happy on March 22, 2013, 06:35:38 PM

BACK TO 1942

นักแสดง

จางกั๋วลี่       -    เจ้าสัวฟ่าน
เอเดรียน โบรดี้    -   ธีโอดอร์ อี ไวท์
จางโหมว      -   ฉวนจู
ฟิโอน่า หวัง      -   ซิงซิง
ซูฟ่าน      -   หัวจื่อ
จางฮานหยู      -   อันซีมาน
ทิม ร็อบบินส์      -   บาทหลวงโธมัส มอร์แกน
เฉินเต๋าหมิง      -   นายพลเจียงไคเช็ค
หลี่ซุ่ยเจียน      -   หลี่เพ่ยจี่
ฟ่านเหว่ย      -   ผู้เฒ่าหม่า
เฝิงหยวนเจิ้ง      -   เซี่ยหลู ลูกบ้านของเจ้าสัวฟ่าน
หลี่เฉียน      -   ลูกสะใภ้ของฟ่าน
จางเฉาหัว      -   แม่ของเซี่ยหลู
จ้าวอี่      -   ฟ่านเขอฉิน


ทีมงาน

เฝิงเสี่ยวกัง      -   กำกับการแสดง
หลิวเจิ้นหยุน      -   เขียนบทภาพยนตร์
หลิวเจิ้นหยุน      -   บันทึกต้นฉบับ
หลูยั่ว         -   ถ่ายภาพ
เสี่ยวหยาง      -   ตัดต่อ
จ้าวจี่ปิง      -   ดนตรี
ฉีไห่หยิง      -   ออกแบบงานสร้าง
หวูเจียง      -   เสียง
หวังจงเล่ย      -   อำนวยการสร้าง
เฉินกั๊วฟู่      -   อำนวยการสร้าง
หวังจงจุ้น      -   อำนวยการสร้างบริหาร





เรื่องย่อ

ในปี 1942 มณฑลเหอหนานประสบภาวะอดอยากครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ ซึ่งคร่าชีวิตประชนหญิง ชาย และเด็กกว่าสามล้านราย แม้ว่าสาเหตุหลักของมหันตภัยจะเป็นความแห้งแล้ง แต่สถานการณ์ถูกซ้ำเติมด้วยฝูงตั๊กแตน, ลมพายุ, แผ่นดินไหว, โรคระบาท และการคอรัปชั่นของรัฐบาลก๊กมินตั๋ง

กลางดึก ชาวนาผู้อดอยากนับร้อยถือเคียวและคบเพลิงลงสู่ที่ดินของเจ้าสัวฟ่าน (จางกั๋วลี่) ทางตอนเหนือของมณฑลเหอหนาน เขาครอบครองคลังเมล็ดพันธุ์พืชสุดท้ายในหมู่บ้านเหลาจวง ด้วยความกลัวฝูงชนที่กราดเกรี้ยว เจ้าสัวฟ่านจึงเลี้ยงอาหารพวกเขาในพื้นที่บ้าน แต่ความแค้นแต่หนหลังปะทุขึ้นและบ้านของเขาถูกเผาจนราบคาบจากอุบัติเหตุไฟไหม้

ขณะเดียวกัน สงครามระหว่างกองทัพญี่ปุ่นและกลุ่มชาตินิยมกำลังจะเปิดฉากขึ้นในตอนเหนือของมณฑลเหอหนาน เสบียงพืชพรรณกำลังจะถูกส่งให้กองทัพจีน ผู้ว่าการมณฑลมองเห็นภัย จึงขอเข้าพบนายพลเจียงไคเช็ค (เฉินเต๋าหมิง) ในเมืองหลวงชั่วคราวแห่งนครฉงชิ่ง แต่เมื่อได้เผชิญหน้า เขากลับไม่กล้าเอ่ยปาก

เมื่อกลายเป็นคนไร้บ้านและหิวโหย เจ้าสัวฟ่านจึงจำต้องเข้าร่วมกลุ่มกับผู้อพยพนับล้านที่เดินเท้าสู่มณฑลซานซีซึ่งมีสถานที่หลบภัยในช่วงวิกฤต เขาถือเป็นคนที่มั่งมีที่สุดในกลุ่มโดยมีเกวียนม้าลากของตัวเองที่บรรทุกซิงซิง ลูกสาววัย 16 ปีของเขา (ฟิโอน่า หวัง), ฉวนจู คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ (จางโหมว), หัวจื่อ ลูกบ้าน (ซูฟ่าน) และเมล็ดพันธุ์พืชที่เหลือ

ระหว่างการเดินทางลงใต้สุดอันตรายในเส้นทางตรงข้ามกับกองทัพจีน ฟ่านได้พบกับชายสี่คนซึ่งแต่ละคนต่างกำลังเผชิญวิกฤต ได้แก่ ธีโอดอร์ เอช ไวท์ นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันผู้กระตือรือร้น (เอเดรียน โบรดี้), ผู้เฒ่าหม่า พ่อครัวที่ผันตัวมาเป็นผู้พิพากษา (ฟ่านเหว่ย), โธมัส เมแกน บาทหลวงผู้เคร่งปฏิบัติ (ทิม รอบบินส์) และอันซีมาน ที่ศรัทธาในศาสนาของเขากำลังถูกทดสอบ (จางฮานหยู)

หลายสัปดาห์ผ่านไป ความแตกต่างทางสังคมระหว่างฟ่านกับฉวนจู คนงานของเขา ก็เลือนหายไป พวกเขาฝันถึงอนาคตหลังสงครามว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินด้วยกัน ฟ่านทำในสิ่งที่ไม่คาดฝันคือขายลูกสาวตัวเองให้แก่ซ่องแห่งหนึ่งเพื่อแลกกับข้าวฟ่างไม่กี่แกลลอน เธอยืนยันจะทำเพราะหมดหวังที่จะหาข้าวกิน ฉวนจูถึงกับใจสลายเพราะหลงรักซิงซิงมานาน
 
ฉวนจูได้รับการดามใจเมื่อสาวแก่หัวจื่อเสนอที่จะแต่งงานกับเขา หลังจากอยู่กับสามีใหม่ได้เพียงคืนเดียว และหาพ่อใหม่กับลูกๆ ผู้หิวโหยได้แล้ว หัวจื่อก็ขายตัวเองให้กับสองพ่อค้าทาส ครอบครัวใหม่ของเธอจึงมีอาหารพอประทังชีวิตในการเดินทางสุดอันตรายข้ามพรมแดนสู่นครซานซี เมื่อเหลือตัวคนเดียวและไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร ฟ่านจึงเดินทางกลับสู่ตอนเหนือเพื่อไปตายที่บ้านเกิด

ธีโอดอร์ เอช ไวท์ ตีพิมพ์บทความอันเจ็บแสบที่เปิดเผยเรื่องราวความแร้นแค้นลงในนิตยสาร Time ซึ่งทำให้นายพลเจียงไคเช็ค (เฉินเต๋าหมิง) และรัฐบาลชาตินิยมอับอายขายหน้า นายพลสั่งให้กองทัพจีนถอนกำลัง ทิ้งให้กองทัพญี่ปุ่นตกอยู่ในความสับสนงงงวย แล้วกองทัพญี่ปุ่นก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือการให้อาหารแก่ประชาชนผู้หิวโหย





ปูมหลังประวัติศาสตร์

แม้จะมีการสู้รบกันเป็นระยะตั้งแต่ปี 1931 ญี่ปุ่นบุกและผนวกแมนจูเรียเข้าด้วยกัน แต่สงครามจีน-ญี่ปุ่นเปิดฉากอย่างเป็นทางการในปี 1937 กองทัพญี่ปุ่นยึดครองปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ และนานกิง หลังจากเสียนครหวูฮานในปี 1938 พรรคชาตินิยมก็เคลื่อนย้ายศูนย์กลางทางการเมือง, เศรษฐกิจ และการทหารสู่เมืองฉงชิ่งในเขตประเทศ

ในปี 1941 หลังการทิ้งระเบิดที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ตะวันตกประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับญี่ปุ่น ถัดมาในปี 1942 จีนกลายเป็นแนวหน้าในสงครามโลกครั้งที่สอง บทบาทสำคัญของจีนในการต่อสู้กับญี่ปุ่นคือพรรคก๊กมินตั๋งของนายพลเจียงไคเช็คได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองทัพพันธมิตรในประเทศจีน

ความอดอยากคือเหตุการณ์อันเลวร้ายในประวัติศาสตร์จีนที่ได้คร่าชีวิตประชาชนกว่าสิบล้านคนในช่วงศตวรรษที่ 20 ในปี 1942 ความอดอยากในมณฑลเหอหนานยิ่งเลวร้าย จากการซ้ำเติมของความละโมบ การคอรัปชั่น และความไร้ประสิทธิภาพของพรรคชาตินิยมที่ตั้งภาษีมหาโหดแลยึดพืชพรรณของประชาชนไปเลี้ยงกองทัพ นอกจากจะทำให้มีคนตายกว่าสามพันชีวิต ความอดอยากครั้งนี้ยังทำให้มีผู้อพยพกว่าสิบล้านคนด้วย


ประวัตินักแสดง

จางกั๋วลี่ รับบท เจ้าสัวฟ่าน

แม้เจ้าสัวฟ่านจะมั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน ที่ดิน และบริวาร แต่ภาวะอดอยากก็ทำให้เขาแร้นแค้นและเกือบเอาชีวิตไม่รอด หลังจากที่บ้านของเขาถูกไฟไหม้ด้วยน้ำมือของกลุ่มชาวนาผู้หิวโหย ครอบครัวของเขาก็หนีภัยอดอยากไปโดยเกวียนม้าลาก จางกั๋วลี่กล่าวว่าตัวละครของเขาเป็นบทบาทที่น่าเศร้า "ตอนที่อ่านบทครั้งแรก ผมรู้สึกว่ามันสะเทือนใจมาก เฝิงเสี่ยวกังได้สร้างสรรค์บางอย่างที่เฉพาะตัวและจะทำให้ผู้ชมทั่วไปรู้สึกสะเทือนใจ"

เอเดรียน โบรดี้ รับบท ธีโอดอร์ เอช ไวท์

หลังจากเรียนจบสาขาจีนศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปี 1938 ธีโอดอร์ก็เดินทางมายังเมืองฉงชิ่งและได้ทำงานเป็นนักข่าวประจำประเทศจีนของนิตยสาร Time เขาเขียนข่าวเกี่ยวกับการคอรัปชั่นและความไร้ประสิทธิภาพของพรรคชาตินิยมที่ปกครองประเทศจีนและทำให้สถานการณ์ความอดอยากยิ่งเลวร้ายลงอีก

จางโหมว รับบท ฉวนจู

ฉวนจูคือชาวไร่ธรรมดาที่ทำงานรับใช้เจ้าสัวฟ่านมานับสิบปี เขารักกับซิงซิง ลูกสาวของฟ่านอย่างลับๆ หลายเดือนผ่านไป ฉวนจูสานไมตรีกับฟ่านกระทั่งสัญญาว่าจะเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกันหลังสงคราม เมื่อซิงซิงถูกขายให้ซ่องโสเภณี ฉวนจูได้รับการปลอบประโลมจากหัวจื่อที่แต่งงานกับเขาเพื่อให้ลูกๆ ของเธอมีพ่อ จางโหมวกล่าวว่า "ผมแสดงเป็นชาวนาชาวจีนในวัยยี่สิบ ที่เติบโตจากเด็กหนุ่มไม่รู้จักคิดเป็นชายหนุ่ม"

ฟิโอน่า หวัง รับบท ซิงซิง

ซิงซิงคือลูกสาวผู้หยิ่งทะนงของเจ้าสัวฟ่าน เธอเป็นเด็กสาวหัวสมัยใหม่ที่ปรารถนาจะเข้าร่วมเป็นแนวหน้าต่อต้านญี่ปุ่นกับเพื่อนร่วมห้อง เธอนำหนังสือเรียนและลูกแมวติดตัวไปในการเดินทางหนีภาวะอดอยากนี้ด้วย ซึ่งแสดงถึงความรู้ละความไร้เดียงสา แต่แล้วก็เผาหนังสือเรียนเพื่อนำมาผิงไฟและแมวถูกนำมาปรุงเป็นซุป ฟิโอน่า หวัง พูดถึงตัวละครของเธอว่า "ซิงซิงเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งผู้ไม่เกรงกลัวต่อภยันตรายใดๆ จนสุดท้ายโยนความทะนงตนทิ้ง กระทั่งขายตัวเองเข้าซ่อง"

ซูฟาน รับบท หัวจื่อ

หัวจื่อคือเมียของลูกบ้านคนหนึ่งของเจ้าสัวฟ่าน เธอนัดพบกับลูกชายเจ้าสัวฟ่านอยู่บ่อยครั้งเพื่อแลกกับเมล็ดข้าวฟ่าง ครอบครัวของเธอ ซึ่งประกอบด้วยลูกชายแบเบาะและลูกสาว หนีภัยแร้นแค้นไปกับเจ้าสัวฟ่านโดยหอบชุดแต่งงานสีแดงไปด้วยเพื่อนำโชคในการเดินทาง จากการโดนดูถูกดูแคลน ไม่นานเธอก็ขายบริการทางเพศให้ฉวนจูเพื่อแลกกับขนมปังกรอบ ซูฟ่านพูดถึงตัวละครของเธอว่าเป็น "แม่ผู้เข้มแข็งที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก"

จางฮานหยู รับบท อันซีมาน

อันซีมานคือนักเทศน์ในศาสนาคริสต์ที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า เขาเชื่อว่าพระเจ้าจะปกป้องผู้ที่เชื่อมั่น จึงสวดมนต์อ้อนวอนขณะที่ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดลงรอบตัวเขา แต่กลับกลายเป็นเจ้าสัวฟ่านที่ช่วยเขาจากระเบิด ไม่ใช่พระเจ้า เมื่อได้เห็นคนตายจำนวนมาก ศรัทธาของซีมานก็ถูกทดสอบ เขาไปพบบาทหลวงโธมัส เมแกน เพื่อขอคำปรึกษา ซึ่งบาทหลวงโทษว่าเป็นเพราะปีศาจ สุดท้ายซ๊มานก็เสียสติไปเอได้รู้ว่าเขาเองก็หาประโยชน์จากความอดอยากครั้งนี้เช่นเดียวกับพ่อค้าทาสและนักเก็งกำไรคนอื่นๆ

ทิม รอบบินส์ รับบท บาทหลวงโธมัส เมแกน

บาทหลวงคาธอลิกที่มีโบสถ์เป็นของตนเองนอกเมืองลั่วหยาง เขาเป็นนักบวชที่เคร่งปฏิบัติและใจแคบกว่าอันซีมาน เขาโทษว่าที่พระเจ้าอ่อนแอเป็นเพราะปีศาจ เขาให้อาหารแก่ผู้อพยพโดยและกับการฝังศพเพื่อลดโรคระบาดหลังฤดูหนาว เขาปฏิเสธที่จะเลี้ยงเด็กทารกที่มีคนนำไปมอบให้ที่โบสถ์เพราะไม่ต้องการให้เป็นแบบอย่าง ทิม รอบบินส์ กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนที่พูดถึงภาวะอดอยากในหลายแง่มุม และได้แสดงด้านที่สวยงามของมนุษยชาติ

เฉินเต๋าหมิง รับบท นายพลเจียงไคเช็ค

หลังจากเสียกรุงปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ และนานกิงให้แก่ญี่ปุ่นในช่วงต้นสงครามจีน-ญี่ปุ่น นายพลเจียงไคเช็คก็ถอยร่นไปยังเมืองฉงชิ่งและยื้อสงครามเพื่อให้ชาติตะวันตกเข้ามาร่วมด้วย หลังการทิ้งระเบิดที่เพิร์ลฮาร์เบอร์และอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ นายพลเจียงไคเช็คก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพฝ่ายพันธมิตรในประเทศจีน ขณะที่เขากำลังแสดงบทบาทให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก โดยวางแผนจะไปเยี่ยมมหาตมะคานธีนิอินเดีย ประชาชนของเขากำลังจะอดตายและพรรคของเขาก็ไม่อาจหามาตรการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ







« Last Edit: March 22, 2013, 06:53:44 PM by happy »

happy on March 22, 2013, 06:57:48 PM
ผู้กำกับภาพยนตร์ : เฝิงเสี่ยวกัง

เฝิงเสี่ยวกังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของจีน ในปี 2009 เขาเป็นที่จับตามองในระดับนานาชาติในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์จีนคนแรกที่ทำเงินทะลุพันล้านหยวน (146.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศจีน เฝิงเสี่ยวกังกลายเป็นผู้กำกับขวัญผู้ชมชาวจีนด้วยผลงานภาพยนตร์ตลกเฉพาะตัวในยุค 90 ที่กล่าวถึงความฝันและความทะเยอทะยานของคนจีนเดินดินธรรมดา ผลงานภาพยนตร์เรื่องสำคัญของเขาได้แก่ "The Dream Factory", "Be There of Be Square" และ "Sorry, Baby" ในปี 2000 หลังประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาได้เปลี่ยนแนวทางสู่ภาพยนตร์ชีวิตว่าด้วยการหย่าร้างเรื่อง "Sigh" ในปีถัดมาเขาได้กำกับภาพยนตร์แอ๊คชั่นเรื่อง "A World Without Thieves" ภาพยนตร์ซ่อนเงื่อนในรั้ววัง "The Banquet" ที่สร้างจากผลงานเรื่อง Hamlet ของเช็คสเปียร์ และมหากาพย์สงครามเรื่อง "The Assembly" ที่แสดงให้เห็นว่าเขามีศักยภาพที่จะกำกับฉากแอ๊คชั่นที่ซับซ้อนได้เช่นเดียวกับฉากชีวิตที่เข้มข้น ในปี 2008 ภาพยนตร์ตลกโรแมนติคสมัยใหม่อันซับซ้อนของเขาเรื่อง "If You are the One" ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศขึ้นแท่นภาพยนตร์จีนที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล และกับภาพยนตร์เรื่อง "Aftershock" เฝิงเสี่ยวกังได้ผสานความสามารถด้านเทคนิคและความเข้าใจมนุษย์   เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้แก่ภาพยนตร์ภาษาจีน

ผลงานภาพยนตร์

1994 Gone Forever with My Love
1997 The Dream Factory
1998 Be There or Be Square
1999 Sorry, Baby
2000 Sigh
2001 Big Shot's Funeral
2003 Cell Phone
2005 A World Without Thieves
2006 The Banquet
2007 Assembly
2008 If You are the One
2010 Aftershock
2011 If You Are the One II


สารจากผู้กำกับ

ผมพบผู้เขียนเจ้าของบันทึก หลิวเจิ้นหยุน ในปี 1993 ตอนที่บันทึกของได้ตีพิมพ์ครั้งแรก เราพบกันอีกครั้งในปี 1994, 2000 และ 2002 และพยายามจะดัดแปลงเรื่องราวนี้ให้เป็นภาพยนตร์ แต่พบกับปัญหาด้านตรรกะและการสร้างสรรค์ อีกอย่าง ณ ตอนนั้น ผมยังไม่มั่นใจที่จะกำกับภาพยนตร์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ผ่านไปเกือบทศวรรษในปี 2011 ผมถึงได้เริ่มคิดที่จะทำหนังเรื่องนี้อีกครั้ง และทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางอย่างไม่คาดฝัน รวมทั้งการได้ทุนสร้างกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

บันทึกของหลิวๆไม่ได้ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ได้ง่ายๆ มันไม่ได้มีเรื่องราวเหมือนหนังทั่วไป และไม่มีตัวละครที่โดดเด่น แต่มุมมองของตัวละครแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็น บาทหลวง, เจ้าสัว, นักข่าว และอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงมุมมองของภาวะแร้นแค้นที่แตกต่างกัน ผมพบความยากในการเขียนบทตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่าต้องได้ลิ้มรสการเป็นผู้อพยพก่อน เป็นเวลาสามเดือนที่ผมเดินทางกับทีมเขียนบทจากมณฑลเหอหนานสู่มณฑลชานซีและฉงชิ่ง เราสัมภาษณ์ผู้คนมากมายระหว่างทางที่รอดตายจากความอดอยาก

บทภาพยนตร์ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และเมื่อเสร็จเรียบร้อย เราต่างประหลาดใจกับความสมบูรณ์และพลังทางอารมณ์ของมัน มันไม่ใช่บทภาพยนตร์ที่เขียนขึ้นได้ด้วยการนั่งสบายๆ ในห้องแอร์ของโรงแรม ผมมีข้อมูลที่บางคนนึกไม่ถึง เช่น คุณอาจคิดว่าคนที่ประสบภัยอดอยากจะเศร้าและหดหู่ แต่ไม่ใช่เลย คนที่กำลังจะอดตายไม่มีกำลังพอที่จะรู้สึกแบบนั้น สิ่งที่พวกเขาคิดถึงมีเพียงอาหาร

นักแสดงส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินเรื่องภัยอดอยากนี้ ซึ่งเป็นความลับในหน้าประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ และไม่มีใครรู้ระดับความรุนแรงของมัน ผมได้ทดลองฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในหมู่ผู้ชมที่แตกต่างกัน ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชมวัยรุ่นมีปฏิกิริยาภาพยนตร์มากที่สุด พวกเขาบอกว่ามันได้เปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาต่อบรรพบุรุษ และมันทำให้พวกเขาหันกลับมาพิจารณาประวัติศาสตร์ของชาติอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ นอกจากที่จะสร้างความสะเทือนใจแล้ว ผมยังอยากให้ผู้ชมได้แง่คิดอะไรกลับไปบ้าง