happy on November 13, 2012, 07:35:39 PM

ชื่อภาพยนตร์      RISE OF THE GUARDIANS
ชื่อไทย      ห้าเทพผู้พิทักษ์
วันที่เข้าฉาย      29 พฤศจิกายน 2555
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์      www.RiseOfTheGuardians.com


ทีมนักพากย์
อเล็ค บัลด์วิน (Alec Baldwin)    พากย์เสียง    นอร์ธ
จู๊ด ลอว์ (Jude Law)       พากย์เสียง    พิทช์
ฮิวจ์ แจ็คแมน (Hugh Jackman)    พากย์เสียง    กระต่ายอีสเตอร์
คริส ไพน์ (Chris Pine)       พากย์เสียง    แจ็ค ฟรอสต์
อิสลา ฟิชเชอร์ (Isla Fisher)    พากย์เสียง    นางฟ้าฟันน้ำนม
ดาโกต้า โกโย (Dakota Goyo)    พากย์เสียง    เจมี เบนเน็ตต์


ทีมผู้สร้าง
ปีเตอร์ แรมซีย์ (Peter Ramsay) –ผู้กำกับ
แนนซี เบิร์นสไตน์ (Nancy Bernstein)—ผู้อำนวยการสร้าง


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=jyh0rO5TBCg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=jyh0rO5TBCg</a>

ข้อมูลงานสร้าง

               จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเบื้องหลังตำนานซานตาคลอส (อเล็ค บัลด์วิน) กระต่ายอีสเตอร์ (ฮิวจ์ แจ็คแมน) นางฟ้าฟันน้ำนม (อิสลา ฟิชเชอร์) และแซนด์แมน มีเรื่องราวมากกว่าที่เราเคยรู้กันมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้มอบของขวัญ ไข่ เงินและความฝันเป็นมากกว่าที่เราคาดคิด และใน “Rise of the Guardians” พวกเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ซะด้วยสิ! ตัวละครจากเทพนิยายสมัยเด็กเหล่านี้ที่เป็นอมตะ แข็งแกร่งและพลิ้วไหว ได้รับมอบหมายให้ปกป้องความไร้เดียงสาและจินตนาการของเด็กๆ ทุกวัยอย่างเต็มพลังความสามารถ เมื่อภัยร้ายวางแผนจะขจัดผู้พิทักษ์เหล่านี้ให้หายไปจากโลกด้วยการพรากความหวังและความฝันจากพวกเด็กๆ ผู้พิทักษ์ที่เป็นที่รักเหล่านี้จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากแจ็ค ฟรอสต์ (คริส ไพน์) ผู้พิทักษ์จำยอม ผู้อยากจะมีความสุขกับวันหิมะโปรยปรายมากกว่าการกอบกู้โลก

               จากซอกหลืบที่ลึกที่สุดของขั้วโลกเหนือ ไปสู่หลังคาเมืองเซี่ยงไฮ้ และเมืองเล็กกระจิ๋วริ๋วในนิวอิงค์แลนด์ รวมไปถึงดินแดนไกลโพ้น เหล่าผู้พิทักษ์จะต้องโรมรันครั้งใหญ่กับพิทช์ (จู๊ด ลอว์) ปีศาจฝันร้ายจอมเจ้าเล่ห์ ผู้ซึ่งวิธีการในการยึดครองโลกของเขาคือการกระจายความกลัวไปทั่วโลก และหนทางเดียวที่จะปราบเขาได้คือพลังแห่งศรัทธา…และเวทมนตร์ของผู้พิทักษ์

               ดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชั่นเอสเคจี ภูมิใจเสนอ “Rise of the Guardians” ภาพยนตร์โดยพีดีไอ/ดรีมเวิร์คส์ โปรดักชัน พากย์เสียงโดยคริส ไพน์, อเล็ค บัลด์วิน, ฮิวจ์ แจ็คแมน, อิสลา ฟิชเชอร์, จู๊ด ลอว์และดาโกต้า โกโย ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยปีเตอร์ แรมซีย์ บทภาพยนตร์เขียนโดยนักเขียนบทละครเจ้าของรางวัลพูลิทเซอร์ เดวิด ลินด์ซีย์-อะแบร์ (“Oz: The Great and Powerful,” “Rabbit Hole”) จากเรื่องราวดั้งเดิมโดยนักเขียนรางวัล วิลเลียม จอยซ์ อำนวยการสร้างโดยคริสตินา สไตน์เบิร์ก (“National Treasure,” “Bee Movie”) และแนนซี เบิร์นสไตน์ (“The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring”) โดยมีกุยเลอร์โม เดล โทโร (“Pan’s Labyrinth” “Hellboy”), วิลเลียม จอยซ์ (“The Fantastic Flying Books of Mr. Morris Lessmore”) และไมเคิล ซีเกล (“Charlie and the Chocolate Factory”) เป็นผู้อำนวยการสร้าง ดนตรีโดยอเล็กซานเดร เดสแพลท ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการจัดเรท PG


พวกเขารู้จักกันรึเปล่านะ?

               สิบสี่ปีก่อน แมรี แคทเธอรีน ลูกสาววัยหกขวบของวิลเลียม จอยซ์ ถามพ่อของเธอว่า ซานตาคลอสกับกระต่ายอีสเตอร์เป็นเพื่อนกันรึเปล่า มันเป็นคำถามที่สร้างความสนใจให้กับนักเขียนและนักวาดภาพประกอบผู้นี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “รู้จักสิ!” และเริ่มสร้างนิทานก่อนนอนที่สนุกสนานให้กับแมรี แคทเธอรีนและแจ็คสัน น้องชายของเธอ ผู้ไม่เพียงแต่ได้ฟังนานเกี่ยวกับซานตาคลอสและกระต่ายอีสเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแจ็ค ฟรอสต์, นางฟ้าฟันน้ำนม, แซนด์แมน, ชายบนดวงจันทร์ หรือแม้กระทั่งปีศาจฝันร้าย เมื่อเรื่องราวเริ่มซับซ้อนมากขึ้น จอยซ์ก็เริ่มมองเห็นศักยภาพของมัน
   “มันเป็นตำนานที่เริ่มพัฒนาขึ้นในครอบครัวเราครับ” จอยซ์บอก “และผมก็มาตระหนักได้ว่าผมต้องทำอะไรซักอย่างกับมัน นี่มันเรื่องน่าสนใจนี่! ผมก็เลยเริ่มวาดตัวละครเหล่านี้และเริ่มนึกถึงตำนานพื้นฐานสำหรับพวกเขาแต่ละคน โดยอ้างอิงจากสิ่งที่ผมพบเกี่ยวกับพวกเขา” ซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าไม่นับ “The Night Before Christmas” ของเคลเมนท์ คลาร์ค มัวร์ จอยซ์ก็พบว่าซานตาคลอสไม่ได้มีเรื่องราวความหลังซักเท่าไหร่ และตัวละครตัวอื่นๆ ก็ยิ่งแล้วใหญ่
   “ซูเปอร์แมนและแบทแมนมีที่มาที่ไป แต่กลุ่มตัวละครที่เราบอกให้ลูกๆ ของเขาเชื่อว่ามีจริงนั้นกลับไม่มีความหลังแบบนั้น” จอยซ์บอก “ผมมองไปรอบๆ แล้วถามว่า ‘นี่ผมเป็นคนเดียวเองเหรอที่คิดเรื่องนี้ได้’”
   ปัจจุบัน จอยซ์ มือเขียนบท/ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์อนิเมชันขนาดสั้นเรื่อง “The Fantastic Flying Books of Mr. Morris Lessmore” และผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง “George Shrinks” (ที่ถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์พีบีเอสสำหรับเด็ก) และ “Dinosaur Bob” ได้รวมคอลเล็กชัน 13 เรื่องราวในซีรีส์ “Guardians of Childhood” (จนถึงตอนนี้มีออกมาห้าเรื่องแล้ว) ที่เล่าถึงตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับตัวละครแต่ละตัว และน่าแปลกใจที่พวกเขามีพลังมากกว่าที่พวกเราคาดคิดเสียอีก
   พวกเขาทั้ง “เจ๋ง ยิ่งใหญ่ เท่และกล้าหาญครับ” จอยซ์บอก “พวกเขามีอาณาจักรกว้างใหญ่ ที่คอยดูว่าพวกเขาทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางรอบโลกในคืนเดียวเพื่อส่งของขวัญหรือไข่อีสเตอร์ หรือการบินตลอด 365 วันเพื่อเก็บฟันน้ำนมน่ะครับ”
   ด้วยเรื่องราวที่มีเอกลักษณ์นี้เอง ผู้คนในฮอลลีวูดจำนวนมากก็เลยแสดงความสนใจที่จะเปลี่ยนเรื่องราวที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและภาพศิลปะที่งดงามของจอยซ์ให้กลายเป็นภาพยนตร์ แม้แต่ก่อนที่หนังสือซักเล่มจะถูกตีพิมพ์ด้วยซ้ำไป
   “แทบทุกสตูดิโอต่างก็แย่งสิทธิในเรื่องราวนี้ แต่ไม่มีใครมองเห็นภาพมุมกว้างที่ผมอยากจะสร้างขึ้น เพราะมันมีอะไรให้บอกเล่ามากมายเกี่ยวกับตัวละครเหล่านี้ครับ” จอยซ์บอก “ผมรู้สึกว่ามันจะอยู่แค่ในหนังหรือในหนังสือไม่ได้ มันจะต้องปรากฏออกมาเป็นสื่อต่างๆ หลากหลายชนิดครับ”
   จนกระทั่งเขาได้พบกับซีซีโอ บิล ดามัสเค แห่งดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันในช่วงปลายปี 2006 จอยซ์ถึงรู้ว่า เขาพบบ้านที่เหมาะสมสำหรับเรื่องราวของเขาแล้ว
   “ดรีมเวิร์คส์บอกว่า ‘เราเห็นด้วย ทำงานกับหนัง ทำงานกับหนังสือ แล้วให้ทั้งสองอย่างนั้นต่อยอดกัน’ มันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นที่สุดครับ” จอยซ์กล่าว “ผมเคยทำงานในหนังหลายเรื่องมาก่อน แต่ผมไม่เคยทำงานในหนังและหนังสือพร้อมๆ กัน โดยที่ให้มันมีเนื้อหาเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันเลยครับ”
   ทีมงานสร้างที่ร่วมมือกับจอยซ์ในการเนรมิตชีวิตให้ “Guardians” ต่างก็รักในโปรเจ็กต์นี้ไม่แพ้กัน คนแรกที่เข้าร่วมโปรเจ็กต์นี้คือผู้อำนวยการสร้างคริสตินา สไตน์เบิร์ก ผู้ทำงานไลฟ์แอ็กชันและพัฒนาภาพยนตร์มานานก่อนที่จะเข้าทำงานกับดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันในปี 2005 ในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงลูกโลกทองคำของเจอร์รี แซนเฟลด์เรื่อง “Bee Movie” (ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา)
   “ไอเดียของเราคือให้บิลเขียนหนังสือไปพร้อมๆ กับการที่เราพัฒนาหนังเรื่องนี้ค่ะ” เธอบอก “เราชื่นชอบไอเดียหลักของเรื่องและเราก็ตื่นเต้นกับประวัติศาสตร์ยาวนานในตำนานที่บิลสร้างขึ้น มันมีเรื่องราวมากมายให้บอกเล่า สำหรับหนังเรื่องนี้ เราคิดไอเดียของการกระโดดไปสู่อนาคตหลังจากที่ตัวละครเหล่านี้กลายเป็นผู้พิทักษ์แล้วและบอกเล่าเรื่องราวของการที่พวกเขาจะต้องมารวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับพลังชั่วร้ายที่สุดในโลก ซึ่งก็คือปีศาจฝันร้ายค่ะ”
   จอยซ์กล่าวเสริมว่า “ผมไม่อยากให้หนังมาแข่งกับหนังสือ แล้วคนพูดว่า “อ้าว นี่มันไม่เหมือนกับหนังสือนี่” ผมไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในหนัง ผมอยากจะสร้างประวัติให้คนพวกนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวหลังจากบทสรุปของหนังสือ 300 ปีน่ะครับ”
   ปีเตอร์ แรมซีย์ ผู้ทำงานเป็นนักวาดภาพสตอรีบอร์ดในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง “Independence Day” “The Hulk” และ “Minority Report” ได้รับการทาบทามให้มากำกับ “Guardians” หลังจากได้กำกับภาพยนตร์ตอนพิเศษช่วงฮัลโลวีนของดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันเรื่อง “Monsters vs. Aliens: Mutant Pumpkins from Outer Space” และก่อนหน้านี้เขาก็ได้ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายเรื่องราวใน “Monsters vs. Aliens” มาแล้วด้วย “ตัวละครพวกนี้เป็นตัวแทนของพลังธรรมชาติ ที่ไม่เพียงแต่สำคัญต่อเด็กๆ เท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อผู้ใหญ่ด้วย มันเป็นความรู้สึกมหัศจรรย์ ความฝัน ความหวัง มันเป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะครับ”
   “เราได้คุยกับบิลเรื่องตัวละครอยู่บ่อยๆ” แรมซีย์กล่าวต่อ “ทั้งเกี่ยวกับแจ็ค ฟรอสต์และความสัมพันธ์ของเขากับกลุ่ม เกี่ยวกับความหมายของผู้พิทักษ์ เกี่ยวกับลักษณะและบทบาทหน้าที่ของพวกเขา ไอเดียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มาจากบทสนทนาเหล่านั้นคือเรารู้ว่าพวกเขามีอยู่จริง และเราก็ให้ความสนใจกับความจริงที่ว่าคนเชื่อในตัวพวกเขาและรักพวกเขาตอนที่พวกเขายังเล็กอยู่ สำหรับผม มันเป็นตัวกำหนดทุกอย่างว่าจะนำเสนอพวกเขาในหนังและจะติดตามพวกเขาต่อไปในเรื่องราวนี้ยังไงน่ะครับ”
   หลักการในการคงความสมจริงเอาไว้ยังได้ครอบคลุมไปถึงการออกแบบภาพวิชวลของเรื่องด้วยเช่นกัน
   “ผู้กำกับภาพมือเก๋า โรเจอร์ ดีคินส์ ได้ปรึกษากับเราอย่างที่เขาทำใน ‘How to Train Your Dragon’ และช่วยให้เราได้ภาพที่สมจริง และเต็มไปด้วยรายละเอียดมาครับ” แรมซีย์กล่าว “เรามีคนพรสวรรค์มากมาย ทั้งด้านออกแบบงานสร้าง แอนิเมชั่นแสงและโมเดล ซึ่งทุกคนต่างก็พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ลุคที่ดูดี มีสไตล์ แต่ก็เหมือนมีชีวิตจริงน่ะครับ มันแตกต่างจากทุกอย่างที่สตูดิโอเคยทำมาเลย”
   มือเขียนบทภาพยนตร์ เจ้าของรางวัลพูลิทเซอร์ เดวิด ลินด์ซีย์-อาแบร์ เพิ่งเสร็จจากงานแต่งเนื้อเพลงให้กับภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันเรื่อง “Shrek: The Musical” ในตอนที่ดามัสเค, แรมซีย์และสไตน์เบิร์กได้ทาบทามเขาให้มาเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “Guardians” สไตน์เบิร์กบอกว่า “ความรักในซูเปอร์ฮีโรและแฟนตาซีของเขาทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์ในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ”
   ลินด์ซีย์-อาแบร์เล่าถึงการไปเยือนดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชั่นหลังจากที่ “Shrek: The Musical” เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ได้ไม่นาน “ผมได้พบกับบิล [ดามัสเค] และคริสตินา สไตน์เบิร์ก พวกเขาเสนอไอเดียพื้นฐานบางอย่างให้กับผม โชว์ภาพคอนเซ็ปต์อาร์ตที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา และส่งหนังสือบิล จอยซ์เป็นตั้งๆ ให้ผม สองสามวันให้หลัง ผมก็เริ่มเขียนบทภาพยนตร์แล้วล่ะครับ”
   ไม่นานนัก ลินด์ซีย์-อาแบบร์ก็ถูกดึงดูดเข้าสู่โลกของผู้พิทักษ์ด้วยเช่นกัน “พวกเขาเป็นความบันเทิงครับ” ผู้เขียนบทจากหนังสือของจอยซ์กล่าว “เขา [จอยซ์] เขียนตัวละครในตำนานเหล่านี้ ให้ดูสดใหม่และมีเลือดเนื้อจริงๆ โดยไม่สูญเสียความมหัศจรรย์ของพวกเขาไป เขาได้บันทึกภาพความมหัศจรรย์ของวัยเยาว์ ที่บ่อยครั้งจะให้ความรู้สึกเหมือนความทรงจำที่ลางเลือนสำหรับพวกเราที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และนำเอาความรู้สึกมหัศจรรย์นั้นกลับมาใหม่อีกครั้ง เพียงแค่นั้นก็เป็นเวทมนตร์แล้วครับ”
   จอยซ์รู้ดีว่า “Guardians” อยู่ในมือของผู้ที่เหมะสมแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับลินด์ซีย์-อาแบร์มาก่อนในภาพยนตร์อนิเมชันปี 2005 เรื่อง “Robots”
   “เดวิดเป็นคนที่ฉลาด กระตือรือร้นและจริงใจมากๆ ครับ” จอยซ์บอก “สิ่งหนึ่งที่ยากในเรื่องราวนี้คือมันกว้างใหญ่มาก เรามีตัวละครสำคัญและตำนานมากมาย ซึ่งเราจะต้องร้อยโยงกันเป็นเรื่องเดียว สิ่งที่ยากที่สุดในหนังทุกเรื่องคือการหาเรื่องราวที่สะอาด ชัดเจน กระชับและสนุกสนาน การหาแก่นแท้ด้านอารมณ์ของมัน สิ่งที่ทำให้คุณแคร์ เดวิดมีสัญชาตญาณของการทำให้เรื่องราวนั้นเรียบง่ายขึ้นและคงความสำคัญของตัวละครเอาไว้ พร้อมไปกับการจัดสรรเวลาและสถานการณ์ต่างๆ ให้กับพวกเขา มันมีความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการ แต่แต่ละเรื่องราวในอีพิคนี้จะให้ความรู้สึกที่เป็นกันเองและสมจริงมากๆ ครับ”
   ผู้อำนวยการสร้างสไตน์เบิร์กกล่าวว่า “เดวิดสามารถร้อยเรียงพล็อตของหนังเรื่องนี้เข้าด้วยกันได้และเผยให้เห็นถึงหัวใจและจิตวิญญาณของตัวละครเหล่านี้ พร้อมกับการสร้างการผจญภัยแฟนตาซีอีพิคขึ้นมา เขามีความสามารถที่จะหาเสียงที่มีเอกลักษณ์สำหรับตัวละครแต่ละตัว ที่จะแสดงออกถึงความจริงและอารมณ์ขัน และเป็นอะไรที่เข้าถึงได้อีกด้วยค่ะ”
   ผู้กำกับเจ้าของรางวัล กุยเลอร์โม เดล โทโร ผู้ร่วมงานกับดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันในฐานะที่ปรึกษาครีเอทีฟใน “Megamind” และทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Kung Fu Panda 2” และ “Puss in Boots” ได้กลับมาทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างอีกครั้ง เพื่อใส่มุมมองที่มีเอกลักษณ์ของเขาเข้าไปใน “Guardians”
   “เมื่อพูดถึงธีมแล้ว หนังเรื่องนี้คล้ายกับสิ่งที่ผมทำหลายอย่าง” เดล โทโรกล่าว “ผมรู้สึกจริงๆ ว่ามันเป็นโปรเจ็กต์ที่ทะเยอทะยาน มีสโคปกว้างใหญ่ มีภาพวิชวลที่เต็มไปด้วยรายละเอียด และมีหัวใจอบอุ่นดวงโต ผมชื่นชอบในสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นครับ”
« Last Edit: November 13, 2012, 07:49:38 PM by happy »

happy on November 13, 2012, 08:00:32 PM

ซานตาคลอสจะมีเสียงเป็นยังไงนะ?

               ในหนังสือของบิลลี จอยซ์ นอร์ธ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของซานตาคลอส เป็นหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของผู้พิทักษ์ แต่ชายบนดวงจันทร์ “ผู้เฝ้ามองโลกใบนี้อย่างชาญฉลาด” แรมซีย์กล่าว คือผู้ที่เลือกเขามารับหน้าที่นี้เมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา
                “ในตอนที่ชายบนดวงจันทร์ตัดสินใจว่าจะต้องมีกลุ่มคนพิเศษมาปกป้องเด็กๆ บนโลกใบนี้จากพิทช์ คนแรกที่เขาพบคือนิโคลัส เซนต์ นอร์ธครับ” จอยซ์ ผู้มองนอร์ธว่าเป็นชาวคอสแซ็คมือถือดาบ กล่าว “เขาเป็นนักรบและหัวขโมยหนุ่มที่เลือดพลุ่งพล่านที่สุดในดินแดนรัสเซีย” จนกระทั่งภารกิจในชีวิตเขาเปลี่ยนมาเป็นการเป็นผู้คุ้มครองเด็กๆ
                สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า นอร์ธ ผู้มีเสียงดังกังวานและทัศนคติแข็งกร้าว ไม่ประนีประนอม ผู้มีรอยสัก “ซุกซน” และ “แสนดี” บนต้นแขน เป็นตัวละครผู้ยิ่งใหญ่ ที่จะต้องได้นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันมาแสดง และใครจะเหมาะกับบทนี้ไปมากกว่านักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ อเล็ค บัลด์วินล่ะ?
               “อเล็คคือนอร์ธครับ” แรมซีย์กล่าว “เขาทั้งซุกซน ขี้เล่น และเขาก็เป็นตัวเก๋าเลยล่ะ เมื่อผู้ชมได้เห็นดวงตาของนอร์ธ และมีเสียงของอเล็คดังออกจากตัวเขาแล้วล่ะก็ พวกเขาจะรู้ทันทีเลยว่าจิตวิญญาณของใครอยู่ในตัวละครตัวนั้น”
               จอยซ์กล่าวเสริมว่า “ไม่มีใครถ่ายทอดบุคลิกของนอร์ธออกมาได้ยอดเยี่ยมเท่ากับอเล็คอีกแล้วครับ”
               บัลด์วินมองตัวละครของเขาแบบนี้ “ในความคิดของผม นอร์ธเป็นส่วนผสมของหลากหลายบุคลิก เขาเป็นเหมือนนักมายากล คล้ายๆ พ่อมดออซครับ เขาใจดีมากๆ เหมือนครูคนโปรดของคุณ และเขาก็มองประโยชน์ของเด็กๆ เป็นที่ตั้ง ในแง่มุมที่เป็นมนุษย์ เขาหมกมุ่นกับการได้รับเครดิตสำหรับทุกอย่าง เขาอยากทำให้แน่ใจว่าทุกคนรู้ว่าซานตาคลอสเป็นคนที่จัดการทุกเรื่องตรงนี้ คริสต์มาสเป็นเทศกาลสำคัญอันดับหนึ่ง ซึ่งเขาก็เถียงกับกระต่ายอีสเตอร์เป็นประจำว่า อีสเตอร์หรือคริสต์มาสสำคัญกว่ากัน ในแง่นั้น เขาเหมือนกับโดนัลด์ ทรัมป์เลยครับ”
               “ฉันเข้าใจนอร์ธนะคะ เพราะเขาก็เหมือนกับผู้อำนวยการสร้างหนัง ที่จะต้องพยายามทำให้ทุกอย่างเป็นจริงให้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเขาจะทำได้รึเปล่า” ผู้อำนวยการสร้างสไตน์เบิร์กบอก “เขาเชื่อจริงๆ ว่าเขาสามารถทำทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้เพราะเขาบอกอย่างนั้น เราพูดถึงเขาเสมอว่าเป็นเฮลส์ แองเจิล ที่มีหัวใจทองคำ เขามีจิตวิญญาณที่น่าทึ่งของความสุข ความมหัศจรรย์และความหวัง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็แข็งแกร่งและช่างวิเคราะห์ สำหรับเขา มันไม่มีพื้นที่สีเทาเลยค่ะ”
               ขณะที่เรื่องราวของเราดำเนินไป นอร์ธ (และกองทัพเยติ ผู้สร้างของขวัญทั้งหมดของเขา และกลุ่มเอลฟ์จำนวนมาก) เป็นผู้ที่เจอกับร่างเงาของศัตรูที่เขาคิดว่าหายสาบสูญไปนานแล้ว นั่นคือปีศาจฝันร้าย พิทช์ ผู้รุกรานเวิร์คช็อปของป้อมปราการขั้วโลกเหนือที่งดงามของนอร์ธ และส่งทรายสีดำที่น่าสะพรึงกลัวไปลอยเคว้งคว้างรอบลูกโลกแห่งศรัทธา ลูกโลกนั้นเป็นลูกกลมๆ ขนาดใหญ่ ที่เปล่งประกายไปด้วยแสงไฟเล็กๆ ที่เป็นตัวแทนความศรัทธาของเด็กๆ ทั่วโลก การที่แสงนั้นริบหรี่ลงไปเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพิทช์กำลังก่อกวนอะไรบางอย่าง
               ผู้กำกับแรมซีย์อธิบายว่า “ปัญหาของพิทช์คือการที่เด็กๆ รักและศรัทธาในผู้พิทักษ์ พวกเขามีความรักความผูกพันกับผู้พิทักษ์และพ่อแม่ของพวกเขาก็สนับสนุนให้พวกเขาเชื่อในตัวละครเหล่านี้ แต่กับปีศาจฝันร้าย มันตรงกันข้าม พ่อแม่พูดเสมอว่า ‘ไม่มีอะไรในความมืดหรอก’ ‘แค่ฝันร้ายจ้ะ’ ‘มันไม่มีปีศาจฝันร้ายหรอก’ เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพิทช์เบื่อหน่ายกับสูตรนั้นเต็มทน เขาเป็นตัวแทนของความกลัวและเป้าหมายสุดท้ายของเขาคือการทำให้คนเชื่อในตัวเขา ด้วยการขจัดความศรัทธาที่ต่อผู้พิทักษ์ให้หมดไปครับ”
               “ผู้พิทักษ์เป็นตัวแทนของความความหวัง ความสุข ความมหัศจรรย์และความฝันค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างสไตน์เบิร์กบอก “ถ้าพิทช์สามารถกำจัดพวกเขาได้ พวกเขาก็จะหายไป และคุณสมบัติที่พวกเขาเป็นตัวแทนก็จะหายไปจากโลก ความกลัวจะเข้ามามีชัยค่ะ”
               วิธีที่พิทช์พยายามใช้คือการเข้าครอบงำเครื่องมืออย่างหนึ่งของผู้พิทักษ์ “เขาเก็บความขุ่นเคืองใจไว้มากมายจากการถูกยัดไว้ใต้เตียงมาหลายร้อยปีน่ะครับ” จู๊ด ลอว์ นักแสดงหนุ่มผู้พากย์เสียงพิทช์กล่าว “เขาคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนทรายแห่งความฝันของแซนด์แมน ซึ่งเป็นทรายสีทองบริสุทธิ์แห่งความดีงาม ที่ทำให้ทุกคนฝันดี ให้กลายเป็นฝันร้าย (ซึ่งมีรูปร่างของม้าสีดำ ภายใต้บัญชาของพิทช์) ที่ทำให้เด็กๆ เกิดความกลัว”
               และในเรื่องของงานออกแบบ ลักษณะการดำเนินงานของเขาก็ค่อนข้างน่าดึงดูดใจทีเดียว แรมซีย์กล่าว
               “เรานึกถึงลักษณะที่ความกลัวทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง รวมถึงตรรกะเบื้องหลังมัน ถ้าคุณคิดว่า ‘ฉันอยากออกไปข้างนอก แต่มันมีเมฆบนฟ้า หมายความว่าฝนอาจตกก็ได้ ถ้าฝนตก ฉันอาจเป็นหวัด ถ้าฉันเป็นหวัด…’ แน่นอนว่าคุณก็จะไม่ออกไปข้างนอก และคุณก็จะพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไปเพราะคุณปล่อยให้ความกลัวของคุณทับถมรวมตัวกันเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ความกลัวจะปิดกั้นโลกของคุณ เราก็เลยรู้ว่าเราอยากมีตัวละครที่มีเสน่ห์ และอาจทำให้คุณหลงเชื่อได้ว่าความรู้สึกกลัวเป็นสิ่งเดียวที่สมเหตุสมผลน่ะครับ”
               สไตน์เบิร์กกล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “ตัวละครที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ต้องการคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ ปีเตอร์, บิล จอยซ์, เดวิด ลินด์ซีย์-อาแบร์และฉันใช้เวลาคุยกันอยู่นานเกี่ยวกับเรื่องตัวร้ายที่เราชื่นชอบในหนังสมัยก่อน เราต่างก็ชอบความรู้สึกตอนที่เราดู ‘The Wizard of Oz’ ที่เราจะซ่อนตัวหลังประตูห้องนอน โผล่หัวออกมาดูแม่มดใจร้ายแห่งทิศตะวันตก เธอเป็นคนน่ากลัว แต่ก็น่าตื่นเต้นและมีเสน่ห์ด้วย เราอยากจะนำความสัมพันธ์แบบนั้นมาสู่พิทช์ด้วยเช่นกัน เขาก็เลยไม่ได้เป็นวายร้ายกระดิกหนวด ที่น่าสะพรึงกลัว แต่เขามีบุคลิกหลายอย่างที่โดดเด่น เขาใจร้าย ตลกและฉลาดด้วยครับ”
               ลินด์ซีย์-อาแบร์กล่าวเสริมว่า “พิทช์เองก็มีแง่มุมที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน พิทช์เหมือนกับแจ็ค ฟรอสต์ พระเอกของเรา ที่เป็นคนเหงา ที่อยากให้ใครซักคนเชื่อในตัวเขา โชคร้ายที่เขาคิดว่าวิธีเดียวที่จะทำให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้คือผ่านความกลัวและการขู่คุกคาม”
              “ตอนที่ชื่อของจู๊ด ลอว์ถูกเสนอขึ้นมาสำหรับบทนี้ ทุกคนก็ปิ๊งไอเดียทันที” แรมซีย์บอก “เราฟังเสียงของเขาร่วมกับการทดสอบอนิเมชันบางอย่าง และเราก็รู้ว่าเราได้ตัวนักพากย์ที่เหมาะมาแล้ว พิทช์เคลื่อนตัวผ่านเงามืด เขาขยับไปตามขอบมุมของสิ่งที่คุณมองเห็นได้ เสียงของจู๊ดมีคุณสมบัติที่งดงาม ซึ่งเราเรียกกันว่า ‘สัมผัสกำมะหยี่ของพิทช์’ และคุณก็อยากจะฟังเสียงของเขาไปตลอดแม้ว่าเสียงนั้นจะบอกเรื่องเลวร้ายกับคุณก็ตาม”
              “เรื่องราวของพิทช์ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวครับ” แรมซีย์กล่าวต่อ “เขาเป็นคนที่อยู่เบื้องล่างสุดมานาน และตอนนี้ เขาก็พบวิธีใหม่ที่จะตอบโต้กลับและแย่งพลังนั้นมาเป็นของตัวเอง จู๊ดสามารถถ่ายทอดแง่มุมต่างๆ ของตัวละครตัวนี้ออกมาได้ มันเป็นสิ่งที่วิเศษสุดที่เราได้ยิน คุณจะขนลุกชันเลยล่ะครับ”
              “การคัดเลือกนักพากย์เป็นอะไรที่พิทช์เพอร์เฟ็กต์เลยครับ” ผู้ควบคุมงานสร้างกุยเลอร์โม เดล โทโรกล่าว “จู๊ดนำเอาความเปราะบาง ความสุภาพ ความเฉลียวฉลาดและความเจ้าเล่ห์ ทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่นอกเหนือจากบท มาสู่ตัวละครของเขา ในตัวพิทช์มีความรู้สึกของความอ้างว้างและความโดดเดี่ยว ที่เกิดจากฝีมือของจู๊ดครับ”
              หลังจากที่ปีศาจฝันร้าย “ไปเยือน” ป้อมปราการ นอร์ธก็เรียกเพื่อนพ้องผู้พิทักษ์ของเขา ที่ประกอบไปด้วยกระต่ายอีสเตอร์ นางฟ้าฟันน้ำนมและแซนด์แมน ให้มาประชุมกันที่ขั้วโลกเหนือ มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นนานแล้ว เพราะผู้พิทักษ์ไม่ได้ทำงานร่วมกันเสมอ เพราะแต่ละคนต่างก็มี “งานที่ซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ” แรมซีย์ตั้งข้อสังเกต “นอร์ธต้องส่งของขวัญไปให้กับทุกคนในโลกภายในคืนเดียว ซึ่งมันเป็นปฏิบัติการที่ใหญ่ยักษ์เลยล่ะครับ! ส่วนกระต่ายอีสเตอร์เองก็มีอะไรหลายอย่างให้ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการส่งไข่ไปให้กับเด็กๆ ทั่วโลก ส่วนนางฟ้าฟันน้ำนมกับแซนดี้ก็มีงานยุ่งทุกคืน พวกเขาก็เลยมารวมตัวกันในเวลาจำเป็นจริงๆ เท่านั้นครับ” ซึ่งก็คือตอนนี้นั่นแหละ
              ในหนังสือของจอยซ์ อี.แอสเตอร์ บันนีมันด์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของกระต่ายอีสเตอร์ เป็นปุ๊กก้า ซึ่งเป็นทายาทคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์นักบวช/นักรบกระต่ายยักษ์จากโบราณกาล ที่คุ้มครองชีวิต บันนีมันด์มีความสามารถในการเนรมิตประตูวิเศษ ที่ทำให้เขาสามารถเดินทางไปไหนก็ได้ในโลกได้ในชั่วพริบตาเพื่อส่งไข่อีสเตอร์ที่ระบายสีสวยงามไปถึงที่หมาย
              “กระต่ายอีสเตอร์เป็นตัวละครที่เจ๋งที่สุดเท่าที่คุณจะได้พบเลยครับ” ฮิวจ์ แจ็คแมน ผู้พากย์เสียงบันนีมันด์ในเรื่อง กล่าว “เขาเจ๋งทีเดียวครับ ลองนึกถึงอินเดียนา โจนส์ผสมกับสตีฟ เออร์วินดูสิ เขาอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นนักต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม และเขาก็แข็งแกร่งมาก แน่นอนว่าเขากระโดดได้สูงลิ่ว และเขาก็พกบูมเมอแรงสองอันไว้ตรงสะโพก แทนที่จะเป็นปืนพก ซึ่งเขาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันเยี่ยมมากที่พวกเขายอมให้ผมพากย์เสียงเขาเป็นชาวออสเตรเลียโมโหร้าย ที่แข็งร้าว ขี้บ่นนิดๆ และไม่แคร์เรื่องไร้สาระ เขาไม่เคยล้อเล่น เพราะเขามีหน้าที่ต้องทำและเขาก็จะทำมันให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
             “เขาเป็นเหมือนคาวบอยในหลายๆ แง่มุมครับ” แรมซีย์กล่าว “เขาให้ความรู้สึกแบบนั้นนิดๆ เขาเป็นตัวละครที่ตรงข้ามกับนอร์ธ ผู้เข้ามาในห้องแล้วทำทุกอย่างล้มคว่ำหมดเพราะเขาตัวใหญ่มากน่ะครับ”
             “เขาเป็นนักรบผู้ดุดันได้ยามจำเป็น” สไตน์เบิร์กกล่าวเห็นพ้องด้วย “แต่เขาก็มีแง่มุมที่น่าทึ่งด้วย เขาเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ป่า ผู้อนุรักษ์ธรรมชาติ แห่งฤดูใบไม้ผลิ ความหวัง การเริ่มต้นใหม่ และไข่ใบเล็กๆ ที่เขาเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมาน่ะค่ะ”
             “หนึ่งในสิ่งที่ฮิวจ์ยึดถือคือความเป็นปรปักษ์ที่เกิดขึ้นระหว่างบันนีและนอร์ธครับ” แรมซีย์กล่าว”ฮิวจ์ชอบเรื่องตรงนั้น เขาบ่นมากมายในตอนที่เขาหงุดหงิดเพราะนอร์ธพยายามจะทำตัวเป็นจุดเด่นเสมอและเขี่ยอีสเตอร์ให้พ้นทาง แต่บันนีจะปกป้องเทศกาลวันหยุดของเขาจนถึงลมหายใจสุดท้าย และฮิวจ์ก็เนรมิตชีวิตให้ความรู้สึกนั้นครับ”
อิสลา ฟิชเชอร์ พากย์เสียง นางฟ้าฟันน้ำนม ครึ่งมนุษย์ ครึ่งนกฮัมมิงเบิร์ด ผู้สามารถรวบรวมฟันน้ำนมที่หลุดออกมาทั่วโลกได้ปีละ 365 วัน “เธอตัวเล็กนิดเดียว แต่มีปีกสีเขียวและสีน้ำเงินเทาที่งดงาและดวงตากลมโตค่ะ” ฟิชเชอร์บอก “ส่วนในเรื่องนิสัย เธอเป็นพวกกรุ๊ป A และออกจะเหมือนกับเทรซี ฟลิคจาก ‘Election’ หน่อยๆ ค่ะ เธอจะต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในเวลาที่กำหนด เธอเป็นเหมือนทหารทีเดียวในลักษณะที่เธอรวบรวมฟันน้ำนม แต่เธอก็มีแง่มุมที่อ่อนโยนเหมือนกัน และเธอก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อเธอเห็นฟันสีขาวนวลนั่นน่ะค่ะ”
             “เรามองเธอว่าเป็นนกฮัมมิงเบิร์ดเพราะเธอทำงานเสมอ” แรมซีย์กล่าว “เธอมักจะบินไปตรงนั้นที ตรงนี้ที และมีงานสารพัดอย่างต้องทำเสมอ ความคิดเธอมักจะอยู่ในหลายๆ ที่พร้อมๆ กัน เธอพูดและสื่อสารอยู่ตลอดเวลาครับ”
             แต่เธอก็ไม่ได้ทำงานคนเดียว “นางฟ้าฟันน้ำนมมีฟันน้ำนม ซึ่งเป็นนางฟ้าตัวเล็กๆ ที่เป็นเวอร์ชันจิ๋วของตัวเธอเองคอยช่วยค่ะ” ฟิชเชอร์กล่าว “พวกเธอจะบินไปมารอบๆ เพื่อรวบรวมฟันและทิ้งของขวัญชิ้นเล็กๆ และเงินเอาไว้น่ะค่ะ”
             ลินด์ซีย์-อาแบร์กล่าวว่า “นางฟ้าฟันน้ำนมเป็นผู้ดูแลการจราจรทางอากาศ ที่คอยดูแลเด็กๆ ทุกคนและฟันของพวกเขาในทุกประเทศครับ”
             “โดยคอนเซ็ปต์แล้ว นางฟ้าฟันน้ำนมเป็นตัวละครที่คิดออกมาได้ยากที่สุด” แรมซีย์กล่าว “แต่มีการทดสอบสองสามครั้งที่อนิเมเตอร์ทดสอบกับเสียงของอิสลา ที่เราทุกคนได้ไปดูด้วย นั่นล่ะครับนางฟ้าฟันน้ำนม อิสลาเป็นนักแสดงตลกที่ยอดเยี่ยม แต่เธอก็รับมือฉากที่สะเทือนอารมณ์พวกนี้ พร้อมรักษาสมดุลระหว่างความแข็งแกร่งและความเปราะบางได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งคุณจะได้เห็นว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอเกี่ยวกับงานของเธอ เธอสามารถถ่ายทอดทุกแง่มุมของนางฟ้าฟันน้ำนมได้อย่างดีครับ”
              ในขณะที่การทำให้นางฟ้าฟันน้ำนมปิดปากเงียบได้มากกว่าหนึ่งนาทีเป็นเรื่องยากสุดๆ แซนด์แมน หรือเรียกสั้นๆ ว่าแซนดี้ กลับไม่ปริปากพูดอะไรเลย  เขาเป็นสถาปนิกและผู้นำฝันดีมาให้ “คนที่ปลดปล่อยจินตนาการของคุณและทำให้คุณฝันถึงความเป็นไปได้และความมหัศจรรย์ต่างๆ ในยามค่ำคืน” แรมซีย์กล่าว ซึ่งเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก
             “เป็นเรื่องเยี่ยมที่มีตัวละครตัวหนึ่งที่เป็นเหมือนตาของพายุเฮอร์ริเคนครับ” แรมซีย์กล่าวเสริม “แซนดี้กลายเป็นตัวละครสำคัญในหลายๆ ฉาก เขาอาจจะไม่พูดอะไรก็จริง แต่เขาก็มีความสำคัญในแง่ของบทบาทของเขาในเรื่อง และความหมายที่เขามีต่อกลุ่มผู้พิทักษ์ ความสามารถของเขา พลังแห่งความฝัน เป็นหนึ่งในความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขามีครับ”
             “เขาสื่อสารด้วยภาพฝันบนศีรษะของเขาค่ะ” สไตน์เบิร์กอธิบาย “เขาเหมือนพระพุทธเจ้าค่ะ เขาทั้งอ่อนน้อมและสงบนิ่ง แต่เขาก็มีอีกแง่มุมหนึ่งเหมือนกัน และในเวลาจำเป็น เขาก็จะปกป้องตัวเองและเด็กๆ จริงๆ เขาก็เป็นนักรบผู้ดุดัน เหมือนกับโยดาใน ‘Star Wars’ ที่สามารถวาดลวดลายได้ในยามจำเป็น เขาสามารถใช้ทรายในการสร้างและควบคุมวัตถุทุกอย่างตามที่เขาต้องการได้ และปกติแล้ว เขาก็มักจะชนะการต่อสู้ทุกครั้งด้วยค่ะ”
             ผู้พิทักษ์ได้มาประชุมกัน ชายบนดวงจันทร์ได้ฉายแสงลงมาและแจ้งข่าวที่น่าประหลาดใจบางอย่างให้พวกเขาได้รับรู้ ในการปราบพิทช์ให้ได้ พวกเขาจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่ไม่น่าเชื่อ นั่นก็คือแจ็ค ฟรอสต์
             “พวกเขารู้จักแจ็คในฐานะตัวปัญหา เป็นคนที่ไม่เป็นผู้ใหญ่” แรมซีย์กล่าว และเขาก็ดูจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ซะด้วย แจ็คเป็นตัวปัญหาอายุ 300 ปีในร่างของเด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่มีพลังในการสร้างเกล็ดน้ำแข็ง ลมและหิมะ เขามีความสุขที่สุดในตอนที่เขาก่อปัญหา ควบคุมฤดูหนาวด้วยการใช้ไม้เท้ากวัดแกว่ง แตะหรือสัมผัส สำหรับเขา วันที่ประสบความสำเร็จวัดได้จากจำนวนบอลหิมะที่เขาขว้าง จำนวนหน้าต่างที่มีฝ้าขึ้น และจำนวนโรงเรียนที่ประกาศหยุดหลังจากหิมะตกหนัก เขาไม่มีภาระรับผิดชอบ ไม่มีใครมาควบคุม และท้ายที่สุด เขาก็ไม่มีเป้าหมาย อย่างน้อยก็ในความคิดของเขา
             “มันรบกวนใจเขา” แรมซีย์กล่าว “นอกเหนือจากรู้ว่าชื่อของเขาคือแจ็ค ฟรอสต์แล้ว เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเองเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสิ่งที่เขาต้องทำในโลกใบนี้เลยครับ ซ้ำร้าย ไม่มีใครมองเห็นเขา และเขาก็ไม่เหมือนผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ตรงที่ไม่มีใครเชื่อในตัวเขา เขาก็เลยเป็นเหมือนหมาป่าสันโดษ เป็นคนนอกครับ”
             สำหรับบทแจ็ค แรมซีย์และทีม “Guardians” รู้ดีว่าพวกเขาต้องหานักแสดงที่จะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของพระเอก ในหลายๆ แง่มุม “Guardians” เป็นเรื่องราวของแจ็ค แต่ใครล่ะที่จะมีทั้งความขี้เล่นและความเปราะบางท่จะถ่ายทอดอารมณ์ที่หลากหลายของแจ็คในเรื่องออกมาได้ พวกเขาพบสิ่งที่พวกเขามองหาในตัวของคริส ไพน์
             “เราชื่นชอบคริสใน ‘Star Trek’ ครับ” แรมซีย์กล่าว “เขาทั้งน่าตื่นเต้นและฉลาด ซึ่งมันก็จะปรากฏทันทีที่คุณได้เห็นเขาบนหน้าจอ เขามีประกายระยิบระยับในดวงตา ที่จะปรากฏในเสียงของเขาด้วย เขาเป็นพระเอกที่มีพลังงาน เสน่ห์และความรู้สึกสนุกสนานมากมาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติทุกอย่างที่แจ็ค ฟรอสต์มีครับ”
ในส่วนของเขา ไพน์สนใจบทนี้เพราะการเดินทางของแจ็ค
             “หนึ่งในการเดินทางหลายครั้งของหนังเรื่องนี้คือการที่แจ็คได้พบบ้าน มิตรภาพ ชุมชนและเป้าหมายในชีวิต” เขากล่าว “แจ็คจะกระตุ้นให้เกิดการขว้างบอลหิมะใส่กัน และเขาก็อยากให้เด็กๆ สนุก แต่ก็อยากให้พวกเขารู้ด้วยว่าเขาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังความสนุกนั้น ว่าเขาเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขามีช่วงเวลาดีๆ การเดินทางของแจ็ค เพื่อมีความผูกพันกับคนอื่นๆ และหาคำตอบเกี่ยวกับเป้าหมายในโลกนี้ของเขา เป็นสิ่งที่มีความเป็นมนุษย์มากๆ ครับ”



happy on November 13, 2012, 08:03:10 PM

ตัวละครในตำนานต้องอาศัยนักวาดภาพในตำนาน...

                 อย่างที่บิล จอยซ์บอก เขามีแรงบันดาลใจมากมายในตอนที่เขาสร้างหนังสือชุดนี้ขึ้นมา
   “เรื่องราวเบื้องหลังตัวละครเหล่านี้มีช่องว่างมากมาย ผมก็เลยนำเอาส่วนต่างๆ จากเทพปกรณัมอื่นๆ เช่นกรีก โรมัน เทพนิยาย ทาร์ซาน แล้วจับมันยำรวมกันในแบบที่จะเหมาะกับแต่ละเรื่องราวน่ะครับ” เขาเล่า
   ภาพวาดที่ตามมา ซึ่งเนรมิตชีวิตให้กับเรื่องราวเบื้องหลังเหล่านี้ทั้งซับซ้อน ประณีตและมีภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ล้ำค่า “ทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากตำนานดั้งเดิมโดยบิล จอยซ์ ซึ่งวิเศษสุด มหัศจรรย์และยอดเยี่ยม” ผู้ออกแบบงานสร้างแพทริค ฮาเนนเบอร์เกอร์บอก มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างที่ “Guardians” จะมีลุคของตัวเอง ที่แตกต่างจากหนังสือ
   ฮาเนนเบอร์เกอร์ ผู้เข้าทำงานกับดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันในปี 2004 ในตำแหน่งนักวาดภาพพัฒนาวิชวล (“Over the Hedge,” “Bee Movie,” “Monsters vs. Aliens”) และภายหลังก็ได้ทำหน้าที่ผู้กำกับศิลป์สำหรับตอนพิเศษทางโทรทัศน์ “Monsters vs. Aliens: Mutant Pumpkins from Outer Space” ก่อนหน้าที่จะมารับหน้าที่นี้ใน “Guardians” ตั้งข้อสังเกตว่า “เพราะเรื่องราวทั้งหมดสร้างขึ้นจากความเชื่อ ผู้ชมจะต้องเชื่อในความสมจริงของตัวละครเหล่านี้” เขากล่าว “มันนำมาซึ่งขีดจำกัดเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านสไตล์บางอย่างที่เราอยากจะทำ ถ้าคุณทำในสิ่งที่เพี้ยนหรือโอเวอร์เกินไป ผู้ชมจะไม่รู้สึกเข้าถึงมัน ถ้ามันเหมือนภาพถ่ายมากเกินไป มันก็จะไม่ใช่หนังอนิเมชันอีกต่อไปแล้ว สำหรับเรา ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การหาพื้นที่ตรงกลางที่ทำให้มันเป็นหนังอนิเมชันที่ให้ความรู้สึกสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้น่ะครับ”
   การก้าวไปสู่ทิศทางนั้นเป็นงานที่หนักหน่วงในเรื่องสีผิวของตัวละครมนุษย์และเหมือนมนุษย์ของเรื่อง
   “วิธีที่เราจัดการกับเรื่องผิวใน ‘Guardians’ เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับสตูดิโอค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างแนนซี เบิร์นสไตน์บอก “แผนกวิจัยและพัฒนาของเราทำงานร่วมกับทีมงานที่เคยทำงานที่สตูดิโอของสแตน วินสตันมาก่อน และพวกเขาก็ร่วมกันสร้างมันเป็นชั้นๆ แบบเดียวกับที่คุณจะปลูกผิวหนังเทียมเลยล่ะค่ะ มันทำให้เกิดลักษณะกึ่งโปร่งแสง ในแบบที่ผิวหนังจริงๆ จะตอบสนองต่อแสง ในอดีต แสงจะสะท้อนออกไป โดยที่ไม่ถูกดูดซับไว้เลย แต่เรามีอำนาจควบคุมมากขึ้นในเรื่องรูปลักษณ์ของตัวละครและการขยับผิวหนังของพวกเขา นอกจากนี้ เรายังสามารถเสริมองค์ประกอบที่ละเอียดอ่อนต่างๆ อย่างรอยยับย่นบนใบหน้า ซึ่งช่วยยกระดับอนิเมชันขึ้นไปอีก เข้าไปได้ด้วยค่ะ”
   อีกหนึ่งความท้าทายสำหรับทีมผู้สร้างคือการสร้างสิ่งแวดล้อมหกที่ที่แตกต่างกัน สำหรับผู้พิทักษ์แต่ละคนและสำหรับพิทช์ ที่สะท้อนถึงบุคลิกของตัวละครแต่ละตัว แต่ก็นำไปสู่ภาพยนตร์ที่เป็นหนึ่งเดียวเมื่อมองดูในภาพรวม
   “สิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งจะมีเอกลักษณ์โดดเด่น แต่เราทำให้แน่ใจว่าสไตล์ออริจินอลของบิล จอยซ์จะยังปรากฏอยู่” ฮาเนนเบิร์กกล่าว “เราอยากให้ผู้พิทักษ์แต่ละคนแตกต่างกันด้วยสีสันของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ในโลกของนอร์ธ จะมีสีฟ้าใสและฟ้าเข้ม รวมถึงสีเทาแดง โดยที่ตัวนอร์ธเองใช้สีแดงสด ส่วนในโลกของนางฟ้าฟันน้ำนมก็จะมีสีลาเวนเดอร์ สีแซลมอนและพีช ที่ขับเน้นโดยสีเขียวเหลือบของตัวนางฟ้าฟันน้ำนมเอง สีสันของเราได้รับแรงบันดาลใจจากภาพประกอบหนังสือสำหรับเด็กในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ที่ระบายสีด้วยสีไม้และสีน้ำ เพราะมันกระตุ้นให้เกิดความคิดถึงความหลังน่ะครับ”
   “นอกจากนี้ เรายังรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งแวดล้อมหกแบบเพื่อสร้างเสน่ห์ความเป็นสากลให้กับหนังเรื่องนี้ด้วย” เขากล่าวต่อ “เราไม่อยากให้เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโลกมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครจดจำได้ มันเป็นอวกาศก็ไม่ได้หรือจะเป็นดาวดวงอื่นก็ไม่ได้ มันจะต้องเกิดขึ้นในโลกใบนี้ครับ”
   ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทีมงานจะได้แรงบันดาลใจจากสถานที่จริงๆ
   “ด้วยความที่นอร์ธเป็นนักรบคอสแซ็คชาวรัสเซีย เราก็เลยมองโครงสร้างสถาปัตยกรรมของรัสเซีย เช่นเครมลินครับ” ผู้กำกับศิลป์ แม็กซ์ โบแอสกล่าว “บ้านของเขาในขั้วโลกเหนือเป็นป้อมปราการไม้ขนาดใหญ่ เขาเป็นคนเถื่อนที่เอะอะมะเทิ่ง เราก็เลยอยากให้บ้านของเขาแข็งแกร่งและมีความเป็นผู้ชายสูงมากๆ บ้านของเขาถูกสร้างจากชิ้นส่วนไม้ประกบกัน เหมือนเกมเททริส มันไม่มีทั้งกาวและตะปู มีแค่ไม้ประกบเข้าด้วยกันเหมือนชิ้นส่วนปริศนาครับ”
   สำหรับปราสาทของนางฟ้าฟันน้ำนม ที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทีมงานได้หันไปมองสถาปัตยกรรมของไทย
   “มันมีฐานอ้างอิงจากนกและมีองค์ประกอบเกี่ยวกับปีกและจะงอยปากอยู่มากมายครับ” โบแอสกล่าว “นางฟ้าฟันน้ำนมเป็นคนที่พูดเร็วและซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ ด้วยความที่เธอเป็นผู้เก็บรวบรวมฟันน้ำนมจากเด็กทุกคน เธอก็เลยเป็นเหมือนบรรณารักษ์ เราก็เลยอยากให้สิ่งแวดล้อมของเธอให้ความรู้สึกเหมือนห้องสมุดครับ” เขากล่าว “มันมีรายละเอียดมากมายเต็มไปหมด ทั้งรอยสลัก โมเสค ภาพแกะสลักฝาผนัง เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสารและข้อมูลทางภาพ มันเป็นโลเกชันที่มีรายละเอียดด้านภาพเยอะที่สุดเพราะมันเหมาะกับบุคลิกของเธอที่สุดครับ”
   “ปราสาทของเธอประกอบไปด้วยเสาขนาดใหญ่ ที่เป็นตัวแทนทวีปต่างๆ ในโลกใบนี้” เขากล่าวต่อ “ภายในทวีปเหล่านี้จะมีวงแหวนที่แบ่งตามประเทศ รัฐ เมือง ถนนและบ้าน และภายในนั้นจะมีกล่องใบเล็กๆ หลายล้านกล่อง ซึ่งเก็บฟันน้ำนมเอาไว้ ทุกอย่างจะถูกจัดอย่างเป็นระเบียบตามสี และงดงามจริงๆ ครับ”
   ถ้ำใต้ดินที่มืดมนของพิทช์ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมเวเนเชียนคลาสสิก และจริงๆ แล้ว ทีมงานออกแบบงานสร้างได้วางตำแหน่งให้มันอยู่ใต้เมืองเวนิส ประเทศอิตาลีด้วยซ้ำไป
   “ลองนึกถึงสถานที่เก่าแก่ ที่จมลงไปใต้พื้นสมุทร ถูกล้อมรอบไปด้วยโคลนและหินดูสิครับ” โบแอสกล่าว “นั่นคือบ้านของพิทช์ สิ่งแวดล้อทั้งหมดของเขาถูกสร้างขึ้นแบบเอียงๆ และให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันร่วงจากหน้าผาสู่หุบเหว นอกเหนือจากนั้น มันยังมีองค์ประกอบแง่ลบต่างๆ จากทุกโลกของผู้พิทักษ์มารวมกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น เขามีลูกโลก เหมือนของนอร์ธ ไว้คอยตรวจตราดูความศรัทธาของเด็กๆ โลก แต่มันมีสีเทาและดำครับ”
   ตรงข้ามกับที่พำนักที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทางสถาปัตยกรรมของนอร์ธ นางฟ้าฟันน้ำนมและพิทช์ บ้านสวนของกระต่ายอีสเตอร์เป็นโอเอซิสใต้ดิน ที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของทุกชีวิต เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับทหารไข่ยักษ์ ซึ่งเป็นรูปปั้นหินโบราณ ที่จะลุกมีชีวิตในตอนที่มีผู้บุกรุก รวมถึงไข่มหัศจรรย์ ที่เมื่อเขาสั่งการ มันจะออกเดินสู่โลกกว้างและกลายเป็นไข่ที่ถูกพบในช่วงระหว่างเกมหาไข่อีสเตอร์
   “สิ่งแวดล้อมของเขามีรายละเอียดน้อยมากๆ ครับ” ฮาเนนเบอร์เกอร์กล่าว “มันมีแต่หิน หญ้าและต้นไม้ แต่มันก็เหมาะกับลักษณะนิสัยของเขาและสะท้อนถึงตัวตนของเขา ซึ่งคือผู้คุ้มครองธรมชาติ ได้อย่างดี เนื่องด้วยบ้านของเขาเป็นแหล่งกำเนิดธรรมชาติ เราก็เลยออกแบบสิ่งแวดล้อมที่เหมือนกับวิหาร หลังจากที่ทำการค้นคว้าข้อมูลในเรื่องวิหารเก่า เทพารักษ์ ฮีโรกลิฟและรอยสลักโบราณ มันปรากฏเพียงชั่วพริบตาในหนัง แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นโลกที่ผมชื่นชอบมากที่สุดเลยนะครับ”
   ด้วยหน้าที่ในการนำพาความฝันมาสู่โลกในทุกค่ำคืน แซนด์แมนก็ไม่จำเป็นต้องมีบ้านที่วิจิตรบรรจงนักเช่นกัน เขาใช้ชีวิตอยู่บนเมฆแห่งความฝัน ที่ลอยอยู่ระหว่างกลางวันและกลางคืนและเดินทางไปพร้อมๆ กับอาทิตย์อัสดง
   “ลองนึกถึงเขาว่าต้องเดินทางอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆดูสิครับ” ฮาเนนเบอร์เกอร์บอก “ถ้าคุณบินเที่ยวบินแรกสุดไปยังฝั่งอีสต์โคสต์ตอนอาทิตย์ตกดิน คุณจะได้เห็นแสงสุดท้ายกระทบก้อนเมฆ ซึ่งตอนนั้นเองคุณควรจะมองหาแซนด์แมน เพราะเขาน่าจะอยู่ที่นั่นครับ”
   และก็มีแจ็ค ฟรอสต์ เขาเป็นนักพเนจรที่อยู่ติดกับโลกใบนี้ และเขาก็แตกต่างจากผู้พิทักษ์หรือแม้แต่พิทช์ตรงที่เขาไม่มีที่ที่เรียกว่าบ้าน แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเขาสู่เบอร์เกส เมืองเล็กๆ ในเพนซิลวาเนีย
   “แจ็คมีความผูกพันที่วิเศษสุดกับเมืองนั้น โดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม” ฮาเนนเบอร์เกอร์กล่าว
   ทีมผู้สร้างได้จงใจสร้างความแตกต่างระหว่างเมืองมนุษย์แบบอเมริกันจ๋าและความรู้สึกที่เป็นสากลในอาณาเขตของผู้พิทักษ์
   “ในการสร้างโลกของมนุษย์ให้สมจริง เราสร้างมันอย่างค่อนข้างจะเรียบง่าย เพื่อที่เมื่อผู้ชมเห็นโลกต่างๆ ของผู้พิทักษ์ พวกเขาจะได้เห็นฉากที่น่าตื่นตะลึงจริงๆ ซึ่งช่วยเน้นย้ำถึงเวทมนตร์โลกของพวกเขามากขึ้นด้วยครับ” โบแอสกล่าว
   แรมซีย์ตั้งข้อสังเกตในตอนดูฉากเบอร์เกสว่า “เราอยากเห็นความดิบเถื่อน เราอยากจะรู้สึกถึงบรรยากาศ เราไม่อยากจะรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังดูการ์ดคริสต์มาสอยู่น่ะครับ”
   ทีมงาน “Guardians” ได้ตั้งใจใช้ทรู 3D ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันทุกเรื่อง ในแบบแปลกใหม่ที่สำคัญต่อเรื่องราว แต่ก็ไม่ได้เป็นฉากผาดโผนหรือฉากที่คิดขึ้นใหม่
   “เราไม่เคยคุยกันเลยว่า 3D จะถูกใช้เป็นแค่กิมมิค” ผู้อำนวยการสร้างเดล โทโรตั้งข้อสังเกต “เราอยากสร้งโลกที่แตกต่างจากหนังแอนิเมชั่น3D เรื่องอื่นๆ ที่เราเคยดู หนังเรื่องนี้อาศัยความเสี่ยงมากมายและประสบความสำเร็จในเรื่องของพื้นผิว สีสัน แสงและการกำกับภาพครับ”
   “3D เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างเบิร์นสไตน์กล่าว “เป้าหมายของเราคือการใช้มันเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งในการยกระดับการเล่าเรื่องของเรา ตั้งแต่เริ่มต้น เรามองทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้ในระบบสเตอริโอ การตัดสินใจทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องแบบดีไซน์ การวางตำแหน่งกล้องและการขยับของเรื่อง รวมถึงอนิเมชันและวิชวล เอฟเฟ็กต์ต่างก็เกิดขึ้นหลังจากได้ดูภาพในแบบ 3D แล้วค่ะ”
   “เรานึกกันถึงเรื่อง 3D ในการออกแบบงานสร้างของเราอยู่บ่อยๆ” ฮาเนนเบอร์เกอร์กล่าว “เราได้สร้างพื้นที่ที่จะดูน่าสนใจในระบบ 3D แล้วพยายามหาจังหวะให้ได้ทั้งเรื่อง ฉากพวกนี้จะมีความเชื่อมโยงกับความเป็นสเตอริโอสโคปิคในภาพรวมของหนังเรื่องนี้ยังไงล่ะครับ?”
   “ความท้าทายที่ปรากฏในภาพยนตร์ 3D คือการใส่เอาเอฟเฟ็กต์เข้าไปในเรื่อง และตระหนักเสมอในตอนจัดองค์ประกอบของช็อตว่ามันจะถูกยกระดับด้วย 3D ได้อย่างไรบ้าง" โรเจอร์ ดีคินส์ ที่ปรึกษาวิชวลกล่าว “หนังเรื่องนี้มีความรู้สึกของความวิเศษสุดและมหัศจรรย์ ซึ่ง 3D เป็นส่วนสำคัญของมันครับ”
   เดล โทโรกล่าวเสริมว่า “เจฟฟรีย์ คัทเซนเบิร์กเป็นผู้ที่มีศรัทธาในอนิเมชันในฐานะสื่อที่จะบอกเล่าเรื่องราวใหญ่โตด้วยผืนผ้าใบใหญ่โต เขามีวิสัยทัศน์ในเรื่อง 3D สำหรับขอบเขตและสโคปของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวที่เราบอกเล่าจะต้องถูกบอกเล่าในรูปแบบที่ใหญ่โต พวกมันไม่เหมาะกับจอเล็ก เราก็เลยมุ่งหน้าไปหาทิวทัศน์ยิ่งใหญ่ การเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ ตัวละครยิ่งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ใส่ช่วงเวลาของความสง่างามและความสนิทสนม และความสัมพันธ์เข้าไปในแบบที่หนังไลฟ์แอ็กชันก็ทำไม่ได้ เราไม่ได้เลียนแบบหนังเรื่องไหนๆ ทั้งนั้น และเราก็มักจะใช้สื่อชนิดนั้นๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพครับ”
   “หนังของเราเป็นหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีดรามาเยอะที่สุดเท่าที่ดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันเคยทำมาเลยล่ะครับ” ฮาเนนเบอร์เกอร์กล่าว “มันเป็นเรื่องราวอีพิคใหญ่ยักษ์ที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาพวิชวลที่ยิ่งใหญ่ เราต้องทำในสิ่งที่คู่ควรกับเรื่องราวที่ทรงพลังนี้ครับ”
   “คุณมักจะได้ยินหนังไลฟ์แอ็กชันถูกเรียกว่า ‘ภาพวิชวล เอฟเฟ็กต์ตระการตา’ นะคะ” เบิร์นสไตน์บอก “’Guardians’ ก็มีภาพที่ซับซ้อน วิจิตรบรรจงพอๆ กับหนังพวกนั้นเลยค่ะ ฉันเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้หนังของเราแตกต่างคือการใช้เอฟเฟ็กต์เชิงศิลป์ในการพัฒนาตัวละครของเรา วิชวล เอฟเฟ็กต์จะถูกร้อยเรียงเข้าไปในตัวละครของเราอย่างแนบเนียน และช่วยขับเน้นบุคลิกลักษณะของพวกเขาออกมา พลังควบคุมลมและเกล็ดน้ำแข็งของแจ็ค ฟรอสต์สะท้อนอารมณ์ของเขา สิ่งสร้างในความฝันของแซนดี้แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่อ่อนโยนและขี้เล่นของเขา ในขณะที่พิทช์สามารถทำให้ความฝันแปดเปื้อนและสร้างตัวละครฝันร้ายใหม่ๆ ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างวิชวล เอฟเฟ็กต์และอนิเมชันขึ้นมาได้ เราระวังที่จะรักษาสมดุลแบบที่ภาพวิชวลจะสนับสนุนตัวละคร โดยที่ไม่กลบเรื่องราวน่ะค่ะ”

happy on November 13, 2012, 08:09:27 PM

...และดนตรีในตำนานที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้

                เราไม่อาจมองข้ามความสำคัญของดนตรีที่เปิดใน “Guardians” ได้เลย ทีมผู้สร้างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการดนตรีประกอบที่จะยิ่งใหญ่ อลังการพอๆ กับเรื่องราวนี้ เมื่อถึงเวลาต้องหานักประพันธ์เพลงที่จะทำงานนี้ ชื่อของอเล็กซานเดร เดสแพลท (“The King’s Speech,” “Fantastic Mr. Fox”) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ด เป็นชื่อเดียวในความคิดของทีมงาน “Guardians”
               “ใน ‘Guardians’ มีดนตรีมากกว่าในหนังไลฟ์แอ็กชันตามปกติเสียอีกครับ” เดสแพลท ผู้ควบคุมวงออร์เคสตราลอนดอนซิมนีในการบันทึกเสียงการเรียบเรียงเสียงประสานออริจินอลของเขา “มันจะเล่นคลอไปตลอดทั้งเรื่อง เป้าหมายสำหรับเรื่องดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ ซึ่งหลักๆ แล้วเป็นดนตรีซิมโฟนี แม้ว่าผมจะได้นำสิ่งที่ผมชื่นชอบบางอย่าง เช่นแซ็กโซโฟนและซิมบาลอมที่วิเศษสุดเข้ามาด้วย คือการตอกย้ำถึงทุกช่วงเวลาของความสุข ความเศร้าและจิตวิญญาณ เพื่อที่ผู้ชมจะสามารถดำดิ่งลงไปสู่โลกของพวกเขาร่วมกับตัวละครได้”
               “เราเริ่มพบกับอเล็กซานเดรเมื่อกว่าสองปีที่แล้ว ดังนั้น พอถึงเวลาที่เขาเริ่มแต่งดนตรี เขาก็คุ้นเคยกับเรื่องราวและตัวละครพอๆ กับเราแล้วค่ะ” สไตน์เบิร์กบอก “ฉันคิดว่าสิ่งที่เราพยายามจะทำคือการตอกย้ำทุกช่วงเวลาของความสุขและจิตวิญญาณตลอดทั้งเรื่อง เพื่อที่เราจะได้ไม่ห่างเหินจากตัวละคร เราจะดำดิ่งลงไปพร้อมกับพวกเขาในโลกของพกวเขา ทุกอย่างก็เลยทั้งน่าตื่นเต้น สะเทือนอารมณ์และสมจริง ดนตรีของอเล็กซานเดรกลายเป็นเหมือนตัวละครตัวใหม่ในหนังของเรา ดนตรีของเขาช่วยเสริมรายละเอียด ความอ่อนโยนและอามณ์ขัน ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสนับสนุนตัวละครและอารมณ์ของเรื่องราวด้วย”
              นอกจากนี้ แรมซีย์ยังตื่นเต้นกับผลลัพธ์ที่ออกมาด้วย
              “อเล็กซานเดรทำงานหนักมาเป็นเดือนๆ สำหรับดนตรีของเรื่องนี้” เขากล่าว “มันเพอร์เฟ็กต์เลย ทั้งวิเศษสุดและสนุกสนาน มันเป็นยอดมงกุฏสำหรับหนังของเรา ผมคาดเดาว่าพอผู้ชมได้ยินเพลงนี้ พวกเขาจะต้องน้ำตารื้นกันเป็นทิวแถวแน่นอนครับ”



คำถามของเด็กหญิงตัวน้อย ที่ได้รับคำตอบเสียที

                ผ่านมา 14 ปีแล้ว นับตั้งแต่ลูกสาวของบิล จอยซ์ได้ถามคำถามที่ไร้เดียงสาว่า “พวกเขารู้จักกันรึเปล่า” ทีมผู้สร้าง ที่กำลังรอคอยวันเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อ ได้มองถึงผลงานที่เกิดจากความรักของพวกเขา
   จอยซ์เองคาดหวังว่าผู้ชมจะเดินออกจากโรงภาพยนตร์ด้วยศรัทธาและความรู้สึกมหัศจรรย์ที่ถูกปัดฝุ่นใหม่ “ผมตื่นเต้นที่พวกเขาจะได้เห็นตัวละครเหล่านี้ ที่พวกเขารู้จักและเติบโตด้วยกันมา ในแบบใหม่ที่ท้าทาย” เขากล่าว “และเห็นได้ว่าพวกเขาคู่ควรกับความศรัทธาและความเชื่อมั่นของเรา และพวกเขาก็ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาคิดเสียอีก”
   แรมซีย์คาดเดาว่า “มันเป็นโลกที่ผู้ชมอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน มันมีทั้งการผจญภัย มีดรามา แต่ก็มีอารมณ์ขันด้วย ตัวละครทุกตัวต่างก็ตลก และการที่พวกเขาเย้าแหย่กัน เถียงกันและทำงานร่วมกันในภารกิจที่สำคัญอย่างเหลือเชื่อนี้ก็เป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจจริงๆ ครับ”
   สไตน์เบิร์กกล่าวว่า “พอถึงตอนจบเรื่อง ฉันก็หวังว่าพวกเขาจะรู้สึกแบบเดียวกับเรา ซึ่งก็คือการที่ผู้พิทักษ์เป็นทุกอย่างที่คุณคาดหวังสำหรับวีรบุรุษ พวกเขาทั้งสร้างแรงบันดาลใจ ทรงพลังและกล้าหาญ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รื่นเริงและเข้าถึงได้ง่ายพอๆ กับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่น่ะค่ะ”
   “สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งที่สุดในการได้เห็นภาพสุดท้ายบนหน้าจอคือการที่เราทำให้มันเกิดขึ้นมาจริงๆ” ฮาเนนเบอร์เกอร์บอก “ผมเรียกมันว่าเวทมนตร์พิกเซล คุณสามารถสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นจากความว่างเปล่าได้ ความพึงพอใจที่คุ้มค่าที่สุดที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้คือการได้เห็นภาพสเก็ตช์เล็กๆ ในสมุดสเก็ตช์ของผมกลายเป็นภาพแสนสวยบนหน้าจอจากความร่วมมือกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะคุณไม่สามารถสร้างหนังพวกนี้ได้โดยไม่มีคนฉลาดๆ และมีพรสวรรค์สูง รวมทั้งมีความมุ่งมั่นอย่างมาก ที่ร่วมมือกันและสื่อสารกันเพื่อสร้างผลงานที่สร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อชิ้นนี้ออกมาได้”
   ท้ายที่สุด จอยซ์ได้ครุ่นคิดถึงเวลาเกือบสองทศวรรษที่เขาได้ผูกพันกับผู้พิทักษ์ของเขา
   “การได้ใช้เวลากับคนพวกนี้ที่ผมเคยเชื่ออย่างเหลือเกินสมัยเด็ก และได้กลับมาผูกพันกับพวกเขาอีกครั้ง...คือตอนนี้เรากลายเป็นคู่ซี้กันไปแล้วครับ” จอยซ์กล่าว “เด็กหลายคนฝันที่จะได้ทำแบบนั้นตอนที่พวกเขายังเล็กอยู่ เช่นการใช้เวลาอยู่กับซานตาคลอสหรือกระต่ายอีสเตอร์ การได้เห็นว่าพวกเขาทำงานของตัวเองอย่างไร นั่นเป็นงานของผมครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ทำในตอนที่ผมเขียนหนังสือหรือดูหนังเรื่งอนี้ การได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่ผมเคยคิดตอนสมัยเด็กว่าเป็นคนที่เจ๋งที่สุดในโลก จะมีอะไรฟังดูดีไปกว่านั้นอีกเหรอครับ”
« Last Edit: November 13, 2012, 08:18:46 PM by happy »