เกร็ดหนังดี เกร็ดน่ารู้ก่อนดู The Monuments Men
ทีมผู้พิทักษ์ประวัติศาสตร์ตัวจริงและผลงานศิลปะ
เป็นเวลานับหลายร้อยปีที่เหล่าทหารที่มารุกรานได้ดูแลงานศิลปะที่พวกเขาปล้นมา ถือเป็นรางวัลแห่งสงคราม แต่ทุกอย่างไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อรับกับการปล้นจากพวกนาซีที่ขโมยผลงานศิลปะนับล้านชิ้นตอนที่เดินทางผ่านยุโรป
อดอล์ฟ ฮิตเอลร์ เป็นผู้หลงใหลผลงานศิลปะคนสำคัญ เขาเป็นศิลปินผู้สิ้นหวัง เคยถูกปฏิเสธจาก Vienna School of Fine Arts อันทรงเกียรติถึงสองครั้ง ฮิตเลอร์มีความฝันว่าอยากจะปฏิรูป Linz บ้านเกิดที่เขาเติบโตมาในประเทศออสเตรีลให้กลายเป็นเมืองสุดวิเศษ วัตถุประสงค์หลักในความฝันของเขาคือการสร้างวิมานที่จะกลายเป็น the Fuhrermuseum ซึ่งจะเป็นที่จัดเก็บและจัดแสดงสุดยอดภาพวาดศิลปะ รูปปั้น สิ่งทอของโลกที่เป็นของจริง... อะไรก็ตามที่ฮิตเลอร์คิดว่าควรค่าแก่การสะสมของเขา มือขวาของฮิตเลอร์ Reichsmarschall Hermann Göring เป็นผู้จัดหาผลงานศิลปะทางยุโรปคนสำคัญให้ฮิตเลอร์ ขณะเดียวกันก็มีการขโมยผลงานชิ้นสำคัญต่างๆ ให้ตัวเองด้วย
ปริมาณงานศิลปะที่ถูกขโมยไปกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง สมบัติอันล้ค่าของชาวยุโรปจำนวนมากกว่า 5 ล้านชิ้นถูกพวกนาซีขโมยไป ของที่ถูกขโมยไปมีทั้งผลงานจากศิลปินเอกนับหมื่นชิ้น ซึ่งเป็นผลงานจากจริงศิลปินอมตะอย่าง Michelangelo, DaVinci, Rembrandt, Van Eyck, Vermeer และอีกหลายท่าน สถานที่เก็นผลงานศิลปะมีเพียงแห่งเดียวคือที่เหมืองเกลือในอัลทอสเซ ประเทศออสเตรีย รวมถึงรูปภาพอีก 6,577 ชิ้น ภาพวาดหรือภาพสีน้ำ 230 ชิ้น รูปปั้น 137 ชิ้น เครื่องทอ 122 ชิ้น และหนังสือหายากอีก 1200-1700 กล่อง
เมื่อข่าวเรื่องพวกนาซีขโมยผลงานศิลปะ มีการทำลายโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์จากสองฟากฝั่งของสงครามได้แพร่สะพัดไปถึงสหรัฐฯ จึงมีการจัดตั้งผู้นำในองค์กรชุมชนศิลปะอเมริกันขึ้นมาเพื่ออนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมของโลกตะวันตกเอาไว้ พวกเขาได้นำเรื่องเสนอประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์และได้รับความช่วยเหลือจาก FDR เพื่อก่อตั้ง American Commission สำหรับการปกป้องและกอบกู้ผลงานศิลปะและอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ในยุโรป จากการก่อตั้งคณะกรรมการนั้นได้ก่อกำเนิดกลุ่ม the Monuments, Fine Arts and Archives (MFAA) ซึ่งจะมีการก่อตั้งกองพลทหารเพื่อปกป้องอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ กอบกู้ผลงานศิลปะที่ถูกขโมยไปและนำสมบัติเหล่านั้นส่งคืนให้กับประเทศที่มา
ในยุคแห่งความพ่ายแพ้ของเยอรมัน มีผู้พิทักษ์ประวัติศาสตร์เพียง 12 คนเท่านั้นที่ประจำการทางตอนเหนือของยุโรป ได้แก่
ร้อยโทจอร์จ สตอท ผู้นำด้านการกอบกู้ผลงานศิลปะที่ออกไอเดียเรื่องทีมผู้พิทักษ์ประวัติศาสตร์เป็นคนแรก สตอทได้รับการยอมรับให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม (ยศทางทหารไม่มีส่วนสำคัญต่อความอาวุโสภายในกลุ่ม MFFA)
ร้อยตรีเจมส์ เจ. โรริเมอร์ ว่าที่ผู้อำนวยการแห่ง Metropolitan Museum ในนิวยอร์ค บุคคลที่มีส่วนรับผิดชอบมากที่สุดสำหรับ Cloisters อันมีชื่อเสียงของ the Met
กัปตันวอลเกอร์ แฮนค็อก หนึ่งในช่างประติมากรผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดในอเมริกา
กัปตันโรเบิร์ต โพซีย์ สถาปนิกชื่อดังผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา MFAA ให้กับกองทัพที่สามของแพทตัน
พลทหารลินคอร์น เคอร์สตีน ว่าที่ผู้ก่อตั้ง New York City Ballet
นายพลแฮร์รี่ เอ็ตลินเกอร์ ชาวยิวที่เกิดในประเทศเยอรมันอายุ 18 ปีมีอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม เอ็ตลินเกอร์เดินทางมาที่อเมริกาพร้อมครอบครัวหลังจากที่พวกนาซียึดบ้านเกิดของเขาเพียงไม่นาน แม้ว่าเอ็ตลินเกอร์จะไม่ได้ในอยู่แวดวงศิลปะเหมือนคนอื่น แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีประโยชน์ด้วยการเป็นคนขับและล่ามให้ได้
ทีมผู้พิทักษ์ประวัติศาสตร์ยังพบเพื่อนคนสำคัญในปารีสอีกด้วย โดยส่วนตัวแล้วโรส วอลแลน์ เป็นนักประวัติศาสตร์ศิลป์ เขาเป็นสมาชิกของกลุ่มต่อต้านฝรั่งเศสและในช่วงเวลาที่นาซีเข้ามาครอบครอง เป็นผู้ตรวจสอบในพิพิธภัณฑ์ Jeu de Paume Museum โดยชาวเยอรมันได้ใช้พิพิธภัณฑ์เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บและเป็นคลังผลงานศิลปะจำนวนมากถึง 20,000 ชิ้น
วอลแลน์มีการแอบจดบันทึกผลงานแต่ละชิ้นที่ผ่านเข้ามายังพิพิธภัณฑ์ ในเวลา 4 ปีเธอต้องเก็บความลับว่าเธอสามารถพูดภาษาเยอรมันได้ระหว่างที่เฝ้าติดตามจุดหมายปลายทางของผลงานศิลปะ และเธอยอมเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อรายงานหน่วยต่อต้านฝรั่งเศสที่มีการขนส่งลำเลียงผลงานศิลปะอันล้ำค่ากันทางรถไฟ
วอลแลนด์เป็นหนึ่งในสตรีที่ได้รับเหรียญเชิดชูของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
เมื่อเดือนมีนาคม 1945 ในขณะที่เหล่าทหารพันธมิตรกำลังรุกคืบ ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งขั้นรุนแรงที่เรียกว่า “Demolitions on Reich Territory Decree” (มีชื่อสั้นๆ ว่า “Nero Decree”) ซึ่งมีคำสั่งให้ทำลายโครงสร้างของพวกเยอรมันเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพพันธมิตรนำไปใช้การได้ และมีการอธิบายถึงคอลเล็คชั่นขนาดมหึมาของผลงานศิลปะที่ถูกขโมยไป
ขณะที่ทีมผู้พิทักษ์ประวัติศาสตร์ก็มีหน้าที่กอบกู้และปกป้องผลางนศิลปะอันล้ค่าของชาวยุโรปนับล้านชิ้น มีผลงาน 2 ชิ้นที่มีความสำคัญเป็นพิเศษนั่นคือ Bruges Madonna และ Ghent Altarpiece
The Bruges Madonna
ผลงานชิ้นที่ 4 ของไมเคิลแองเจโล่คือพระแม่มารีและพระเยซู ซึ่งมีความแตกต่างจากมุมมองภาพเดิม พระแม่มารีไม่ได้อุ้มพระเยซูไว้ในอ้อมแขนหรือวางบนตัก แต่ได้เลื่อนลงมาที่ระหว่างเข่าของเธอราวกับให้พระองค์ได้เดินด้วยตัวพระองค์เองเป็นครั้งแรก แววตาของมารดาคล้ายจะรู้ถึงชะตากรรมของเขา
ในช่วงปี 1506 พี่น้อง Mouscron พ่อค้าเสื้อผ้า Flemish ผู้มั่งคั่งได้นำรูปปั้นหินอ่อนสูง 50 นิ้วในลักษณะที่ยืนอยู่ไปที่เบลเยียม ซึ่งถูกตั้งไว้บนแท่นบูชาของโบสถ์ของครอบครัวเขา ในโบสถ์ Notre-Dame ที่บรูซ ตั้งแต่นั้นมา Bruges Madonna จึงเป็นที่ขึ้นชื่อในเบลเยียมเป็นอย่างมาก รูปปั้นถูกเคลื่อนย้ายไปจากบรูซโดยพวกนาซีที่มาเก็บตัวเมื่อเดือนกันยายนปี 1944 ทีมผู้พิทักษ์ประวัติศาสตร์เป็นผู้พบเจอและนำกลับคืนมาได้
The Ghent Altarpiece
The Adoration of the Mystic Lamb or Lamb of God เป็นศิลปะภาพวาดฝาผนังยุคแรกสไตล์ Flemish polyptych เป็นผลงานศิลปะที่น่าประทับใจและได้รับความเคารพมากที่สุดในโลกชิ้นหนึ่ง มีการเรียกกันทั่วไปว่า The Ghent Altarpiece เพราะบ้านเกิดอยู่ที่ St. Bavo’s Cathedral ในเมืองเบลเยียมแห่งเก้นต์
มีความเชื่อกันว่าผลงานเริ่มสร้างขึ้นโดย Hubert Van Eyck เมื่อราวปี 1415 และน้องชายที่มีชื่อเสียงกว่าชื่อ แจน ได้สืบทอดต่อในช่วงที่ฮูเบิร์ตเสียชีวิตลงเมื่อปี 1426 แจนสร้างผลงานเสร็จเมื่อปี 1432 นักประวัติศาสตร์ศิลป์เห็นพ้องตรงกันว่าแจนเป็นคนวาดภาพนั้นโดยส่วนใหญ่ ภาพแท่นบูชาที่มีกระจก 12 บานเป็นการสร้างสรรค์ที่ซับซ้อน ซึ่งมีการประกอบด้วยบานประตู 8 บานที่ถูกวาด 2 ด้าน โดยต้องการนำเสนอสองมุมมองที่โดดเด่น ขึ้นอยู่กับว่าจะเปิดหรือปิดอยู่
The Ghent Altarpiece ยังเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ถูกขโมยไปบ่อยๆ
ในปี 1566: แท่นบูชาถูกรื้อชิ้นส่วนและซ่อนไว้เพื่อเลี่ยงจากการถูกเผา เพราะเป็นสัญลักษณ์ของคาทอลิกโดย Calvinists
ในปี 1784 - 1860: หน้าต่างสองบานที่มีภาพเปลือยของอดัมกับอีฟหายไปอย่างลึกลับ
ในปี I794: หน้าต่างสี่บานที่แสดงถึง The Adoration ถูกกองทัพฝรั่งเศสนำไปไว้ที่ปารีส
ในปี 1816/17: หน้าต่างบานเกล็ด 6 บานถูก William of Prussia ซื้อไป
ในปี 1914-1918: แท่นบูชาถูกแยกใน 3 เมือง ได้แก่ บรัสเซิลส์ เบอร์ลินและเก้นต์
ในปี 1914: ชาวเยอรมันขโมยบานหน้าต่างแห่งอดัมและอีฟ ไป
ในปี 1919: ประโยคนึงใน Treaty of Versailles มีการเรียกร้องจากนักวิจารณ์ศิลปะระดับโลกให้คืนบานหน้าต่าง ทั้งหมดสู่สถานที่เดิมในเก้นต์ ข้อเรียกร้องไม่เป็นผลจนกระทั่งปี 1923
ในปี 1935: บานหน้าต่าง The Righteous Judges และ Saint John the Baptist ถูกขโมยไปเพื่อเรียกค่าไถ่ บานหน้าต่างเซนต์จอห์นได้กลับคืนมาเพื่อแสดงถึง “ความศรัทธา” โดยไม่มีการจ่ายค่าไถ่ผลงาน แต่ไม่มีการพบบานหน้าต่าง The Judges อีกเลย (ผู้ช่วยฟื้นฟูชาวเบลเยียม Jan van der Veken ได้วาดภาพใหม่แทนที่หายไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2)
The Monuments Men – กองทัพฉกขุมทรัพย์โลกสะท้าน
20 กุมภาพันธ์นี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
https://www.facebook.com/TheMonumentsMenThailand