ไรท์เล่าว่า “บทนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อมาร์ติน แต่มันก็เป็นบทที่เกิดจากการรวมเพื่อนหลายๆ คนของผมเข้าด้วยกัน และพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนผมอยู่นะครับ”
ฟรีแมนเล่าว่า “ผมชื่นชอบสิ่งที่บทหนังเรื่องนี้พูดถึงมิตรภาพ การสูญเสียมันและพยายามกอบกู้มันกลับคืนมาน่ะครับ”
“ในบรรดาเพื่อนๆ ทั้งห้าคน โอลิเวอร์เป็นคนที่ปล่อยวางมากที่สุด เขาเป็นแบบนั้นเสมอ และเขาก็เป็นคนที่เสแสร้งและมีความทะเยอทะยานถึงวอลล์สตรีทตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เขามีมือถือก่อนคนอื่นๆ และตอนนี้ เขาก็สวมหูฟังบลูทูธตลอดเวลา มันไม่ใช่ผมเลย ผมก็เลยต้องอาศัยการแสดงเข้าช่วยครับ”
โรซามุนด์ ไพค์ ตั้งข้อสังเกตว่า การแสดงเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ซะด้วยสำหรับฉากการดื่มไม่ยั้ง เธอเล่าว่า “สิ่งที่หนุ่มๆ ของเราดื่มตลอดทั้งเรื่องไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ แต่มันเป็นเครื่องดื่มผสมที่น่าสนใจ ซึ่งฉันคิดว่าน่าจะมีเบสเป็นครีมโซดา และผสมน้ำมะนาวลงไปหน่อยน่ะค่ะ”
เวิร์คกิ้ง ไตเติลได้เชื้อเชิญไพค์ให้เข้ามาร่วมทดลองอ่านบทเรื่องนี้และแสดงบทแซม น้องสาวของโอลิเวอร์ ผู้ซึ่งตัวตนของเธอในสมัยเรียนก็เพียงพอแล้วที่จะรักษาตำแหน่งของโอลิเวอร์ในกลุ่มนี้เอาไว้ได้ ในทางกลับกัน การแสดงของไพค์ตอนอ่านบทก็เพียงพอที่จะทำให้เธอมีตำแหน่งในทีมนักแสดงด้วยเช่นกัน เพ็กก์เล่าว่า “หลังจากนั้น มันก็เหมือนว่า ‘เรารู้นะว่าเธอเก่ง แต่เธอเก่งจริงๆ’ เธอไปมีลูกเพราะเราไม่เริ่มต้นถ่ายทำกันจริงๆ จังๆ จนกระทั่งแปดเดือนให้หลัง ซึ่งถึงตอนนั้น เธอก็ทำให้เราทุกคนประหลาดใจด้วยฝีมือการต่อสู้ของเธอครับ”
ไพค์ตั้งข้อสังเกตว่า “ฉันรู้ว่าฉันจะต้องพร้อมสำหรับการกระชากหน้า ดึงทึ้งผม และการฉุดกระชาก การต่อสู้และสตันท์ของเรื่องนี้จะต้องก้าวไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเจ๋งมาก มันสนุกกว่าตอนที่ฉันได้ฟันดาบในหนังเรื่องอื่นๆ เสียอีก เพราะส่วนผสมพวกนี้มันทั้งรุนแรงและสนุกมากๆ ค่ะ”
“ด้วยความที่ฉันเคยดูหนังเรื่องอื่นๆ ของพวกเขา ฉันก็เลยมองเห็นได้ว่าเอ็ดการ์จะทำอะไรฐานะผู้กำกับ พร้อมด้วยคู่หูที่เพอร์เฟ็กต์อย่าง [ผู้กำกับภาพ] บิล โป๊ป และบทหนังเรื่องใหม่นี้ที่ทำให้ฉันหัวเราะตั้งแต่หน้าแรก เราต่างก็จินตนาการได้ถึงการกลับมาเจอกับเพื่อนที่เราไม่ได้เจอตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งรวมถึงคนที่ไม่ได้ไปไหนด้วย ถ้าคุณนึกถึงคนๆ นั้นไม่ได้ มันอาจเป็นคุณก็ได้ บางที นั่นอาจเป็นสิ่งที่คนพูดถึงฉัน...”
ไรท์เผยว่า “รอสถามผมว่า ‘ตัวละครของฉันมีที่มาจากไหน’ แล้วผมก็เล่าให้รอสฟังว่าจริงๆ แล้ว แซมมีที่มาจากแฟนเก่าผม รอสถามว่าเรายังติดต่อกันอยู่ไหม แม้ว่าเราจะเคยเดทกันเมื่อ 21 ปีที่แล้ว เธอก็ยังเป็นเพื่อนผมอยู่ ดังนั้น รอสก็เลยไปพบกับเธอเพื่อรับประทานอาหารร่วมกับเธอในบ้านเกิดของเธอ และดูเหมือนว่าพวกเธอจะสนุกกันมาก ผมไม่รู้ว่าพวกเธอคุยเรื่องอะไรกันและผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะอยากรู้ด้วย แต่รอสกลับมาบอกผมว่า ‘ฉันเข้าใจแล้วค่ะ’ ตัวละครของรอสออกมาได้ดีเยี่ยมมาก ผมก็หวังว่าแฟนเก่าผมจะแฮปปี้นะครับ”
“รอสเป็นนักแสดงแบบ ‘เมธ็อด’ สุดๆ เธอดื่มเบียร์ประกอบฉากหมดไพน์เลย เธอทุ่มเทให้กับฉากแอ็กชันสุดตัว และตั้งคำถามว่า ‘ทำไมฉันถึงแสดงช็อตนั้นไม่ได้’ แทนที่จะให้สตันท์วูแมนเข้ามาน่ะครับ”
ไพค์ตั้งข้อสังเกตว่า “ฉันไม่เคยแสดงหนังกับคนในกลุ่มนี้มาก่อน แต่ทุกคนเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว พวกเขาไม่ได้หายตัวเข้าไปในเทรลเลอร์หรือห้องแต่งตัวน่ะค่ะ”
ฟรอสท์เล่าว่า “เรามักจะนั่งมองผิวสีขาวอมชมพูของโรซามุนด์ ที่ไร้ตำหนิ แล้วเราก็จะร้องเพลงให้เธอฟัง”
เพ็กก์กล่าวเสริมว่า “เธอเดินเข้ามาในสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นผู้ชายสูงมาก แต่กลับรู้สึกไม่เคอะเขินอะไร สำหรับนักแสดงที่เอ็ดการ์ไม่เคยรู้จักมาก่อนจากหนังเรื่องก่อนๆ เขาก็จะใช้เวลามากขึ้นในการทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นน่ะครับ”
เพ็กก์กล่าวว่า ความรู้สึกในกองถ่ายของเอ็ดการ์ ไรท์ “คือคุณกำลังทำงานกับเพอร์เฟ็กชันนิสต์ ผมชื่นชมพรสวรรค์ของเอ็ดการ์และความรอบรู้เรื่องหนังของเขามาตลอด เขาเติบโตขึ้นในฐานะผู้กำกับและมีความรู้เชิงเทคนิคมหาศาลเลยครับ”
อีริค เฟลเนอร์ให้ความเห็นว่า “นี่คือผู้กำกับที่รู้ว่าเขาต้องการอะไร มุมไหนและช็อตไหนน่ะครับ”
นีรา ปาร์คกล่าวยืนยันว่า “ระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องแรกที่ฉันได้ร่วมงานกับเอ็ดการ์ เราเข้ากันได้ทันทีเพราะเราต่างก็มีอารมณ์ขันที่คล้ายกันมากๆ และเพราะพวกเราไม่มีใครอยากประนีประนอมเว้นแต่เราต้องทำจริงๆ ในวันที่สี่ มันดึกมากแล้ว และฉันก็บอกเขาแบบนั้น แต่เขาก็บอกว่า ‘ผมจะต้องถ่ายช็อตนี้ให้ได้’ ซึ่งเขาก็ทำได้และเขาก็พูดถูก เพราะมันทำให้ฉากนั้นดีขึ้นมากจริงๆ เขารู้ดีว่าเขาต้องการอะไรเพื่อให้ฉากนั้นๆ เวิร์คน่ะค่ะ”
ผู้กำกับรู้ดีว่าเขาต้องการร่วมงานกับผู้กำกับภาพบิล โป๊ปอีกครั้งหลังจากการได้ร่วมงานกันมาแล้วใน Scott Pilgrim vs. the World ไรท์กล่าวว่า “คุณจะไม่เจอคนที่เก่งในเรื่องการถ่ายทำแอ็กชัน การแสดงและเข้ากับนักแสดงได้มากนักหรอกครับ บิลมีประสบการณ์กว้างขวาง ไม่มีช็อตไหนที่เขาไม่เคยถ่ายทำ แต่เขาไม่เคยมีทัศนคติที่ว่า ‘เคยทำมาแล้ว’ เขาจะตื่นเต้นกับทุกๆ ฉากและมีไอเดียมากมาย เราได้พัฒนาการสื่อสารทางลัดระหว่างกันได้อย่างรวดเร็วและเขาก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีของผมครับ”
“ผมรู้ว่าเขาจะเพิ่มความรู้สึกแบบหนังเข้าไปในโลเกชันต่างๆ ของอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เขาเป็นผู้กำกับภาพชาวอเมริกันที่ถ่ายทำผับอังกฤษน่ะครับ”
เมื่อรู้ว่าเขาจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้กับโป๊ป ไรท์ก็ “สู้เพื่อให้ได้ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ด้วยฟิล์ม ผมไม่ได้ดูถูกการถ่ายทำแบบดิจิตอลนะครับ แต่เราถ่ายทำ Shaun of the Dead และ Hot Fuzz ด้วยฟิล์ม 35 ม.ม. และผมก็อยากให้ The World’s End เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนโปรล็อก ที่เป็นปี 1990 จะถูกถ่ายทำด้วยฟิล์ม 16 ม.ม.ครับ”
ในฐานะผู้กำกับ คอนซิไดน์ตั้งข้อสังเกตว่า “สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับเอ็ดการ์คือเขาคิดถึงหนังเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เขามีทักษะเชิงเทคนิคเช่นกับการตั้งกล้อง แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเขาชื่นชอบการแสดงและอยากให้นักแสดงทำให้เขาหัวเราะน่ะครับ”
เมื่อบทเขียนเสร็จเรียบร้อยก่อนหน้าการถ่ายทำ ไรท์ก็ตั้งข้อสังเกตว่า กฎของเขาระหว่างช่วงการซ้อมและพรีโปรดักชันคือ “ซ้อมให้มันเหมือนละครเวทีนิดๆ เราไม่ค่อยได้อิมโพรไวส์กันในกองถ่ายหรอกครับ”
ผู้กำกับสนับสนุนให้ทีมนักแสดงหลักใช้เวลากับนักแสดงรุ่นเยาว์ที่รับบทตัวละครของพวกเขาในวัยรุ่น แคล แม็คคริสตัล โค้ชสอนการเคลื่อนไหวได้ร่วมงานกับนักแสดงทั้ง 10 คน และให้พวกเขาออกกำลังกายเลียนแบบท่าทางและจัดการให้พวกเขามีลักษณะการเคลื่อนไหวบางอย่างที่จะเชื่อมช่วงเวลาทั้งสองเข้าด้วยกัน ไรท์กล่าวว่า “เราได้จัดการออกกำลังกาย ‘เลียนแบบ’ ที่เราจะให้นักแสดงรุ่นเยาว์เลียนแบบนักแสดงที่อายุมกกว่า มันสนุกดีที่ได้เห็นพวกเขาเลียนแบบกันน่ะครับ”
ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ออกแบบท่าเคลื่อนไหวด้วยเช่นกันคือลิทซา บิกซ์เลอร์ ผู้ออกแบบท่าเคลื่อนไหว ผู้ซึ่งร่วมกับทีมของเธอ ดูแลตัวประกอบท้องถิ่นและตัวประกอบจากเอเจนซี แดนเซอร์ และนักแสดงสตันท์ บิกซ์เลอร์เคยทำหน้าที่คล้ายๆ กันนี้ใน Shaun of the Dead มาก่อนและไรท์ก็อยากให้การเคลื่อนไหวบนหน้าจอของเขาตรงกับในภาพที่เขาวาดเอาไว้
นักแสดงบางคนจะสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชม แต่หลายคนจะปรากฏตัวใน The World’s End ด้วยความภาคภูมิใจหลังจากที่ก่อนหน้านี้ เคยแสดงใน Shaun of the Dead และ/หรือ Hot Fuzz มาก่อน ในจำนวนนี้ คนที่แสดงภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องติดต่อกันกับทีมงานคือเรฟ สปอล ผู้ทำตัวให้ว่างสำหรับการทำงานในหนึ่งวัน, การ์ธ เจนนิงส์ เพื่อนผู้กำกับของไรท์และนักแสดงคนดังที่เราจะได้ยินเสียงและไม่เห็นตัวด้วย ปาร์คเล่าว่า “นักแสดงสมทบชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราค่ะ”
ยิ่งกว่านักแสดง ทีมงานเองก็ประกอบไปด้วยทีมงานจากภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ที่มารวมตัวกัน ผู้ออกแบบงานสร้างมาร์คัส โรว์แลนด์ ผู้ได้ทำงานในภาพยนตร์ทุกเรื่องของไรท์ ได้ถูกนำตัวมาตั้งแต่เริ่มแรก เขาตระหนักดีตั้งแต่ขั้นตอนเขียนบทแล้วว่า “ในการประหยัดงบ เราจะต้องสร้างฉากผับที่จำเป็นที่สุดขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งมันจะเป็นฉากที่มีคุณค่าในการถ่ายทำสูงสุด ที่เราจะสามารถทำในสิ่งทีเราไม่สามารถทำในโลเกชันจริงได้ เช่นการย้ายผนังสำหรับตั้งกล้อง การตั้งของเอาไว้ทำพัง การส่งรถพุ่งชนเข้าไป...ตามโลเกชันจริง พวกเขามักจะแบนเรื่องพวกนี้ครับ!”
“สำหรับฉากผับที่เน้นไดอะล็อคมากกว่าหรือบางผับที่ตัวละครเข้าไปอยู่ในระยะเวลาสั้นๆ เราก็ไม่ได้สร้างผับขึ้นมาแต่จะไปผับจริงๆ มีตอนหนึ่งในบทที่พวกผับจะประดับตกแต่งแบบคล้ยๆ กัน และเสน่ห์และเอกลักษณ์เก่าของพวกมันค่อยๆ เลือนหายไป เราก็เลยใช้การประดับตกแต่งแบบเดียวกันในแต่ละครั้งครับ”
ไรท์เล่าว่า “สิ่งที่เราได้เห็นว่าเกิดขึ้นกับผับในอังกฤษคือสถานที่เหล่านี้จากช่วงปลายศตวรรษกำลังถูกปรับเปลี่ยนด้วยป้ายเจ็บๆ และเมนูแฟนซีทั้งหลาย หลายครั้ง องค์ประกอบพวกนี้มันเหมือนกันในทุกผับ นี่จะเป็นการทำให้วัฒนธรรมเหมือนกันอย่างนั้นหรือครับ? หรือคนกำลังอาลัยอาวรณ์การสูญเสียของสิ่งที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้น? ผมกับไซมอนอยากจะคุยกันถึงความเห็นทั้งสองแง่มุมผ่านทางความรู้สึกอบอุ่นของแกรี่ที่มีต่อบ้านเกิดเขาและความทรงจำที่ไม่ค่อยโรแมนติกนักของคนอื่นๆ น่ะครับ”
ภาพกราฟิกส์ ป้าย และโลโก้ทั้งในและรอบๆ นิวตัน ฮาเวน ได้รับการออกแบบและระบายสีอย่างรอบคอบเนื่องด้วยมีการระบุถึงสิ่งเหล่านี้ในบทด้วย “คุณจะได้เห็นภาพบางอย่างบนหลอดเบียร์และที่รองเบียร์ครับ” โรว์แลนด์บอก
สำหรับสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ภายใต้เฟรเซอร์ เชอร์ชิล ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ ไรท์ได้ยึดติดกับคติที่ว่า “เอฟเฟ็กต์ที่ดีที่สุดคือการผสมผสานระหว่างฟิสิคัลกับดิจิตัล แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใน The World’s End จะกลายเป็นเรื่องสุดเพี้ยนและเกินจริง แต่เฟรเซอร์และทีมงานของเราก็ยังสร้างเอฟเฟ็กต์จากพื้นฐานความเป็นจริง สิ่งต่างๆ จะถูกสร้างขึ้นในกองถ่าย แล้วเราก็ค่อยเสริมดิจิตอลเข้าไป ในการทำแบบนี้ นักแสดงจะสามารถมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับบางสิ่งได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องไม่มองไป ‘ที่นั่น’ หรือไม่แตะ ‘ตรงนี้’ ก็ตาม ในปัจจุบันนี้ ดิจิตอล เอฟเฟ็กต์พัฒนาถึงขนาดที่คนไม่มีความอดทนที่จะสร้างเอฟเฟ็กต์จริงๆ ขึ้นอีกต่อไปแล้ว เราสามารถใช้จินตนาการของเราได้จริงๆ แต่ก็ต้องวางแผนทุกอย่างให้เรียบร้อยครับ”
“ผู้ร้ายของหนังเรื่องนี้เป็นการรวมตัวกันของแอ็กชันฟิกเกอร์พังๆ ที่ผมเคยเล่นสมัยเด็ก รวมถึงภาพโปสเตอร์ของหนังไซไฟอย่าง The Thing [ปี 1982] ของจอห์น คาร์เพนเตอร์และ The Stepford Wives เวอร์ชันดั้งเดิม [ปี 1975 ที่กำกับโดยไบรอัน ฟอร์บส์] ผมได้สร้างฟิล์มที่รวมอิทธิพลต่างๆ เหล่านี้สำหรับทีมงาน ซึ่งรวมถึงงานโครงกระดูกของเรย์ แฮร์รีเฮาเซนใน Jason and the Argonauts ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจอย่างแท้จริงครับ”
ในกองถ่าย ไรท์มักจะปรึกษากับหัวหน้าแผนกทุกคน ซึ่งรวมถึงมือลำดับภาพ พอล มาชลิสด้วย โดยพอล มาชลิสใช้เวลาส่วนใหญ่ในกองถ่ายหมดไปกับตอนที่มีการถ่ายทำซีเควนซ์ต่อสู้ ไรท์ตั้งข้อสังเกตว่า “การลำดับภาพในกองถ่ายเป็นสิ่งสำคัญเป็นพิเศษสำหรับฉากใหญ่ๆ ในตอนที่คุณไม่สามารถถ่ายทำตามบทได้หลายหน้าในวันนั้นน่ะครับ”
นอกจากนี้ การลำดับภาพยังจะต้องสอดประสานไปกับการทำงานของนิค แองเจิล ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายดนตรี ซึ่งเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งที่ร่วมงานกับทีมงานมานาน ชื่อของเขาถูกใช้เป็นชื่อตัวละครของเพ็กก์ใน Hot Fuzz ด้วย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ “ซาวน์แทร็คของแกรี่มาจากเพลงป็อประหว่างปี 1989-1993 น่ะครับ” เพ็กก์กล่าว “มันเป็นเทปที่อัดเพลงมารวมกัน และมันก็ผสมเข้ากับดนตรีประกอบของ [คอมโพสเซอร์] สตีเวน ไพรซ์”
ไรท์ขยายความว่า “ไอเดียเบื้องหลังซาวน์แทร็คพีเรียดของหนังเรื่องนี้คือเทปที่แกรี่อัดเพลงรวมกันไม่เคยหายไปไหน มันยังอยู่ในรถของเขา แต่มันก็ครอบคลุมหนังทั้งเรื่องด้วย ตอนที่ผมกับไซมอนกำลังเขียนบทกัน เรามีเพลย์ลิสต์เพลงประมาณ 300 เพลงระหว่างปี 1989-1993 ที่เราเปิดแบบ ‘สุ่ม’ มันจะทำให้เราอยู่ในช่วงเวลาที่ใช่น่ะครับ มันมีเพลงดีเยี่ยมมากมายจากสมัยที่เราเป็นวัยรุ่น และเพลงที่ใช้ในหนังฉบับสมบูรณ์ก็สะท้อนถึงเรื่องนั้น”
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีดนตรีประกอบ แต่ฉากแอ็กชันก็จะถูกลำดับภาพในกองถ่ายและมาชลิสก็จะรวมฉากต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว มันทำให้เอ็ดการ์ ไรท์สามารถควบคุมนักแสดง ขัดเกลาซีเควนซ์แอ็กชันและรักษาตารางเวลาของการถ่ายทำเอาไว้ได้
ไซมอน เพ็กก์กล่าวชื่นชมว่า “พอคุณแสดงหนึ่งเทค คุณเดินออกไปนอกฉาก แล้วคุณก็จะได้เห็นเทคนั้นๆ ถูกลำดับภาพกลายเป็นหนังภายในเวลาไม่กี่วินาที ระหว่างการถ่ายทำกลางคืนของเราเกือบสี่สัปดาห์ มันจะเป็นตัวกระตุ้น ที่ทำให้พวกเรามีพลังงานในการทำงานต่อไปน่ะครับ”
การถ่ายทำกลางคืนในโลเกชันจริงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเลทช์เวิร์ธ การ์เดน ซิตี้ ในเฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ ด้วยความร่วมมือจากท้องถิ่น ทีมงานจึงได้ถ่ายทำทั้งภายในและภายนอกอาคารต่างๆ ในเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกที่ได้ทำเช่นนี้ ด้วยความซาบซึ้งใจกับชาวเมือง ไซมอน เพ็กก์และนิค ฟรอสท์ก็เลยพักจากการถ่ายทำ เพื่อเป็นประธานในพิธีแสดงแสงสีประจำปีของเลทช์เวิร์ธด้วย เวลวิน การ์เดน ซิตี้ ซึ่งอยู่ภายในเมืองเฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ ก็เป็นสถานที่ถ่ายทำด้วยเช่นเดียวกัน
โลเกชันอื่นๆ รวมถึงกันเนอร์สเบรี ปาร์คในเวสต์ ลอนดอน, อาคารบลู ฟินในเซาธ์อาร์ค, ลอนดอนและสถานีรถไฟไฮ ไวคอมบ์ ที่ปรากฏในฉากที่แกรี่รวมกลุ่มเพื่อนของพวกเขาเพื่อขับรถไปนิวตัน ฮาเวน
ในบรรดาโลเกชันถ่ายทำอื่นๆ ในเฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ ทีมงานได้ใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปกับการถ่ายทำฉากภายในที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษที่เอลส์ทรี สตูดิโอส์ สตูดิโอชื่อดัง ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำของตำนานภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่นไตรภาค Star Wars ชุดแรก เพ็กก์เล่าว่า “ในฐานะคนรักหนัง การได้ยืน และได้ทำงานอยู่ที่นี่ นับว่าเป็นเกียรติอย่างพิเศษสุดครับ ผมรู้สึกโชคดีและประทับใจมากๆ”
นิค ฟรอสท์กล่าวว่า “ในบรรดาหนังทุกเรื่องที่ผมได้ร่วมงานกับไซมอนและเอ็ดการ์ นี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในแง่ของการได้หัวเราะครับ”
เอ็ดดี้ มาร์สันให้ความเห็นว่า “ผมคิดว่าเหตุผลที่ผู้ชมจะสนุกสนานกับการได้ดู The World’s End ก็เพราะพวกเขาจะได้เห็นตัวเองในปีเตอร์ หรือแกรี่ หรือแอนดี้ หรือโอลิเวอร์ หรือสตีเวนน่ะครับ ผู้ชมที่อายุน้อยกว่าก็จะเห็นตัวเองในตัวละครเหล่านั้นเช่นกันเพราะตอนนี้ พวกเขาอยู่ในวัยที่ตัวละครพยายามจะรือฟื้นความรู้สึกกลับมาใหม่ครับ”
“แถมตัวละครพวกนี้ก็ได้นักแสดงสุดฮ็อตมาเป็นคนแสดงซะด้วยสิ”