happy on September 11, 2013, 08:05:50 PM


THE BUTLER

จัดจำหน่ายโดย    HANDMADE DISTRIBUTION

ชื่อภาพยนตร์      Lee Daniels' The Butler

ชื่อภาษาไทย      เดอะ บัทเลอร์  เกียรติยศพ่อบ้านบันลือโลก

ภาพยนตร์แนว      อีพิค-ดราม่า

จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา

กำหนดฉาย      10 ตุลาคม 2556
 
ณ โรงภาพยนตร์      ทุกโรงภาพยนตร์
 
ผู้กำกับ          Lee Daniels (ลี แดเนียลส์)

อำนวยการสร้าง   Lee Daniels (ลี แดเนียลส์)


นักแสดง         
Forest Whitaker (ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์)  รับบท Cecil Gaines  (เซซิล เกนส์)
ผลงานที่ผ่านมา Phone Booth , The Last King of Scotland , The Experiment, A Dark Truth

Oprah Winfrey (โอปราห์ วินฟรีย์)  รับท  Gloria Gaines (กลอเรีย เกนส์)               
ผลงานที่ผ่านมา Oprah Presents: Master Class , The Oprah Winfrey Show, Ocean's Thirteen

John Cusack (จอห์น คูแซ็ค) รับบท Richard Nixon (ริชาร์ด นิกสัน)                  
ผลงานที่ผ่านมา Now You See Me, On the Road, 21 Jump Street, Battleship
      
Robin Williams (โรบิน วิลเลี่ยมส์) รับบท Dwight D. Eisenhower (ดไวท์ ไอเซนฮาวเออร์)      
ผลงานที่ผ่านมา Night at the Museum,Old Dogs, World's Greatest Dad

Mariah Carey (มารายห์ แครี่ย์) รับบท Hattie Pearl (แฮร์ธี่ เพิร์ล)
ผลงานที่ผ่านมา Precious , Tennessee , WiseGirls , American Dad! , Stay in the Middle

Jane Fonda (เจน ฟอนดา) รับบท Nancy Reagan (แนนซี่ เรแกน)
ผลงานที่ผ่านมา Monster-in-Law, Georgia Rule, All Together, The Newsroom





จุดเด่นภาพยนตร์

                LEE DANIEL’S THE BUTLER ผลงานภาพยนตร์แนว อีพิค-ดราม่า ซึ่งเป็นการโคจรมาพบกันของเหล่านักแสดงระดับแม่เหล็กมาร่วมประชันบทบาทสุดเข้มข้นกับศิลปินตัวแม่ และพิธีกรฝีมือเก๋าของวงการนำโดย ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์ , โอปราห์ วินฟรีย์ , เดวิด โอเยลโลโอ , จอห์น คูแซ็ค , โรบิน วิลเลี่ยมส์ , มารายห์ แครี่ย์ , คิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์ , ยายา อลาเฟีย , เจน ฟอนดา , วาเนสซ่า เกรดเกรฟ ฯลฯ มาร่วมแสดงโดย LEE DANIEL’S THE BUTLER สร้างขึ้นชีวิตจริงของ “ยูจีน อัลเลน” อดีตพ่อบ้านทำเนียบขาว ที่ทำงานใกล้ชิดกับอดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง Lee Daniels  (ลี แดเนียลส์) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี่และทีมยังเป็นหนึ่งในทีมผู้สร้างภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง Monster’s Ball, Precious และ The Paperboy

เรื่องย่อ

                ที่มาของภาพยนตร์เรื่อง LEE DANIEL’S THE BUTLER ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทความเรื่อง “A Butler Well Served by This Election” จากวอชิงตัน โพสต์ ในปี 2008   ซึ่งเล่าเรื่องราวชีวิตจริงของ “ยูจีน อัลเลน”  อดีตพ่อบ้านทำเนียบขาว โดย Lee Daniels  (ลี แดเนียลส์)   หยิบเรื่องราวนี้มาถ่ายทอดผ่านตัวละคร  เซซิล เกนส์ (รับบทโดยฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์)  ผู้ทำหน้าที่ระหว่างการบริหารงานของประธานาธิบดีในระหว่างปี 1957-1986

                ซึ่งเป็นการติดตามเรื่องราวของตัวละคร “เซซิล” ตั้งแต่วัยเด็กในระหว่างที่เขาหลบหนีจากความโหดร้ายของดินแดนทางใต้ที่มีการแบ่งแยกชนชั้นกันอย่างรุนแรง   เพื่อมาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า  จวบจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่  เซซิลได้เรียนรู้ทักษะล้ำค่าที่ท้ายที่สุด และทำให้เขาสามารถคว้าโอกาสทองในชีวิตด้วยการได้ รับตำแหน่งเป็นพ่อบ้านของบ้านเลขที่ 1600 เพนซิลวาเนีย อะเวนิว ซึ่งหมายถึงบ้านของประธานาธิบดีคนสำคัญของสหรัฐอเมริกานั่นเอง  เซซิลได้กลายเป็นประจักษ์พยานของเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ และกระบวนการทำงานในห้องทำงานของประธานาธิบดี ระหว่างที่เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมือง

                ด้านชีวิตส่วนตัวของเซซิล เขามีภรรยาที่รัก คือ กลอเรีย เกนส์ (รับบทโดยโอปราห์ วินฟรีย์) และมีลูกชายอีกสองคนครอบครัวของเซซิลได้รับการเอื้อประโยชน์ให้อยู่ในชนชั้นกลางที่มีความเป็นอยู่ที่ดีต่างจากครอบครัวอื่นๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นทำงานให้กับครอบครัว “ครอบครัวหมายเลขหนึ่ง” ทำให้ครอบครัวของเซซิลเองนั้นเกิดความตึงเครียด ตัวเซซิลเองเหินห่างจากกลอเรียและมีปัญหาขัดแย้งกับหลุยส์ เกนส์ ลูกชายของเขา (รับบทโดยเดวิด โอเยลโลโอ) เซซิลจะมีวิธีในการรับมือกับปัญหาต่างๆที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างไร ติดตามหาคำตอบได้ใน…LEE DANIEL’S THE BUTLER








เกี่ยวกับงานสร้างภาพยนตร์

               ในปี 2008 ระหว่างช่วงเวลาหลายสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ บารัค โอบามา ชนะการเลือกตั้ง วิล เฮย์กู๊ด อดีตนักข่าวต่างประเทศและนักเขียนของวอชิงตัน โพสต์ ได้ตั้งภารกิจให้กับตัวเองในการหาชาวแอฟริกัน/อเมริกัน ที่เคยทำงานในทำเนียบขาวและได้เห็นการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนจากเบื้องหลังม่าน หลังจากโทรศัพท์หลายครั้ง เฮย์กู๊ด ก็ค้นพบว่าคนที่เขาตามหานั้นอยู่ในวอชิงตัน ดีซี นี่เอง ชื่อของเขาคือ “ยูจีน อัลเลน” เขาอายุ 89 ปีแล้ว และเขาก็เคยทำงานภายใต้ประธานาธิบดี 8 คน  ตั้งแต่ยุค 50s จนถึง 80s  หลังจากได้พบกับ อัลเลน และ เฮเลเน ภรรยาของเขานานหลายชั่วโมง เขาก็สามารถรวบรวมข้อมูลของชายผู้มีโอกาสได้เป็นประจักษ์พยานของช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของประเทศ  รวมถึงบุรุษทรงอำนาจผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้น  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน

               เอมี ปาสคัล ผู้อำนวยการร่วมแห่งโซนี่ พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์ เดิมได้อ่านบทสัมภาษณ์กับ อัลเลน ในวอชิงตัน โพสต์และได้นำเรื่องราวนี้ไปเสนอผู้อำนวยการสร้าง ลอร่า ซิสกิน หนังสือพิมพ์โพสต์ได้ตีพิมพ์เรื่องราวนี้ในวันศุกร์ หลังชัยชนะของ โอบามา ซิสกิน  ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ยอดนิยมอย่าง PRETTY WOMAN, AS GOOD AS IT GETS และ แฟรนไชส์ SPIDER-MAN เห็นด้วยทันทีว่าเรื่องราวของอัลเลนมีศักยภาพวิเศษสุดที่จะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แม้ว่าจะถูกทาบทามซื้อสิทธิเรื่องราวของ อัลเลน จากผู้อำนวยการสร้างคนอื่นๆ ด้วย   แต่ เฮย์กู๊ด ก็เชื่อว่าความรักและวิสัยทัศน์ที่ ซิสกิน มีต่อ   โปรเจ็กต์นี้ไม่มีใครเทียบได้และเห็นด้วยว่าพวกเขาควรจะเรี่มต้นสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

               โซนี่ พิคเจอร์ส ซื้อสิทธิ์ในการสร้างโปรเจ็กต์นี้โดยมีมือเขียนบทอย่าง  แดนนี่ สตรอง รับหน้าที่สร้างเรื่องราวสมมติที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบทความของ เฮย์กู๊ด ขึ้นมา แต่ท้ายที่สุด โซนี่ฯ กลับเลือกที่จะไม่เดินหน้าต่อ ซึ่งทำให้ ซิสกิน ผู้ซึ่งยังคงรักในโปรเจ็กต์นี้อยู่ กลับเดินหน้าเต็มที่เพื่อหาเงินทุนมาสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้แบบอิสระ ในการตามหานักลงทุนที่น่าจะเป็นไปได้ เธอคิดที่จะทาบทามนักธุรกิจและผู้ชื่นชอบภาพยนตร์ หรือผู้สนใจโปรเจ็กต์ศิลปะที่มีข้อคิดทางสังคมเป็นพิเศษ เช่น เชลลา จอห์นสัน ผู้ร่วมก่อตั้ง BET ท้ายที่สุดแล้วคนอื่นๆ อย่าง ไมเคิล ฟินลีย์ และ บัดดี้ แพทริค  ก็เข้ามาร่วมงานด้วย   และสุดท้ายก็มีผู้คนมากมายเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อเนรมิตทุกชีวิตให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมีผู้สนับสนุนเงินทุนจากหลายภาคส่วนร่วมมือกันเพื่อผลักดันโปรเจ็กต์นี้ไปสู่เส้นชัย ซึ่งรวมถึง เอิร์ล สแตฟฟอร์ด, แฮร์รี ไอ. มาร์ติน จูเนียร์, ชาร์ลส์ ซาวัวร์ โบแนน, ฟิล์ม พาร์ทเนอร์ส และ เอไอ ฟิล์ม

               ซิสกิน หมายตา  แดเนียลส์  ให้กำกับโปรเจ็กต์นี้ เขาเพิ่งประสบความสำเร็จมาจาก PRECIOUS ภาพยนตร์รางวัล ออสการ์ของเขา   เมื่อ SALMA ภาพยนตร์ที่แดเนียลส์ถูกวางตัวให้กำกับถูกยกเลิกไป เขาก็สามารถเซ็นสัญญากับซิสกินแทนได้ ความเชี่ยวชาญของเขาในแวดวงภาพยนตร์อินดี้เป็นประโยชน์ในการระดมทุนในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย แดเนียลส์ และ ซิสกิน ร่วมด้วย แพม วิลเลี่ยมส์ หุ้นส่วนการอำนวยการสร้างของเธอ ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาโปรเจ็กต์นี้  แม้ระหว่างที่เธอป่วยด้วยโรคมะเร็งมากขึ้นเรื่อยๆ  จนเมื่อ ซิสกิน เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้าในเดือนมิถุนายน ปี 2011 วิลเลี่ยมส์ ก็รับช่วงต่อในการนำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้สมเร็จขึ้นสู่จอเงินให้ได้ตามความตั้งใจ

               ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์  และ โอปราห์ วินฟรีย์ เป็นคู่ถัดไปที่เซ็นสัญญารับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้โดยมี  เดวิด โอเยลโลโอ มารับบทเป็น หลุยส์ ลูกชายนักเคลื่อนไหวหัวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีทีมนักแสดงทที่ตบปากรับคำเข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกมากมาย อาทิ  ยาย่า อลาเฟีย, มารายห์ แครี่ย์, จอห์น คูแซ็ค, เจน ฟอนดา, คิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์, เทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด, เอไลยาห์ เคลลี่ย์, มินก้า เคลลี่ย์, เลนนี่ คราวิทซ์, เจมส์ มาร์สเดน, อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์, วาเนสซ่า เกรดเกรฟ, อลัน ริคแมน, ลีฟ ชไรเบอร์ และ โรบิน วิลเลี่ยมส์ นักแสดงหลายคนยินดีที่จะรับค่าตัวที่น้อยกว่าปกติและบางคนถึงกับยกเลิกตารางทัวร์ต่างๆ ที่มีก่อนหน้านี้เพื่อร่วมถ่ายทำในภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์
« Last Edit: September 11, 2013, 08:21:40 PM by happy »

happy on September 11, 2013, 08:38:51 PM



เปิดใจผู้กำกับ... ลี แดเนียลส์

Q:   ช่วยเล่าให้เราฟังถึงต้นกำเนิดของภาพยนตร์เรื่องนี้  และการร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างอย่าง ลอร่า ซิสกิน  ให้ฟังหน่อยสิ

A:     ผมได้รับบทหนังเรื่องนี้จากลอร่า ซิสกิน ผู้อำนวยการสร้างที่ผมเคารพอย่างสูง ซึ่งตอนนี้เธอจากเราไปแล้ว ผมรักเธอและผมก็ชื่นชอบไอเดียของบทความในวอชิงตัน โพสต์ของวิล เฮย์กู๊ด ซึ่งเอมี่ ปาสคัลที่โซนี่ซื้อสิทธิมา ผมตื่นเต้นมาก เพราะมันเป็นช่วงเวลาหลัง PRECIOUS และผมก็ชื่นชอบการได้ร่วมงานกับลอร่า เธอต้องเลือกระหว่างผมกับผู้กำกับที่โด่งดังมากๆ อีกคนหนึ่งที่จะมากำกับหนังเรื่องนี้ แล้วเธอก็ต้องการผม เธอเข้าใจผม ทั้งๆ ที่มีไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจคลื่นความคิดของผมได้แต่เธอก็เข้าใจ ผมก็เลยรักเธอจริงๆ ครับ
     ลอร่าจะโทรหาผมตอนตีสาม เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับบทหนังเรื่องนี้ ตอนนั้น เรากำลังเขียนเรื่องราวนี้ให้กับ  โซนี่ ตอนหนึ่งผมคิดว่าเรากำลังสร้างเรื่องราวสำหรับเดนเซลด้วยซ้ำไป แต่ท้ายที่สุด เขาก็บอกปัดมัน เช่นเดียวกับวิล สมิธ ตอนที่เราเสนอบทหนังเรื่องนี้ให้กับเอมี่ ปาสคัล เธอก็ชอบมัน ผมบอกได้ว่าเธอชื่นชอบผมและหนังเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องเงินก็ไม่ลงตัว ลอร่าไม่เคยต้องไปหาทุนสร้างหนังด้วยตัวเองมาก่อนเพราะเธออยู่ที่สตูดิโอมาตลอด ผมก็เลยบอกว่า “ผมมาจากโลกหนังอินดี้ ผมจะทำให้คุณเห็นเอง” แล้วเราก็ไปช่วยกันหาทุนสร้างหนังเรื่องนี้ครับ
     ในตอนนั้น ลอร่าก็เริ่มป่วย เธอบินกลับไปกลับมาเพื่อช่วยงานผมด้านครีเอทีฟ และการระดมทุน เธอบินไปนิวยอร์กหนึ่งสัปดาห์เพื่อพบกับผม เราทำงานจากโรงแรมของเธอที่อัปเปอร์ อีสต์ ไซด์เพราะเธอป่วยเกินกว่าจะไปไหนมาไหนได้ พอวันอังคารถัดไป เธอบินกลับไปบ้านในซานตา มอนิก้า เธอพบผู้หญิงผิวสีคนหนึ่งที่เพิ่งถูกล็อตเตอรี่ และอยากจะลงทุนในหนังเรื่องนี้ ผมบอกกับลอร่าวันนั้นว่า “คุณทำได้ยังไงนะ? ผมเพิ่งเห็นคุณเมื่อสองสามวันก่อนนี้เอง แต่คุณกลับหานักลงทุนอีกคนหนึ่งได้  คุณเป็นเจ้าแม่ชัดๆ!” เธอบอกผมว่าเธอก็แค่เรียนรู้จากผม หลายวันต่อมา เธอก็อยู่ในอาการโคม่า และเธอก็จากไปในเย็นวันอาทิตย์นั้นเองครับ
     หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่อเธอครับ เธอเชื่อในตัวผมมากกว่าที่ผมเชื่อในตัวเองเสียอีก ผมคิดว่าผมคงจะไม่สามารถสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ มันเป็นหนังฟอร์มยักษ์มากๆ มันเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองหลายรุ่น ไม่มีสตูดิโอไหนอยากจะสร้างหนังเรื่องนี้ แม้กระทั่งหลังจากความสำเร็จของ PRECIOUS และรายได้ที่หนังเรื่องนั้นทำได้  แต่ลอร่ารู้ว่าเราสามารถทำได้ แพม วิลเลี่ยมส์ ผู้บริหารบริษัทของลอร่า ช่วยผมหาทุนสร้างได้จนครบครับ


Q:   ทำไมคุณถึงอยากจะสร้างหนังเรื่องนี้ อะไรที่ทำให้เรื่องราวนี้สำคัญสำหรับคุณ

A:     เรื่องราวนี้สำคัญสำหรับผมเพราะผมไม่เคยดูหนังที่ลำดับเหตุการณ์การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองมาก่อน ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการบริหารงานภายใต้โอบาม่า ผ่านทางมุมมองของพ่อลูกคู่หนึ่ง หนังเรื่องนี้เปิดมุมมองในเรื่องต่างๆ ที่ผู้คนได้เผชิญ แม้แต่ในช่วงอายุของผมเองก็เถอะ เพื่อที่เราจะสามารถทำในสิ่งต่างๆ เช่นการโหวตได้ มันเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากการเป็นคนขาว คนผิวสี ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผม เพราะมันเป็นเรื่องของพ่อลูก ที่เป็นโฉมหน้าของเรื่องราวเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง มันก้าวข้ามเชื้อชาติ ก้าวข้ามอเมริกา มันเป็นเรื่องราวสากล และมันก็ไม่ได้เป็นแค่บทเรียนทางประวัติศาสตร์เท่านั้น  แต่เป็นเรื่องราวของครอบครัวด้วยครับ
     อีกสิ่งที่ผมรักเกี่ยวกับเรื่องราวนี้คือผู้เป็นพ่อเหมือนพ่อผมมากๆ เซซิลเห็นพ่อเขาถูกยิงในโรงงานหลังการเลิกทาส เขามีความเข้าใจที่แตกต่างกันในเรื่องการสื่อสารกับคนขาว เหมือนพ่อของผม เขาไปทำเนียบขาว เพื่อทำงานเป็นพ่อบ้าน เพราะเขารู้สึกว่าเขาสามารถรับใช้ประเทศชาติได้ดีกว่าในแบบนี้ เขาภูมิใจกับงานของเขาและภูมิใจที่ได้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แต่ลูกชายเขากลับอายกับเรื่องนี้ พ่อบ้านผู้นี้ที่เห็นพ่อของเขาถูกฆ่าตายจากการพูดโต้แย้งคนขาว เขาก็เลยไม่รู้สิ่งที่แตกต่างไปจากการทำตัวอ่อนน้อมและรับใช้ ในทางกลับกัน ลูกชายของเขาคิดว่ามันมีวิธีการใช้ชีวิตรูปแบบอื่น เขาเริ่มต้นจากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ที่เดินขบวนเรียกร้องสิทธิเพื่อการโหวต จากนั้น พอมาร์ติน ลูเธอร์ คิงถูกฆ่าตาย เขาก็ตระหนักว่าการเรียกร้องแบบอหิงสาไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะสม เขาก็เลยหันไปสนใจแนวทางทางทหารมากขึ้น เขาไปเข้าร่วมมัลคอม เอ็กซ์และแบล็ค แพนเธอร์ส  ในระหว่างนั้น พ่อเขาก็ไม่เห็นด้วยเพราะไม่เพียงแต่เขาทำงานให้กับคนขาวเท่านั้น เขายังทำงานที่ทำเนียบขาวสำหรับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วยครับ
     คำถามที่เกิดขึ้นก็คือใครผิด ใครถูก มันเป็นเรื่องถูกต้องรึเปล่าที่เขารับใช้ประธานาธิบดีอย่างนิ่งเฉย การทำให้คนขาวยอมรับและไว้ใจคุณเป็นการที่คุณพัฒนาสิทธิของคนผิวสีรึเปล่า หรือมันเป็นสิ่งถูกต้องที่จะเดินขบวน ประกาศความคิด และเต็มใจที่จะตายเพื่อสิ่งที่คุณเชื่อ มันเป็นคำถามที่ทำให้เซซิลและลูกชายต้องปะทะกันในหนังเรื่องนี้ และองค์ประกอบนั้นก็ทำให้ผมอยากจะกระโจนใส่เรื่องราวนี้ด้วยความมุ่งมั่นแบบที่ผมกระโจนเข้าใส่ PRECIOUS นะครับ


Q:   หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ ที่คุณเคยสร้างมา มันมีความแตกต่างอะไรไหมระหว่างวิธีที่คุณใช้กับเนื้อหานี้และเนื้อหาอื่นๆ ที่คุณเคยทำงานด้วยมาก่อน

A:     นี่เป็นหนังที่ยากที่สุดที่ผมเคยกำกับมาก่อน ผมรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่ามุมมองที่มีต่อโลกของผมและมุมมองที่มีต่อโลกของคนทั่วไปแตกต่างกัน มันไม่มีเนื้อหาเรื่องเพศ มีความหยาบคายนิดๆ และมีความรุนแรงระดับต่ำ แม้ว่าเราจะกำลังเจอกับช่วงเวลาที่รุนแรงมากๆ ก็ตาม ดังนั้น ในฐานะผู้กำกับ ผมก็ต้องยับยั้งชั่งใจตัวเอง และผมก็ภูมิใจกับเรื่องนั้น ผมมีทีมงานชั้นเยี่ยมและกลุ่มนักแสดงที่เหลือเชื่อ ที่ช่วยผมช่วยตัวเองเพราะพวกเขารู้ว่าผมเป็นคนรักอิสระ ผมยอมรับคนที่ยอมรับผมและแนวทางที่ผมคิดและทำงาน มันเป็นเรื่องยากที่จะสร้างหนัง PG-13 และคงความเป็นลี แดเนียลส์อยู่ แต่เราก็ทำได้ครับ

Q:   การร่วมงานกับฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์เป็นยังไงบ้าง

A:     ผมคิดว่าคนที่ทำแบบนี้มาตลอดและคนที่มั่นใจในตัวเองจริงๆ แล้วเป็นคนที่ถ่อมตัวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ฟอเรสต์อาจจะเป็นนักแสดงที่ถ่อมตัวที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานด้วยในชีวิตผม มีนักแสดงรางวัลออสการ์ซักกี่คนที่เต็มใจจะมาออดิชั่นให้คุณล่ะครับ เขาทำตามที่ผมขอทุกอย่าง ตอนนั้นเองที่คุณรู้ว่าคุณได้นักแสดงที่มั่นใจเมื่อพวกเขาทำในสิ่งที่คุณขอโดยไม่มีคำถาม นักแสดงหลายคนไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาต้องยอมสยบให้กับผู้กำกับ มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากครับ
     เขาและโอปราห์วิเศษมากในบทเซซิลและกลอเรีย ฟอเรสต์ใส่ความสง่างาม ความมีระดับและความเปราะบางเข้าไปในบทเซซิล ซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีใครทำได้อีก เขามีความสามารถในการทำให้เซซิลเปลี่ยนแปลง เติบโตและมองเห็นทางสว่างครับ


Q:   ช่วยพูดถึงกลอเรีย เกนส์ ภรรยาของเซซิล ซึ่งเป็นตัวละครของโอปราห์ซักหน่อยสิ

A:     ผมรักผู้หญิงครับ พวกเธอทั้งซับซ้อนและสวยงาม น่าศึกษา ผู้หญิงผิวสีเป็นกลุ่มที่น่าศึกษาตรงที่พวกเธอสามารถพัฒนาจากการเป็นทาสและปรับตัวได้ เราต้องการมุมมองของผู้หญิงผิวสีในบทหนังเรื่องนี้ และเราก็ต้องการผู้หญิงที่ซับซ้อนอย่างแม่ของผมหรือป้าของผมหรือเพื่อนบ้านที่ดูแลเราตอนเราโตขึ้นมา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ กลอเรีย ตัวละครของโอปราห์ซับซ้อน เธออาจจะนอกใจเซซิล สามีของเธอ เพราะเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เธออาจจะดื่มหนักเกินไป เธออาจจะสูบบุหรี่มากเกินไป แต่ผมคิดว่าความซับซ้อนนั้นคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตและเรื่องราวน่าสนใจ ครอบครัวเกนส์ไม่ใช่ครอบครัวฮักซ์เทเบิล        ก็ไม่ใช่ว่าพวกฮักซ์เทเบิลเลวร้ายนะครับ แต่พวกเขาเป็นคนที่ซับซ้อนเพราะพวกเขามาจากการเป็นทาส เรื่องเชื้อชาติเป็นเรื่องซับซ้อนครับ
     เซซิลและกลอเรียมีลูกชายสองคนในหนังเรื่องนี้ คนหนึ่งคือชาร์ลีย์ เขาร่วมรบในสงครามเวียดนามและรับใช้ประเทศของเราในแบบนั้น ส่วนหลุยส์ ลูกชายคนหนึ่ง ร่วมมือกับขบวนการเอ็มแอลเค, มัลคอล์ม เอ็กซ์และแบล็ค แพนเธอร์ส หนังเรื่องนี้สำรวจว่าครอบครัวเกนส์ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร กลอเรีย ผู้เป็นแม่ ควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่เพราะลูกชายทั้งคู่ของเธอกำลังทำสงคราม คนหนึ่งเป็นสงครามภายในส่วนอีกคนหนึ่งทำสงครามอยู่นอกประเทศครับ


Q:   การได้โอปราห์กลับมาแสดงอีกครั้ง หลังจากที่เธอห่างหายจากวงการไปนาน เป็นอย่างไรบ้าง

A:     เธอได้ร่วมงานกับผมใน PRECIOUS ในฐานะผู้ควบคุมงานสร้าง ผมบอกเธอหลังจากหนังเรื่องนั้นว่าผมอยากจะร่วมงานกับเธออีกครั้ง เพียงแต่ในฐานะนักแสดงเพราะผมคิดว่าเธอมีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่อ ผมอยากให้เธอทำสิ่งที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึง พอผมเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เธอก็ชื่นชอบไอเดียเรื่องนี้ ผมก็เลยลงมือพัฒนามันและปรับตัวละครใหม่สำหรับเธอ เธอตอบรับบทนี้อย่างรวดเร็วและผมก็ดีใจที่เธอชอบมันครับ
     ในตอนที่คุณทำงานกับนักแสดง คุณจะต้องมีความไว้วางใจอย่างแน่วแน่ ผมไม่สามารถถ่ายทำได้ถ้าผมไม่ได้รับความไว้วางใจจากนักแสดง มันเป็นศิลปะ เหมือนการออกแบบการต้นรำหรือการวาดภาพเหมือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโอปราห์ เธอไม่ได้ทำงานในฐานะนักแสดงมานานแล้ว มันก็เลยเป็นเรื่องสั่นประสาทมากๆ ที่จะต้องแบกรับภาระในการทำให้เธอดูดีพอๆ กับใน THE COLOR PURPLE ในหนังเรื่องนั้น เธอเป็นอัจฉริยะเลยครับ แต่ในวันแรกในกองถ่าย เธอก็ทุ่มสุดตัวเลย มันงดงามมาก เธอเข้าแถวรับอาหารเหมือนคนอื่นๆ เธอไม่ได้ทำตัวแตกต่างจากนักแสดงคนอื่นๆ เลย เธอเป็นมหาเศรษฐี แต่เธอไม่ได้ทำตัวแบบนั้นเลยตอนอยู่ในกองถ่าย เธอมาทำงานทุกวันโดยไม่มีผู้ติดตาม และให้การสนับสนุนกับกระบวนการทำงานทั้งหมดมากๆ เธออยู่ตรงนั้นในฐานะนักแสดงรับจ้าง และเธอก็มาสวมบทกลอเรียในฐานะนักแสดงด้วย ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับเธออีกครั้งหนึ่งครับ


Q:   การทำงานในภาพยนตร์ที่มีทีมนักแสดงกลุ่มใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง

A:     การทำงานในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องยากเพราะปกติแล้ว ผมจะสร้างหนังที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นซัมเมอร์ หรือหนึ่งปี เท่านั้นเอง แต่หนังเรื่องนี้ครอบคลุมเวลาหลายสิบปี มีดาราปรากฏตัวขึ้นคนแล้วคนเล่า เราเริ่มต้นจากโรบิน วิลเลี่ยมส์ ต่อด้วยวาเนสซ่า เรดเกรฟ มารายห์ แครี่ย์และเลนนี่ คราวิทซ์ ก่อนจะมีคิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์, โอปราห์ วินฟรีย์,    ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์และเทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ด การดึงเอาการแสดงจากนักแสดงเหล่านี้ คุณจะต้องใช้เวลาร่วมกับพวกเขา ไม่เพียงแต่คุณจะต้องอยู่หน้ากระดาษเดียวกันเท่านั้น แต่จะต้องอยู่ตัวอักษรเดียวกันด้วย เวลาเป็นเงินเป็นทอง ซึ่งเราก็ไม่ได้มีมากด้วย มันก็เลยเป็นเรื่องยากมากๆ แต่นักแสดงจะต้องรักหนังของพวกเขาจริงๆ และผมก็ตื่นเต้นกับพวกเขาทุกคน ผมคิดว่าเจน ฟอนดาวิเศษมากในบทแนนซี่ เรแกน และผมก็คิดว่าอลัน ริคแมนเหลือเชื่อมากในบทโรนัลด์ เช่นเดียวกับอเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์และเดวิด แบนเนอร์
     การคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทประธานาธิบดีเป็นเรื่องยากเพราะผมไม่อยากใหผู้ชมคิดว่า “ดูจอห์น คูแซ็กรับบทประธานาธิบดีนิกสันสิ หรือดูโรบิน วิลเลี่ยมส์เล่นเป็นไอเซนฮาวเออร์ หรือเจมส์ มาร์สเดนรับบทเคนเนดี้สิ” คุณต้องทำให้พวกเขาหายไป และในการทำแบบนั้น คุณก็ต้องไม่ทำให้พวกเขาเป็นตัวละครล้อเลียน แต่ต้องทำให้พวกเขาเป็นคนที่มีเลือดเนื้อจริงๆ มุมมองที่ผมมีต่อพวกเขาคือการมองว่าพวกเขาเป็นแค่คนธรรมดา ในฐานะผู้ชม ผมอยากให้คนรู้สึกว่าน้ำหนักของโลกใบนี้ทับอยู่บนคนเหล่านี้ในตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่ว่าคุณจะเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครท ไม่ว่าคุณจะชอบพวกเขาหรือไม่ก็ตาม พวกเขาเป็นคนที่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรับใช้ประเทศของเรา เคนเนดี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย นิกสันเองก็เหมือนกัน ทุกคนต่างก็มีข้อดีข้อเสียเหมือนกัน ผมพยายามจะใส่ไอเดียนั้นเข้าไปในหนังทุกเรื่องของผม รวมถึงกับประธานาธิบดีเหล่านี้ด้วย เราทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่สีเทา และนั่นเองที่เวทมนตร์เกิดขึ้นในตอนที่คุณบอกเล่าเรื่องราวครับ


Q:   มีฉากไหนบ้างไหมที่ถ่ายทำได้ยากเป็นพิเศษหรือโดดเด่นขึ้นมาสำหรับคุณ

A:     มีฉากหนึ่งที่โอปราห์นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งและทาลิปสติก เธอกำลังเมาและเธอก็อยากให้สามีเธอร่วมรักกับเธอ ผมกังวลมากกับการถ่ายทำฉากนี้ ผมคิดกับตัวเองว่า “ผมจะทำยังไงไม่ให้คนทั้งโลกจำได้ว่าเธอคือโอปราห์ วินฟรีย์ล่ะ! ผมจะทำให้เธอหายไปได้ยังไง” ในฉากนั้น เธอพูดถึงแจ็คกี้ เคนเนดี้ ว่าแจ็คกี้มีรองเท้ามากมายซักกี่คู่ เธอไม่พอใจที่สามีเธออยู่ในทำเนียบขาว คอยดูแลแจ็คกี้ แทนที่จะดูแลภรรยาตัวเอง แล้วตอนที่เราถ่ายทำฉากนี้ มันก็น่ากลัวมากเพราะผมรู้สึกหวั่นใจกับการวิจารณ์เธอ แต่เธอก็วิเศษสุด เธอแสดงด้วยบทพูดที่ผมเขียนขึ้นมาเพื่อเธอได้อย่างยอดเยี่ยม มันเป็นหนึ่งในฉากโปรดของผมในหนังเรื่องนี้ครับ

Q:   ระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มีตอนไหนบ้างรึเปล่าที่คุณรู้สึกใกล้ชิดกับประเด็นของเรื่องเป็นพิเศษ

A:     ช่วงเวลา “อะฮ่า” ของผมในตอนที่ผมเข้าใจว่าพ่อแม่ผมและปู่ย่าตายายผมต้องเจออะไรบ้าง เกิดขึ้นตอนที่เราถ่ายทำฉากการนั่งรถเมล์ของพวกฟรีดอม ไรเดอร์ส ผมกำกับฉากนั้นบนรถเมล์ มันร้อนมาก และไม่มีแอร์เพราะราใช้รถเมล์ในยุคนั้นจริงๆ ที่ฝ่ายอุปกรณ์ประกอบฉากหาให้ นอกจากนั้น ผมยังต้องกำกับพวกเคเคเค แคลนนอกรถเมล์ด้วย ผมเห็นกลุ่มคนในชุดเคเคเคที่โกรธแค้นเป็นร้อยคน และตะโกนว่า “คัท!” แต่พวกเขาก็ยังพุ่งตรงมาที่รถเมล์เพราะพวกเขาไม่ได้ยินผม ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักดีว่าการเป็นหนึ่งในพวกเด็กๆ บนรถเมล์ของพวกฟรีดอม ไรเดอร์ให้ความรู้สึกยังไงนะครับ

Q:   คุณอยากให้ผู้ชมได้รับข้อคิดอะไรจากหนังเรื่องนี้

A:     การกำกับหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานในแวดวงภาพยนตร์มาเลยล่ะครับ มันเป็นงานที่เหลือเชื่อในการสร้างอีพิคอิงประวัติศาสตร์และมันก็น่าสะพรึงกลัวด้วยเพราะในฐานะผู้กำกับ คุณก็อยากจะแน่ใจว่าคุณถ่ายทอดมันออกมาอย่างถูกต้อง ผมหวังว่าผู้ชมจะเดินกลับออกไปด้วยความรู้สึกที่ว่าจะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรจะจดจำว่ามีคนพลีชีพเพื่อประเทศของเราและมีฮีโร่ที่ไม่ได้ถูกพูดถึงในบทเรียนด้วย คนเหล่านั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้โอบาม่าได้เป็นประธานาธิบดีครับ








เปิดสัมภาษณ์นักแสดงนำ…ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์

Q:    หนังเรื่องนี้ครอบคลุมช่วงเวลายาวนานในประวัติศาสตร์อเมริกันและบอกเล่าเรื่องราวของพ่อลูกคู่หนึ่ง ที่รับบทโดยคุณและเดวิด โอเยลโลโอ ช่วยเล่าให้เราฟังถึงความสัมพันธ์นั้นหน่อยสิ

A:     ผมคิดว่าสิ่งที่ลี แดเนียลส์ทำกับหนังเรื่องนี้ค่อนข้างทรงพลังเพราะเขาถ่ายทอดเรื่องของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองผ่านทางตัวละครของผม (เซซิล) และลูกชายผม (หลุยส์) เป็นนักเคลื่อนไหวตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และเขาก็ได้มาทำงานกับมาร์ติน ลูเธอร์คิง ก่อนจะทำงานให้กับมัลคอล์ม เอ็กซ์ มันมีบุคคลหลากหลายประเภทในการเคลื่อนไหวนั้น  ในขณะเดียวกัน คุณจะได้เห็นผมในทำเนียบขาวระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้นที่มีการตัดสินใจเบื้องหลังที่เกิดขึ้นโดยประธานาธิบดีเคนเนดี้, จอห์นสัน, นิกสัน, เรแกนและอื่นๆ พวกเขาเป็นผู้ที่ทำให้สิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองในประเทศนี้ รวมถึงโลกใบนี้ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
     แล้วมันก็เป็นเรื่องราวของพ่อลูกด้วย ตัวละครของผมเป็นตัวแทนของคนรุ่นเก่าที่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ เขาเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยการอยู่ในทำเนียบขาวของเขา ด้วยพฤติกรรมและการยอมรับของเขา ในแง่หนึ่ง ผมทำให้ชุมชนผิวสีมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาเพราะประธานาธิบดีและทีมงานของเขาจะต้องปฏิบัติต่อผมในระดับของมนุษย์ด้วยกัน แล้วก็มีลูกชายผมที่รับมือกับประเด็นเดียวกันในท้องถนนกับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง ผ่านทางการเดินขบวนและการนั่งอยู่กับที่ ความขัดแข้งเกิดขึ้นระหว่างเราและรุ่นที่แตกต่างกันของเรา สิ่งที่ผมต้องการสำหรับลูกชายผมคือให้เขาปลอดภัยและมีชีวิตที่ดี นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าผมทำในตอนที่ผมไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของเขา การเติบโตของผมคือการตระหนักว่าผมเองก็สมควรจะได้รับสิทธิบางอย่างเช่นกัน และลูกชายของผมก็ทำให้ผมเข้าใจเรื่องนี้ครับ


Q:   ในฐานะพ่อบ้านของทำเนียบขาว เซซิลได้พัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวกับประธานาธิบดีและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง คุณคิดว่ามันส่งผลแง่บวกอย่างไรต่อภาพใหญ่บ้าง

A:     เราต่างก็มีบุคคลต่างๆ เหล่านี้ เช่นโคลิน พาวเวลล์และคอนโดลีซ่า ไรซ์ ผู้ได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจก่อนหน้าประธานาธิบดีโอบาม่า ผมไม่คิดว่าโอบามาจะได้เป็นประธานาธิบดีถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ และการที่ผู้คนเข้าใจและยอมรับว่ามีชาวแอฟริกัน/อเมริกันอยู่ในตำแหน่งของผู้มีอำนาจ คนพวกนี้เปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของสาธารณชน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องใต้จิตสำนึกก็ตาม ผมเชื่อว่าโอบาม่าถูกฟ้าลิขิตให้รับตำแหน่งนี้ และผมก็ยินดีกับเขาด้วย แต่โชคชะตาก็มีช่วงเวลาของมันและสิ่งต่างๆ ก็ต่อยอดมาจนถึงชั่วขณะที่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น อย่างที่มัลคอล์ม แกลดเวลว่าไว้ครับ
     ในแง่นี้แล้ว ผมคิดว่าเซซิลเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการที่คนๆ หนึ่งทำเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของคนกลุ่มใหญ่ในเรื่องเชื้อชาติ ในหนังเรื่องนี้ เน็คไทของเคนเนดี้และเข็มกลัดของจอห์นสันเป็นของขวัญที่เซซิลได้รับและเก็บรักษาไว้ ประธานาธิบดีทั้งสองคนได้เปลี่ยนแปลงนโยบายสิทธิพลเมืองในประเทศนี้ โดยเคนเนดี้เป็นคนเริ่มต้น ก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหาร จอห์นสันบางครั้งก็ถูกมองว่าเป็นพวกคลั่งเชื้อชาติและถูกมองแง่ลบจากบทบาทของเขาในสงครามเวียดนาม แต่เขาก็ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับสิทธิมนุษยชนในอเมริกาและทำให้มีการผ่านร่างกฎหมายต่างๆ ครับ


Q:   เซซิลไม่พอใจในตอนที่ลูกชายเขาบอกว่า ซิดนีย์ โพเทียร์ เป็นแค่คนผิวสีที่ทำตัวอย่างที่คนขาวอยากให้ทำ คุณตีความเรื่องนั้นว่าอย่างไร

A:     เซซิลโกรธเพราะในความคิดของเขา ซิดนีย์ โพเทียร์เป็นนักเคลื่อนไหวและเป็นผู้บุกเบิก หนังอย่าง A PATCH OF BLUE และ BROTHER JOHN เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เลยที่คนผิวสีจะได้ร่วมแสดงก่อนที่เขาจะเข้ามา ถนนที่เขาแผ้วทางเอาไว้ยังคงมีผู้เดินตามในปัจจุบัน งานและช่องทางที่เขาสร้างขึ้นยังคงไม่มีใครเทียบได้ เมื่อลูกชายของเซซิลเถียงว่าเราไม่ควรจะเคารพชายผู้นี้ เซซิลก็อยากพูดจาดีๆ ในฐานะพ่อ แต่มันเกินกว่าเขาจะรับได้ครับ
     ถึงกระนั้น สิ่งที่ลีทำกับหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเยี่ยมจริงๆ ตรงที่เขาได้สำรวจ “ความเป็นลุงทอม” หลุยส์ ลูกชายของตัวละครของผม มองผมในแบบเดียวกับลุงทอม จริงๆ แล้ว บางครั้งเขาอายแทนผมด้วยซ้ำ มาร์ติน ลูเธอร์ คิงบอกเขาว่า จริงๆ แล้ว ตำแหน่งของผมในทำเนียบขาวสำคัญมากๆ คนอย่างบิล “โบแจงเกิลส์” โรบินสันและหลุยส์ อาร์มสตรองถูกมองว่าเป็นลุงทอม ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้น ชาวแอฟริกัน/อเมริกันไม่สามารถแสดงบนเวทีบางแห่งหรือเข้าห้องบางแห่งได้เพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาต พวกเขาเป็นนักเคลื่อนไหวที่เดินไปตามเส้นทางที่ไม่เคยเปิดกว้างมาก่อน เพื่อให้คนอื่นสามารถเดินตามมาได้ ถ้าคุณเดินเข้าป่า แล้วคุณต้องใช้มีดฟันเถาวัลย์ที่อยู่ตรงหน้าคุณ คุณก็จะรู้ว่าคนที่ตัดเถาวัลย์ก่อนหน้าคุณได้แผ้วทางให้คุณได้เดินหน้าต่อไปครับ


Q:   การร่วมงานกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่รับบทประธานาธิบดีสหรัฐฯในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง

A:     มันเยี่ยมมากเพราะผมเป็นเหมืองสิ่งที่เชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน นั่นเป็นสิ่งสำคัญเกี่ยวกับคนที่ทำงานในทำเนียบขาว มันเป็นเหมือนบ้านของเขาครับ ตอนที่ผมคุยกับพ่อบ้านจริงๆ บางคนที่เคยทำงานที่นั่น พวกเขาจะบอกว่าพวกเขาทำงานที่นั่นมาเป็นปีๆ แล้วและได้เห็นประธานาธิบดีคนแล้วคนเล่า แต่พวกเขาก็ยังคงทำงานเบื้องหลังต่อไปครับ
     ระหว่างการถ่ายทำ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ เมื่อได้นักแสดงคนใหม่มารับบทประธานาธิบดี จอห์น คูแซ็ครับบทนิกสันที่ค่อนข้างเพี้ยน ผมตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับเขาเพราะเขาเป็นนักแสดงคนเก่ง การแสดงฉากที่เขากำลังอยู่ท่ามกลางข่าวอื้อฉาวเรื่องวอเตอร์ เกท ที่เปิดเทปครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เจมส์ มาร์สเดนใส่เอาความผ่อนคลายและความสบายใจเข้าไปในบทเคนเนดี้ ผมชอบที่ได้ร่วมงานกับเขา ตัวละครของเขาเชื่อมโยงกับผมมากๆ ผมเคยร่วมงานกับโรบิน วิลเลี่ยมส์มาก่อน ผมชื่นชอบความนิ่งและความเรียบง่ายของเขาในบทไฮเซนฮาวเออร์ มันละเอียดอ่อนมากๆ เขาแสดงความเจ็บปวดและการครุ่นคิดออกมาได้อย่างงดงามครับ


Q:   นี่เป็นการหวนคืนสู่การแสดงอีกครั้งของโอปราห์ คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรเป็นพิเศษที่ทำให้เธอกลับมาล่ะ

A:     แน่นอนครับว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลีจากการอำนวยการสร้าง PRECIOUS และเธอก็ไว้วางใจเขาในฐานะผู้กำกับ เรายากร่วมงานกันมาพักใหญ่แล้ว แต่ผมคิดว่าเหตุผลหลักๆ คือสิ่งที่เรื่องราวนี้กำลังบอกเล่าในเชิงประวัติศาสตร์และแสดงให้อเมริกาได้เห็นผ่านมุมมองเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ ผมคิดว่าเธอสนใจที่จะสำรวจเรื่องของครอบครัวและความรักด้วยครับ สิ่งหนึ่งที่ตัวละครของเรามีในฐานะสามีภรรยาตลอดทั้งเรื่องคือความรักที่ผูกพันกันลึกซึ้งผ่านมรสุม ผ่านการติดเหล้าของตัวละครของเธอ ผมคิดว่าในฐานะนักแสดง เธอจะต้องสนใจตัวละครตัวนี้เพราะมันทั้งซับซ้อนและทรงพลัง และเธอก็แสดงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผมมีความสุขจริงๆ ที่ได้แสดงหนังเรื่องนี้กับเธอ ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมจะแสดงกับคนอื่นได้ยังไง