Movie: THE FAULT IN OUR STARS
เฮเซลและกัสเป็นสองวัยรุ่นที่มีความพิเศษที่มีไหวพริบอย่างน่าประหลาด การดูถูกเหยียดหยามจากสังคม และความรักที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา รวมถึงพวกเรา ในประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน มิตรภาพของพวกเขาเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่นำพาให้พวกเขาได้พบกัน และตกหลุมรักกันท่ามกลางกลุ่มให้กำลังใจผู้ป่วยโรคมะเร็ง ภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS สร้างขึ้นจากนิยายขายดีเป็นอันดับ 1 ของจอห์น กรีน ที่มีความสนุกสนาน ความตื่นเต้น เรื่องราวชวนเศร้าสลดของการใช้ชีวิตและความรัก
เฮเซล เกรซ แลนแคสเตอร์ (ไชลีน วูดเลย์) เด็กสาววัย 16 ปี เธอต้องใช้ทั้งความรักและความอดทนกับพ่อแม่ที่จุกจิกกับเธอในบางครั้ง เฮเซลเกิดตกหลุมรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า กัส วอเตอร์ส (แอนเซล เอลกอร์ต) ที่ดูเหมือนจะทำให้เธอเจ็บปวดด้วยพอๆ กัน เมื่อพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น เฮเซลและกัสได้แลกเปลี่ยนความกลัวของพวกเขาที่มาพร้อมกับปัญหาเรื่องสุขภาพ พวกเขารักหนังสือเหมือนกันซึ่งรวมถึงหนังสือเล่มโปรดของเฮเซลอย่าง An Imperial Affliction เธอพยายามติดต่อกับปีเตอร์ แวน ฮูเทน (วิลเล็ม ดาโฟ) ผู้แต่งหนังสือที่รักสันโดษอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เมื่อกัสวางแผนติดต่อแวน ฮูเทนผ่านผู้ช่วยของผู้แต่งฯ ผลที่ได้รับกลับสร้างความประหลาดใจเมื่อกัสได้รับคำเชิญให้ไปพบกับผู้เขียนที่อัมสเตอร์ดัม กัสตั้งใจพาเฮเซลออกเดินทางที่จะไปพบกับคำตอบในทุกเรื่องที่เธอสงสัยเกี่ยวกับหนังสือที่มีความหมายต่อเธอมาก
แต่คำตอบที่เธอค้นหากลับไม่พบจากปีเตอร์ แวน ฮูเทน พวกเขาร่วมผจญภัยครั้งใหญ่ไปด้วยกัน เมื่อเฮเซลร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับคนที่เธอไม่กลัวว่าเธอจะตกหลุมรัก เขามอบสิ่งที่เธอเรียกว่า “สิ่งไม่รู้จบ – ความทรงจำนิรันดร์ตามจำนวนวันที่กำหนดไว้”
นิยายของจอห์น กรีน เรื่อง The Fault in Our Stars มีการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2012 และเปิดตัวเป็นอันดับ 1 ของนิยายขายดี The New York Times กรีนเริ่มแต่งเรื่อง The Fault in Our Stars เมื่อปี 2000 หลังจากที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ดูแลที่โรงพยาบาลเด็ก เขาอธิบายว่า “ผมอยากเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กที่เหมือนกับใครหลายคนที่ผมเคยพบในโรงพยาบาล พวกเขาอารมณ์ดี ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
“และผมก็รู้ว่าตัวเองอยากให้เรื่อง The Fault in Our Stars เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก แต่ผมนึกไม่ออกมานานแล้วว่าควรเป็นเรื่องราวความรักแบบไหน” เขาเล่าต่อว่า “สุดท้ายแล้วหลังจากที่ผมค้นหาตัวละครมานานหลายปี ผมก็ได้พบกับเฮเซลและกัส พวกเขามีแนวคิดของการสร้างความสุขให้ชีวิตที่แตกต่างกันมาก รวมถึงความคิดเห็นต่อโลกใบนี้ที่ตรงกันข้ามกัน แต่พวกเขาก็ประคองกันไปด้วยความรักที่มีให้กันและมีต่อหนังสือ”
กรีนได้สร้างมิตรภาพขึ้นมากับสาวน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่าเอสเธอร์ เอิร์ลที่เขาอุทิศเรื่อง The Fault in Our Stars ให้ ซึ่งมีการชี้แนวทางไปในทิศทางที่เขาอยากถ่ายทอดเรื่องราว แม้ว่าเอสเธอร์จะไม่ใช่ตัวอย่างของตัวละครพิเศษใดในเรื่อง แต่กรีนได้เล่าว่า “มิตรภาพระหว่างเราและความสดใสในชีวิตของเธอที่มีเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมาก” จากการวินิจฉัยโรคว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์เมื่อปี 2006 เอสเธอร์ เกรซ เอิร์ลต้องยอมจำนนให้กับโรคร้ายเมื่อปี 2010 ตอนเธออายุ 16 ปี
ก่อนจะมีการตีพิมพ์นิยายออกมาได้มีการติดต่อจากฮอลลีวูด แต่กรีนยังไม่พร้อมจะขายสิทธิ์ให้ภาพยนตร์ “ผมรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมีความเป็นส่วนตัวและใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับผมมาก ผมแค่นึกภาพไม่ออกว่ามันจะกลายเป็นภาพยนตร์ได้ยังไง”
ผู้อำนวยการสร้างฯ วิค กอดฟรีย์ รู้สึกว่าผู้แต่งฯ ยังไม่เต็มใจเท่าไหร่ เขาได้ผลิตซีรี่ส์ที่ประสบความนิยมจนสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาที่มีชื่อว่า Twilight ซึ่งสร้างขึ้นจากหนังสือของสตีเฟ่น เมเยอร์ ซึ่งกอดฟรีย์, มาร์ตี้ โบเวน และหุ้นส่วนของเขาที่ Temple Hill Entertainment เป็นผู้ชำนาญด้านการแปลงวรรณกรรมสู่ภาพยนตร์ดัดแปลง “เราพยายามหาเรื่องราวที่เข้าถึงกลุ่มผู้อ่านรุ่นใหม่ที่เป็นวัยรุ่น พวกเขากำลังมองหาเรื่องราวที่มีความสมจริง และเรื่อง The Fault in Our Stars ก็ให้ความรู้สึกว่ามันคือก้าวต่อไปของนิยายวัยรุ่น”
กอดฟรีย์ติดต่อกับเอลิซาเบธ แกบเลอร์ ประธานแห่ง Fox 2000 Pictures และช่วยกันเดินหน้าขอลิขสิทธิ์สำหรับภาพยนตร์อย่างรวดเร็ว “เราคุยโทรศัพท์กับจอห์นและพยายามโน้มน้าวเขาว่า เราคือคนที่เหมาะต่อการแปลงหนังสือเป็นภาพยนตร์ที่สุดแล้ว” กอดฟรีย์เล่าถึงตอนนั้น ซึ่งความรักฟุตบอลที่พวกเขามีเหมือนกันช่วยให้ปิดงานนี้ได้ “ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นแฟนพันธุ์แท้ลิเวอร์พูล และโชคดีที่จอห์นก็เป็นแฟนเหมือนกัน” ผู้สร้างฯ เล่าเสริม
จากการตีสนิทผ่านเรื่องกีฬา กรีนเล่าว่านั่นเป็นการพบกับกอดฟรีย์และผู้อำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์ (และผู้บริหารแห่ง Temple Hill Entertainment) ไอแซ็ค คลอสเนอร์ และการได้ยินจากผู้สร้างฯ ทั้งสองเองโดยตรงว่าจะสร้างออกมาให้ตรงตามเนื้อเรื่องและตัวละครของหนังสือ เป็นการโน้มน้าวผู้แต่งฯ ว่าทั้งคู่คือคนที่เหมาะสำหรับการนำเรื่องราวสู่จอภาพยนตร์
“สิ่งหนึ่งที่วิคบอกกับผมในช่วงที่พบกันนั้นคือ ‘คุณไม่ได้เขียนหนังสือเรื่องโรคมะเร็งขึ้นมา และเราก็ไม่ได้สร้างหนังที่เกี่ยวกับสร้างโรคมะเร็งด้วย’” กรีนจำได้ว่า “วิคไม่ต้องการให้หนังซาบซึ้งจนเกินไปหรือสอนให้รู้สึกขอบคุณสำหรับทุกๆ วัน วิคอยากให้หนังมีความเป็นธรรมชาติ มีความตื่นเต้น และมีความสุขกับชีวิต ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังมองหา
“ผมอยากให้หนังมีความสนุกสนาน และมีบางอย่างที่ผู้ชมจะเดินกลับไปพร้อมอารมณ์ที่เต็มอิ่มมากขึ้น หนังต้องมีการถ่ายทอดไอเดียว่าชีวิตที่มีเวลาเพียงสั้นๆ ก็มีความสุขและเป็นชีวิตที่งดงามได้ วิคกับไอแซ็คเชื่อมั่นแบบนั้นเช่นกัน”
2 คนที่เป็นแฟนหนังสือเล่มนี้ ได้แก่ ผู้เขียนบทฯ สก็อตต์ นูสแตดเตอร์ และ ไมเคิล เอช. วีเบอร์ ต่างรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมงานและได้ดัดแปลงนิยายของกรีน “อันที่จริงเราโชคดีมากที่ได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์ก่อนที่หนังสือจะป็นที่สนใจของทั่วโลก” นูสแตดเตอร์อธิบายว่า “ตอนที่เราอ่านหนังสือก่อนที่จะมีการตีพิมพ์ มันก็ได้ความรักไปแล้ว…จากพวกเรานี่แหละ เสียงตอบรับจากหนังสือตั้งแต่นั้นมาก็น่าอัศจรรย์มาก เราหวังว่าภาพยนตร์จะมีเสียงตอบรับในแบบเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญของตอนที่เราดัดแปลงผลงาน มันอยู่ที่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่เรามีต่อเนื้อเรื่องมากกว่า”
“ความตั้งใจของเราคือการรักษาความสมบูรณ์ของหนังสือไว้ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องแน่ใจด้วยว่ามันเป็นประสบการณ์จากหนังสือสุดพิเศษ” วีเบอร์เล่าต่อว่า “สำหรับหนังสือส่วนใหญ่แล้วจะมีความท้าทายสำคัญอยู่ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของหนังสือเล่มนี้ จอห์น กรีนอ่านร่างแรกแรกของเราและส่งอีเมล์มาให้กำลังใจอย่างน่าประทับใจมาก เวลาที่เราได้ร่วมงานกับผู้แต่งฯ ที่มีความสามารถมาก มันหมายถึงว่าเห็นดีเห็นงามกับผลงานที่เราดัดแปลงแล้ว”
การตัดสินใจว่าจะให้จอช บูนมากำกับฯ ไม่ใช่เรื่องยากเลย กอดฟรีย์เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง Stuck in Love ของบูน และมีการติดตามตั้งแต่เขาอ่านบทฯ ภาพยนตร์นำแสดงโดยเกร็ก คินเนียร์, เจนนิเฟอร์ คอนนอลลี่ และ ลิลลี่ คอลลินส์ แต่กอดฟรีย์เล่าว่า “สุดท้ายแล้วคือเรื่องราวที่เกี่ยวกับลูกชายวัยรุ่น” ซึ่งรับบทโดยแนต วูล์ฟที่มารับบทนำในเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS
“มันเหมือนกับชีวประวัติและเราเฝ้าดูเด็กคนนี้โตขึ้นมาด้วยความสนุกสนาน ตื่นเต้น และไม่ถูกนำไปสู่ความชั่วร้าย” กอดฟรีย์อธิบาย “มันรู้สึกกสมจริงมากครับ”
บูนสร้างผลงานในเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS ด้วยความยากลำบากมาก เขานำเสนอสตูดิโอและผู้สร้างฯ ว่า “เนื้อเรื่องของมันเหมือน ‘Titanic’ ส่วนมะเร็งก็เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่สุดท้ายเราก็พุ่งชนมัน แต่จะให้ภาพยนตร์เป็นเรื่องของภูเขาน้ำแข็งไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องราวความรัก มันต้องมีการสะท้อนความจริงและฉากที่พิเศษ”
จอห์น กรีนมาอยู่ในฉากประจำ บูนเล่าว่าความเห็นของผู้แต่งฯ มีความสำคัญมาก “จอห์นช่วยเราได้มากในการค้นหาความเหมาะสม” ผู้กำกับฯ กล่าว “เขาไม่ได้เป็นแค่นักเขียนที่น่าอัศจรรย์เท่านั้น แต่เป็นผู้ชมที่ดีอีกด้วย_”
ไชลีน วูดลีย์มารับบทเฮเซล เกรซ แลนแคสเตอร์ นักแสดงสาวจากเรื่อง Divergent และ The Descendants เล่าว่าภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS จะทำให้เธอประทับใจไปตราบนานเท่านาน “ถือเป็นเกียรติมากครั้งหนึ่งในชีวิตของฉันที่ได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์นี้เลยค่ะ ทั้งภาพยนตร์และนิยายต่างเข้าไปสำรวจโลกที่มีพลังและเข้าถึงทุกคนได้ เรื่องนี้สอนฉันว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ และไม่ว่าเราจะมีชีวิตยาวนานหรือสั้นแค่ไหน นั่นคือช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีความหมายมากที่สุด
“ฉันอยากได้บทมาก ฉันส่งอีเมล์หาจอห์น กรีนยาวมากว่าฉันรักหนังสือมากแค่ไหน และฉันจะแสดงบทเฮเซลยังไง” วูดลีย์เล่าต่อว่า “พอฉันได้นั่งอยู่กับผู้บริหารสตูดิโอและผู้อำนวยการสร้างฯ ฉันพูดว่า ‘ให้ฉันเป็นผู้ช่วยกองถ่ายหรือนักแสดงสมทบก็ได้ ให้ฉันได้มีส่วนร่วมในเรื่องด้วยก็พอ!’”
โชคดีของวูดลีย์และผู้สร้างฯ เธอสามารถคว้าบทนี้ไปได้ บูนเล่าว่าต้องขอบคุณที่เธอมาออดิชั่นได้อย่างน่าตื่นเต้น “เราต้องดูนักแสดงหญิงเกือบ 150 คนสำหรับบทนี้ และผมก็พบในนั้นราว 50 คน เพียงแค่ 10-15 วินาทีที่ไชลีนมาออดิชั่น ผมรู้เลยว่าเธอนี่แหละเฮเซล เธอถือบทของเธอขึ้นมาและใช้แค่ดวงตาชำเลืองดูบทเท่านั้น ไชลีนมีดวงตาสีเขียวที่สื่อออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ และเธอใช้สายตาเก่งมาก เธอแสดงอารมณ์เก่งและถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ออกมาได้ ผมไม่รู้ว่าเธอทำได้ไง ราวกับมันเป็นเวทมนตร์เลย”
มุมมองของวูดลีย์ที่มีต่อเนื้อเรื่อง โทนเรื่อง และตัวละครต่างๆ สะท้อนถึงผู้กำกับฯ และผู้สร้างฯ ของเธอ “ภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS เป็นเรื่องราวความรักของเด็กสองคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง” เธออธิบาย “ฉันรู้สึกอินไปกับเฮเซลและกัสมาก พวกเขามองเห็นหลายสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายเกินกว่าที่จะมองเห็นมันได้”
วูดลีย์ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อถ่ายทอดลักษณะต่างๆ และความซับซ้อนในตัวเฮเซลออกมา
“ไชลีนเข้าใจเฮเซลได้ลึกซึ้งมาก” กรีนกล่าว “เธอมีความเป็นธรรมชาติ ตรงไปตรงมา และการแสดงที่ใช้จิตวิญญาณอย่างเปี่ยมล้ม ผมรู้สึกชื่นชมในการแสดงของเธอในตัวละครนี้มากครับ
“เฮเซลเป็นคนที่ชอบพูดจาเสียดสีและชอบเล่นมุกตลกร้าย” ผู้แต่งฯ เล่าต่อว่า “แต่เธอมีความน่ารักและคอยห่วงใยในผลลัพธ์จากโรคที่จะส่งผลต่อคนรอบตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ของเฮเซล เธอไม่อยากให้เกิดสิ่งที่เฮเซลเรียกว่า ‘ระเบิด’ ซึ่งหมายถึงผู้ที่ตายแล้วสร้างความเจ็บปวดและความเสียหายขึ้น เธอเป็นพวกมังสวิรัติและบอกกับกัสว่า ‘ฉันอยากลดจำนวนคนตายลง’ เธอมีความกล้าหาญที่น่ายกย่องมาก”
นอกจากการถ่ายทอดลักษณะหลายอย่างในตัวเฮเซลแล้ว วูดลีย์ยังต้องแสดงข้อกำหนดที่เธอมีทางด้านร่างกายออกมาด้วย สิ่งสำคัญที่ติดอยู่กับเธอคือท่อที่สอดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งเป็นท่อยืดหยุ่นได้ที่ต่อเข้ากับถังออกซิเจน และการศึกษาข้อมูลของวูดลีย์ก็มีความสำคัญอีกครั้ง “ฉันได้พบกับหลายคนที่ต้องอาศัยออกซิเจน มีคนหนึ่งเล่าว่ามันรู้สึกเหมือนต้องหายใจผ่านหลอด’” เธอกล่าว
คนรักของเฮเซลมีชื่อว่ากัส รับบทโดยแอนเซล เอลกอร์ต เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นเรื่องความเป็นฮีโร่ เขาเป็นคนใจร้อน มีความมุ่งมั่น แต่ก็มีไหวพริบอย่างน่าสนใจ
จอห์น กรีนเล่าว่า เฮเซลและกัสรักกันได้เพราะพวกเขามีไหวพริบและความฉลาดคล้ายๆ กัน “มีประโยคหนึ่งในนิยายของฟิลลิป ร็อธ เรื่อง The Human Stain ที่ตัวละครพูดว่า ‘ความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้เป็นตัวของตัวเอง ความสุขอยู่ที่การมีศัตรูอยู่ในห้องเดียวกับเรา’ ผมคิดว่าเฮเซลไม่ใช่คนที่มีศัตรูมากมายอยู่ในห้องเดียวกับเธอ ตอนที่เธอได้พบกับกัส เธอรู้สึกได้เลยว่า ‘ผู้ชายคนนี้เข้ากับฉันได้นะ’ สำหรับกัสแล้วมันคือเรื่องเดียวกัน เขารู้สึกชินกับการที่เป็นที่สนใจของสาวๆ แต่เขาไม่เคยพบใครที่เหมือนกับเฮเซลมาก่อน”
กัสเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน เขาเคยเป็นนักบาสเก็ตบอลดาวเด่นของไฮสคูล และหนังสือเล่มโปรดของเขาก็สร้างขึ้นจากวีดีโอเกม จนกระทั่งเขาได้พบกับเฮเซล และในเวลาเดียวกันเขาเป็นพวกที่มีสติปัญญา ปรารถนาที่จะมอบคำคมที่แฝงความคิดให้
แอนเซล เอลกอร์ตรู้จักกับวูดลีย์มาแล้ว ตอนที่เขารับบทเป็นพี่ชายของเธอในเรื่อง Divergent วูดลีย์เล่าว่าจากการแสดงคู่กันครั้งที่แล้วถือว่า “โชคดีมากที่เราได้ร่วมงานกันในเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS เพราะเรารู้จักกันอยู่แล้ว และแสดงความสนิทสู่จอภาพยนตร์ได้ ฉะนั้นจึงเข้าถึงบทเฮเซลและกัสได้ไม่ยากเลย เอสเซลเหมือนพี่ชายของฉันค่ะ เขาเป็นคนที่สงสัยทุกอย่างรอบตัวและตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“เรื่องราวความรักทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับเคมีสัมพันธ์” วิค กอดฟรีย์ กล่าวเสริมว่า “ไชลีนเด่นกว่านักแสดงหลายคนที่เราทดสอบบทร่วมกับเธอ เพราะเธอมีบุคลิกที่ดูแข็งแกร่งน่ากลัว แต่พอแอนเซลเข้ามา ด้วยความที่เขามีเสน่ห์ มีความร่าเริง และมีพลังพอที่จะทำให้ไชลีนอ่อนลงได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการให้เธอรู้สึกแบบนั้น”
สำหรับเอลกอร์ตแล้ว กัสคือตัวละครที่เขากำลังค้นหาอยู่ เขาเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่เป็นแฟนนิยายเรื่องนี้ “ที่สำคัญที่สุดคือหนังสือเต็มไปด้วยแง่คิดที่มีความงดงาม ทำให้เราได้ทบทวนเรื่องชีวิตและความรัก” เขากล่าว
การจับต้องบทที่ท้าทายที่สุดของเขาในวันนี้ เอลกอร์ตยกความดีให้กับวูดลีย์ที่เป็นคนจุดประกายความแข็งแกร่งขึ้นมา “มีหลายช่วงในหนังที่ทำให้ผมรู้สึกว่ายากกว่าครั้งไหนที่เคยแสดงมา ฉะนั้นการมีไชลีนอยู่ใกล้ๆ ก็ช่วยให้มันง่ายขึ้นมากเลย”
เพื่อนสนิทของกัสมีชื่อว่า ไอแซ็ค เขาเข้าบำบัดรักษาโรคมะเร็งเช่นเดียวกับกัสและไอแซ็ค แต่ปฏิเสธในการพลิกด้านดีของเขา เขาต่างกับกัสและเฮเซลตรงที่ชีวิตรักของไอแซ็คกลับไม่สวยหรู แน็ต วูล์ฟ ผู้รับบทไอแซ็คอธิบายว่า “ไอแซ็คเป็นผู้ชายธรรมดาที่ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายกับเชื้อมะเร็งของเขา ซึ่งทำให้เขาต้องสูญเสียดวงตาดวงหนึ่งไป และกำลังจะเสียไปอีกดวงหนึ่ง แต่ไอแซ็คสร้างภาพว่าสิ่งสำคัญของเขาคือแฟนสาวสุดฮอตองเขาที่เพิ่งบอกเลิกเขาไป
“ส่วนใหญ่ในเรื่องไอแซ็คจะพูดถึงเรื่องเลิกกับแฟน ซึ่งในความเป็นจริงเรารู้ว่าเขาเสียใจที่ต้องสูญเสียการมองเห็น จึงเยียวยาโดยการคิดถึงเรื่องแฟนสาวที่ทิ้งเขาไป”
สำหรับการศึกษาตัวละครนี้ วูล์ฟต้องใช้เวลาพูดคุยกับผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายราย ซึ่งมีรายหนึ่งที่ต้องพบเหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากไอแซ็ค “ผมพบผู้ชายคนหนึ่งชื่ออีธาน เขาตาบอดตอนอายุ 18 ปีและถูกแฟนบอกเลิกในเวลาเดียวกัน” วูล์ฟเล่าว่า “เขาไม่โทษฝ่ายหญิงเลย เขาแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะมีใครเข้าใจว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องพบเจอกับอะไรบ้าง มันยากที่เธอและเพื่อนของเขาคนอื่นๆ จะเข้าใจได้”
นอกจากมิตรภาพของเฮเซลที่เกิดขึ้นกับกัสและไอแซ็คแล้ว โลกของเธอถือว่าแคบมาก อาการเจ็บป่วยของเธอทำให้ต้องถูกจำกัดพื้นทที่ เฮเซลใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับพ่อแม่ของเธอ ได้แก่ แฟรนนี่ รับบทโดย ลอว์ร่า เดิร์น และไมเคิล รับบทโดย แซม แทรมเมล
“แฟรนนี่และไมเคิลเป็นพ่อแม่ที่แสนดี พวกเขารักลูกสาวและดูแลลูกได้ดีมาก” กรีนกล่าว “แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับสภาพความเป็นจริงจากความเจ็บป่วยของเธอ หลายครั้งพวกเขาก็เป็นเหมือนกับพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ที่บินวนเวียนอยู่เหนือลูกสาวของเธอ
“ในเวลาเดียวกันความเจ็บป่วยของเฮเซลก็ทำให้แฟรนนี่และไมเคิลปล่อยให้เฮเซลมีอิสระกว่าที่พ่อแม่คนอื่นจะยอมปล่อยลูกสาววัยรุ่นของตัวเอง” เขาเล่าต่อว่า “พวกเขาไม่กังวลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหมือนอย่างพ่อแม่ส่วนใหญ่ เช่น หนุ่มๆ ที่ลูกสาวกำลังออกเดทด้วย เพราะยังมีเรื่องอื่นในชีวิตที่พวกเขากังวลมากกว่า จึงทำให้มีแต่ความสนุกสดใสระหว่างเฮเซลกับพ่อแม่ของเธอ”
ลอว์ร่า เดิร์นรู้สึกถูกชะตากับลูกสาวของเธอในภาพยนตร์เป็นอย่างมาก “ตอนที่ฉันได้พบกับไชลีน รู้สึกเหมือนเราเป็นครอบครัวเดียวกันเลย ซึ่งมันไม่ค่อยพบเท่าไหร่” เดิร์นกล่าว “มีบางสิ่งในงานเขียนของจอห์น กรีนและบุคลิกของไชลีนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นญาติกัน เหมือนกับเฮเซลและแฟรนนี่ ไชลีนกับฉันมีความหลงใหลคล้ายกันในเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และต้องแน่ใจว่ารอบตัวเราไม่มีมลภาวะที่เป็นพิษ มันคือสิ่งที่ถ่ายทอดสู่ตัวละครและมิตรภาพของเราค่ะ”
แซม แทรมเมลเองก็รู้สึกชื่นชมในสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกสาวของพวกเขา “เฮเซลคล้ายกับ ผู้ดูแลผู้ปกครองเหมือนกับที่ผู้ปกครองดูแลเธอ” เขากล่าว “มีอย่างหนึ่งที่ฝังใจผมคือการที่เฮเซลกังวลเกี่ยวกับผู้คนที่เธอต้องทิ้งไปเมื่อเธอตายไปแล้ว โดยเฉพาะพ่อแม่ของเธอ เรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นคือความเจ็บป่วยของเธอส่งผลต่อคนอื่นอย่างไรบ้าง และผมคิดว่านั่นเป็นความคิดที่งดงามมาก”
วิลเล็ม ดาโฟ นักแสดงชายผู้เข้าชิงรางวัล Oscar® มารับบทสำคัญของผู้แต่งฯ ที่มีความลึกลับปีเตอร์ แวน ฮูเทน เจ้าของหนังสือ An Imperial Affliction ที่สร้างความประทับใจให้เฮเซลและกัส กอดฟรีย์บรรยายตัวละครเอาไว้ว่าเหมือน “Wizard of Oz” ของเรื่องเพราะ “เฮเซลและกัสออกผจญภัยร่วมกันเพื่อไปพบกับพ่อมด และเมื่อประตูเปิดออกก็ได้พบกับคนที่ดูน่ากลัว ไม่สมบูรณ์แบบ โหดร้าย แต่มีความน่าสนใจและเสน่ห์ในแบบของเขา เราโชคดีมากที่ได้วิลเล็มมาช่วยพลิกให้แวน ฮูเทนเป็นตัวละครที่มีพลังมากได้”
กรีนเห็นด้วยโดยกล่าวว่า “วิลเล็มแสดงในภาพยนตร์เรื่องโปรดของผมหายเรื่องในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา แต่ผมไม่เคยรับบทไหนเหมือนแวน ฮูเทนเลย มันเหมือนได้พบกับปีเตอร์ แวน ฮูเทนแบบตัวเป็นๆ ซึ่งมีทั้งความน่ากลัวและความน่ามหัศจรรย์อยู่ในตัว”
ดาโฟเล่าว่าเขาเกิดความสนใจในหนังสือและความสามารถในบทภาพยนตร์ที่ผสมผสานทั้งคอมเมดี้และดราม่ารวมกันไว้ได้ “มันเป็นการสร้างสมดุลขึ้นได้ยากมาก มันมีทั้งความตื่นเต้นและความสมจริง และมีความสามารถที่ทำให้มันดูเย็นชาและมีความรู้สึกเปี่ยมล้นเกินจริง” เขาบรรยายว่าแวน ฮูเทนเป็นเหมือนกับ “ผู้แต่งหนังสือที่เฮเซลและกัสหลงใหล เขาเป็นคนรักสันโดษที่ย้ายไปอยู่ในอัมสเตอร์ดัม และไม่ได้เขียนหนังสือเรื่องไหนอีกเลยตั้งแต่นั้นมา เรื่อง Imperial Affliction ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง และแวน ฮูเทนก็มีผู้ติดตามเป็นกลุ่มใหญ่ แต่เขาห่างไกลจากความรู้สึกนั้น ต่อมาเราก็พบว่าหนัสือเล่มนี้ที่เขาเขียนขึ้นมามีความเป็นส่วนตัวมาก และเราะจเข้าใจว่าทำไมเขาไม่ใช่คนที่มีอัธยาศัยดีที่สุดในโลก”
ในตัวละครทั้งหมดมีสิ่งที่เด่นชัดคือการใช้ชีวิตทุกด้านของพวกเขาจะสะท้อนความสมจริงออกมา วิค กอดฟรีย์ เล่าว่า “จอห์น กรีนเล่าถึงเหตุผลที่เขารักการเขียนหนังสือเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นว่า พวกเขายังไม่มีการดูถูกเหยียดหยาม บางมุมก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า ซึ่งนั่นคือช่วงเวลาที่งดงามสำหรับพวกเขา เด็กวัยรุ่นมีความใจร้อน กล้าพูดและทำสิ่งทุกอย่าง อย่างหนึ่งที่น่าหลงใหลที่สุดในตัวกัส เฮเซล และไอแซ็คคืออาการเจ็บป่วยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เลย”
ความปรารถนาของผู้สร้างฯ ถึงความเป็นไปได้ของพวกเขา ได้นำพวกเขาไปเยี่ยมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยโรคมะเร็ง “ตอนที่จอช บูนกับผมพร้อมด้วยนักแสดงไปที่นั่น สิ่งแรกที่เราพูดขึ้นมาคือเราต้องแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และสถานการณ์นี้ออกมาอย่างตรงไปตรงมา” กอดฟรีย์อธิบายว่า “มีทางเดียวที่จะทำได้คือต้องใช้เวลาอยู่ร่วมกับเด็กวัยรุ่นที่เป็นผู้ป่วย และต้องเข้าพบคุณหมอที่ทำการรักษาพวกเขา รวมถึงผู้ปกครองที่พบเจอทุกอย่างไปพร้อมกับพวกเขา ตอนที่เราไปถึงสถานที่ถ่ายทำของเราที่พิตส์เบิร์ก เราเดินทางไปที่โรงพยาบาลและศูนย์บำบัดโรคมะเร็งเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้”
กองถ่ายได้ทำการติดต่อกับผู้ป่วยหลายรายทั้งที่ได้รับการบำบัดหรืออยู่ในช่วงเกิดอีกครั้ง ผู้ป่วยหลายคนมีส่วนช่วยเหลือในการถ่ายทำมาก เช่น แสดงในฉากกลุ่มให้การสนับสนุนผู้ป่วยโรคมะเร็งของเรื่อง “เด็กวัยรุ่นเหล่านี้มีความสำคัญต่อภาพยนตร์มาก ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาแบ่งปันประสบการณ์บนจอภาพยนตร์เท่านั้น แต่เพราะทำให้พวกเรามีโอกาสได้พูดคุยถึงเรื่องราวของพวกเขาด้วย” กรีนเล่าว่า “สิ่งที่เราพบคือการเริ่มด้วยคำถามเชิงศึกษาค้นคว้าว่า ‘ช่วยบอกผมหน่อยว่ามันเป็นยังไงเวลา…” สุดท้ายลงเอยที่พวกเราคุยกันเรื่องหนัง รถ สาวๆ และเรื่องราวต่างๆ มันสนุกมากที่ได้ไปแฮงค์เอาท์กับพวกเขา”
ความสำคัญอย่างหนึ่งในช่วงการถ่ายทำภาพยนตร์คือ หนังสือของกรีนสร้างควาฝมประทับใจให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง THE FAULT IN OUR STARS “สิ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษในหนังสือ” กอดฟรีย์เล่าว่า “คือเวลาที่เราวางหนังสือแล้วจะรู้สึกว่า ‘พวกเราทุกคนควรใช้ชีวิตด้วยพลังอย่างที่เฮเซลและกัสใช้’ ประเด็นสำคัญของเรื่องคือเฮเซล กัส และไอแซ็คต่างต้องพบกับหลายเรื่องราวไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นในยุคที่ต้องพบเจอ”
ไชลีน วูดลีย์ กล่าวเสริมว่า “ถือว่าเป็นเกียรติมากค่ะที่ได้พาหนึ่งในตัวละครที่มีพลังมากจากนิยาย เท่าที่ฉันเคยพบมาก่อนสู่จอภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่อง THE FAULT IN OUR STARS ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของฉันในทุกลมหายใจไปเลยค่ะ”