MSN on October 24, 2014, 01:02:56 PM
เมืองไทยประกันชีวิตงัดกลยุทธ์เติมเต็มทุกช่องว่างเดินหน้าเจาะทุกกลุ่มตลาดล่าสุดเปิดตัว “โครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’”ระบุคุ้มค่าครบถ้วน เข้าถึงทุกเพศทุกวัยและตอบโจทย์ลูกค้าวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงปลายปีพร้อมส่งโครงการ ‘เมืองไทย SME Smile’ ขับเคลื่อนธุรกิจขนาดเล็ก...ชูจุดเด่น ‘3 คน ก็คุ้มครองได้’







นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปีนี้นับเป็นอีกปีที่ธุรกิจประกันชีวิตไทยมีความคึกคักมากเป็นพิเศษเห็นได้จากตัวเลขเบี้ยประกันชีวิตรับรวมของทั้งอุตสากรรมณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2557อยู่ที่  331,150 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน 16%(ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย) ขณะที่ผลการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิตในช่วง 9เดือน(มกราคม-กันยายน 2557)ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำเบี้ยรับรวมทั้งสิ้นอยู่ที่  57,474  ล้านบาทเติบโตสูงถึง 27% จากช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน(มกราคม-กันยายน 2556) ซึ่งจัดเป็นบริษัทที่มีผลงานโดดเด่นมากบริษัทหนึ่งในธุรกิจประกันชีวิตโดยในปีนี้ (2557) บริษัทฯ จะยังคงเป้าหมายเดิม และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลงานให้มีอัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต ไม่ต่ำกว่า 15%

สำหรับผลงาน 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง  ในการก้าวสู่การเป็นผู้นำของผลงานเบี้ยประกันภัยปีแรก โดยการขึ้นสู่อันดับที่ 1 ด้วยผลงานเบี้ยประกันภัย 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตสูงถึง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และแม้ว่าในช่วงต้นปีจะมี      การแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงของเบี้ยประกันภัยรับใหม่แต่บริษัทยังสามารถอยู่ในอันดับที่ 1 ด้วยผลงานเบี้ย 2.5 หมื่นล้าน อัตราการเติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย) นายสาระ กล่าวว่า มีความยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งและนับเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการพัฒนาองค์กรเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ต่อไป โดยหนึ่งในนั้นคือ การเป็นผู้นำในการสร้างสีสันและความแปลกใหม่ให้กับธุรกิจประกันชีวิตไทย และสำหรับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทุกกลุ่มตลาด ด้วยการออกแบบประกันที่ตอบโจทย์ลูกค้า สามารถครอบคลุมทุกช่องว่างในตลาด ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัว “โครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’” ซึ่งโดดเด่นด้วยคุณสมบัติในการผสานความคุ้มครองชีวิตที่ยาวนาน ตามลักษณะประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพ พร้อมกับการรับทรัพย์จากเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญาเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยที่จ่ายเบี้ยประกันภัยสั้นซึ่งนับเป็นการสร้างความแตกต่างจากประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพทั่วไป ที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยนานและไม่มีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญา

“โครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’” จัดเป็นประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพที่ให้ความคุ้มค่าแก่ผู้เอาประกันภัยอย่างครบถ้วน โดยให้ความคุ้มครองชีวิต100%* ยาวจนครบอายุ 90 ปี แต่จ่ายเบี้ยประกันภัยในระยะเวลาที่สั้นเพียง 7 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าแบบประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพทั่วไปที่มีในปัจจุบัน อีกทั้งยังเพิ่มความพิเศษให้แก่ลูกค้าตรงที่มีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญา โดยจะได้รับเงินจ่ายคืน 2%*ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2,4,6,8,10,12 และ 14 นอกจากนี้ยังรับเงินจ่ายคืนทุกปี ปีละ 2%* ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 16 จนครบอายุ 89 ปี พร้อมเงินครบสัญญาอีก 100%*(* เป็น % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วัน เริ่มทำสัญญา /-ผลประโยชน์ เงื่อนไขและความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์) เหมาะกับผู้ที่กำลังสร้างครอบครัวและต้องการสร้างหลักประกันไว้ให้ลูกหลานโดยผ่านทางเลือกที่คุ้มค่า รวมถึงกลุ่มคนทำงานที่ต้องการใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเงินได้” นายสาระ กล่าว

ทั้งนี้ “โครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’” เป็นแบบประกันชีวิตตลอดชีพที่สามารถตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสร้างเงินออมได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถเลือกจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ตรงกับจำนวนเงินออมที่ต้องการสร้าง ในขณะเดียวกันยังมีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญาที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ เรียกได้ว่าได้ประโยชน์ทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ในแบบประกันเดียว

“ลูกค้าผู้สนใจสามารถทำประกันโครงการ‘เมืองไทยรับทรัพย์ตลอดชีพ 90/7’”ได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน – 70 ปี ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและหากทำประกันตั้งแต่อายุยังน้อย เบี้ยประกันภัยก็จะยิ่งถูก เพราะเบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา สามารถบริหารการชำระได้อย่างสบายๆ แต่ได้รับความคุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม ซึ่งสามารถเข้าไปดูรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.muangthai.co.thหรือโทร. 1766

นายสาระ กล่าวต่อด้วยว่า ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังได้เปิดตัว โครงการ ‘เมืองไทย SME Smile’ เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็ก ที่ต้องการรับความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุประกันทุพพลภาพ และประกันสุขภาพกลุ่มโดยชูจุดเด่นแม้เป็น ‘ธุรกิจเล็ก แต่รับความคุ้มครองใหญ่…3 คน ก็คุ้มครองได้’ โดดเด่นด้วยผลประโยชน์ที่คุ้มค่าไม่ว่าจะเป็น คุ้มครองกรณีเสียชีวิต สูงสุดถึง 600,000 บาท* หรือกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรับความคุ้มครองชีวิต 2 เท่า ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสาธารณะรับความคุ้มครองชีวิต 3 เท่า ของจำนวนเงินเอาประกันภัยและสามารถเบิกค่าธรรมเนียมแพทย์ผ่าตัดได้ตามจริง  100%  ภายในวงเงินผลประโยชน์รวมถึงรับสิทธิ์ซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ตามจริง สูงสุด 2,000 บาท/วัน* ความคุ้มครองค่ารักษาทันตกรรมได้ตามจริง สูงสุด 5,000 บาท/ปีกรมธรรม์* ความคุ้มครองโรคร้ายแรง สูงสุด 600,000 บาท* และรับส่วนลดร้านค้าที่ร่วมรายการในโครงการ เมืองไทย Smile Plus โดยสามารถรับประกันได้ตั้งแต่อายุ 15 – 65 ปี บริบูรณ์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเช่นเดียวกัน
*สำหรับแผน 6

ทั้งนี้ “จากการสำรวจตลาด ณ ปัจจุบัน พบว่ามีผลิตภัณฑ์สำหรับรองรับกลุ่มลูกค้าที่ประกอบธุรกิจประเภท SME ค่อนข้างหลากหลาย แต่จุดเด่นที่จะสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน คือ จำนวนพนักงานประจำขั้นต่ำขององค์กรนิติบุคคลที่จะสามารถขอรับบริการดังกล่าวได้ พบว่าจำนวนพนักงานขั้นต่ำในตลาดขณะนี้คือตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เมืองไทยประกันชีวิตจึงได้เปิดตัวโครงการ‘เมืองไทย SME Smile’พร้อมชูจุดเด่น แม้พนักงานประจำมีจำนวนน้อย ‘3 คน ก็คุ้มครองได้’ (ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป) เพื่อให้สามารถมีทางเลือกในการซื้อสวัสดิการแบบประกันกลุ่มให้กับพนักงาน รวมถึงคู่สมรสและบุตร** ของพนักงานได้ โดยได้พัฒนาจากผลิตภัณฑ์เดิมในชื่อ โครงการ ‘SME Package’ ซึ่งเดิมองค์กรนิติบุคคลผู้ขอรับบริการจะต้องมีพนักงานตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป พร้อมกันนี้ ได้พัฒนาสิทธิประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับมูลค่าความเป็นจริงในปัจจุบัน และให้สอดรับกับความต้องการใช้งานของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น อาทิ ค่ารักษาพยาบาลกรณี OPD/วัน และเพิ่มเติมในส่วนของค่ารักษาทันตกรรม เป็นต้น” นายสาระ กล่าว
**สำหรับคู่สมรสและบุตรคุ้มครองเฉพาะประกันสุขภาพเท่านั้น

บริษัทฯ ได้มีการนำเสนอ‘โครงการเมืองไทย SME Smile’ผ่านทุกช่องทางการขายของบริษัทฯ เช่น ช่องทางการขายตรงของประกันกลุ่ม (Direct), ช่องทางตัวแทน (Agency) ช่องทางบริษัทนายหน้า (Broker) และช่องทางธนาคาร (Bancassurance)เป็นต้น โดยมุ่งสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่เป็นองค์กรนิติบุคคลขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีพนักงานประจำตั้งแต่ 3 – 19 คน ประกอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงไม่เกินระดับอาชีพชั้น 2 โดยพนักงานเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และองค์กรไม่ได้มีกรมธรรม์ประกันกลุ่มที่ยังมีผลบังคับกับ บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต

ทั้งนี้ สำหรับช่องทางBancassurance ที่จะนำเสนอผ่านธนาคารกสิกรไทย (K-Bank) นั้น เป็นแบบประกันที่ K-Bank สามารถนำเสนอให้เจ้าของกิจการที่มีความสนใจในการจัดสวัสดิการเพิ่มเติมให้กับลูกจ้าง ซึ่งนอกเหนือจากสวัสดิการพื้นฐานของภาครัฐ

หมายเหตุ
1. การพิจารณารับประกันเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
2. ผลประโยชน์ เงื่อนไข และความคุ้มครองโดยละเอียด เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
3. ดูรายละเอียดสิทธิประโยชน์เมืองไทย Smile Plus และเงื่อนไขการใช้สิทธิ์ ได้ที่ http://www.muangthai.co.th/smileplus

นอกจากนี้ นายสาระ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มีศักยภาพและความพร้อมสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community : AEC)ในปี 2558 โดยล่าสุด ได้เปิดสำนักงานผู้แทน(Representative Office) อย่างเป็นทางการ ณ กรุงย่างกุ้งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์โดยเป็นผู้ประกอบการประกันชีวิตเจ้าแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตให้เปิดสำนักงานผู้แทนในเมียนมาร์ ซึ่งเบื้องต้น  จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้ความร่วมมือ  และการบริการข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคุณค่าและประโยชน์ของการประกัน รวมถึงการวางโครงสร้างระบบ ประเภทของการประกันชีวิตและผลประโยชน์ตลอดจนกลยุทธ์เจาะลึกถึงการบริการต่างๆ แก่ประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐซึ่งนับเป็นการประชาสัมพันธ์การให้ประโยชน์ของการทำประกันชีวิตและสร้างความรู้จักกับแบรนด์เมืองไทยประกันชีวิตเพื่อให้เข้าไปยังจิตใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ยังได้เปิดตัว ‘สัญญาตะกาฟุล 10/9’ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง เนื่องด้วยจุดเด่นรับความคุ้มครองและฮิบะห์ที่คุ้มค่า ด้วยอัตราเงินสมทบตะกาฟุลที่เท่ากันทุกเพศทุกวัยที่ 193 บาทต่อปี* เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมสามารถเก็บออมได้ง่ายขึ้นและได้รับฮิบะห์ระหว่างสัญญาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สิ้นปีสัญญาที่ 1 - 9 และเมื่อครบสัญญาสิ้นปีสัญญาที่ 10 รับฮิบะห์อย่างน้อยเท่ากับ 150% ของจำนวนเงินหลักประกันตะกาฟุล ณ วันเริ่มสัญญารวมรับฮิบะห์ตลอดสัญญา 184% ของจำนวนเงินหลักประกันตะกาฟุล ณ วันเริ่มสัญญา พร้อมทั้งให้ความคุ้มครองชีวิตที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 150% ของจำนวนเงินหลักประกันตะกาฟุล ณ วันเริ่มสัญญา ซึ่งนับเป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ครอบครัว โดยมีระยะเวลาชำระเงินสมทบตะกาฟุล 9 ปี รับความคุ้มครอง 10 ปี โดยสามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือน – 70 ปี ส่งผลให้ขณะนี้บริษัทฯ มีแบบสัญญาตะกาฟุลที่หลากหลายแบบครอบคลุมทุกความต้องการ  และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของพี่น้องมุสลิม ขณะที่สัญญาตะกาฟุลก็ไม่ได้จำกัดการนำเสนอแต่เพียงพี่น้องมุสลิมเท่านั้น ลูกค้าทั่วไปแม้ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม หากเห็นว่าสัญญาตะกาฟุลมีรูปแบบที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ ก็สามารถซื้อได้เช่นกัน
*อัตราเงินสมทบตะกาฟุลต่อจำนวนเงินหลักประกันตะกาฟุล 1,000 บาท

“สำหรับภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรมประกันชีวิต โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปียังคงมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเนื่องจากในช่วงสิ้นปีประชาชนจะมีการตื่นตัวในการหาผลิตภัณฑ์สำหรับลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นผลให้ในช่วงนี้ธุรกิจประกันชีวิตจึงมีการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่การแข่งขันที่ว่านับเป็นเรื่องที่ดีเพราะท้ายที่สุดผู้บริโภคจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันคาดว่าอุตสาหกรรมจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย 4 ปัจจัยหลัก คือ 1. ประชากรที่เข้าใจและเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการประกันเพิ่มมากขึ้น 2.ช่องทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ และช่องทางตัวแทน 3.การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งในปัจจุบัน คือการตอบโจทย์ด้านการประกันชีวิตและสุขภาพ และสุดท้าย คือ ความเป็นสังคมผู้สูงวัย ที่คาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนเกิน 10% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มสูงวัยดังกล่าวออกมามากยิ่งขึ้นตามไปด้วย” นายสาระ กล่าวทิ้งท้าย
« Last Edit: October 24, 2014, 03:45:42 PM by MSN »