รูปแบบและเทคโนโลยีใหม่ สำหรับแกรนด์ ทัวริ่ง สุดหรู
- รูปแบบที่ได้รับการยกระดับและเพิ่มคุณสมบัติที่โดดเด่นให้กับครอบครัวคอนติเนนทัล จีที (Continental GT)
- คอนติเนนทัล จีที W12 (Continental GT W12) เพิ่มพละกำลังเครื่องยนต์เป็น 590 PS (582 แรงม้า/ 434 กิโลวัตต์) และ 720 นิวตันเมตร ประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้น
- ฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) เพิ่มทางเลือกใหม่เพื่อความหรูหราของรถ 4 ประตู
เบนท์ลี่ย์ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลกด้วยการยกระดับ ปรับเปลี่ยน รูปลักษณ์ของคอนติเนนทัล จีที (Continental GT) ให้มีความทันสมัยและเพื่อสร้างความสำเร็จให้กับรถคันนี้มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) ยังได้เสริมความหรูหราและเพิ่มเรื่องของพละกำลังให้ดียิ่งขึ้น และเป็นจุดเด่นสำคัญสำหรับปี 2015 ที่เบนท์ลี่ย์มุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาการขับเคลื่อน เทคโนโลยี และความสะดวกสบายของห้องโดยสารอย่างเต็มพิกัดอีกด้วย
รุ่นใหม่นี้ทำการอวดโฉมและจัดแสดงโชว์ในงานมหกรรมยานยนต์ Geneva Motor Show ตั้งแต่วันอังคารที่ 3 มีนาคมเป็นต้นไป
Wolfgang Dürheimer, ประธานกรรมการและประธานบริหารของเบนท์ลี่ย์ได้กล่าวว่า:
“เบนท์ลี่ย์นำเสนอความหรูหราและประสิทธิภาพของรถได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมด้วยความสะดวกสบายอย่างเต็มพิกัดให้กับรถแกรนด์ ทัวริ่ง และจะเป็นจุดขายสำคัญสำหรับปี 2015 ในการขยายสมาชิกใหม่ให้กับครอบครัวเบนท์ลี่ย์ พวกเรารับฟังความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ และด้วยคำแนะนำเหล่านี้นี่เองที่จะนำไปสู่การสรรสร้างรถให้มีรูปลักษณ์ที่น่าประทับใจ , ประหยัด และแน่นอนเหมาะสมกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน"
รูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นของคอนติเนนทัล จีที (Continental GT)
เบนท์ลี่ย์ คอนติเนนทัล จีที (Continental GT) ได้รับการปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกใหม่ โดยเน้นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นแกรนด์ ทัวเร่อร์ (Grand Tourer) ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น กันชนด้านหน้าจะผสมผสานช่องระบายอากาศที่ได้รับการออกแบบมาใหม่ได้อย่างลงตัว เน้นให้เห็นถึงความทรงพละกำลังของรถจากทางด้านหน้า เสริมทัพด้วย โลโก้ “B” ที่เน้นให้เห็นถึงความเป็นเบนท์ลี่ย์ และเส้นสายของรถ “Power line” ทรงพละกำลังที่ออกแบบได้อย่างลงตัวจนถึงซุ้มล้อด้านหน้า
ทางด้านหลังของรถจะพบกับฝากระโปรงที่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ เพื่อให้ได้สัดส่วนที่คมชัดยิ่งขึ้น เน้นประโยชน์ในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ให้ได้มากที่สุด กันชนหลังได้รับการปรับโฉมด้วยเช่นกัน โดยได้ขยายให้ใหญ่มากขึ้นและสัมผัสได้ถึงความทรงพละกำลังของเครื่องยนต์ และจะมาพร้อมกับ full-width brightware ส่วนรุ่น V8 S และ GT Speed จะแตกต่างด้วยแผ่นกระจายอากาศทางด้านหลังที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อเน้นเรื่องของประสิทธิภาพของรถเป็นหลักในตระกูลคอนติเนนทัล (Continental) นั่นเอง
รูปลักษณ์ภายนอกได้รับการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเพื่อการเติมเต็มความโดดเด่นให้กับรถ อาทิเช่น ล้อใหม่ซึ่งสามารถเลือกติดตั้งได้โดยเปลี่ยนจากขนาดล้อ 20 นิ้วเป็น 21 นิ้ว ล้อมาตรฐานของรุ่น GT V8 และ GT W12 จะติดตั้งล้อขนาด 20 นิ้วลาย six-tri-spoke wheel โดยแตกต่างที่ V8 จะพ่นเงาน้อยกว่า ส่วน W12 จะพ่นเงามากกว่า ล้อของชุดแต่ง Mulliner Driving Specification เป็นล้อขนาด 21 นิ้วลาย seven-twin-spoke design ในเฉดสี Graphite grey สำหรับรุ่น V8 S และ GT Speed จะมาพร้อมกับล้อลายสปอร์ตขนาด 21 นิ้ว 5 ก้านอีกด้วย
สีใหม่มีให้เลือกเพิ่มเติมอีก 3 สีเพื่อทำให้ตัวรถมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น นั่นคือสี Marlin (สีน้ำเงินเข้มเคลือบเมทาลิก), Camel (สีทองอ่อน) และ Jetstream (สีฟ้าอ่อนสว่างเคลือบเมทาลิก)
ห้องโดยสารที่ทันสมัย สะดวกสบาย
ห้องโดยสารภายในได้รับการพัฒนาปรับเปลี่ยนให้มีความหรูหรามากยิ่งขึ้น ปุ่ม และแผงควบคุม รวมถึงโทนสีต่างๆ ในห้องโดยสารของรถ 4 ที่นั่งจะเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวก ในขณะที่ชุดแต่ง Mulliner Driving Specification (เป็นชุดแต่งมาตรฐานให้กับรุ่น GT Speed) จะทำให้รถดูสปอร์ตและโดดเด่น ด้วยรอยตะเข็บแบบเพชรหรือ “small-diamond” ตามแบบฉบับของประเทศอังกฤษ การบังคับควบคุมการทำงานของรถจากผู้ขับขี่จะเป็นไปได้ง่ายและเหมาะสมตามหลักสรีรศาสตร์มากขึ้น พวงมาลัยสปอร์ตมาพร้อมกับก้านเกียร์เพื่อช่วยในการเปลี่ยนระดับเกียร์ได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ชิ้นส่วนต่างๆ ที่อยู่บริเวณคอนโซลได้รับการพัฒนาปรับเปลี่ยน แผงควบคุมของผู้ขับขี่จะมาพร้อมกับหน้าปัดใหม่ และกราฟฟิคต่างๆ ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความเหมาะสมและทันสมัยมากขึ้น เทคโนโลยีระบบไฟ LEDs ถูกนำเข้ามาเสริมความหรูหราและความสะดวกสบายในการใช้งานอีกด้วย คอนโซลกลางจะโดดเด่นด้วยก้านเกียร์สีดำใหม่ล่าสุด ที่จะบ่งบอกความเป็นสปอร์ตสุดหรูของผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี สำหรับรุ่น V8 และ V8 S Coupe จะมาพร้อมกับที่เก็บของเพิ่มเติมใหม่ล่าสุดที่จะติดตั้งซ่อนอยู่ระหว่างเบาะหลัง และสามารถใช้ในการเก็บของและชาร์จอุปกรณ์เชื่อมต่อไฟฟ้าต่างๆ รวมถึง iPads ได้อีกด้วย
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานแล้ว จุดเด่นของอุปกรณ์ภายในได้รับการพัฒนาควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน
สำหรับรุ่น GT W12 และ GT Speed สามารถติดตั้งเบาะเพิ่มความนุ่มนวล softer semi-aniline hide สำหรับเบาะนั่งและพร้อมพนักพิง ผลิตจากหนังคุณภาพสูงที่ใช้อยู่ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ และให้สัมผัสถึงความนุ่มสบาย หรูหรา และให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติด้วยเช่นกัน สีใหม่สำหรับ คอนติเนนทัล (Continental) ในปี 2015 คือสี Shortbread และ Camel
ส่วนเส้นสายของหลังคาในรุ่น GT V8 และ GT W12 รวมถึงรุ่น Speed Coupe มาในรูปแบบหนัง Alcantara® และมีสีให้เลือกถึง 17 สีเลยทีเดียว
การเชื่อมต่อแบบ WiFi ในรถจะช่วยทำให้เพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และสามารถทำการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ จากภายในรถได้
ประสิทธิภาพของ W12 และความประหยัดที่มากขึ้น
นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้กับคอนติเนนทัล GT W12 (Continental GT W12) แล้ว เครื่องยนต์ยังได้รับการปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยเปลี่ยน 3 จุดหลักสำหรับเครื่องยนต์ขนาด 6.0 ลิตร Twin Turbo W12 นั่นคือพละกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดที่เพิ่มขึ้น จาก 575 PS (567 แรงม้า / 423 กิโลวัตต์) และ 700 นิวตันเมตร เป็น 590 PS (582 แรงม้า / 434 กิโลวัตต์) และ 720 นิวตันเมตรเลยทีเดียว
การเพิ่มประสิทธิภาพและพละกำลังของเครื่องยนต์นำไปสู่การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้นอีก 5% โดย GT W12 มาพร้อมกับระบบ variable displacement system และด้วยเครื่องยนต์ใหม่นี้จะมีประสิทธิภาพในการใช้งานร่วมกับส่วนของวาล์วปีกผีเสื้อบนลูกสูบ 6 สูบจาก 12 สูบได้ ส่งผลให้ลดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงลงและลดระดับ การปล่อยมลพิษหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) เป็น 329 กรัม/กิโลเมตร และอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ 14 ลิตร/100 กิโลเมตร (7.14 กิโลเมตร/ลิตร)
ตัวเลือกของความหรูหราที่เพิ่มใน ฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur)
เบนท์ลี่ย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) รถ 4 ประตู ซีดาน ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนและเพิ่มคุณสมบัติที่โดดเด่นเข้าไปในปี 2015
ล้อขนาด 20 นิ้วแบบ six-tri-spoke wheel สามารถเลือกติดตั้งได้ทั้ง V8 และ W12 ในขณะที่ล้อขนาด 21 นิ้วแบบ 7 ก้านคู่หรือ seven-twin-spoke สามารถติดตั้งได้กับฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) W12 Mulliner และสามารถพ่นเงาหรือพ่นสี Graphite เพื่อให้ล้อมีความเงางามมากยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารของฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) ยังมีความทันสมัยที่เพิ่มขึ้น และยังมีจุดเด่นใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มสำหรับรูปลักษณ์ภายในห้องโดยสาร และการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน แผงหน้าปัดหน้าคนขับได้รับการเปลี่ยนโฉมรูปแบบกราฟฟิคให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ในขณะที่พวงมาลัยได้รับการออกแบบให้มีความเป็นสปอร์ต ปุ่มสวิทช์มาในรูปแบบเหล็กเหมาะสมกับการใช้งานร่วมกับก้านเกียร์ หรือ Shift Paddles ไม่เพียงเท่านี้ใน ฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) ยังสามารถเรียกใช้งานระบบ WiFi hotspot system เสมือนกับที่ใช้อยู่ในรุ่น คอนติเนนทัล (Continental) เพื่อการเชื่อมต่อที่ดีเยี่ยมขณะขับขี่ และสามารถผ่อนคลายภายในรถฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) ได้ดียิ่งขึ้น
อีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นที่ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมคือสีใหม่ล่าสุดนั่นคือ สี Marlin, Camel และ Jetstream เหมือนกันกับรุ่น คอนติเนนทัล จีที (Continental GT) ส่วนหนังได้รับการเสริมด้วยสี Shortbread และ Camel
พละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดอยู่ที่ 625 PS (616 แรงม้า / 460 กิโลวัตต์) / 800 นิวตันเมตร (590 lb.ft) สำหรับเครื่องยนต์ฟลายอิ้ง สเปอร์ (Flying Spur) W12 อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพที่มากยิ่งขึ้น และมีความสามารถเสมือนรถแกรนด์ ทัวริ่ง (Grand Touring) ซึ่งต้องยกความดีให้กับระบบ variable displacement system ที่ติดตั้งอยู่ภายในคอนติเนนทัล GT W12 ด้วยเช่นกัน โดยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง และลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) ต่ำลงเหลือเพียง 333 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น