต์ คือ นิสสัน จู๊ค ใหม่ นิสสัน เอ็กซ์เทรล ใหม่ นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา และ นิสสัน อัลเมร่า รุ่นสปอร์ตเทค
          นายประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ใน งานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36นี้ นิสสันมีความภูมิใจอย่างยิ่งที่จะได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สรรสร้างจากนวัตกรรมที่ตื่นเต้นเร้าใจและครบครันด้วยรถยนต์ทุกเซกเมนต์ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และด้วยนวัตกรรมอันล้ำสมัย ดีไซน์ที่โดดเด่น เทคโนโลยีอัจฉริยะ ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และให้ความปลอดภัยที่เหนือระดับ ของรถยนต์นิสสัน ทุกรุ่น คาดว่า นิสสันจะได้รับความสนใจและตอบรับจากลูกค้า โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดจากยอดจองในงานประมาณ 10%”
          สำหรับโปรโมชั่นสุดพิเศษจากนิสสัน ในงานมอเตอร์โชว์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันนี้ จนถึง 5 เมษายน มีข้อเสนอพิเศษ ต่างๆ ให้ลูกค้าได้เลือก เช่น ดาวน์ต่ำ 5% หรือ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% หรือ ฟรีประกันภัยชั้น 1 ในรถยนต์หลากหลายรุ่น
          บูธของนิสสันในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 36 ถูกออกแบบโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการสร้างสรรค์เทคโนโลยีพร้อมกับอุปกรณ์สื่อสารรูปแบบต่างๆ ภายใต้วงแหวนแห่งประสบการณ์ โดยจะเน้นการถ่ายทอดสัมผัสแห่งความปิติยินดีที่นำเสนอจากความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจในอดีตของนิสสันในฐานะที่เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตยานยนต์ที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำด้านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ของนิสสัน ผู้เข้าชมงานภายในบูธนิสสันยังจะได้สัมผัสกับกลิ่นหอมของอโรมา ที่จะทำให้ผู้เข้าชมงานรู้สึกผ่อนคลาย และเพลิดเพลินไปกับการเลือกชมผลิตภัณฑ์ที่สนใจได้เป็นอย่างดี
          สำหรับรถยนต์ 4รุ่น ไฮไลต์ ที่นิสสัน ภูมิใจนำเสนอ ในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ คือ นิสสัน เอ็กซ์เทรล ใหม่ รถอเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยม ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการออกแบบใหม่ด้วยภายนอกและภายในที่โดดเด่นเหนือใคร ประณีต ใส่ใจทุกรายละเอียด ผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกในกลุ่มรถยนต์ประเภทนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลอัจฉริยะ 3 มิติ ขนาด 5 นิ้ว แสดงผลข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการขับขี่ และไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ระบบกล้องมองรอบทิศทาง 360 องศา ระบบช่วยลดความเร็วอัตโนมัติ และระบบช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ ส่วนพื้นที่ภายในแบบ 3 แถว และที่นั่งแบบ 5+2 ที่ ซันรูฟแบบพาโนรามิค และประตูท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกสบายและพื้นที่ใช้สอย สนุกและเชื่อมต่อสังคมออนไลน์ง่ายๆด้วย NISSAN CONNECT ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ที่รื่นรมย์อย่างเหนือระดับ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีด้วยยอดขายรวมกว่า 3,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
          นิสสัน จู๊ค ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Bold and Futuristic Design ด้วยดีไซน์สปอร์ตสุดเท่ เพิ่มความดุดันด้วยไฟรี่ LED รูปทรงใหม่แบบ Boomerang Shape ล้ำสมัยและเฉียบคมด้วยกระจังหน้า กันชนหน้า และกันชนท้ายใหม่ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ คนรุ่นใหม่ นำเทรนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยกับระบบสื่อสาร EZ Talk ใส่ความปลอดภัยเต็มขั้น ด้วยถุงลม 6 จุดรอบคัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถยนต์ประเภทคอมแพค สปอร์ตครอสโอเวอร์ ด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านคัน ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และกว่า 1 หมื่นคันในประเทศไทย นับตั้งแต่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2556 ที่ผ่านมา
          นิสสัน เอ็นพี 300 นาวารา ครบทุกตัวถัง ได้แก่รุ่นซิงเกิ้ล แค็บ รุ่นคิง แค็บ และ รุ่นดับเบิ้ล แค็บ รวมไปถึงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล และรุ่นเบนซิน โดยทุกรุ่นได้รับการติดตั้งกล้องมองหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่รุ่นซิงเกิ้ล แค็บ มีการติดตั้งที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้างเพื่อความสดวกในการใช้งาน ทำให้นิสสันครบครันด้วยรถกระบะครบทุกการใช้งาน ตอกย้ำชื่อเสียงอันโดดเด่นในสมรรถนะพันธุ์แกร่งของรถกระบะนิสสัน พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทุกระดับ
          สุดท้าย นิสสัน อัลเมร่า รุ่น สปอร์ตเทค รถอีโค คาร์ ซีดาน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย ซึ่งได้ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้นิยมความเป็นรถสปอร์ต ด้วยกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมช่องกันชนล่างลายรังผึ้งแบบสปอร์ต กระจังหน้าแบบโครเมียม รมดำ สเกิร์ตด้านข้างและด้านหลัง ไฟหน้าฮาโลเจนพร้อมด้วยภายในสีโครเมียม รมดำ ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน พร้อมกับล้ออัลลอยด์ใหม่ขนาด 15 นิ้ว สีรมดำพิเศษ และโลโก้รุ่นด้านท้าย Sportech และพวงมาลัยหุ้มหนัง ทั้งหมดนี้เป็นการออกแบบเพื่อให้อัลเมร่า สปอร์ตเทค เป็นรถที่ดูทันสมัยแต่เต็มไปด้วยพละกำลัง
          พบกับข้อเสนอสุดพิเศษอื่นๆที่น่าสนใจได้จากโปรแกรม Nissan Easy Pay ผู้สนใจสามารถสัมผัสและเยี่ยมชมนวัตกรรมรถยนต์นิสสันได้ที่บูธภายในงานตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม ถึงวันที่ 5 เมษายน 2558 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลส์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

MSN on March 25, 2015, 03:33:13 PM
Nissan showcases full line-up of nine models at the 36th Bangkok International Motor Show







          Leading with a passion for “Innovation that excites” to fulfill customer demands and meet lifestyle expectations
          Nissan Motor (Thailand) Co., Ltd., one of the world’s leading manufacturers of innovative, exciting automobiles, reaffirms its passionate mindset focusing on “Innovation that excites” with a full line-up of the nine Nissan models available in Thailand, at the 36th Bangkok International Motor Show, 25 March – 5 April 2015, Challenger 1-3, IMPACT Muang Thong Thani.
          “Over the past five years after launching the first eco car in Thailand - Nissan March in 2010 and the first eco-car sedan in Thailand - Nissan Almera in 2011, Nissan Motor Thailand has transformed itself completely into a company that leads with innovation: making advanced high-end technology accessible to the mainstream market. We are focused on introducing new products with cutting-edge features for safety, comfort, and enjoyable driving. Most importantly, the nine models already launched in Thailand have all met with great global success, thus we are confident that they can satisfy all the demands and lifestyles needs of our Thai customers,” said Mr.Prapat Choeychom, Senior Vice-President Marketing and Sales of Nissan Motor (Thailand).
          Mr.Prapat noted that in addition to Nissan’s passion for innovation in technology and design, Nissan has also concentrated on a rapid expansion of customer support networks so that Nissan drivers’ ownership experience meets or exceeds their expectations in every respect.
          Our sales and dealer network has expanded rapidly in terms of both number and quality, from 156 dealers in 2010 to 209 today, and we expect to have nation-wide 220 dealers by the end of this year. This means there is a Nissan dealer near every customer and potential customer.
At the same time we have invested heavily in expanding and strengthening our after sales service capacity in terms of training, equipment and availability of genuine, value-for-money spare parts and accessories.
          Nissan’s high profile booth at the motor show, under the concept of “Innovation that excites”, occupies 1,728 sq m of space. The highlights are the four models with advanced technology, in- trend design, environment friendly and good safety, namely, New Nissan JUKE, All-New Nissan X-Trail, Nissan NP300 Navara and Nissan Almera Sportech.
          Highlights of Nissan vehicles at the 36th Bangkok International Motor Show:
          New Nissan Juke:
          The New Nissan Juke, the 1.6L unique sport crossover, is newly refreshed from front to rear with a bolder, futuristic design. The Juke minor change comes with six airbags for added safety, “EZ Talk” and Digital Signal Processing (DSP) which enhance driving pleasures while the I-CON system allows drivers to adjust driving modes and climate the way they like. Since its launch in Thailand in late 2013, more than 10,000 units of Nissan Juke have been sold. Today, on a global scale, more than one million units of Juke are serving satisfied customers on streets in Japan, Europe, North America, as well as in other regions.
          All-New Nissan X-Trail:
          The 5+2 seat SUV Nissan X-Trail features “first-in-segment” advanced safety and comfort technologies, such as the Auto-Lift Gate, Around-View Monitor (AVM) and Advanced Chassis Control, which includes Active Engine Brake (AEB), Active Ride Control (ARC), and Active Trace Control (ATC). The Nissan X-Trail is the Number One SUV in Japan, and it has been well-received by customers in every market, including Thailand.
          The Nissan X-Trail is available in four variants: 2.0S CVT 2WD, 2.0E CVT 2WD, 2.0V CVT 4WD, and 2.5V CVT 4WD. The MR20DD, 2.0L gasoline engine in the Nissan X-Trail is newly developed with Direct Injection for added fuel economy, churning out 144 HP while the 2.5L QR25DE engine produces 171 HP.
          Nissan NP300 Navara:
          Raising the bar of the pick-up market in Thailand, the Nissan NP300 Navara now offers a full model line-up for both heavy-duty commercial and private uses with gasoline and diesel engines available in all variants: Double-Cab, King-Cab, and Single-Cab. Most importantly, the Single-Cab NP300 Navara is the first in its segment to offer rear-view
camera
and side-steps, which enhance safety while making loading and unloading easier for users.
          The Nissan NP300 Navara is equipped with a 2.5-litre engine, producing the highest horsepower at 190 HP with improved fuel efficiency. A wide-range 7-speed automatic transmission helps ensure fuel economy and a smoother ride. With a full-length, fully boxed ladder frame, the NP300 Navara has proven to be one of the toughest pickups on the road by adding torsional stiffness to enhance performance.
          Nissan Almera Sportech:
          In 2011, Nissan strengthened its pioneering spirit with the introduction of the first eco-car sedan in Thailand, the “Nissan Almera”. Strongly acclaimed for its roominess, fuel efficiency, and unmatched value for money, the Nissan Almera remains the Number One Eco-car Sedan in the market until today. Recently the company introduced the “Nissan Almera Sportech”, a refreshed version with sportier features, including Daytime Running Lights, sporty aero parts, and a bolder Smoke Chrome-design front grille and alloy wheels.
          Also showcased at the Nissan Booth at the 36th Bangkok International Motor Show are five other exceptional Nissan models: the ultimate luxury sedan, the “Nissan Teana”; the premium design that comes with fuel efficiency, the “Nissan Sylphy”; the impressively agile, with enhanced visibility, “Nissan March”; the 16-seat, with 18 air conditioning outlets, powerful commercial vehicle “Nissan Urvan”; and the multi-utility vehicle for all lifestyles “Nissan Livina”.
          Nissan offers a wide range of special promotional campaigns for each model at the 36th Bangkok International Motor Show, as well as at Nissan showrooms nationwide, including the lowest 5-percent down payment, free first-class auto insurance, and interest-free financial programs. The promotions start from 25 March until 5 April. Challenger Hall 1-3 Impact Maung Thong

MSN on March 25, 2015, 03:35:16 PM
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ รถอเนกประสงค์ล้ำสมัย เปี่ยมสมรรถนะและเทคโนโลยีเหนือชั้นพร้อมลุยตลาดอาเซียน



          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับแก่ผู้บริโภค ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการผสมผสานความสมบุกสมบันแบบออฟโรดเข้ากับการขับขี่ที่เหนือชั้นและความคล่องตัวที่เกินความคาดหมายจากรถอเนกประสงค์ทั่วไป
          รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งรุ่นล่าสุด มาพร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวและบึกบึน ประณีต โครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบ Terrain Management System (TMS) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคในทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจ
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมระบบช่วงล่างอันล้ำสมัยเพื่อช่วยให้การขับขี่ราบรื่น นุ่มนวล โดยไม่ทิ้งความคล่องตัวในการขับขี่ ห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่ง กว้างขวาง ดูหรูหรา ทันสมัยและประณีตในทุกรายละเอียด
          เทคโนโลยีอัจฉริยะรวมถึงระบบสั่งงานด้วยเสียงซิงค์ 2 ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ระบบตรวจจับรถในจุดบอด พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด ได้รับการติดตั้งในรถระดับนี้เป็นครั้งแรกทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์ที่ล้ำสมัยที่สุดในตลาด
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 แบบพับเรียบด้วยระบบไฟฟ้า และ ประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า เป็นครั้งแรกในรถระดับนี้ เพื่อความอเนกประสงค์และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
          ราคาในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 1,269,000 บาท พร้อมเปิดรับจองในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์

          วันนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย สร้างนิยามใหม่ให้กับตลาดรถอเนกประสงค์ในอาเซียนด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยวและบึกบึน พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ผสานสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดและภายในหรูหรา ทันสมัยสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 คน
          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในโชว์รูมของเราทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนด้วยสมรรถนะที่ครบครันของความเป็นรถอเนกประสงค์ ที่มาพร้อมความสะดวกสบายเหมาะเป็นรถสำหรับครอบครัวและสามารถใช้ในเส้นทางสมบุกสมบันได้” มร.แมท แบรดลีย์ ประธานฟอร์ด อาเซียน กล่าว “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เป็นรถที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ภายนอกถึงภายใน พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเป็นครั้งแรกสำหรับรถระดับนี้ มอบความคุ้มค่าเหนือกว่ารถอื่นๆ ในเซ็กเม้นต์เดียวกัน”
          ภายใต้รูปลักษณ์ดุดันที่สะท้อนถึงความสมบุกสมบันและเทคโนโลยีล้ำสมัย ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบครันทั้งความแข็งแกร่ง เทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย ดีไซน์สวยสะดุดตา และสมรรถนะเพื่อการขับขี่แบบออฟโรดเต็มรูปแบบ โดยที่ยังรักษาความเป็นรถยนต์ที่ขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดไว้ได้อย่างครบถ้วนด้วยความคล่องตัวบนท้องถนน พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทั้งหรูหราและสะดวกสบาย
          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะเปิดโอกาสให้เราได้ขยายตลาดในภูมิภาคนี้ได้กว้างขึ้น ด้วยรถยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถพาผู้ขับขี่ เพื่อนๆ สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานไปยังทุกจุดหมายได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือบนเส้นทางแบบออฟโรดอันสมบุกสมบัน” มร. ริชาร์ด ทิลลี่ ผู้อำนวยการฝ่ายยานพาหนะ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว “ด้วยสมรรถนะอันเป็นเลิศทั้งหมดนี้ ทำให้รถยนต์อเนกประสงค์ของเราในภูมิภาคนี้ ทั้งฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างครบถ้วน”
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เป็นผลงานการสร้างสรรค์ขึ้นโดยทีมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งยังนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดรถอเนกประสงค์ทั่วโลกของฟอร์ดมาใช้ ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถสานต่อความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านความทนทานและความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ทั้งนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะมีให้เลือกทั้งในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ
          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของฟอร์ดในการพัฒนารถยนต์คุณภาพเยี่ยมที่เหนือความคาดหวังของลูกค้า” มร. ทิลลี่ กล่าวเสริม “กระบวนการพัฒนาฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายให้สูงไว้ก่อน ซึ่งในที่สุดเราก็ประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์รถยนต์อเนกประสงค์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านการออกแบบและสมรรถนะการขับขี่ พร้อมมอบเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมายทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ เหนือชั้นกว่า ปลอดภัยกว่า และมีสมรรถนะเหนือกว่าที่เคย”
?
ดุลยภาพแห่งสมรรถนะ ความพร้อมลุยแบบออฟโรด และนุ่มสบายบนท้องถนน
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีความทนทานในระดับแถวหน้าของตลาด พร้อมฝ่าฟันทุกเส้นทาง ด้วยโครงสร้างแบบบอดี้ออนเฟรม ทำให้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่มีตัวถังที่แข็งแกร่ง เหมาะสมกับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน นอกจากนี้ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ ระบบเกียร์แบ่งกำลังพร้อมระบบควบคุมการจ่ายแรงบิด (Torque on Demand) ระบบ Terrain Management System ความสูงจากพื้นรถ ถึง 225 มิลลิเมตร สูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน พร้อมลุยน้ำได้ที่ความลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตร ทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ สามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ รับมือกับทุกสภาพพื้นผิวการขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระบบ Terrain Management System จึงมาพร้อมกับโหมดตั้งค่าการขับขี่พิเศษสี่แบบ 1. สำหรับพื้นผิวทั่วไป 2. พื้นหิมะ/กรวด/หญ้า 3. พื้นทราย และ 4. พื้นหินขรุขระ โดยที่แต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่าอัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ ส่วนในกรณีที่ต้องเผชิญกับเส้นทางออฟโรดสุดหฤโหด ผู้ขับขี่ก็สามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อที่อัตราทดรอบต่ำเพื่อการควบคุมรถได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
          นอกเหนือไปจากสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรดแล้ว รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นนี้ยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและมอบความคล่องตัวในระดับที่เหนือความคาดหมาย ด้วยช่วงล่างแบบคอยล์สปริงหน้า-หลัง พร้อม วัตต์ลิงค์ที่เพลาหลัง มอบความสะดวกสบาย รวมถึงการเกาะถนนอย่างดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกสนุกในการขับขี่ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของฟอร์ดไว้ได้อย่างเต็มรูปแบบ
เทคโนโลยีล้ำสมัย มอบความสะดวกสบายและปลอดภัยอย่างเหนือชั้น
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมายที่พร้อมสร้างประสบการณ์การขับขี่อันสุดพิเศษ จนถือเป็นหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์แบบออฟโรดที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา นับเป็นการต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในระดับโลกของฟอร์ดด้านการสร้างสรรค์รถยนต์อเนกประสงค์ที่ดีเยี่ยม
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ติดตั้งระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 2 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อการสื่อสารภายในรถรุ่นล่าสุดจากฟอร์ด ผู้ขับขี่จึงสามารถใช้เสียงสั่งการอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับตัวรถได้อย่างเป็นธรรมชาติและสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ระบบ ซิงค์ 2 ยังมาพร้อมจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ที่ใช้งานง่ายด้วยเมนูควบคุมที่แบ่งจอออกเป็น 4 มุม และใช้สีที่แตกต่างกันบ่งบอกถึงฟังก์ชันการใช้งานหลักๆ อย่างชัดเจน พร้อมระบบเพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบด้วยลำโพงคุณภาพสูงถึง 10 ตัวรวมซับวูฟเฟอร์ มอบเสียงที่ชัดเจนพร้อมเสียงเบสทุ้มลึกและหนักแน่น
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอีกมากมายที่ไม่เคยปรากฏในรถอเนกประสงค์รุ่นใดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (Blind Spot Information System หรือ BLIS) พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ซึ่งจะคอยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่มีรถคันอื่นอยู่ในจุดบอด หรือมีรถตัดผ่านในขณะถอยออกจากซองจอด
          เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ ที่มีอยู่ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้แก่ ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ (Roll Stability Control) และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) ที่ทำงานสอดประสานกับระบบควบคุมการเกาะถนนเพื่อความมั่นใจสูงสุดขณะขับขี่ ส่วนระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) จะช่วยให้การนำรถเข้าจอดเทียบข้างเป็นเรื่องง่าย โดยที่ผู้ขับขี่จะควบคุมเพียงแค่การเหยียบคันเร่ง เข้าเกียร์ และเบรก โดยไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัย โดยเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกในตลาดรถอเนกประสงค์ระดับเดียวกันในประเทศไทย
          นอกเหนือจากเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเหล่านี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ยังปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนด้วยโครงสร้างห้องโดยสารที่แข็งแกร่งด้วยวัสดุสุดทนทานอย่างเหล็กโบรอน และอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย เช่นถุงลมนิรภัย 7 จุด เพื่อป้องกันผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน เป็นต้น
ไปได้ไกลกว่า กับขุมพลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมัน
          สมรรถนะอันเหนือชั้นของ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มาจากขุมพลังของเครื่องยนต์ดีเซล 2 รุ่น ในตระกูลดูราทอร์คของฟอร์ดที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด โดยเทคโนโลยีอันทันสมัยทำให้ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและมอบสมรรถะในการขับขี่ที่เป็นเลิศ
          สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังและแรงบิดสูงสุดเพื่อใช้ในการลากจูง เครื่องยนต์ดีเซลดูราทอร์ค ทีดีซีไอ ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบรุ่นล่าสุด ให้กำลังสูงสุด 147 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุดถึง 470 นิวตันเมตร มอบประสิทธิภาพเหนือระดับด้วยคุณสมบัติใหม่มากมาย รวมถึงระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
          สำหรับผู้ที่มองหาเครื่องยนต์ที่ยังคงความประหยัดน้ำมันโดยไม่สูญเสียสมรรถนะการขับขี่ ฟอร์ดพร้อมนำเสนอเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 118 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุดถึง 385 นิวตันเมตร
ความชาญฉลาดในการออกแบบเพื่อตอบสนองต่อการใช้งาน
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ โดดเด่นด้วยด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวแต่แข็งแกร่ง สื่อถึงสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้นและเทคโนโลยีล้ำสมัยที่อยู่ภายใน ส่วนหน้ารถที่ดุดัน ไฟหน้าขนาดใหญ่ พร้อมไฟวิ่งกลางวันแอลอีดี อันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ดควบคู่กับตัวถังที่ผ่านการทดสอบทางอากาศพลศาสตร์โดยละเอียดทุกขั้นตอน จนเกิดเป็นผลงานการออกแบบที่ผสมผสานความสวยงามและประสิทธิภาพเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
          ห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มอบความหรูหราโดดเด่นด้วยวัสดุคุณภาพสูง และเส้นสายรอบคันที่สอดประสานกันอย่างกลมกลืนและลงตัวภายในห้องโดยสาร 7 ที่นั่งที่ทั้งสวยงาม นั่งสบาย และใช้งานสะดวกด้วยคุณสมบัติมากมาย ทั้งหลังคาแบบพาโนรามิคมูนรูฟขนาดใหญ่ ประตูท้ายรถเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ช่องเก็บของกว่า 30 ช่อง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับเบาะหน้าและเบาะหลัง ที่นั่งและพื้นที่เก็บของที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับทุกการใช้งานได้ โดยเบาะนั่งแถวที่สองและสามสามารถพับเก็บให้แบนราบได้ทั้งสองแถว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานและการบรรทุกสัมภาระได้อย่างลงตัว
          เพื่อให้ห้องโดยสารปราศจากเสียงรบกวน ฟอร์ดจึงได้ติดตั้งเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน ไว้ภายในตัวรถ ทั้งยังพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย
          เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน มีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกับการต้านเสียงรบกวนของหูฟังระดับพรีเมียม โดยภายในห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีไมโครโฟนจำนวน 3 ตัวที่ทำหน้าที่ตรวจจับและวัดระดับเสียง ก่อนที่ระบบควบคุมและเครื่องเสียงในตัวรถจะทำการสังเคราะห์คลื่นเสียงที่ตรงข้ามกันเพื่อหักล้างกับเสียงรบกวน จึงทำให้ห้องโดยสารเงียบสนิท ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถพูดคุยกับผู้โดยสารในแถวที่สามได้โดยไม่ต้องใช้เสียงดัง
          “ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ครบครันด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยและระบบป้องกันความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม และสุดยอดสมรรถนะสำหรับทุกการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นการลุยแบบออฟโรด และนุ่มสบายบนท้องถนน จึงถือเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดกลาง และสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์รถยนต์อเนกประสงค์ของฟอร์ดสำหรับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้เป็นอย่างดี” มร. ทิลลี่ กล่าว “เราได้นำเอาความเชี่ยวชาญในการออกแบบและพัฒนารถยนต์ทั่วโลก และประสบการณ์อันยาวนานในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ มาผสมผสานกันเพื่อสร้างสรรค์รถยนต์คุณภาพที่เหนือกว่าความคาดหมายของลูกค้าอย่างแท้จริง”
          ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะผลิตที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง ผู้สนใจสามารถจอง ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมฟอร์ดทุกสาขาทั่วประเทศ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1,269,000 บาท สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม แบบขับเคลื่อนสองล้อ ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 3.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคาอยู่ที่ 1,459,000 บาท และสำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ไทเทเนี่ยม พลัส แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ราคาอยู่ที่ 1,599,000 บาท โดยการส่งมอบรถจะเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีสีให้เลือก5 สี ได้แก่สีขาว คูล ไวต์ (Cool White) สีดำ แบล็ก ไมก้า เมทัลลิก (Black Mica Metallic ) สีเงิน อะลูมินัม เมทัลลิก (Aluminum Metallic) สีทอง สปาร์คลิ่ง โกล์ด เมทัลลิก (Sparkling Gold Metallic) และสีแดง ซันเซต เมทัลลิก (Sunset Metallic)

MSN on March 25, 2015, 03:36:24 PM
Ford’s Smart New Everest Brings Refinement and Rugged Capability to the ASEAN SUV Market



          The new Ford Everest goes far beyond what consumers in Southeast Asia expect from a premium SUV, blending rugged off-road capability with exceptional ride quality and dynamic handling,
          With a chiseled and sculptural design, Ford’s latest seven-seat off-road SUV features body-on-frame construction, intelligent four-wheel drive and an advanced Terrain Management System to help drivers navigate challenging terrain with ease and confidence
          Together with an advanced suspension that offers exceptional ride comfort and agile handling, the new Ford Everest’s spacious, modern interior with high-quality craftsmanship delivers a comfortable ride for up to seven passengers
          Advanced, first-in-class features, including SYNC 2, Active Park Assist, and segment-first Curve Control and Blind Spot Information System with Cross Traffic Alert, make the new Ford Everest one of the smartest SUVs in its segment
          First-in-class power-fold third-row seating and power liftgate add to flexibility and versatility

          The new Ford Everest made its debut in Thailand today, redefining the ASEAN SUV market with bold design, advanced technology, stunning off-road and on-road capability, and a refined, premium interior for up to seven passengers.
          “With the new Ford Everest, we’re further strengthening our showroom lineup across ASEAN markets with a fully capable and competitive premium SUV that works equally well as a comfortable and refined family vehicle or taking on the roughest terrains of Southeast Asia,” said Matt Bradley, president, Ford ASEAN. “It’s a completely new vehicle inside and out with a host of first-in-class features, providing unmatched value in its segment.”
          With a rugged, sculptural design that reflects its unshakeable toughness and technological prowess, the new Everest blends strength, smart features and style to bring consumers a tough and versatile SUV with true off-road capability. In addition to surprising and delighting fans of rugged off-road SUVs, the new Everest embodies Ford’s fun-to-drive DNA to deliver rewarding and dynamic on-road handling, offering no compromises on refinement and comfort.
          “The Ford Everest will help to expand our product footprint in the region with a tough and refined vehicle that enables drivers, their families, friends and colleagues to go anywhere comfortably – whether on urban roads or far off the beaten track,” said Richard Tilley, vehicle line director, Ford Asia Pacific. “From the EcoSport to the Everest, our SUV portfolio in Asia Pacific offers something for everyone.”
          Led by Ford’s Asia Pacific design and product development teams, and making use of Ford’s global SUV expertise, the new Ford Everest builds on the reputation of the current Everest, which is praised for its durability and versatility. The new Ford Everest will be available in both rear-wheel drive and four-wheel drive variants.
          “The new Ford Everest represents an epic commitment on the part of the Ford Motor Company to meet and exceed high customer expectations,” said Tilley. “From the very beginning we set aggressive targets, and with the Ford Everest we have truly raised the bar for this type of vehicle in design and capability, with advanced technologies for a smarter, safer and more capable vehicle.”
?
Balancing rugged off-road and refined on-road capability
          The new Ford Everest was designed from the ground up with the durability to take on the most inhospitable environments. One of the toughest SUVs in its segment, the Everest has a true body-on-frame design, assuring the torsional strength required for challenging terrains. Together with an intelligent four-wheel drive system, an active transfer case with Torque on Demand, Terrain Management System, and best-in-class ground clearance of 225 mm and water-wading capability of 800 mm, the Everest helps drivers navigate difficult terrain with ease.
          For ultimate capability, the advanced, first-in-class Terrain Management System gives drivers four preset settings – Normal, Snow/Gravel/Grass, Sand and Rock– that alter the vehicle’s throttle response, transmission, intelligent four-wheel drive system and traction control to confidently tackle any situation. For extreme off-road environments, drivers can manually lock the transfer case in low-range four-wheel drive mode for increased control.
          These impressive off-road credentials are paired to a new level of ride quality and dynamic handling beyond what consumers have come to expect in a rugged SUV. Thanks to its coil spring front and rear suspension and a Watt’s linkage on the rear axle, the new Ford Everest provides a comfortable, stable ride with agile and predictable handling on the road, keeping the promise of Ford’s fun-to-drive DNA.
?
Advanced technology for a smarter, safer drive
          Ingeniously packaged with “up for it” functionality enabling extraordinary journeys, the new Ford Everest is one of the most technologically advanced off-road SUVs ever made, and builds on Ford’s global expertise in the utility segment.
          The latest generation of Ford’s in-car connectivity solution, SYNC 2, lets drivers use natural voice commands to control the car’s
entertainment
system, climate controls and connected mobile devices more easily than ever before. SYNC 2 also boasts an eight-inch touchscreen with color-coded corners for easy menu navigation. The entertainment system features a first-in-class 10-speaker sound system with an integrated subwoofer, providing accurate and precise sound reproduction and deep, rich bass.
Other segment-first technologies in the new Everest include Curve Control, designed to help drivers maintain control when approaching turns too quickly, and Blind Spot Information System (BLIS) with Cross Traffic Alert, which informs drivers when there is a vehicle in their blind spot while driving or when preparing to reverse out of parking spots.
          The vehicle also offers other advanced features, including Roll Stability Control and an Electronic Stability Program that works with traction control to help the driver stay in control. To reduce parking anxiety, Active Park Assist enables drivers to parallel park hands-free, requiring only accelerating, shifting and braking from the driver – a first in its segment in Thailand.
          In addition to advanced active safety systems, a strong passenger cage built using high-strength materials like boron steel, and passive safety features, including up to seven airbags, help to keep occupants safe in the event of a collision.
?
Power and efficiency to go further
          The incredible capabilities of the new Ford Everest are made possible by one of two diesel engines from Ford’s globally proven Duratorq family, mated to durable and efficient six-speed automatic or manual transmissions. Featuring advanced technologies that improve fuel efficiency, both engines deliver excellent performance:
          For maximum power and torque for heavy-duty towing, Ford is offering the latest generation of its 3.2-liter Duratorq five-cylinder TDCi diesel engine with 147 kW of power and 470 Nm of torque. Upgrades from the previous generation include an updated exhaust gas recirculation system to boost efficiency
          For maximum fuel economy without compromising performance, Ford is also offering the latest generation of the 2.2-liter Duratorq four-cylinder TDCi diesel, putting out 118 kW of power and 385 Nm of torque
?
Smart and functional design
          The new Ford Everest stands apart with a bold, sculptural design that communicates its impressive capabilities and advanced smart features, while the robust front end with signature LED daytime running lights and wide stance make for a powerful presence on the road. The chiseled and technical design is also highly efficient – extensive aerodynamic testing led to an exterior that seamlessly melds form and function.
          The new Everest’s bold exterior presence is paired with a modern interior that makes use of refined materials and emphasizes horizontal lines to create a comfortable, harmonious environment for up to seven adult occupants. Interior features balance ride comfort with ultimate practicality, including a dual-panel moon roof, a first-in-class powered liftgate, more than 30 cleverly designed stowage spaces, multiple power outlets and flexible seating and cargo arrangements – including fold-flat second- and first-in-class power-fold third-row seating – to achieve a perfect balance between passenger demands and packing efficiency.
          To ensure exceptional cabin quietness, Ford equipped the new Everest with Active Noise Cancellation technology in addition to optimizing cabin sealing and sound absorbing materials throughout the vehicle.
          Similar to the systems used in noise-cancelling headphones, Active Noise Cancellation uses three strategically placed microphones inside the cabin to detect and measure sounds. A smart control module instantaneously generates opposing sound waves, which are then fed through the Everest’s audio system to cancel out unpleasant noises. The result is a quiet interior that lets the driver comfortably speak with third row passengers without shouting.
          “With its safe and smart features, a refined interior and outstanding on-road and off-road capabilities, the new Ford Everest sets a new standard in the medium SUV segment and represents a compelling addition to our global lineup of SUVs in ASEAN markets,” said Tilley. “Taking advantage of our global design and development expertise, and our proud heritage in the utility segment, we’ve created a vehicle that goes far beyond customer expectations.”
          The new Ford Everest will be manufactured at AutoAlliance Thailand in Rayong, Thailand.