happy on March 14, 2013, 06:57:01 PM
เกี่ยวกับภาพยนตร์
เนล สวีทเซอร์ (แอชลีย์ เบล) เป็นผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากพิธีกรรมสยดสยอง ชวนตะลึง ในบทสรุปของ THE LAST EXORCISM การผจญภัยของเธอยังดำเนินต่อไปใน THE LAST EXORCISM PART II แม้ว่าลูกทีมถ่ายทำสารคดีที่ถูกสังหารและกล้องของพวกเขาจะถูกทิ้งไว้ในลำธาร แทนที่จะใช้สไตล์เลียนแบบสารคดีแบบภาคแรก THE LAST EXORCISM PART II กลับใช้มุมมองการเล่าเรื่องที่สดใหม่แทน
“เราอยากจะทำการเปลี่ยนแปลงด้านสไตล์จากสไตล์สารคดีของภาคแรกไปเป็นการเล่าเรื่องตรงๆ ในซีเควลนี้อย่างชัดเจนครับ” ผู้อำนวยการสร้างอีไล ร็อธกล่าวอธิบาย “วิธีการใหม่นี้ทำให้เราสามารถทำเรื่องให้ลึกซึ้งขึ้นและมืดหม่นขึ้นได้ ผมไม่อยากจะเผยความลับที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านผีสิงหรอกนะครับ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราต้องรับมือกับใครและอะไร และเราก็จะได้ล้วงลึกลงไปในเรื่องนั้นมากขึ้น”
องค์ประกอบของ “สารคดี” ใน THE LAST EXORCISM กลายเป็นจุดสนในใจซีคเวล “สิ่งที่เราตัดสินใจก็คือภายในโลกของ THE LAST EXORCISM PART II หนังภาคแรกมีอยู่จริง มันไม่ได้เป็นหนัง แต่เป็นวิดีโอส่งต่อกันที่คนได้ดูกันน่ะครับ” ร็อธกล่าว “มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นวิธีที่ชาญฉลาดที่สุด และเป็นธรรมชาติที่สุดในการนำหนังเรื่องแรกเข้ามา แต่ก็ยังมีหลายๆ คนในหนังเชื่อว่าเธอเป็นแค่เด็กเพี้ยนๆ ที่หักนิ้วตัวเองในอินเตอร์เน็ตน่ะครับ”
“เราสร้างหนังสไตล์สารคดีของเราแล้ว” ผู้ควบคุมงานสร้างกาเบรียล นีมานด์ กล่าวเสริม “หนังแนวนั้นจะเวิร์คก็ต่อเมื่อมันมีเหตุผลชัดเจนว่าทำไมกล้องถึงอยู่ตรงนั้น ซึ่งทีมงานของเราก็ตายในหนังภาคแรกไปแล้ว หนังสไตล์สารคดีจะทำให้คุณเข้าถึงความคิดของผู้กำกับ แต่ในหนังเรื่องนี้ เราอยากจะถ่ายทอดหนังที่ทำให้คุณเข้าถึงความคิดของเนลครับ”
“หนึ่งในคำถามที่มักไม่มีคำตอบในหนังแนวไล่ผีคือ ‘ปีศาจต้องการอะไรกันแน่?’ น่ะครับ” ผู้อำนวยการสร้างอีริค นิวแมนบอก “เราชื่นชอบการสำรวจไอเดียที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปีศาจตนนี้และเด็กสาวคนนี้ได้สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างกัน พวกเขาถูกทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันและปีศาจตนนี้ก็ไม่อาจคงอยู่ในโลกนี้ได้ถ้าไม่มีเธอครับ”
นิวแมน ผู้มีเมล็ดพันธุ์แรงบันดาลใจสำหรับภาพยนตร์ภาคแรก กล่าวว่าสัญชาตญาณแรกของเขาคือการสร้างซีเควลเกี่ยวกับเมืองอีแวนวู้ด หลังจากเหตุฆาตกรรมในภาคแรก “แน่นอนว่ามันมีโอกาสสร้างเรื่องน่ากลัวมากมาย แต่ผมไม่รู้ว่าหนังจะบอกอะไรได้” เขาบอก “แล้วผมก็เริ่มนึกถึงพลังของการที่ใครซักคนยอมรับว่าพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกกลัว แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาเป็นคนที่ควรจะถูกกลัวต่างหาก พอผมนึกเรื่องนั้นมาได้ เราก็ให้เดเมียน ชาเซลล์ มาเขียนบทครับ”
“THE LAST EXORCISM PART II ติดตามการเดินทางของเนลหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก ผมก็เลยคิดว่ามันจะช่วยทำให้ตัวละครของเธอสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น” มือเขียนบทร่วม เดเมียน ชาเซลล์บอก “เธอเป็นตัวเอกของเรื่องราวจริงๆ และทุกสิ่งที่เราเห็นในซีเควลเรื่องนี้ก็มาจากมุมมองของเธอ”
ตัวละครบางตัวจาก THE LAST EXORCISM ก็อยู่ในภาคสองนี้ด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทำให้มีใส่ตัวละครเหล่านี้เข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ ในแบบที่ทำให้แน่ใจว่าผู้ชมที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนจะสนุกกับภาคใหม่นี้ได้โดยไม่รู้สึกว่าพวกเขาพลาดอะไรที่สำคัญไป แต่แฟนๆ ของ THE LAST EXORCISM ก็จะรู้สึกยินดีเมื่อพวกเขาได้เห็นตัวละครและรายละเอียดบางอย่างในภาคใหม่ ที่อ้างไปถึงภาคแรก
“วิธีการใหม่นี้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงมุมมองและดำดิ่งลงไปในสภาพจิตใจของเนล ทั้งอดีตของเธอ ความหวังที่เธอมีต่ออนาคต และมุมมองที่เธอมีต่อโลกใบนี้” ชาเซลล์กล่าวต่อ “มันเป็นเหมือนโอกาสในการสร้างหนังสยองขวัญที่คลาสสิกมากๆ และผลที่ออกมาคือสิ่งที่เราไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนักในหนังไล่ผีครับ”เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับการไล่ผีชาวอเมริกัน 42% เชื่อเรื่องปีศาจเข้าสิง
อาร์คบิช็อปแห่งกัลกัตต้าเคยสั่งให้มีการไล่ผีแม่ชีเธเรซาก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต
คาธอลิค เชิร์ช มีนักไล่ผีอาชีพอย่างน้อย 10 คนในอเมริกา
ในการประมาณการคร่าวๆ มีบาทหลวงที่ทำพิธีไล่ผีอย่างน้อยๆ ห้าหรือหกร้อยคนในปัจจุบัน
มีการอ้างถึงการที่พระเยซูขับไล่ปีศาจมากกว่าสิบครั้งในกอสเปล
การไล่ผี (Exorcism ) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก คำว่า “exorkizein” หมายถึง “การผูกมัดด้วยคำสาบาน” วิญญาณชั่วร้าย (ปีศาจ) ที่สิงในร่างคนจะถูกไล่ (บังคับให้จากไป) ด้วยผู้มีอำนาจสูงกว่า เช่นพระเจ้าหรือพระเยซู การไล่ผีของคาธอลิคเริ่มต้นด้วยคำว่า ,Adjure te, spiritus nequissime, per Deum omnipotentem ซึ่งหมายความว่า “ข้าขอสั่งเจ้า วิญญาณชั่วร้าย ด้วยอำนาจแห่งพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์…”
ระหว่างยุค 80s วิทยาลัยคริสตธรรมฟูลเลอร์ในพาซาเดนา ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาลัทธิต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ได้เสนอคอร์สการไล่ผีให้กับผู้จะเป็นบาทหลวงในอนาคต แม้จะไม่มีการสอนคอร์สนี้อีกแล้ว แต่กำลังมีการดำเนินการเพื่อเปิดสอนหลักสูตรนี้ในอีกรูปแบบหนึ่ง
มีการกล่าวว่าการถูกสิงสู่โดยวิญญาณร้าย (จินน์) หรือปีศาจ (ไชตัน) และการไล่ผีเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลามมาตั้งแต่เริ่มแรก เชื่อกันว่าจินน์สามารถควบคุมได้แต่ผู้ที่ไม่ยึดมั่นในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง
ในบรรดาชาวคริสเตียนเกือบ 1,600 คนที่มีการสำรวจ 57% มั่นใจว่าผู้มีศรัทธาจะมีพลังที่จะขับไล่ปีศาจในพระนามของพระเยซูได้
ภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแนวนี้ (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ทั้งหมด) คือภาพยนตร์ปี 1973 ของวิลเลียม ฟรายด์คิน เรื่อง The Exorcist ที่อ้างว่าสร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริง
ความสำเร็จอย่างไม่คาดฝันของภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยปลุกให้เกิดความสนใจในบทบาทของปีศาจในศาสนศาสตร์คริสเตียน และได้ทำให้เกิดกระแสการตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับซานตา มนต์ดำ และหัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การสิงสู่ของปีศาจกลายเป็นเหมือนแฟชัน และนักบวชก็ได้รื้อฟื้นพิธีไล่ผีที่ถูกลืมไปนานแล้วกลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี คาธอลิค เชิร์ชในเยอรมนี ได้ทำให้การอนุญาตให้มีการไล่ผีเป็นเรื่องยากหลังจากการเสียชีวิตในปี 1973 ของแอเนลิส มิเชล เหยื่อการไล่ผีวัย 23 ปี ผู้ปรากฏอาการผิดปกติทางจิตครั้งแรกตอนอายุได้ 16 ปี เห็นได้ชัดว่าเธอทุกข์ทรมานจากอาการซึมเศร้า โรคลมชัก และการมองเห็นภาพหลอนต่างๆ
การไล่ผีเวอร์ชันทางโลกเกิดขึ้นจากฝีมือของนักบำบัดบางคนที่มีความชำนาญในการเปิดเผยและกำจัด “สิ่งซ่อนเร้น” ในตัวคนไข้ ซึ่งนักบำบัดเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับคนไข้ นักบำบัดที่ปลดปล่อยสิ่งซ่อนเร้าเหล่านี้ยังคงทำงานต่อไปแม้จะไม่มีหลักฐานในเรื่องของ “สิ่งซ่อนเร้น” นี้พอๆ กับหลักฐานของปีศาจที่ถูกขับไล่โดยนักบวชคาธอลิคและนักการศาสนาโปรเตสแตนท์
ในช่วงยุค 80s การไล่ผีได้รับความสนใจอย่างมากภายในแวดวงศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพวกเพนเทคอสตอล
ไม่ควรมีการไล่ผีหากไม่มีการได้รับอนุญาตจากบิช็อปในเขตปกครองนั้น และไม่ควรมีการไล่ผีจนกว่าจะมีการตัดความเป็นไปได้ในเรื่องของการป่วยทางจิตใจหรือร่างกายออกไปหมดเสียก่อน
การไล่ผีถูกให้ความสำคัญมากขึ้นในโบสถ์แบบคาริสเมติค ที่ซึ่งมันถูกพูดถึงว่าเป็น “สมรภูมิแห่งจิตวิญญาณ”
« Last Edit: March 14, 2013, 07:07:40 PM by happy »
Logged