KTAMขายตราสารหนี้6เดือนชู2.60%
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 123 ( KTSUPB 123 ) เสนอขาย วันที่ 27 สิงหาคม -2 กันยายน 2557 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในเงินฝาก Bank of China , เงินฝาก China Construction Bank , MTN ออกโดย Banco BTG Pactual S.A. , MTN ออกโดย Banco ABC ( Brasil) ในสัดส่วน 75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ /ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน/ บริษัทเอกชน ผลตอบแทนประมาณ 2.60% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่ (Roll Over ) ของกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือน คุ้มครองเงินต้น3 (KTFIX3M3) อายุ3 เดือน เสนอขายถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2557 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ ประมาณ 57% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ผลตอบแทนประมาณ 1.95% ต่อปี เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับ ต้องการความปลอดภัยของเงินต้น แต่ให้โอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และไม่ถูกหักภาษี
อัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ ปรับตัวเล็กน้อยในรุ่นอายุ 1 -12 เดือน อยู่ระหว่าง -1 ถึง 1 bps. หลังจากรายงานการประชุม FED ครั้งล่าสุดเริ่มส่งสัญญาณว่ามีแนวโน้มที่อาจมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดการณ์ หากตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว ดูไม่น่าจูงใจและเกิดแรงขายทำกำไรออกมาจากฝั่งของธนาคาร
สำหรับแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุตามแรงขายทำกำไรหลังจากที่สัปดาห์ก่อนอัตราผลตอบแทนมีการปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน ประกอบกับตลาดเริ่มคลายกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซียหลังเริ่มมีการเจรจากันที่เบอร์ลินในช่วงต้นสัปดาห์
ส่วนฝ่ายวิจัย ของบริษัท รายงานว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่2 สามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ระดับ +0.4%YoY หลังจากที่หดตัวลงไป -0.5%YoYในช่วงไตรมาสแรก เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมันผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัว ขณะที่การเบิกจ่ายภาครัฐทำได้ดีขึ้นหลังจากที่มีผู้มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีมุมมองเหมือนเดิมว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีจะดีขึ้นค่อนข้างมาก ความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่การดำเนินการตามโรดแมพของ คสช. ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ลงมติรับ พรบ.งบประมาณ ปี 2558 ในวาระแรกไปแล้ว ทำให้กระบวนการจัดทำงบประมาณน่าจะแล้วเสร็จทันก่อนขึ้นปีงบประมาณใหม่ นอกจากนี้ สนช. ยังได้เห็นชอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย นับเป็นจุดเริ่มต้นของโรดแมพขั้นที่ 2 ซึ่งต้องคอยติดตามต่อไปว่าใครจะมาดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี รวมถึงต้องติดตามการสรรหาสภาปฏิรูปแห่งชาติซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการปฏิรูปในอนาคตด้วย