ภัยพิบัติและการแหวกทะเล
When Ramses rejects Moses’ pleas to let the prophet’s people go, Egypt is hit by a series of plagues and pestilences. Ramses’ advisors offer science-based explanations for the phenomena –spectacles that are both thrilling and horrifying.
เมื่อราเมเสสปฏิเสธคำขอของโมเสสในการปลดปล่อยประชาชนของผู้เผยแพร่ อียิปต์ถูกภัยพิบัติและโรคระบาดโจมตีประเทศอย่างต่อเนื่อง ที่ปรึกษาของราเมเสสได้เสนอคำอธิบายเรื่องปรากฏการณ์โดยอิงจากหลักวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ทั้งตื่นเต้นและน่ากลัว
ภัยพิบัติแรกจาก 10 เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่จระเข้ในแม่น้ำไนล์เริ่มกัดกันเอง โดยมีชาวอียิปต์หลายคนกำลังเดินเรือท่ามกลางการกัดกันอย่างคุ้มคลั่ง น้ำวนสีเลือดได้เปลี่ยนแม่น้ำไนล์เป็นสีแดงจนกลายเป็นพรมมรณะ ปลาที่ต้องอาศัยออกซิเจนต่างลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ กบกระโดดไปทั่วเมือง Pi-Ramses และเข้าไปในพระราชวังของราเมเสสด้วยเพื่อหาอาหาร
ในฉากต้องใช้กบนับ 4 ร้อยตัวพร้อมกับผู้ดูแลกบอีก 6 คน สุนัขที่คอยต้อนกบ และรั้วกั้นกบที่สูง 1 เมตร ในฉากนี้โกลชิฟตีห์ ฟาราฮานี รับบทเนเฟอร์ตารีต้องแสดงความกล้าหาญออกมาโดยการแกล้งนอนหลับอยู่หลายเทค เธอรู้ว่าถุงใบใหญ่ที่ใส่กบเป็นๆ ถูกเทบนเหนือศีรษะและพันอยู่กับผมของเธอ
หลังจากที่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำต้องตาย แมลงวันบินตอมทั่วร่างที่เต็มไปด้วยหนอน และถนนของเมืองที่ราเมเสสสร้างขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองกลับมองไม่เห็นทางเพราะเต็มไปด้วยแมลงวัน ปีเตอร์ เชียง ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เล่าว่า “เราสร้างภัยพิบัติขึ้นมาในรูปแบบใหม่ที่ต่างออกไป แมลงวันเคลื่อนตัวอย่างโดดเด่นและหนาแน่น และพวกตั๊กแตน [ที่บุกเข้ามาทีหลัง] ยิ่งสร้างความวุ่นวายเพราะการเคลื่อนไหวและการไต่ตอมของพวกมัน”
ต่อมาชาวอียิปต์เกือบทุกคนเกิดรอยแผลพุพองตามร่างกาย ช่วงกลางคืนมีลูกเห็บที่ใหญ่เท่าก้อนหิน ตามมาด้วยฝูงตั๊กแตนจำนวนมากที่ปีนไต่
กฏแห่งธรรมชาติได้แผลงฤทธิ์ถึงที่สุด และอาจเป็นไปได้ว่ามีการแทรกแซงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถอธิบายภัยพิบัติเหล่านี้ได้ แต่ภัยพิบัติครั้งสุดท้ายอยู่เหนือธรรมชาติ: ลูกชายคนโตของอียิปต์ถูกสังหารในช่วงข้ามคืน รวมถึงลูกชายของกษัตริย์ฟาโรห์ด้วย เมื่อราเมเสสรู้ว่าไม่มีลูกทาสชาวยิวคนใดเสียชีวิต เขาจึงสั่งให้พวกเขาออกไปจากอียิปต์ แต่หลังจากนั้นไม่นานได้สั่งให้ตามล่าและฆ่าชาวยิวที่หนีไป
โมเสสและกองทัพที่ไร้อุปกรณ์ นับ 400,000 คนของเขาได้นำพาสิ่งของที่ใช้สอยในบ้านเท่าที่จะพาไปได้ ต้องฝ่าฟันข้ามภูเขาที่เป็นลางร้ายมุ่งหน้าสู่ทะเลแดงและข้ามพื้นที่ที่โมเสสเคยใช้มาก่อน
เมื่อโมเสสเดินทางมาถึงทะเลแดงพร้อมกับกองทัพชาวอียิปต์ที่ตามติดอยู่ด้านหลัง เขาพบว่าตัวเองมาผิดเส้นทางและหนีพ้นน้ำตื้น เขาต้องพบกับน้ำปริมาณมากด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือกองทัพชาวอียิปต์นับพันจนโมเสสรู้สึกหมดหวัง โมเสสเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งสุดท้าย โมเสสรู้ว่าน้ำจะลงอย่างรวดเร็วเขาจึงรวมกำลังพลและเริ่มเดินฝ่าน้ำตื้น เมื่อชาวยิวเดินทางข้ามผ่านไปได้แล้ว กองทัพของราเมเสสที่ไล่ตามต่างถูกคลื่นยักษ์ม้วนกลืนไป
การออกแบบและการสร้างโลกขึ้นมา
ทีมผู้ร่วมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของสก็อตต์ในเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS ได้รวมถึงผู้ออกแบบฉากที่เข้าชิงรางวัล Oscar ถึงสองครั้งอย่างอาร์เธอร์ แม็กซ์ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัล Academy Award® แจนตี้ เยทส์ ทั้งคู่เคยร่วมงานในภาพยนตร์ที่สก็อตต์กำกับฯ ก่อนหน้านี้ 9 เรื่อง อาทิเช่น Gladiator และPrometheus “ไอเดียของการสร้าโลกใบหนึ่งขึ้นมาเรียกความสนใจได้เสมอ” สก็อตต์กล่าว “เสน่ห์ของการสร้างโลกสักใบขึ้นมาในหนังอยู่ที่ทุกอย่างเป็นรูปร่างขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนของจริง หัวใจของผมเหมือนกับนักสถาปนิกไม่ต่างจากอาร์เธอร์ แม็กซ์”
แม็กซ์เล่าว่าภาพยนตร์เรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS เป็นกองถ่ายที่ยิ่งใหญ่สุดเท่าที่เขาเคยร่วมงานมา “ในเรื่องขนาดมีควาอลังการมาก เพราะนั่นคือสภาพของอียิปต์โบราณและเราอยากสร้างให้สมจริง” เขาอธิบาย “แน่นอนว่ามันยังยิ่งใหญ่ไม่พอสำหรับริดลีย์ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอาศัยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์”
สำหรับการออกแบบฉากและทีมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ต้องสร้างฉากวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์มากกว่า 1500 ฉากต้องร่วมมือกันสร้างฉากที่ความอลังการในหนังและฉากแอ็คชั่นต่างๆ ขึ้นมา ตัวอย่างเช่นรูปปั้นของราเมเสสที่สูง 200 ฟุต มีการสร้างฉากขึ้นมาเพียง 30 ส่วนที่เหลืออาศัยการสร้างขึ้นในคอมพิวเตอร์ “เมื่อแพนกล้องลงมาที่รูปปั้นจากท้องฟ้า เราจะเห็นการสร้างขอบเขตดิจิตอลด้านบนที่ค่อยๆ เนียนเข้ากับฉากจริงที่อยู่บนพื้น” สก็อตต์อธิบาย “มันแนบเนียนมาก”
ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ปีเตอร์ เชียง เล่ารายละเอียดว่า “วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ อิงจากความเป็นจริง อาร์เธอร์และริดลีย์ออกแบบฉากต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์และมีความละเอียดจนทำให้เกิดจุดประกายของวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อันยอดเยี่ยมขึ้นมา ถือเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นแสงไฟจริงจากฉากจริง ซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เราเห็นหน้าตา CGI ของเรา”
ทีมงานฝ่ายศิลป์และฝ่ายก่อสร้างมากกว่าพันคนต้องทำงานในโลเคชั่น 3 แห่ง ได้แก่ โรงถ่าย The Pinewood สำหรับฉากภายในพระราชวังที่โอ่อ่าและวัดของกษัตริย์อียิปต์ รวมถึงกระท่อมของทาสที่ตั้งอย่างกระจัดกระจาย ฉากภายนอกของห้องโถงกษัตริย์ฟาโรห์ถ่ายทำในโรงถ่ายขนาดใหญ่ ซึ่งในฉากจะมีกองทัพอียิปต์เตรียมพร้อมการต่อสู้ และต่อมาในช่วงการหวนคืนมาของชัยชนะที่ได้มาด้วยเลือด ถังน้ำขนาดใหญ่บนฉากถ่ายทำถูกแปลงสภาพเป็นแม่น้ำไนล์ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อจระเข้ที่ดุร้ายกัดกันเอง ฉากต่างๆ ของทะเลแดงได้ถูกแปลงเป็นส่วนหนึ่งของทะเลขนาดใหญ่ที่กองกำลังชาวอียิปต์นับร้อยคนต้องจมน้ำมีการถ่ายทำกันในแทงก์ใต้น้ำ
กองถ่ายได้ใช้ระบบรอกที่เคยคิดค้นขึ้นในเรื่อง Gladiator มาจัดเรียงรูปปั้นขนาดใหญ่ เสาหิน และชิ้นส่วนกำแพงที่สก็อตต์เรียกฉากขนาดใหญ่นั้นว่าฉากตัวต่อเลโก้
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่ Pinewood แล้ว กองถ่ายได้ย้ายไปที่อัลมีเรียทางตอนใต้ของสเปน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ของ Alhamilla ใต้ร่มเงาของภูเขา Sierra Madre พื้นที่แห้งแล้งนี้เคยใช้ถ่ายทำหนังตะวันตกที่ถ่ายทำโดยเซอร์จิอ ลีโอนหลายเรื่อง รวมถึงหนังที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง Lawrence of Arabia และ Raiders of the Lost Ark
“สำหรับการทำงานที่ Alhamilla เหมือนเรามีโรงถ่ายขนาดยักษ์” แม็กซ์กล่าว “พื้นที่ตรงนี้มีขนาดใหญ่กว่าโรงถ่ายของ 20th Century Fox ในแคลิฟอร์เนียซะอีก” บนพื้นผิวที่มีขนาด 1x1.5 กม. เส้นผ่านศูนย์กลางเป็นที่ตั้งของต้นปาล์ม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีต้นปาล์มอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่กองถ่ายได้นำต้นที่ไม่สมบูรณ์ออกไปและต้นไม้ทุกต้นต้องการการบ่มเพาะและเล็มให้สวยงาม. กองถ่ายยังมีการติดตั้งแทงก์น้ำและสร้างบริเวณภายนอกของพระราชวังและบ้านของชาวอียิปต์ขึ้นมา รวมถึงพื้นถนนทั่วไปของบ้านชาวอียิปต์และพวกพ่อค้า เมืองของ Pi Ramses และย่านของทาสยิวยังมีต้นปาล์มที่เกาะกันอยู่บนถนนปาล์ม นอกจากนั้นงานสิ่งก่อสร้างจากอิฐยังทำให้เกิดเมืองใหม่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
การต่อสู้ของ Kadesh ที่ราเมเสสและโมเสสนำชาวอียิปต์ให้ได้รับชัยชนะจาก Hittites ก็เกิดขึ้นไม่ไกล การต่อสู้จริงที่ถูกยกย่องให้เป็นการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมด้วยทหารนับพันและรถม้าที่ใช้ต่อสู้นับร้อยท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนอบอ้าว
ฉากนั้นต้องถ่ายทำเกิน 5 วัน มีการใช้นักแสดงสมทบนับร้อยคน สตั๊นท์แมน สัตว์ต่างๆ และรถม้าในฉาก พร้อมด้วยตากล้อง 5 คนและทีมงานอีก 2 คน แต่ถูกขัดด้วยพายุลูกใหญ่ที่ทำให้บริเวณนั้นเกิดน้ำท่วม ตัดทีมงานหลายคนออกจากเส้นการเดินทางและสื่อมวลชนท้องถิ่นได้ขนานนามว่ายิ่งใหญ่สมกับเรื่องที่สร้างขึ้นจากคัมภีร์ไบเบิล
ไม่กี่วันถัดมาเกิดพระอาทิตย์ตกอย่างน่าตื่นเต้นซึ่งมีการเก็บภาพไว้ใช้ในภาพยนตร์ พายุทรายพัดผ่านพื้นที่ราบของ Alhamilla จนสร้างความเสียหายให้ฉากและทำให้ทีมงานกับนักแสดงสมทบมองอะไรไม่เห็น
Fuerteventura ซึ่งเป็นหนึ่งในเกาะของแคนารีที่อยู่ห่างจากชายฝั่งแอฟริกาในมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ หาดทรายที่โล่งกว้าง หุบเขาที่เต็มไปด้วยหินภูเขาไฟทำให้เกาะเป็นโลเคชั่นที่เหมาะสำหรับการหลบหนีของชาวยิวจากอียิปต์ในทะเลทราย Sinai “พื้นที่หลายส่วนของ Fuerteventura แสดงให้เห็นถึงภาพในอดีต มันน่าประทับใจมาก” เบลกล่าว “ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าประทับใจมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยครับ”
ด้านมุมสูงของภูเขาเป็นเมืองที่มีการทำเหมือง Macael ที่มีการสกัดหินอ่อนกันตั้งแต่สมัย Phoenicians เหมืองหินอ่อนเป็นสถานที่ใช้แรงงานของพวกทาส ซึ่งโมเสสได้พบกับนันเป็นครั้งแรกที่นั่น โมเสสต้องผ่านที่นั่นอีกครั้งในระหว่างทางที่จะไปพบกับราเมเสสพร้อมคำขออิสรภาพให้เหล่าทาส โดยมีการเดินทางช่วงกลางคืน เขาสังเกตุว่าพวกทาสที่ถูกบังคับโดยนายผู้เหี้ยมโหด ใช้แสงไฟในการนำทาง และต้องลากแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ขึ้นไปบนเขา
นอกจากการค้นหาและสร้างโลเคชั่นต่างๆ ขึ้นมาแล้ว แม็กซ์และทีมงานของเขาต้องรับภารกิจใหญ่ในการติดตั้งและตกแต่งพื้นที่ต่างๆ ด้วย “เราหาซื้อของโบราณของชาวอียิปต์ไม่ได้ ฉะนั้นข้าวของและเครื่องประดับทุกชิ้นจึงต้องออกแบบและสร้างขึ้นมาเอง” เขาอธิบาย โดยอาศัยการอิงวัสดุจากพิพิธภัณฑ์อังกฤษและพิพิธภัณฑ์กรุงไคโร แม็กซ์ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างเทคนิคสมัยก่อนกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
พระราชวังต่างๆ ที่ตกแต่งด้วยบัลลังก์และเก้าอี้มีการอิงจากสถาปัตยกรรมโบราณ กองถ่ายต้องสร้างรูปปั้นขึ้นมาจากวัสดุทันสมัยที่มีน้ำหนักเบาเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้าย แต่ตกแต่งให้ดูเก่าโดยอาศัยเทคนิคโบราณ
ทีมผู้ออกแบบได้ปรึกษาผู้ชำนาญด้านอักษรอียิปต์โบราณ ภาษา การประกอบพิธีกรรม และการเสาะแสวงหาจิตรกรที่วาดภาพโรแมนติกในยุคพระนางเจ้าวิคตอเรียของอังกฤษและฝรั่งเศสที่ช่วยทำให้ฉากต่างๆ มีรายละเอียดสมจริง “ภาพยนตร์มีการสะท้อนถึงการผสมผสานอิทธิพลต่างๆ ซึ่งเราคิดว่าจะสร้างความงดงามให้ยุคอียิปต์โบราณมากขึ้น พร้อมทั้งแสดงความทรมาณและการหลุดพ้นจากความเป็นทาสด้วย” แม็กซ์กล่าว
แม็กซ์เล่าถึงการทำงานอย่างพิถีพิถันของสก็อตต์ร่วมกับหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์ของเขาว่า “เรานั่งล้อมวงและดูบททีละหน้าพร้อมกันโดยอาศัยวิชวลเป็นตัวอ้างอิง เวลาเราไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ก็จะเกิดไอเดียแปลกใหม่ขึ้นมา และบางไอเดียก็มาจากลงานของแผนกอื่น ริดลีย์สร้างความประหลาดให้เราด้วยการนำเราไปยังจุดที่คาดไม่ถึงเสมอ ทั้งตัวละคร บรรยากาศของพวกเขา การแสดงโต้ตอบกันล้วนมาจากจินตนาการของเขา มันเป็นโลกของพวกเขาในจินตนาการของเขา ริดลีย์สร้างขึ้นมาได้อย่างงดงาม ฉะนั้นเราต้องเกาะติดเขาไว้ตลอด ซึ่งอาจจะถูกฝังเข้าไปในบทของบางคน หากเรามีไอเดียดีๆ เขาก็จะทำให้มันดียิ่งขึ้น เขาจะหาจุดที่ดีที่สุดในแต่ละฉาก บางครั้งก็เป็นมุมที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ เขายังเป็นศิลปิน ตากล้อง และเป็นคนที่ศึกษาเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้รวดเร็วมาก เขาขวนขวายว่ามีอะไรบ้างและเขาจะเอามาใช้ได้อย่างไรบ้าง
“มันเหมือนการทำงานให้กับปรมาจารย์ยุคเรเนซองต์ที่พวกเราคือศิษย์ของเขา นำจินตนาการของเขามาสร้างให้ได้อย่างที่เขาต้องการบนหน้าจอ” ผู้ออกแบบฉากกล่าว
แจนตี้ เยทส์ได้รับรางวัล Academy Award จากความสำเร็จยอดเยี่ยมด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์เรื่อง Gladiator และได้ร่วมงานกับสก็อตต์ในภาพยนตร์อีก 6 เรื่อง เธอมองว่าการร่วมงานในเรื่องนี้เป็นความท้าทายมาก “ริดลีย์เป็นทั้งจิตรกรและเป็นแรงบันดาลใจค่ะ ฉันดูเขาสร้างฉากขึ้นมา ไม่มีรายละเอียดตรงไหนหลุดไปเลย นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเพราะทุกเฟรมจะมีความพิเศษ”
จุดเริ่มต้นการออกแบบของเยทส์คือการศึกษาข้อมูล เธอเล่าว่าเธอโชคดีมากที่พบแหล่งอ้างอิงหลายอย่าง มีการบันทึกไว้บนศิลปะของอียิปต์โบราณ บนกำแพงและบนรูปปั้น “สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Gladiator แทบไม่พบข้อมูลบนโลกออนไลน์เลย จึงต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินรอบๆ กรุงโรม มองดูรูปปั้นต่างๆ เป็นแนวทาง”
สำหรับเยทส์ การค้นพบที่น่าตื่นเต้นสุดสำหรับเธอในช่วงเตรียมการคือได้พบว่าแฟชั่นและการออกแบของชาวอียิปต์มีความเจริญขนาดไหน “พวกอัญมณีเป็นงานฝีมือ ฉะนั้นจึงมีความละเอียดและมีความซับซ้อน” เธอกล่าว
ขนาดของภาพยนตร์มีความยิ่งใหญ่อลังการ เยทส์ลู้ช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายของเธอ สตีฟาโน่ เดอ นาร์ดิส จึงตั้งโรงงานใน_ Ouarzazate ที่ทะเลทราย Moroccan ขึ้นมา มีการรวมตัวช่างตัดเย็บ ช่างผ้า ช่างปักลวดลาย คนงานเหล็ก ช่างทำรองเท้า ช่างอัญมณีเพื่อผลิตเครื่องแต่งกายสำหรับชาวอียิปต์ กองทัพ ประชาชน ผู้ดูแลพระราชวัง และตัวละครที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งนักแสดงหลัก 20 คนจะมีเครื่องแต่งกายที่มีความละเอียดหลายชุด พร้อมด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อน และมีบ่อยครั้งที่เครื่องแต่งกายชุดหนึ่งจะต้องสร้างถึง 8-9 ชุดที่เหมือนกัน ฉะนั้นเยทส์ต้องมีกลุ่มคนย้อมผ้า ตัดเย็บ และผู้ที่ถนัดด้านอื่นในลอนดอนเพิ่มด้วย
การออกแบบชุดให้โมเสสมีความยุ่งยากมากค่ะ "เขามีหลายลุค” เยทส์อธิบาย “ในช่วงแรกโมเสสเป็นเจ้าชายน้อยแห่งอียิปต์ที่เซติรักใคร่ มีความสนิทกับราเมเสส และไม่เป็นที่ไว้ใจของทูยา ริดลีย์อยากให้เขาดูสุขุมท่ามกลางบรรยากาศแห่งความหรูหรา เขาเป็นกองกำลังคนสำคัญฉะนั้นจะต้องสวมชุดที่มีโทนสุขุม เรียบร้อย และตัดเย็บอย่างประณีตและมีผมสั้น”
ในองก์ที่สองเขาต้องเดินทางอยู่ในทะเลทราย ลุคของเขาดูเหมือนคนเร่ร่อน และหลังจากที่ถูกพวกชาวเขาโจมตี เขาได้นำเสื้อผ้าของพวกเขามาใส่ เมื่อเขาได้พบกับว่าที่ภรรยาซิพโพราห์และปักหลัก เขาเป็นคนเลี้ยงแกะในชนบท จากนั้นเขาตัดสินใจเดินทางกลับไปที่อียิปต์เพื่อพบกับราเมเสส เขาเป็นนักรบกองโจรอาศัยอยู่ตามภูเขาร่วมกับกองกำลังของเขา และนำอิสรภาพมาสู่คนของเขาในท้ายที่สุด”
ขณะที่ยอมรับในความท้าทายของการออกแบบชุดให้โมเสสที่ค่อยๆ มีการพัฒนาขึ้นมา เยทส์เล่าว่าผลงานที่เธอชอบสุดคือเครื่องแต่งกายที่ดูแหวกแนวของราเมเสส “ท่ามกลางหมู่มวลชนหรือท่ามกลางกองทัพชาวอียิปต์ที่น่ารังเกียจ เครื่องแต่งกายชุดทองของราเมเสสและชุดเกราะได้สร้างความตื่นตะลึงขึ้นมา และโจเอลก็ดูดีมากในชุดนั้น ทุกครั้งที่ฉันแต่งตัวให้เขา ฉันรู้สึกตกหลุมรักในลุคนั้นเลยค่ะ”
อย่างที่สก็อตต์เล่าว่าราเมเสสมีเครื่องแต่งกายมากมาย เอ็ดเกอร์ตันรู้สึกชินกับการพิศวาสทองของตัวละครเขาและมักได้ยินการแซวว่า “ผมจะไม่สวมชุดนั้นนะ…ถ้าไม่ใช่ทอง” หรือ “เอากระโปรงทองมาให้ผมหน่อย ตัวที่ 76 น่ะ”
เยทส์เล่าว่า “ราเมเสสเป็นคนหยิ่งและสร้างรูปปั้นเพื่อตัวเอง หยิ่งกว่ากษัตริย์ฟาโรห์องค์ใด ฉะนั้นทุกอย่างในตัวยเขาต้องสะท้อนบุคลิกนั้นของเขาออกมา ทุกอย่างต้องเป็นทอง รวมถึงเครื่องประดับ หมวกและเสื้อผ้า ชุดของเซติก็ชุบทองแต่ไม่หรูเท่าลูกชายของเขา ขณะที่ทูยาจะดูหรูหราและเซ็กซี่ ทูยาหวังว่าจะได้เป็นราชินีของประเทศเมื่อราเมเสสขึ้นครองราชย์ เธอจึงต้องทำตัวให้ดูเหมาะกับตำแหน่งนั้นต่อสายตาสาธารณชน”
Zipporah, whom Moses marries in a village far from Egypt, is, says Yates, “young, fresh, beautiful and modern, so her clothes reflect that; she is a working tribeswoman.”
ซิพโพราห์คือผู้ที่โมเสสแต่งงานด้วยในหมู่บ้านที่ห่างไกลจากอียิปต์ เยทส์เล่าว่า “เธอยังอายุน้อย ดูสดใส สวยงามและทันสมัย ฉะนั้นเสื้อผ้าของเธอต้องสะท้อนสิ่งนั้นออกมา เธอเป็นคนงานชาวเขา”
ซิพโพราห์ รับบทโดยมาเรีย วัลเวอเด้ เป็นตัวละครที่มีบุคลิกโดดเด่น ซึ่งต้องขอบคุณหัวหน้าช่างแต่งหน้า ทีน่า เอิร์นชอว์ เจ้าของรางวัล Oscar จาก Titanic ที่เคยร่วมงานกับสก็อตต์มาแล้วในเรื่อง Prometheus และ The Counselor เอิร์นชอว์แต่งตาของซิพโพราห์ให้ดำเหมือนถ่าน ติดแทททูบนใบหน้าเหมือนชาวเผ่าและแต่งเฮนน่าบนมือ แขน เท้า และขาของเธอ “เธอดูสวยตลอดเวลา” เอิร์นชอว์กล่าว
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ฉาก การออกแบบ สิ่งก่อสร้าง และวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ล้วนสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่อลังการของภาพยนตร์ แต่ริดลีย์ สก็อตต์เล่าว่าความรู้สึกของเรื่อง EXODUS: GODS AND KINGS ล้วนเป็นเรื่องพื้นฐานทั้งหมด “โมเสสโตขึ้นเป็นผู้สูงศักดิ์คนสำคัญของชาวอียิปต์ –เจ้าชายแห่งอียิปต์– โดยมีความกลัวและความสงสัยแบบมนุษย์ทั่วไป”
สำหรับคริสเตียน เบล การรับบทโมเสสถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมได้ลงเลย “เขาเป็นตัวละครที่รับบทเล่นแล้วมีความสุข มีหลายอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ‘เราเล่นกันต่อไม่ได้หรอ?’ ยังมีอีกหลายอย่างในตัวเขาให้เล่าเรื่อง และเขามีความน่าหลงใหลมากกว่าทุกสิ่งที่ผมนึกเอาไว้เลย”
Exodus: Gods and Kings - เอ็กโซดัส ก็อดส์ แอนด์ คิงส์
https://www.facebook.com/ExodusGodsandKingsThailand